๗
๏ มาจะกล่าวบทไป | ถึงสองเฒ่าเฝ้าสวนบุหงา |
ขององค์พระราชธิดา | เคหาอยู่ในสวนมาลี |
ได้ยินเสียงสั่นต้นไม้ | ยายร้องออกไปอึงมี่ |
ใครเหวยมาเก็บมาลี | เรียกตามานี่จงฉับไว |
มันสอยเสียดิบดิบสุกสุก | ช่วยกันจับใส่คุกให้จงได้ |
ว่าพลางทางบ่นบ้าไป | เข้าในเรือนคิดปลายเบี้ยกัน ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ทั้งสองพระกุมารเฉิดฉัน |
ได้ยินยายว่าไปฉับพลัน | ชวนกันแอบดูยายตา |
เห็นผัวเมียนั่งคิดปลายเบี้ยกัน | ยุขันจึ่งเดินเข้าไปหา |
พาทีธิบายแก่ยายตา | อยู่รักษาสวนนี้ฤๅท่านยาย ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ยายตาสองคนฉงนฉงาย |
ดูพลางทางหมอบยอบกาย | ก้มเกล้ากราบถวายบังคมคัล |
คิดว่าหน่อท้าวอุเรเซน | เสด็จออกมาเล่นสวนขวัญ |
มิอาจทูลได้ให้งกงัน | ปากสั่นคอสั่นงุบงิบไป ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ยุขันยิ้มแย้มแจ่มใส |
จึ่งว่ายายตาอย่าขามใจ | ตัวข้ามิได้อยู่เมืองนี้ |
พี่น้องสัญจรมาแต่ไกล | บอกเล่าเหตุให้ถ้วนถี่ |
ขออยู่อาศัยสักราตรี | มีคุณข้านี้อย่าตัดใจ |
จะขอถามท่านตายายด้วยสวนนี้ | ของเจ้าบูรีฤๅไฉน |
จริงหรือเขาเล่าลือไป | ว่ามีมโหรสพในธานี ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | สองเฒ่าได้ฟังพระโฉมศรี |
จึ่งบอกไปพลันทันที | สวนนี้ขององค์พระธิดา |
บุตรีท่านท้าวอุเรเซน | เคยเสด็จมาเล่นชมบุหงา |
ชื่อองค์ประวะลิ่มโสภา | ลือชาปรากฏทุกบูรี |
บัดนี้พระบิดาให้นกนาง | ขนนั้นพันอย่างต่างสี |
สั่งให้สมโภชเจ็ดราตรี | กำหนดวันนี้จะเสร็จการ |
จะดูเล่นฤๅตาจะพาไป | ยังในนิเวศราชฐาน |
เที่ยวดูเล่นให้จบโรงงาน | ซึ่งการมโหรสพในพารา ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ยุขันเฉิดโฉมเสนหา |
ได้ฟังสองเฒ่ากล่าวมา | คิดถวิลจินดาในพระทัย |
จำกูจะไปกับตา | จึ่งจะเห็นปักษาในกรงใหญ่ |
ทั้งองค์พระธิดายาใจ | เขาลือข่าวไปทุกพารา |
ว่าทรงโฉมประโลมลานสวาดิ | เป็นเจ้าของราชปักษา |
คิดแล้วจึ่งมีวาจา | ว่าไปกับตาทันใด ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ ตาเจ้า | หลานจะไปกระนี้เล่าก็มิได้ |
จำจะแปลงเป็นชาวเวียงไชย | บัดใจชวนน้องให้แต่งองค์ |
เปลื้องเครื่องประดับสำหรับมา | แล่งธนูภูษาอันสูงส่ง |
