๓๑
๏ มาจะกล่าวบทไป | ถึงกองตระเวนใจกล้า |
ห้าร้อยคอยเหตุพนาวา | นายชื่อการะผิดฤทธิรณ |
ครั้นเช้าจัดแจงแต่งกาย | ไปตระเวนแวดชายพนาสณฑ์ |
อาวุธครบมือทุกคน | จรดลออกเที่ยวตระเวนไพร |
ครั้นถึงริมชายปลายแดน | เสียงคนหมื่นแสนหวั่นไหว |
อื้ออึงทั้งป่าพนาลัย | ชวนกันเข้าไปลอบดู |
บ้างขึ้นหอคอยแลต้นไม้ | แลไปเห็นคนกล่นเกลื่อนอยู่ |
บ้างตราตรวจทุกหมวดพรั่งพรู | แลดูอึงอัดทั้งดงดาน |
พูดกันไม่ทันสิ้นสนทยา | เห็นคนเดินมายังไพรสาณฑ์ |
พร้อมกันออกคั่นมิทันนาน | ล้อมไล่อลหม่านจับตัว |
ผูกคอผูกมือถือจูง | ล้อมเข้าเป็นฝูงแล้วยิ้มหัว |
บ้างคลำพกตบอกจะให้กลัว | ผ้าผ่อนติดตัวจะเปลื้องเอา |
การะผิดเงื้อกฤชขู่ถาม | บอกความจริงไปเหวยไอ้เฒ่า |
เจ้าเอ็งไม่เกรงเจ้าเรา | ยกมานี่จะเอาสิ่งใด ฯ |
ฯ ๑๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ตาละบีงูชูมือไหว้ |
นบนอบขอตัวกลัวภัย | ข้าไซร้จะแจ้งซึ่งคดี |
อุรังหงันบุตรพระเจ้าอุเรเซน | เป็นน้องประวะลิ่มโฉมศรี |
ยกพลพหลโยธี | จะรบเอาพระพี่นางไป |
ตัวของข้านี้ก็เป็นข้า | ประวะลิ่มโสภาศรีใส |
ผ้าผ่อนข้าที่เอาไป | ขอให้ข้าเถิดได้เมตตา ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | การะผิดแจ้งจิตไม่กังขา |
ก็ยื่นผ้าให้ไปมิได้ช้า | แล้วพาเข้าไปในบูรี |
ให้ผูกข้อมือแล้วจูงเดิน | อย่าเมินแกจะแก้เชือกหนี |
รีบลัดป่าพนาลี | สามราตรีมาถึงพระเวียงไชย ฯ |
ฯ เชิด ๔ คำ ฯ
๏ ครั้นเข้าในเมืองก็เฟื่องฟุ้ง | ชาวกรุงไถ่ถามก็บอกให้ |
แล้วพาตาเฒ่าเข้าวังใน | ถึงท่านผู้ใหญ่ก็วันทา |
แจ้งการทั้งปวงสับสน | กับท่านผู้ใหญ่ซ้ายขวา |
ตาเฒ่านี้ไซร้ให้การมา | เป็นข้าประวะลิ่มทรามวัย ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ตะหลาหรันตำมะหงงผู้ใหญ่ |
ได้แจ้งแห่งกองตระเวนไพร | ตกใจชวนกันทันที |
พากองตระเวนกับตาเฒ่า | เข้าเฝ้าพระผู้เฉิดโฉมศรี |
พอเสด็จออกพระโรงรูจี | คลานเข้าอัญชุลีบังคมคัล ฯ |
ฯ ช้า ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระโฉมยงทรงนามยุขัน |
เห็นสองเสนีอภิวันท์ | ทรงธรรม์คิดถวิลจินดา |
ตรัสถามตำมะหงงตะหลาหรัน | เราคิดอัศจรรย์นักหนา |
กองตระเวนกับใครได้มา | กิจจานั้นเป็นประการใด ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | เสนาทูลแจ้งแถลงไข |
เป็นแต่ลำเนากล่าวไป | ยังไม่สิ้นความที่ถามซัก ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ยุขันฤทธิรงค์ทรงศักดิ์ |
แจ้งว่าอนุชานางนงลักษณ์ | ทรงศักดิ์ไม่ประหวั่นพรั่นใจ |
ชิชะอุรังหงันขยันนัก | ทะนงศักดิ์เป็นแม่ทัพใหญ่ |
มาด้วยยังเยาว์ไม่เข้าใจ | เป็นวิสัยใจเด็กอหังการ์ |
พระโฉมงามจึ่งถามละบีงู | ตัวรู้อย่างไรอย่ามุสา |
อุรังหงันยกพลขันธ์มา | โยธามากน้อยประการใด |
ยกจากอุเรเซนพารา | บิตุเรศใช้มาหรือไฉน |
คึกคักหักหาญประการใด | ว่าแต่จริงไปบัดนี้ ฯ |
ฯ ช้า ฯ
๏ บัดนั้น | ละบีงูชูกรเหนือเกศี |
ทูลว่าพระนุชาธิบดี | โยธีซึ่งตั้งอยู่ปลายแดน |
ปีกซ้ายปีกขวาหน้าหลัง | สิ้นทั้งหลวงเป็นหกแสน |
แล้วจะยกเข้ามาในแดน | แว่นแคว้นอุรังยิดพารา |
ตัวข้าชื่อว่าละบีงู | ประวะลิ่มโฉมตรูรู้จักหน้า |
เป็นข้าช่วงใช้แต่ไรมา | ผ่านฟ้าจงได้เอ็นดู ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ยุขันฟังคำตาบีงู |