มอบยายรักษาให้มั่นคง | สององค์แปลงเป็นกระฎุมพี ฯ |
ฯ ชมตลาด ๔ คำ ฯ
๏ ทรงผ้าโพกเวียนเศียรเกล้า | ทัดอุบะเพริศเพราห่มผ้าสี |
เช็ดหน้าติดขลิบดิบดี | จับศรีผิวขำจำเริญตา |
สองทรงภูษิตเพริศพราย | เครือสุวรรณเลื่อมลายเลขา |
รัดองค์บรรจงอลงการ์ | ภูษาทรงขลิบชื่นชม |
ธำมรงค์ทรงเพชรอันมีค่า | เพ่งพิศติดตางามสม |
เหน็บกฤชฤทธิ์เรืองอาคม | ทรงกระบี่ฝักกลมน่าเอ็นดู |
สององค์งามทรงงามศักดิ์ | ทั้งในไตรจักรไม่มีคู่ |
สตรีใดได้เห็นก็หยุดดู | พิศทรงโฉมไม่วางตา ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ สององค์ทรงเครื่องเสร็จแล้ว | คลาดแคล้วลงจากเคหา |
ตาพาเข้าไปในพารา | ชมฝูงแม่ค้าอยู่ก่ายกอง |
ชาวเมืองแต่งเครื่องขายงาน | ประกวดกันนั่งร้านเป็นแถวถ่อง |
ลางนางบ้างใส่แหวนทอง | สาวสาวพักตร์ผ่องเพียงจันทร์ |
เรียงร้านสองแถวแนวสนาม | งามงามดั่งแกล้งเลือกสรร |
บ้างแต่งตัวโอ้อวดประกวดกัน | แกล้งกลั่นห้อยบุหงาหน้าร้าน |
บ้างขายเครื่องถมเครื่องทอง | เรืองรองรจนาทั้งหน้าบ้าน |
บ้างแลเห็นองค์กุมาร | รูปทรงส่งสถานพึงใจ |
บ้างถามว่าบ่าวน้อยทั้งสอง | เคหาบ้านช่องนั้นอยู่ไหน |
บ้างวิ่งตามดูพระภูวไนย | สาวแก่แม่ม่ายก็ตามมา ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ตามะหะหรี่ดีใจได้หน้า |
ใครเรียกไม่หยุดเจรจา | ทำแต่พยักหน้าแล้วเดินไป |
เดินชายรายดูมโหรสพ | เที่ยวจบจนโขนโรงใหญ่ |
หุ่นลาวหุ่นมอญละครไทย | แทงวิสัยไต่ลวดสูงลอย |
ลอดบ่วงโผนเผ่น | หกคะเมนเล่นตัวหัวห้อย |
มวยปลํ้ารำตะบองมองคอย | บ้างชกตีตบต่อยกันมี่ไป |
ตาจึ่งว่าแก่สองกุมาร | จะดูงานนอกนี้หาดีไม่ |
ว่าแล้วชวนกันเข้าชั้นใน | พาสององค์ไปให้ใกล้ชิด |
หวังจะดูเล่นกลคนขยัน | สารพันเล่นประจักษ์ศักดิ์สิทธิ์ |
บั่นเกล้าสาวไส้คนคิด | หัวขาดกลับติดเข้าทันใด |
เล่นกลกลเม็ดไม่เข็ดขาม | ที่หน้าท้องสนามใหญ่ |
พระองค์ทรงประทับพลับพลาไชย | ขุนนางน้อยใหญ่พร้อมกัน ฯ |
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ยุขันเพราเพริศเฉิดฉัน |
ตาพามาหน้าพลับพลาพลัน | พระทรงธรรม์ชื่นชมยินดี |
พระมิได้ดูการทั้งนั้น | มุ่งมั่นจะใคร่เห็นนางโฉมศรี |
พระเนตรส่ายสอดหานางเทวี | กับหัสรังสีที่สำคัญ |
เหลือบแลแปรพักตร์ขึ้นไปเห็น | องค์ท้าวอุเรเซนรังสรรค์ |
บุญญาอานุภาพครามครัน | ทรงธรรม์พิศดูไม่วางตา |
คิดถึงพระชนกชนนี | ป่านนี้จะละห้อยคอยหา |
อัสสุชลคลอครองนองนัยนา | พระอตส่าห์ระงับดับใจ |
แล้วแลไปเห็นกรงแก้ว | งานประเสริฐเพริศแพร้วจะมีไหน |
ประดับด้วยฉัตรจรงค์ธงไชย | วางไว้ตรงพักตร์เจ้าธานี |
ตาเอ๋ยนั่นฤๅคือวิหค | ชื่อว่านกหัสรังสี |
ในนั้นที่กันมู่ลี่ดี | ษัตรีอยู่ฤๅประการใดฯ |
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ตามะหะหรี่จึ่งตอบแถลงไข |
นั่นแหละกรงแก้วอำไพ | ใส่หัสรังสีสกุณา |
หลานรักอย่าชี้ขึ้นไป | กลัวภัยพระบรมนาถา |
มู่ลี่กันนั้นอัครไฉยา | ที่ลายถัดมานั้นเจ้าเรา |
คือองค์ประวะลิ่มโสภา | ทรงเบญจ์กัลยาโฉมเฉลา |
นั่นองค์อนุชาเพริศเพรา | ยังเยาว์เลิศลํ้าอำไพ ฯ |
ฯ ร่าย ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ยุขันได้ฟังก็ผ่องใส |
รู้แน่ตระหนักประจักษ์ใจ | ดูนางมิได้วางตา |
ให้ก่อเกิดฤดีมีกำหนัด | ประหวัดไปในความเสนหา |
ให้ผูกจิตคิดเคลิ้มวิญญาณ์ | ว่าเป็นเพลงขับขึ้นไป ฯ |
ฯ พัดชา ๔ คำ ฯ
๏ โอ้ดวงยิหวาน่ารัก | พี่ดูนางหาเห็นประจักษ์ไม่ |
แค้นด้วยมู่ลี่บังพี่ไว้ | ทำไฉนจะได้สมอารมณ์เอย ฯ |
ฯ ร่าย ๒ คำ ฯ
๏ ตาจับกรสั่นเข้าทันที | ร้องอะไรกระนี้นะหลานเอ๋ย |
โอ้ลืมแล้วตาปากข้าเคย | ตาเอยร้องเล่นจะเป็นไร |
แต่ปากพระหากเสสรวล | เสนหารัญจวนครวญใคร่ |
พระหัตถ์ประสานบ่านุชาไว้ | พลาดพลัดตกไปไม่รู้ตัว |
เห็นโฉมศรีเจ้าแหวกมู่ลี่มอง | เออกระนั้นบ้างน้องจะยังชั่ว |
ไม่หักซี่มู่ลี่ให้ตรงตัว | เจ้ากลัวพี่จะดูฤๅดวงใจ |
เห็นแต่ดวงเนตรเจ้าดำขลับ | คือพลอยนิลระยับแสงใส |
แวววับจับจิตอยู่ตรึงใจ | อาลัยไม่เป็นสมประดี |
พิศดูขนงดั่งวงวาด | พิศโอษฐ์ดั่งชาดเฉลิมศรี |
สมบูรณ์พูนสวัสดิ์กระษัตรี | ชายเนตรมาข้างนี้ให้พี่เชย |
แค้นด้วยเสียงคนอยู่อึงมี่ | กลบสุรเสียงพี่นะน้องเอ๋ย |
ยังจะแว่วถึงแก้วนะทรามเชย | ทำไฉนดีเอยจะแลมา ฯ |
ฯ ร่าย ๑๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | โฉมนางประวะลิ่มเสนหา |
อยู่ในสุวรรณพลับพลา | กับพี่เลี้ยงซ้ายขวาพระกำนัล |
เจ้าค่อยแหวกซี่มู่ลี่ทอง | ชายนัยนามองแปรผัน |
พอสบเนตรต่อพระทรงธรรม์ | นางผันพักตร์เสียทันใด ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ยุขันยิ่งคิดพิสมัย |
เห็นนางผินผันทันใด | ชะรอยเจ้าสงสัยเป็นมั่นคง |