จำจะให้หานางโฉมตรู | ขึ้นมาถามดูให้แจ้งใจ |
จึ่งสั่งกำนัลกัลยา | ไปหาประวะลิ่มศรีใส |
ขึ้นมาบัดนี้ฉับไว | เร่งรัดรีบไปอย่าได้ช้า ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | กำนัลรับสั่งใส่เกศา |
บังคมก้มเกล้าสามลา | เร่งรีบลงมาทันใด ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงประวะลิ่มนิ่มนวล | กราบทูลโดยด่วนแถลงไข |
พระภูมีให้เชิญเสด็จไป | กองตระเวนเขาได้คุมมา ฯ |
ฯ ร่าย ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ประวะลิ่มตกใจนักหนา |
จึ่งรีบเสด็จลีลา | กัลยามาเฝ้าพระสามี ฯ |
ฯ ช้า เพลง ๒ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงจึ่งยอกรประณม | บังคมแทบบาทบทศรี |
ยุขันจึ่งแจ้งคดี | บัดนี้อุรังหงันเรืองไชย |
ยกพลโยธามาหกแสน | ตั้งอยู่ปลายแดนกรุงใหญ่ |
พวกเราเข้าเที่ยวตระเวนไพร | จับได้ตาแก่คนนี้มา |
ไถ่ถามได้ความแจ้งประจักษ์ | น้องรักยังได้รู้จักหน้า |
จะรุกเร้าเข้าตีเอาพารา | แก้วตาจะคิดเป็นประการใด ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | โฉมนางประวะลิ่มศรีใส |
ได้ฟังตระหนกตกใจ | ทรามวัยวินิจพิศดู |
จำได้มั่นคงไม่สงสัย | คนเก่าได้ใช้สอยอยู่ |
จึ่งบังคมทูลพระโฉมตรู | เมียจำได้อยู่แน่นอน |
ตาละบีงูคนนี้ | เดิมทีเป็นข้าเมียอยู่ก่อน |
แล้วโฉมประวะลิ่มบังอร | จึ่งมีสุนทรตรัสไป |
ถึงองค์อุรังหงันเบาความ | ละบีงูจะห้ามก็หาไม่ |
เหมือนรีบบินเข้ามาหาไฟ | แต่ทหารก็ไม่คณนา |
อันองค์พระชนกชนนี | ไพร่ฟ้ายังมีสุขา |
หนึ่งเรามาอยู่ในพารา | ได้แจ้งกิจจาประการใด |
อันซึ่งอุรังหงันยกมา | ด้วยพระบิดาเป็นใหญ่ |
เพราะขัดไม่ได้จึ่งจำใจ | แต่ตัวก็ไม่อาจมา ฯ |
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ละบีงูก้มเกล้าเกศา |
กราบทูลนวลนางกัลยา | อันกรุงพาราอุเรเซน |
ไม่มีความสุขเหมือนแต่ก่อน | ไพร่ฟ้าประชากรเคืองเข็ญ |
ไม่พอที่จะเป็นก็ให้เป็น | ไข้เจ็บไม่เว้นตัวใคร |
ตั้งแต่พระองค์เสด็จมา | สิ้นความปรีดาผ่องใส |
เคยสุขก็มีแต่ทุกข์ภัย | จึ่งให้พระน้องยกมา |
รบเอานกหัสรังสี | ไปไว้บูรีเป็นสุขา |
มิใช่ศึกใครหาไหนมา | ตามแต่ผ่านฟ้าจะโปรดปราน ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ยุขันไม่ท้อต่อต้าน |
แต่พระดำริตริการ | จะสมานให้เป็นมิตรกัน |
จะคิดรบพุ่งกันบัดนี้ | ไหนเลยชีวีอุรังหงัน |
เห็นจะมอดม้วยชีวัน | ไม่ทันถึงกึ่งนาที |
ฝ่ายท้าวอุเรเซนจะโกรธา | ยกมาก็จะม้วยเป็นผี |
เอ็นดูประวะลิ่มเทวี | จะให้ตามมีประสงค์มา |
คิดแล้วจึ่งมีสุนทร | พระบิดรโกรธนักด้วยปักษา |
จะให้ดั่งถวิลจินดา | แต่จะให้เห็นฤทธากัน |
จะคิดประดิษฐ์สารศรี | ไปวางข้างที่อุรังหงัน |
จะทำไว้ให้เห็นทุกสิ่งอัน | อุรังหงันก็จะหายโกรธา |
ทั้งองค์พระเจ้าอุเรเซน | จะเป็นมิตรกันไปวันหน้า |
ว่าแล้วก็สั่งเสนา | ให้เอาเสื้อผ้ามาประทาน |
ตาละบีงูเลี้ยงดูไว้ | เป็นสุขอยู่ในราชฐาน |
ตระเวนไพรก็ได้ราชการ | สั่งให้ประทานทั่วกัน ฯ |
ฯ เจรจา ๑๔ คำ ฯ
๏ ครั้นเอยครั้นเสร็จ | พระเสด็จยุรยาตรผาดผัน |
เข้าในปราสาทแก้วแพรวพรรณ | โฉมประวะลิ่มนั้นก็ตามไป ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ พระโฉมยงทรงเขียนลิขิตสาร | พจมานพริ้งเพราะเจาะจงให้ |
รำพันสรรศรีคดีไป | โดยในสุจริตเมตตา |
ท้าวจะนอบนบอวสาน | ว่าขานหว่านล้อมให้นักหนา |
สำเร็จเสร็จสิ้นดั่งจินดา | เสด็จมาสระสรงสาคร ฯ |
ฯ โทน ๔ คำ ฯ
๏ แล้วทรงสนับเพลาเพราพริ้ง | กระหนกกระหนาบกาบกิ่งปักษร |
ภูษาทองช่วงช่ออรชร | ฉลองพระองค์บวรแพรวพรอย |
เข็มขัดรัดพระองค์ยงยิ่ง | เพชรประดับวับวิงดั่งหิ่งห้อย |
ทับทรวงดวงเด่นเห็นดอกลอย | สะอิ้งพลอยมรกตรจนา |
ทองกรธำมรงค์ทรงสรรพ | ชฎาแก้วแวววับจับเวหา |
เหน็บกฤชเรืองฤทธิ์ศักดา | ห้อยเช็ดหน้าแสงศรีลำยอง ฯ |
ฯ ร่าย ๖ คำ ฯ
๏ ครั้นเสร็จแต่งองค์อลงการ์ | นวยนาดยาตราเข้าสู่ห้อง |
สั่งโฉมประวะลิ่มนวลละออง | แล้วเสด็จจากห้องบรรทมใน |
ทรงแก้วรังสีอันมีฤทธิ์ | สี่ทิศไม่เทียมศักดาได้ |
เหาะขึ้นฟากฟ้าสุราลัย | ดั้นไปในพื้นโพยมบน ฯ |
ฯ ปะวะหลิ่ม ๔ คำ ฯ
๏ มาเอยมาใกล้ | เลื่อนลอยอยู่ในพระเวหน |
แลเห็นเสนีรี้พล | ได้ดูผู้คนดาษไป |
พอค่ำย่ำแสงทินกร | ผันผ่อนลงหาที่อาศัย |
ยังพุ่มพฤกษาบังใบ | ซ่อนอยู่ดูให้ลับตา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | จึ่งองค์อุรังหงันรุ่งฟ้า |
เสด็จออกสุวรรณพลับพลา | ปรึกษาเสนาอยู่พร้อมมูล |
ซึ่งละบีงูหายไป | ข่าวคราวไม่มาเสื่อมสูญ |
ไม่มีใครมาเพ็ดทูล | สาบสูญไม่แจ้งกิจจา |
จำจะยกเข้าประชิดติดเมือง | ให้สารกล่าวเรื่องปักษา |
ให้ส่งมาทั้งองค์พระธิดา | จะแข็งขัดฤๅจะว่าประการใด |
แต่ในสนธยาราตรี | วันนี้ระวังให้จงได้ |
กะเกณฑ์นั่งยามตามไฟ | ตรวจตรากันไว้ในราตรี ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | เสนารับสั่งใส่เกศี |
กราบบังคมคัลวันชุลี | ออกจากที่เฝ้าเข้าประชุม |
ป่าวร้องให้กองฟืนไฟ | เกณฑ์ไปให้ระวังนั่งสุม |
เห็นประหลาดพินาศปีนรุม | จับกุมให้ได้ตัวมา ฯ |
ฯ เจรจา ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ยุขันเรืองฤทธิ์ทุกทิศา |
ครั้นล่วงราษราตรีสนธยา | เห็นได้เวลาก็แต่งกาย |
จึ่งร่ายพระเวทกำบังองค์ | เดินตรงเข้ามายังหน้าค่าย |
เห็นคนอลหม่านวุ่นวาย | เกริ่นกรายตรวจตราอยู่อื้ออึง |
ลางคนนั้นเล่าก็เข้าทัก | แล้ววางปืนลักเสียงผึง |
นายหมวดอ่านตรวจเสียงอึง | ไม่หลับแล้วจึ่งร่ายมนตรา |
ด้วยเดชมหาวิชาชาญ | โอมอ่านพระเวทคาถา |
สะกดทั้งกำบังกายา | ให้นิทราระงับหลับกรน |
พอถ้วนคาถาอาคม | เป่าลมเข้าไปสามหน |
บรรดาเสนีรี้พล | ล้มทับหลับกรนไม่ทนฤทธิ์ ฯ |
ฯ ชมตลาด ๑๐ คำ ฯ
๏ เข้าได้ในค่ายเที่ยวกรายเล่น | ดูไหนก็เห็นหลับสนิท |
ต้องมนต์อาคมอุดมฤทธิ์ | พิศพลางทางรีบจรจรัล |
หลีกพวกจัตุรงค์โยธา | ขึ้นบนพลับพลาอุรังหงัน |
เป่ามนต์สำทับไปฉับพลัน | หมดสิ้นทั้งนั้นไม่ฟื้นกาย |
พระรูดม่านสุวรรณอันบรรจง | เห็นองค์อุรังหงันโฉมฉาย |
เพ่งพิศพินิจทั่วกาย | เห็นละม้ายประวะลิ่มนิ่มนวล ฯ |
ฯ ชมโฉม ๖ คำ ฯ
๏ พระโฉมยงลดองค์ลงเคียงข้าง | พิศทรงองค์อย่างทรามสงวน |
นรลักษณ์พักตร์น้องละอองนวล | หลับเหมือนยิ้มยวนเปรมปรีดิ์ |
พิศกรงามกรอ่อนระทวย | ดำแดงสอดสวยสองศรี |
พิศโอษฐ์ดั่งจะเยื้อนพาที | ปรางเปรียบปรางศรีสุวรรณทา |
ยังเยาว์ฤๅเจ้ามาทำศึก | ฤๅนึกว่าเราเป็นเชษฐา |
จะไม่ทำไมอนุชา | กระนั้นก็น่าเอ็นดูนัก |
พระคลึงเคล้าเล้าโลมโฉมน้อง | ค่อยประคององค์ช้อนขึ้นใส่ตัก |