จำจะให้น้องแจ้งกิจจา | ว่าเราเป็นกษัตราสูงส่ง |
จึ่งชักซ่าโบะขึ้นป้ององค์ | กรีดนิ้วธำมรงค์ตรัสไตร |
แสงนั้นสอดส่องต้องเนตร | อัคเรศไม่รอต่อได้ |
รุ่งปลาบวาบวับจับใจ | ดั่งแสงสุริย์ใสต้องนัยนา ฯ |
ฯ ร่าย ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ประวะลิ่มนิ่มนวลเสนหา |
นางชายนัยน์เนตรชำเลืองมา | ต้องแสงพระมหาธำมรงค์ |
ยับยับมาจับนัยนา | กัลยาเร่งคิดพิศวง |
น่าจะเป็นหน่อเนื้อเชื้อวงศ์ | เผ่าพงศ์กระษัตริย์ขัตติยา |
หวังจะให้เราประจักษ์ศักดิ์ | จึ่งแกล้งชักซ่าโบะปิดอังสา |
ให้เราเห็นธำมรงค์ที่ทรงมา | เสนหารัญจวนป่วนใจ |
เห็นทีจะมาอาศัยสวน | ตาชวนมาดูเล่นฤๅไฉน |
เห็นตาคร่าเอามือไป | พิศดูภูวไนยไม่วางตา ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ยุขันเฉิดโฉมเสนหา |
ครั้นเห็นนางทอดทัศนา | พระราชากระสันรัญจวน |
ว่าเป็นเพลงขับขึ้นทันใด | ภูวไนยละห้อยไห้หวน |
โอ้นุชสุดสวาดินาฏนวล | พระอาทิตย์ก็จวนอัสดง |
ทำไฉนจะได้ชมสายสมร | จะร้างจรแรมนุชสุดประสงค์ |
ถึงพี่จะวายชีพปลดปลง | ก็มิได้จากอนงค์ไปเอย |
ลิขิตยืนชิดสะกิดพี่ | ยุขันได้สมประดีก็ทำเฉย |
ผู้ใดมิได้สงสัยเลย | ทำเป็นปากเคยว่าไป ฯ |
ฯ จำปาทองเทศ ฯ
๏ บัดนั้น | ตามะหะหรี่มาลัยไม่อยู่ได้ |
พระอาทิตย์อัสดงลงไรไร | เตือนพระภูวไนยให้ไคลคลา |
มาไปเถิดนะหลานน้อย | ยายเฒ่าจะคอยบ่นหา |
เกลือกจะมีคนรู้มันจู่มา | เก็บเอาผ้าผ่อนไปพ้นทุกข์ ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ตาเอ๋ยตาเจ้า | หลานยังจะดูเขาคราวสนุก |
ยังวันอยู่หนาตาอย่าเป็นทุกข์ | ดูให้เป็นสุขจึ่งไคลคลา |
นัยน์เนตรไม่วางนางโฉมยง | สไบเลื่อนตกลงจากอังสา |
พระมิได้รู้สึกกายา | ตาเรียกจะพาไปอุทยาน |
พระพี่น้องบิดพลิ้วมิใคร่มา | ตาโกรธโกรธางุ่นง่าน |
จับเอาข้อมือสองกุมาร | ตาเฒ่ารุกรานแล้วพามา |
ครั้นออกมาพ้นโรงงาน | ตาแลดูหลานผู้เชษฐา |
ไม่เห็นสไบให้สงกา | หยุดอยู่แล้วมีวาจาไป |
เป็นไฉนฉะนี้นะหลานขวัญ | ซ่าโบะเจ้านั้นไปไหน |
โฉมยงองค์ยุขันจึ่งว่าไป | ตกเสียเมื่อไรข้าไม่รู้ |
ข้าจะกลับไปหาผ้าสไบ | ตาอย่าเพ่อไปจงคอยอยู่ |
ว่าแล้วจึ่งพระโฉมตรู | เสด็จยุรยาตรคลาไคล |
ครั้นเข้าไปถึงหน้าพลับพลา | จะสืบสาวหาผ้าก็หาไม่ |
พระเนตรแลเล็งเพ่งไป | ภูวไนยขับอ้างนางเทวี ฯ |