ไล้ลูบจูบน้องประคองพักตร์ | หลับนักไม่ฟื้นกายา |
เครื่องทรงขององค์อุรังหงัน | เลิศล้ำอำพันปริศนา |
หยิบเอามาพลันมิทันช้า | สุคนธารวยรื่นชื่นใจ |
ชโลมโซมองค์ทรงสวัสดิ์ | พระเชษฐาคอยพัดวีให้ |
หวนหอมออมอบตรลบใจ | งามสรรพหลับไหลวิไลวรรณ |
ครั้นแล้วจึ่งเอาสารศรี | วางไว้ข้างที่อุรังหงัน |
ครั้นเสร็จเสด็จจรจรัล | ทรงธรรม์เหลียวดูอนุชา |
ความรักมิใคร่จะจากได้ | เสนหาอาลัยนักหนา |
แข็งขืนพระทัยไคลคลา | เหาะมาด้วยประสิทธิ์ฤทธิไกร |
ลอยลิ่วปลิวไปดั่งลมพัด | พอรุ่งจำรัสแสงไข |
ลุถึงนครเวียงไชย | เหาะตรงลงไปยังเกยทอง |
พระเสด็จจรลีลีลาศ | เข้ามหาปราสาทสู่ห้อง |
บอกโฉมประวะลิ่มนิ่มน้อง | พี่ไปถึงกองทัพไชย |
อุรังหงันหลับสนิทนิทรา | พี่เอาสุคนธาชโลมให้ |
พิศพักตร์น่ารักเหมือนดวงใจ | พี่กอดจูบลูบไล้พระน้องยา |
แล้วพี่จึ่งเอาสารศรี | วางไว้ข้างที่ขนิษฐา |
คดีมีในสารา | ตื่นขึ้นจะว่าประการใด ฯ |
ฯ ร่าย ๒๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | โฉมนางประวะลิ่มศรีใส |
ได้ฟังบัญชาพระภูวไนย | รักใคร่ในองค์อนุชา |
นางยิ่งชื่นชมภิรมย์นัก | จะได้พบน้องรักเสนหา |
บังคมก้มเกล้าด้วยปรีดา | พระคุณล้ำฟ้าด้วยปรานี ฯ |
ฯ ร่าย ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | จึ่งองค์อุรังหงันเรืองศรี |
ครั้นรุ่งสว่างราตรี | ภูมีค่อยคลายมนตรา |
พระตื่นจากที่บรรทมใน | หอมฟุ้งขจรไปนักหนา |
พินิจพิศทั่วทั้งกายา | โซมทาไปด้วยพระสุคนธ์ |
เมื่อนอนก็ไมได้ทาแป้ง | วิปริตคิดแคลงอยู่โหยหน |
ชะรอยคนดีมีเวทมนตร์ | รุกรนมาถึงจนที่นอน |
พระกลุ้มกลัดขัดแค้นแสนทวี | แลดูข้างที่เห็นอักษร |
พระทัยดั่งไฟรุมร้อน | หยิบเอาอักษรมาอ่านพลัน ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ สารทรงขององค์ยุขันพี่ | แจ้งคดีมาถึงอุรังหงัน |
ผู้เป็นอนุชาวิลาวัณย์ | โกรธเป็นมหันต์ยกมา |
ใช่พี่จะเกรงกลัวฤทธิ์ | แต่คิดถึงน้องนักหนา |
จงน้อมถ่อมองค์อนุชา | ตรึกหน้าตรองหลังให้จงดี |
อันนกหัสรังสีปักษา | พี่จะให้อนุชาโฉมศรี |
ว่าจะไปอุเรเซนธานี | บัดนี้แก้วตาก็มาแล้ว |
ซึ่งพี่ทารดสุคนธ์น้อง | มัวหมองให้แอร่มแจ่มแผ้ว |
เจ้าผู้ประเสริฐเพริศแพร้ว | น้องแก้วจงดำริตริการ ฯ |
ฯ ร่าย ๘ คำ ฯ
๏ ครั้นอ่านสิ้นลักษณ์อักษร | เดือดร้อนพระทัยดังไฟผลาญ |
เสด็จออกเสนีมิทันนาน | ให้หาทหารทั้งปวงมา |
สิ้นทั้งทัพหน้าทัพหลัง | พร้อมพรั่งปีกซ้ายปีกขวา |
อีกทั้งตำมะหงงเสนา | หามาแต่รุ่งอโณทัย |
แล้วพระจึ่งเล่ากิจจา | กับตำมะหงงเสนาผู้ใหญ่ |
คืนนี้ยุขันชาญชัย | ลอบมาถึงในที่ไสยา |
สะกดตัวเราหลับสนิท | คิดทำเล่ห์กลนักหนา |
เอาสุคนธ์ชโลมโซมทา | สาราให้ไว้เป็นมั่นคง |
อันซึ่งนกหัสรังสี | จะให้เราดั่งประสงค์ |
แต่จะให้น้อมถ่อมองค์ | ข้าศึกฤทธิรงค์อย่างไรมา |
สู้ตายก็ไม่บังคมคัล | ยุขันอาธรรม์มารษา |
จะขอต้านต่อศักดา | ไม่อยากวันทาให้เสียมือ |
ถึงชีวิตจะม้วยวายชนม์ | จะไว้นามให้คนลือชื่อ |
สิบประหนึ่งยุขันไม่พรั่นมือ | จะให้ลือไว้ชั่วกัลปา |
ว่าแล้วจึ่งมีพจนารถ | แก่มหาอำมาตย์ซ้ายขวา |
จงเร่งแต่งศุภสารตรา | เข้าไปพาราบัดนี้ ฯ |
ฯ ๑๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | อำมาตย์รับสั่งใส่เกศี |