ฯ สมิงทองมอญ ๑๔ คำ ฯ
๏ โอ้เจ้าพุ่มพวงดวงยิหวา | พี่ยาจะจากมารศรี |
นิ่มน้อยเจ้าค่อยอยู่จงดี | พี่จะลายายีแล้วดวงใจ |
ถึงตัวพี่ไปใจชมน้อง | นวลละอองอย่าเศร้าสร้อยละห้อยไห้ |
พี่รักนางพ่างเพียงจะขาดใจ | จะจากไปฉันใดนะแก้วตา ฯ |
ฯ ร่าย ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | จึ่งเจ้าลิขิตขนิษฐา |
ตามเข้าไปพบพระพี่ยา | กอดเสาว่าเพลงขับไป |
จึ่งจับเอากรพระเชษฐา | ตาคอยหนักหนาช่างนิ่งได้ |
กุมกรพี่ยาคว้าไป | ตาพาคลาไคลไปตามทาง ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ยุขันโศกเศร้าไม่เสื่อมสร่าง |
เดินไปใจคิดไม่วายวาง | พระเนตรดูนางติดตามา |
โอ้ยอดดวงใจมาไกลพี่ | เรียมเหลียวพ้นที่จะแลหา |
ยิ่งแลยิ่งลับนัยนา | คิดมาก็น่าสงสารใจ |
แค้นเจ้าลิขิตน้องรัก | จะรีบด่วนชวนชักไปข้างไหน |
เจ็บใจด้วยตามาลัย | ทั้งสองนี้ไซร้เป็นเจ้ากรรม |
ความแค้นทั้งนี้ก็ยกไว้ | แค้นด้วยสุริย์ใสมาตกต่ำ |
อัสดงลงไปให้ใกล้ค่ำ | เป็นกรรมพี่แล้วนะทรามวัย |
อันพี่นี้พิศวาสนาง | จะเห็นอกพี่บ้างฤๅหาไม่ |
ความรักประจักษ์อยู่ในใจ | พระไปจนถึงอุทยาน ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ยายมาลาโกรธาอยู่งุ่นง่าน |
เออกระนี้มิเสียทีไปดูงาน | ทำไมซมซานมาปานนี้ |
อยู่จนเที่ยงคืนก็เป็นไร | ข้าไทไม่ตรึกที่สวนศรี |
หัวหงอกเสียเปล่าเฒ่าอัปรีย์ | ข้าวปลาตามทีจะหุงกิน |
ไม่ทำไม่หาไว้ท่าใคร | ทำไว้แต่พอโฉมฉิน |
ไอ้เฒ่ากินเหล้ามารวยริน | ยังหอมกลิ่นนั้นติดตัวมา |
ดูดูอีเฒ่าใส่ความกู | ข้าอยู่ด้วยหลานนั้นไม่ว่า |
จะเตือนเท่าไรไม่ไคลคลา | ปากกล้าว่าเปล่าเปล่าเฒ่าจังไร ฯ |
ฯ ร่าย ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ยุขันเฉิดโฉมพิสมัย |
จึ่งว่าแก่ยายไปทันใด | ตานั้นมิได้เมามาย |
ช้าอยู่ด้วยหลานดอกยายเอ๋ย | ไม่เคยเห็นเขาเล่นกลถวาย |
แล้วชักชวนพาทีธิบาย | ปลอบยายให้ดีด้วยกันไป |
ยายแต่งโภชนาอาหาร | สิ่งของตระการออกมาให้ |
ปรนนิบัติประกอบให้ชอบใจ | ผลหมากรากไม้นานา |
ครั้นสององค์เสวยแล้วพลัน | ยายตาชวนกันปรึกษา |
ครั้นเราจะให้เจ้าไสยา | ที่กระท่อมเคหาไม่สมควร |
เธอเป็นกระษัตริย์สุริย์วงศ์ | สถิตแท่นทองทรงกระเษมสรวล |
ให้ประทมตำหนักจึ่งจักควร | ว่าแล้วเชิญชวนพระองค์ไป |
ครั้นถึงตำหนักชัชวาล | ให้สองพระกุมารอยู่อาศัย |
ขอเชิญบรรทมภิรมย์ใน | ให้สำราญพระทัยทั้งสองรา |
แล้วลาพระกุมารชาญชัย | ตายายกลับไปยังเคหา |
เก็บเฝ้าเครื่องทรงอลงการ์ | ยายตาไม่เป็นอันหลับนอน ฯ |
ฯ ช้า ๑๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ยุขันชาญณรงค์ทรงศร |
กับเจ้าลิขิตฤทธิรอน | บรรทมปัจถรณ์ตำหนักจันทร์ |
แต่ปฐมยามหนึ่งถึงยามสอง | พระคะนึงถึงน้องใฝ่ฝัน |
กรก่ายพักตราจาบัลย์ | ฤทัยไหวหวั่นถึงเทวี |
โอ้ประวะลิ่มรักของเรียมเอ๋ย | ไม่เห็นอกเรียมเลยนางโฉมศรี |
เจ้าดวงยิหวาไม่ปรานี | ให้พี่มานอนเดียวเปลี่ยวใจ |
เขาหลวงทับทรวงไม่หนักนัก | เห็นพอจะพลิกผลักได้ |
นี่หนักอกยิ่งกว่ายกเมรุไตร | ด้วยทรามวัยไม่เห็นในอุรา |
เมื่อไรพี่จะได้แนบชิด | เชยชมสมสนิทเสนหา |
ให้อักอ่วนครวญใคร่ไปมา | พระมิได้นิทราในราตรี ฯ |
ฯ ร่าย ๑๐ คำ ฯ
๏ แต่พลิกกลับสับสนทุรนร้อน | อาวรณ์ถึงองค์มารศรี |
พระสะท้อนถอนใจไม่สมประดี | อยู่ในแท่นที่ศรีไสยา |
แล้วพระแลลับคลับคล้าย | เจ้ามาตามพี่ชายกระมังหนา |
พระค่อยเคลื่อนองค์ลงมา | เห็นพฤกษาสำคัญว่าเทวี |
มาแล้วแก้วตาอย่าอายจิต | เชิญไปนิทราบนแท่นที่ |
พระยื่นหัตถ์รับขวัญทันที | สมประดีสำคัญว่ามั่นคง |
ด้วยความเสนหาตรึงใจ | พระมิได้พินิจพิศวง |
มานี่เถิดพี่จะอุ้มองค์ | พระหลงคว้ากิ่งแก้วว่ากรนาง |
ต่อฉวยได้แล้วพระจึ่งรู้ | เอะผิดแล้วกูฤๅผีสาง |
พระวางกรอ่อนช้าสารพางค์ | พ่างเพียงสิ้นสมปฤๅดี |
ให้ละล่ำละลักชักกฤชเพชร | ฉะกิ่งแก้วเด็ดลงกับที่ |
จึ่งรู้ว่ามิใช่นางเทวี | พระกลับมาเข้าที่แล้วรัญจวน |
ให้เร่าร้อนเหมือนนอนในกองไฟ | เคืองขุ่นไม่วายกระหายหวน |
คิดถึงประวะลิ่มนิ่มนวล | ครวญพลางทางม่อยหลับไป ฯ |
ฯ ๑๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท่านท้าวอุเรเซนเป็นใหญ่ |
พระแสนเบิกบานสำราญใจ | ด้วยได้นักเลงกลดนตรี |
เล่นจนสุริย์ศรีลีลาศ | ลับเหลี่ยมเมรุมาศคีรีศรี |
พระองค์ผู้ทรงธรณี | เสด็จยังปรางค์ศรีพิมานจันทร์ |
พร้อมด้วยองค์อัครมเหสี | ทั้งราชบุตรีแลสาวสรร |
เป็นบรมผาสุกทุกนิรันดร์ | ดั่งเสวยสวรรค์ในชั้นอินทร์ ฯ |
ฯ ช้า ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | โฉมประวะลิ่มเลิศเฉิดฉิน |
เสด็จยังมณเฑียรเทพินทร์ | ให้อาวรณ์ถวิลจินดา |