จึ่งแต่งราชสารทันที | ตามเรื่องคดีทุกประการ |
ครั้นแล้วจึ่งส่งให้เสนา | ผู้ปรีชาว่องไวใจหาญ |
จงเร่งรีบไปอย่าทันนาน | ในสถานเขตขัณฑ์นครา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | เสนีกราบงามสามท่า |
จึ่งรับราชสารา | ก็พากันออกมาทันใด |
ชาวเราคิดเอาแต่ตัวรอด | ยุขันยิ่งยอดจะมีไหน |
ศักดิ์สิทธิ์ฤทธีเกรียงไกร | แล้วก็ใช่หาไหนมา |
โฉมนางประวะลิ่มก็อยู่นั่น | ยุขันฤๅจะไม่เสนหา |
ชาวเราจงระวังกายา | แม้นว่าเหมาก็เหไป |
ครั้นมาถึงพระทวารา | เสนาจึ่งร้องแถลงไข |
เร่งเปิดทวาราฉับไว | จะถือสารเข้าไปในบูรี ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | นายทวารแจ้งการถ้วนถี่ |
จึ่งไปบอกมหาเสนี | บัดนี้ทูตถือสารา |
จะบอกมาประณตบทมาลย์ | เห็นจะมาว่าขานด้วยปักษา |
ขอท่านมหาเสนา | จงแจ้งกิจจาทุกประการ ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | เสนีครั้นแจ้งแถลงสาร |
เข้าไปยังท้องพระโรงธาร | กราบทูลพระภูบาลทันใด |
บัดนี้มีทูตจำทูลสาร | จะเข้ามาสถานกรุงใหญ่ |
พระองค์จะโปรดประการใด | ชีวิตอยู่ใต้พระบาทา ฯ |
ฯ ร่าย ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ยุขันเรืองฤทธิ์ทุกทิศา |
ครั้นแจ้งแห่งคำเสนา | ผ่านฟ้าจึ่งมีพระโองการ |
ท่านจงเร่งรีบคลาไคล | ไปรับเสนาจำทูลสาร |
เข้ามายังท้องพระโรงธาร | อย่านานเร่งรัดฉับไว ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | เสนารับสั่งบังคมไหว้ |
จึ่งพากันรีบคลาไคล | ออกไปยังพระทวารา |
ครั้นถึงเข้ากลุ้มรุมกัน | ถอนชักเขื่อนขัณฑ์แน่นหนา |
ออกได้ดั่งใจจินดา | เปิดพระทวาราทันใด |
ครั้นแล้วมหาเสนา | จึ่งมีวาจาแถลงไข |
พระโองการให้รับเข้าไป | ยังในพระโรงรจนา ฯ |
ฯ ช้า ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ทูตาว่องไวใจกล้า |
ก็เข้าไปกับมหาเสนา | มายังพระโรงรูจี |
ครั้นถึงจึ่งตั้งบังคม | นบนิ้วประณมเหนือเกศี |
ถวายราชสารทันที | มิได้ทูลพิดกิจจา ฯ |
ฯ ร่าย ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ยุขันเฉิดโฉมเสนหา |
จึ่งเรียกเอาศุภสารา | ผ่านฟ้าคลี่อ่านทันใด ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ในลักษณ์ราชสาร | อุรังหงันกุมารศรีใส |
เป็นพระโอรสยศไกร | ท้าวไทอุเรเซนธิบดี |
ทรงพระเดชาอานุภาพ | ปราบได้ทั่วทิศทั้งสี่ |
กระษัตริย์ใดไม่ทานฤทธี | มาชุลีน้อมเกล้าวันทา |
ท่านนี้อาจองทะนงนัก | ไม่เกรงศักดิ์บิตุเรศนาถา |
ลอบลักพี่นางกัลยา | ทั้งราชปักษาพาจร |
แม้นซึ่งหน้าหาไหนชีวี | จะได้คืนธานีสโมสร |
เห็นทีจะยับลงกับกร | ม้วยมรณ์อยู่ในอุเรเซน |
บัดนี้เรามาชิงชัย | ใครเรืองฤทธิไกรจะได้เห็น |
ไม่คิดชีวิตตายเป็น | มาลองเล่นจะดูฤทธิไกร |
แม้นมิส่งองค์พระพี่ | กับหัสรังสีออกมาให้ |
จะหวงแหนเอาของเราไว้ | ถึงเด็กก็จะให้ลือยศ |
ถึงตายก็ให้งามด้วยความแค้น | เพราะพี่เราทำแสนสาหส |
มีผัวคือตัวกลีคด | ได้เคืองแค้นทั้งหมดเวียงไชย |
เอาสุคนธ์ชโลมโซมสกนธ์ | กล้าฤทธิ์เมื่อคนหลับไหล |
มาให้เราเห็นจะเป็นไร | ชีวิตบรรลัยไม่ละกัน |
ถ้าคิดรักกายเสียดายพักตร์ | จะอยู่ครองอาณาจักรเขตขัณฑ์ |
เร่งส่งพระธิดาดวงจันทร์ | กับหัสรังนั้นออกมา ฯ |
ฯ ร่าย ๑๘ คำ ฯ
๏ ครั้นทรงเสร็จสิ้นในอักษร | ภูธรใสโสมนัสา |
มิเสียทีเป็นองค์กษัตรา | ปรีชาสามารถอาจใจ |
คิดแล้วจึ่งมีบัญชา | แก่สองเสนาผู้ใหญ่ |
อันองค์อุรังหงันเรืองไชย | เยาว์นักมิได้เข้าใจความ |
ท่านจงไปแจ้งกิจจา | แก่องค์อนุชาชาญสนาม |
ซึ่งจะทำณรงค์สงคราม | ไม่เห็นงามไตรโลกจะนินทา |
ที่ประสงค์จงใจในปักษี | เรานี้จะให้ดั่งปรารถนา |
ชอเชิญพระนุชไคลคลา | เข้ามายังราชธานี |
คำนับตามขนบบุราณราช | ให้เอี่ยมสะอาดทั้งสองกรุงศรี |
อันองค์พี่นางเทวี | เป็นปิ่นนารีองค์ใน |
หนึ่งนางก็มีโอรสา | จะคืนไปพารายังไรได้ |
อนุชาอย่าข้องหมองใจ | ท่านจงไปแจ้งกิจจา ฯ |
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | สองทหารบังคมเหนือเกศา |
ก้มเกล้ากราบทูลพระผ่านฟ้า | ซึ่งพระองค์ตรัสทั้งนี้ |
เหมือนประทานชีพข้าทั้งหลาย | พ้นตายเป็นสุขกระเษมศรี |
เพราะพระเดชเดชาฝ่าธุลี | ให้เย็นเกล้าเกศีสืบไป |
รี้พลเนืองนองทั้งกองทัพ | ข้าน้อยกำชับเหตุใหญ่ |
ยอกรประณมข่มขืนใจ | ทำไปด้วยกลัวพระอาญา |
ข้าน้อยกลับไปครั้งนี้ | จะสูญสิ้นที่มีกังขา |
ค่อยถึงพระเดชเดชา | ถ้วนหน้าสำราญบานใจ ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ยุขันได้ฟังก็ผ่องใส |
จึ่งสั่งมหาเสนาใน | ให้จัดเสื้อผ้ามาประทาน |
แล้วตรัสแก่สองทูตา | ท่านผู้ปรีชายอดทหาร |
จงแจ้งเหตุอนุชาชัยชาญ | ให้งดการไว้สักราตรี |
แล้วเสด็จยุรยาตรคลาไคล | เข้าในปราสาทชัยศรี |
ยื่นสารให้องค์เทวี | บรรยายคดีทั้งปวงไป ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ประวะลิ่มเฉิดโฉมพิสมัย |
รับเอาสารามาทันใด | ทรามวัยพินิจในอักขรา |
แล้วยอกรถวายอภิวันท์ | พระทรงธรรม์จงโปรดเกศา |
อย่าถือโทษโกรธตอบอนุชา | จงตรึกตราให้ชอบท่วงที ฯ |
ฯ ร่าย ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ยุขันสวัสดิ์รัศมี |
จึ่งองค์อัครเทวี | พี่จินดาดั่งนี้นะทรามวัย |
เมื่อพระสุริยาอัสดง | ลดลงลับเหลี่ยมเขาใหญ่ |
พี่จะเหาะไปโดยนภาลัย | เข้าไปถึงที่นิทรา |
จะอุ้มเอาองค์อุรังหงัน | มาปราสาทสุวรรณเลขา |
แม้นมาพบแก้วแววตา | ก็จะคลายโกรธาที่ดึงดัน ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ประวะลิ่มเยาวลักษณ์เฉิดฉัน |
ได้ฟังบัญชาพระทรงธรรม์ | กัลยาทูลไปด้วยปรีดา |
ซึ่งพระองค์ทรงตรัสมาครั้งนี้ | เห็นชอบท่วงทีนักหนา |
แม้นเห็นข้าบาทบริจา | โกรธาก็จะคลายหายไป ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ทั้งสองเสนีเป็นใหญ่ |
ได้ประทานเสื้อผ้าก็ดีใจ | พากันออกไปมิทันนาน ฯ |
ฯ เชิด ๒ คำ ฯ
๏ ครั้นมาถึงนอกทวารไชย | ก็ตรงไปพลับพลาไพศาล |
ถึงจึ่งก้มเกล้ากราบกราน | ทูลพระกุมารทันใด |
ว่ายุขันเรืองฤทธิ์ชาญณรงค์ | พระองค์บัญชาปราศรัย |
ในสุนทรอ่อนหวานเป็นพ้นไป | ว่าจะให้หัสรังสกุณี |
เชิญเสด็จเข้าไปในพระนคร | จะถาวรทั้งสองกรุงศรี |
อันองค์พระธิดานารี | เป็นที่เสนหาอาลัย |
บัดนี้มีราชโอรส | ทรงยศแสนสนิทพิสมัย |
ที่จะกลับคืนเวียงไชย | นานไปจึ่งค่อยจรจรัล ฯ |
ฯ ร่าย ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระโฉมยงทรงนามอุรังหงัน |
ได้ฟังเสนารำพัน | อัดอั้นขัดแค้นแสนทวี |
ดูดูช่างเจรจาได้ | จะให้แต่สกุณปักษี |
จะลวงให้เข้าไปในธานี | ท่าทีนั้นหวังให้เชื่อใจ |
ซึ่งจะให้ประณตบทศรี | สู้ม้วยชีวีตักษัย |