แสนคะนึงถึงองค์พระทรงโฉม | มาประโลมในความเสนหา |
ทอดองค์ลงกับที่ไสยา | ตรึกตราสะท้อนถอนใจ |
ในจิตนั้นคิดเพิ่มพูน | ตั้งเป็นเค้ามูลพิสมัย |
ดั่งจะแว่วเห็นองค์ทรงไชย | มาในแท่นที่พระบรรทม |
ใจนางกระสันมั่นหมาย | หลงอายคว้าหยิบภูษาห่ม |
ไม่เห็นแนบชิดจิตเตรียมตรม | อารมณ์เศร้าสร้อยละห้อยใจ ฯ |
ฯ โอ้ ๘ คำ ฯ
๏ โอ้พระโฉมยงทรงสวัสดิ์ | เลิศล้ำกระษัตริย์ในตํ่าใต้ |
น้องรักอยากใคร่ประจักษ์ใจ | พระอยู่ด้าวแดนใดมาดูงาน |
ฤๅเป็นเจ้าบุรินทร์ปิ่นสุธา | เสียซึ่งพาราราชฐาน |
แม้นมิเกรงบิตุเรศชนมาน | จะไปฟังเหตุการณ์พระโฉมตรู |
ไม่รู้ว่าพระองค์มาอาศัย | ใกล้ไกลถึงไหนที่ไปอยู่ |
แม้นว่าผู้ใดมาล่วงรู้ | ให้คิดอดสูเป็นพ้นไป |
อนิจจาอกเอ๋ยเป็นวิบาก | สุดจะออกปากได้ |
ความรักมาสกัดดวงใจ | แต่อักอ่วนครวญใคร่ในไสยา ฯ |
ฯ ร่าย ๘ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | จึ่งพระพี่เลี้ยงสันหยา |
อยู่งานพัดองค์พระธิดา | เห็นกัลยาไม่สบายฤทัย |
ไม่สรงไม่เล่นด้วยสาวศรี | ตรงมาเข้าที่ทอดใจใหญ่ |
นางรู้แยบคายภายใน | จึ่งไปด้วยใจภักดี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ แม่เอยแม่เจ้า | เป็นไรจึ่งเศร้าหมองศรี |
จะประสงค์สิ่งใดนางเทวี | มารศรีจงเล่าให้พี่ฟัง ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ พี่เอยพี่เจ้า | ให้ร้อนเร่าใจน้องจะคลุ้มคลั่ง |
สุดที่น้องจะเล่าให้พี่ฟัง | ดั่งน้องมิใช่สตรีเลย |
ถึงมิเล่าน้องเห็นจะเข้าใจ | อย่าไถลเอาทีนะพี่เอ๋ย |
ใครจะช่วยน้องได้ไม่มีเลย | แล้วเถิดพี่เอยเซ้าซี้ไย ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เจ้าเอยเจ้าพี่ | ยังนี้ฤๅจะไว้ใจได้ |
มิพอใจให้รู้ก็แล้วไป | จะนับอะไรกับข้านี้ |
ถ้าแม่จะเล่าเนื้อความ | กับพี่เลี้ยงทั้งสามก็ควรที่ |
ข้าคนเขลาจะเล่าก็เสียที | ด้วยเทวีไม่ไว้วางใจ ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ประวะลิ่มจึ่งตอบเฉลยไข |
พี่พูดซิว่าไม่เข้าใจ | กระนั้นไซร้แล้วน้องไม่เจรจา |
ถ้าพี่รู้จริงจึ่งจะวิงวอน | นี่ค่อนเสกสรรรำพันว่า |
กระนี้ฤๅพี่ว่าเมตตา | อย่าว่าไปเลยไม่ฟังแล้ว ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ น่าเอยน่าสรวล | ด้วยโฉมนิ่มนวลน้องแก้ว |
พี่เห็นรางรางแววแวว | ครั้นจะประสมแล้วกลัวผิดไป |