จะทำสงครามกันไป | จะไว้เกียรติให้ลือชา |
จะให้แล้วเพี้ยนผัดกัน | เท่านั้นก็เห็นว่ามุสา |
ล่อลวงน้องไว้ให้เนิ่นช้า | ใช่ว่าใจเราพอเข้าใจ |
เห็นสิ้นเสบียงเลี้ยงพล | หมายจะประจญสู้ได้ |
ก็จะออกเล่นเราพอเข้าใจ | จะละไว้ไยให้เนิ่นช้า |
แล้วสามมหาเสนา | ตรวจเตรียมโยธีซ้ายขวา |
พรุ่งนี้จะยกยาตรา | เข้าล้อมพาราในทันที ฯ |
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | จึ่งมหาเสนาทั้งสี่ |
ก้มเกล้าถวายอัญชุลี | ออกมาจากที่ทันใด |
แล้วจึ่งตริตรึกปรึกษา | ซึ่งจะยกโยธาทัพใหญ่ |
หักโหมโจมตีเอาเวียงไชย | เราเห็นไม่ได้ดั่งจินดา |
พระองค์ผู้ทรงธรณี | ก็มิได้เคืองแค้นแสนสา |
แต่ฝ่ายพระศรีอนุชา | โกรธาดันดึงขึงไป |
แม้นเราจะขืนขัดบัดนี้ | น่าที่ชีวีจะตักษัย |
มิรู้ที่จะคิดประการใด | จนใจทั้งสี่เสนา |
แล้วจัดนายทัพนายกอง | ปิดป้องเกียกกายทั้งซ้ายขวา |
เร่งรัดพหลโยธา | พร้อมตามบัญชาพระภูมี |
เสร็จสรรพก็กลับเข้ามา | ยังหน้าพลับพลาชัยศรี |
ทูลพระโอรสธิบดี | รี้พลพร้อมแล้วพระภูวไนย ฯ |
ฯ ร่าย ๑๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | อุรังหงันรัศมีศรีใส |
ได้ฟังเสนีก็ดีใจ | จึ่งตรัสไปกับขุนโหรา |
จงเร่งหาฤกษ์ฉับไว | เวลาใดจะสำเร็จปรารถนา |
เราจะยกเข้าตีเอาพารา | บอกมาให้แจ้งบัดนี้ ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ขุนโหรรับสั่งใส่เกศี |
จึ่งคูณควรฤกษ์ผานาที | ร้ายดีทั้งปวงประจักษ์ใจ |
ปลอดสิ้นโชคชั้นในการยุทธ์ | หาได้สัประยุทธ์กันไม่ |
แกล้งทำแชเชือนเลือนไป | แก้ไขทูลสนองไปพลัน |
พรุ่งนี้ในเกณฑ์เชิงชัย | ห้ามไว้ยิ่งยวดกวดขัน |
พระองค์จงงดสามวัน | พ้นนั้นหาฤกษ์ดีนัก ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | อุรังหงันฤทธิรงค์ทรงศักดิ์ |
ได้ฟังโหรเฒ่าทายทัก | ไม่แจ้งประจักษ์ในวิญญาณ์ |
จึ่งตรัสแก้ขัดเสนี | พรุ่งนี้เขาห้ามนักหนา |
ครั้นเราจะยกยาตรา | โหราให้งดสามราตรี |
สั่งเสร็จเสด็จจรจรัล | เข้าห้องสุวรรณเรืองศรี |
สถิตเหนือแท่นทิพรูจี | ภูมีสนิทนิทรา ฯ |
ฯ ช้า ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ยุขันเพราเพริศเลิศเวหา |
ครั้นค่ำย่ำแสงสุริยา | ปรีดาชื่นชมภิรมย์ใจ |
จึ่งชำระสระสรงทรงเครื่อง | อร่ามเรืองรัศมีศรีใส |
เรืองรองวิเชียรอำไพ | ภูวไนยเสด็จยังเกยชาลา |
เหาะขึ้นภาคพื้นนภากาศ | ด้วยอำนาจวิเชียรปักษา |
เครื่องประดับจับแสงจันทรา | เรืองระยับจับฟ้าในราตรี ฯ |
ฯ เชิดฉิ่ง ๖ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงสุวรรณพลับพลา | เห็นพลโยธาอึงมี่ |
กองร้อยคอยเหตุไพรี | รายอยู่หน้าที่แน่นนันต์ |
นั่งยามตามไฟเหล่าตระเวน | กะเกณฑ์จะยกทัพขันธ์ |
เลื่อนลอยอยู่ในเมฆัน | พระทรงธรรม์เล็งลอดทัศนา |
ครั้นแจ้งสำคัญมั่นหมาย | จึ่งผันผายลงจากพระเวหา |
หยุดยืนยังพื้นพสุธา | ร่ายเวทคาถาเป่าไป |
อันเหล่าเสนีรี้พล | บ้างหลับบ้างกรนในทัพใหญ่ |
องอาจยุรยาตรคลาไคล | เข้าไปถึงแท่นไสยา ฯ |
ฯ ฉุยฉาย ๘ คำ ฯ
๏ พระรูดม่านสุวรรณอันบรรจง | เห็นองค์อุรังหงันขนิษฐา |
บรรทมหลับสนิทนิทรา | ทรงโฉมโสภาจำเริญใจ |
จึ่งช้อนอุ้มองค์อนุชา | จะฟื้นกายาก็หาไม่ |
ออกจากพลับพลาพลันทันใด | เหาะไปอิทธิฤทธา ฯ |