ฝ่ายน้องซิว่าไม่เจรจา | เชิญไสยาเถิดจะกล่อมให้ |
บรรทมง่ายง่ายสบายใจ | พี่จะได้นอนบ้างให้สำราญ |
โอ้เจ้าพี่เอ๋ยบรรทมไป | พี่จะขับกล่อมให้กระเษมสานต์ |
.............................. | ..............................[๑] |
ฯ กล่อม พัดชา ๖ คำ ฯ
.............................. | ..............................[๒] |
แต่ปางก่อนยังมีนิทาน | พระกุมารองค์หนึ่งสัญจรมา |
ทรงโฉมประโลมวิไลโลกย์ | ใครเห็นก็โศกเศร้าหา |
มายืนแลลอดสอดตา | ดวงพักตร์ลักขณาน่าพึงใจ |
หนุ่มน้อยแช่มช้อยโสภา | ชายทั้งโลกาไม่เปรียบได้ |
ทรามสงวนไม่ควรสตรีใด | ร่วมพิสมัยกับน้องยา |
สมศรีสมศักดิ์สมทรง | กับองค์เยาวยอดเสนหา |
ทรงโฉมประโลมวิญญาณ์ | ได้มาแนบขนิษฐาพี่ดีใจ |
จะร่วมรู้ชูช่วยให้สมคิด | จะป้องปิดมิให้มีใครสงสัย |
จะชมโฉมสองงามทรามวัย | ให้อิ่มตาอิ่มใจทุกเพลา |
เป็นพยาธิฤๅจะมาพลางหมอ | ข้าน่าหัวร่อให้นักหนา |
สำเภาแต่งไว้จะไปค้า | ไม่ชักใบไหนจะมาเปลืองทาง |
แต่จอดทอดประทับอยู่กับฝั่ง | จะผุพังเสียเปล่าป่วยการสร้าง |
เมื่อจะแล่นไปใบไม่กาง | เห็นจะค้างเสียเปล่าสำเภา ฯ |
ฯ ร่าย ๑๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ประวะลิ่มผู้เฉิดโฉมเฉลา |
ได้ฟังพี่เลี้ยงนงเยาว์ | ค่อยบรรเทาเร่าร้อนในวิญญาณ์ |
พี่เจ้าของน้องผู้ร่วมใจ | ปิ่มจะนับดาวได้ในเวหา |
มิเคยเลยพี่เอ๋ยจะเจรจา | จะว่าก็คิดอดสูใจ |
ไหนเล่าพี่เจ้าว่าไม่รู้ | เอ็นดูน้องด้วยช่วยแก้ไข |
จะให้น้องรักนี้ชักใบ | น้องกลัวลมใหญ่จะพัดพา |
จะอับปางเสียที่กลางทะเลหลวง | จะไม่ล่วงถึงฝั่งกระมังหนา |
ทั้งนี้สุดแต่พี่จะเมตตา | น้องจะพึ่งปัญญาพี่สืบไป |
พี่เป็นต้นหนคนท้าย | จะชักลายลดเลี้ยวแล่นได้ |
น้องจะเป็นแต่ลำสำเภาไชย | การไว้ธุระพี่ทุกสิ่งอัน ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ ครั้งเอยครั้งนี้ | พี่จะรับอาสาแม่สาวสวรรค์ |
ถ้าบุญก็จะไม่แคล้วกัน | สำคัญจะได้เพราะยายตา |
เพลาบ่ายเห็นยายจะมาเฝ้า | เราจะได้แจ้งใจไม่กังขา |
เชิญบรรทมให้สำราญวิญญาณ์ | พักตราจะหมองละอองนวล |
ปรึกษากันพลางทางสัพยอก | ยิ้มหยอกปรีดิ์เปรมกระเษมสรวล |
เวียนลุกเวียนนั่งตั้งใจครวญ | ปั่นป่วนถึงองค์พระภูวไนย ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