ฯ เชิด ๔ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงจึ่งเลื่อนลดลง | เกยสุวรรณบรรจงเลขา |
เข้าไปปราสาทแก้วแววฟ้า | สถิตแท่นรจนาอำไพ ฯ |
ฯ เพลง ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ประวะลิ่มเยาวลักษณ์พิสมัย |
ครั้นเห็นอนุชาชาญชัย | มิได้ฟั่นเฟือนกายา |
นางสวมสอดกอดองค์น้องรัก | นานนักมิได้เห็นหน้า |
จนจำเริญวัยวัฒนา | อนิจจาถึงพบดวงใจ |
ว่าพลางนางทรงโศกา | ชลนาแถวถั่งหลั่งไหล |
แสนโศกวิโยคอาลัย | อรไทไม่เป็นสมประดี ฯ |
ฯ โอด ๖ คำ ฯ
๏ ครั้นค่อยเคลื่อนคลายหายเทวษ | อัคเรศประณตบทศรี |
จึ่งทูลพระทรงธรรม์พันปี | จงคลี่คลายพระเวทเรืองไชย ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ยุขันรัศมีศรีใส |
จึ่งอ่านพระเวททันใด | บังเหลื่อมให้หายกายา ฯ |
ฯ ตระ ๒ คำ ฯ
๏ นั่งอยู่ร่วมแท่นทองทรง | แอบองค์วรนุชเสนหา |
แต่ไม่ให้เห็นกายา | แล้วให้อนุชาตื่นพลัน ฯ |
ฯ ช้า ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | จึ่งพระโฉมยงอุรังหงัน |
หลับสนิทนิทราวิลาวัณย์ | ยุขันคลายเวทก็ฟื้นองค์ |
ลืมเนตรก็เห็นวิปริต | สะดุ้งจิตคะนึงตะลึงหลง |
ผุดลุกขึ้นเหลียวเวียนองค์ | เห็นอนงค์พี่นางไม่วันทา |
แค้นนักจักวิ่งไปให้พ้น | นิรมลฉวยกรขนิษฐา |
ฉุดชักผลักไสกันไปมา | พระเชษฐาก็พลอยวุ่นไป |
เข้าช่วยนวลน้องทั้งสองศรี | มิให้อนุชาออกไปได้ |
อุรังหงันกริ้วโกรธพิโรธใจ | ผลักไสพี่นางพัลวัน |
มายุดฉุดคร่าไว้ว่าไร | วางข้าจะไปขมีขมัน |
มาทำข่มเหงไปเกรงกัน | ใครหนอขยันเอาเรามา ฯ |
ฯ ร่าย ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | โฉมนางประวะลิ่มเสนหา |
จึ่งปลอบพระศรีอนุชา | แก้วตาของพี่คือดวงใจ |
พี่นี้รำลึกถึงเจ้านัก | น้องรักหาคิดถึงพี่ไม่ |
เห็นพักตร์น้องรักพี่ดีใจ | ดั่งม้วยบรรลัยแล้วเป็นมา |
พี่น้องจะได้เห็นหน้ากัน | ขวัญข้าวผู้ยอดเสนหา |
ไปนั่งยังแท่นรจนา | พี่ยาจะเล่าให้เข้าใจ |
พระเชษฐาไปอุ้มเหาะมา | ด้วยความเสนหาพิสมัย |
น้องรักจงระงับดับใจ | เหมือนพระได้เอ็นดูพี่ยา ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | อุรังหงันฤทธิไกรใจกล้า |
ได้ฟังคั่งแค้นในวิญญาณ์ | จึ่งกล่าววาจาตอบไป |
บัดนี้พระชนกชนนี | ให้มารับพระพี่ไปกรุงใหญ่ |
กับหัสรังสีอำไพ | จะคิดอ่านเป็นไฉนให้ว่ามา |
น้องจะกลับคืนไปกระไรได้ | จะสู้ม้วยบรรลัยเสียดีกว่า |
ซึ่งสามีทรงอิทธิฤทธา | มาฆ่าน้องเสียเถิดให้บรรลัย |
ครั้งหนึ่งก็ไปในพลับพลา | เอาสุคนธ์ชโลมทาทั้งหลับไหล |
ครั้งนี้ไปพาเอามาไว้ | แล้วไปอยู่ไหนไม่เห็นตัว ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ประวะลิ่มนิ่มเนื้อนวลหง |
จึ่งปลอบอนุชาโฉมยง | พ่ออย่าทรงโศกโศกา |
ซึ่งเจ้าจะประสงค์จงใจ | จะให้ตามความปรารถนา |
เป็นไรไม่เห็นพระพี่ยา | ใครเล่ายุดคร่าเอาเจ้าไว้ |
น้องรักอย่าพูดหยาบช้า | พระเชษฐาเสด็จอยู่ใกล้ใกล้ |
จงงอนง้อขอโทษพระทรงไชย | อย่าให้เคืองขัดพระอัชฌา ฯ |
ฯ ร่าย ๖ คำ ฯ
เนื้อความในบทละครนอกเรื่อง ยุขัน ตามที่ปรากฏในสมุดไทย
ฉบับพิมพ์ครั้งแรก จบเพียงเท่านี้
บทละครนอกเรื่อง ยุขัน ยังมีต่อไปอีกประมาณ ๓ เล่มสมุดไทย เนื้อความโดยรวมกล่าวถึงยุขันจัดเตรียมเครื่องบรรณาการไปแทนคุณพระฤๅษี และเดินทางไปกราบพระศพพระบิดาที่เมืองอุรังยิด