๑๙
๏ เมื่อนั้น | ท้าวปะรังหนีมาในป่าใหญ่ |
กับมุนีหนีซุกบุกไพร | หนามน่ายไม่ปลิดติดเต็มมา |
พอค่ำย่ำสนธยากาล | พรัดกันกับอาจารย์ที่ในป่า |
แต่พระองค์เดียวเลี้ยวลัดมา | เข้าในพาราพระเวียงไชย |
ผู้คนทั้งนั้นไม่ทันรู้ | มืดอยู่จะเห็นก็หาไม่ |
ขึ้นสู่ปราสาทเพียงขาดใจ | ตรงเข้าในที่ศรีไสยา ฯ |
ฯ โอด ๖ คำ ฯ
๏ ทอดองค์ลงกับที่บรรทม | ระบายลมเคืองขัดนาสา |
อัสสุชลหลั่งหล่อนัยนา | โศกาอยู่ที่แท่นบรรทมใน ฯ |
ฯ โอด ช้า ร่าย ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | นางสร้อยสุณีศรีใส |
ทั้งนางบุษหรีทรามวัย | เห็นองค์ทรงไชยเสด็จมา |
เข้าสู่แท่นทองแล้วร้องไห้ | นางตระหนกตกใจเป็นหนักหนา |
พากันเข้าไปมิได้ช้า | กราบกับบาทาแล้วทูลไป |
เหตุการณเป็นไฉนพระผ่านเกล้า | ไม่ตรัสบอกเล่ามาร้องไห้ |
สุดฤทธีอาจารย์ประการใด | เล่าให้เมียฟังบ้างก่อนรา ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ น้องเอยน้องรัก | ไข้หนักเกินหมอจะรักษา |
วางยาไม่ต้องโรคา | ยิ่งพิทักษ์รักษายิ่งหนักไป |
แม้นสุริยาไม่เลี้ยวลับ | ปิ่มประหนึ่งมันจะจับเอาตัวได้ |
มีแต่อัปยศอดอายใจ | ทุกครั้งทุกทีไปเป็นอัตรา |
จนจิตที่จะคิดผ่อนผัน | ถึงวันพรุ่งนี้จะสังขาร์ |
ไม่ยกไปให้เหมือนสัญญา | ผัวจะเอาหน้าไปไว้แห่งใด |
จำเป็นจำจากพรากน้อง | ร่วมห้องผู้ยอดพิสมัย |
พรุ่งนี้พี่จะยกออกไป | ที่ไหนจะได้กลับมาบูรี |
จะเห็นหน้าเจ้าแต่ในราตรีเดียว | พรุ่งนี้จะเปลี่ยวใจพี่ |
ว่าพลางกอดนางเข้าโศกี | เสียงมี่ไปทั้งปราสาทไชย ฯ |
ฯ โอด ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | นางสร้อยสุณีก็ร่ำไห้ |
ทูลทัดขัดห้ามพระภูวไนย | อย่าเสด็จไปเลยพระราชา |
จะรบพุ่งเข้าไปทำไมเล่า | ผ่านเกล้าจงฟังเมียว่า |
อย่าให้ชีวิตมรณา | ผัวเมียเราพากันหนีไป |
ให้พ้นแว่นแคว้นแดนนคร | สัญจรตามผลกรรมให้ |
จะไปช่วยรบพุ่งชิงชัย | จนใจด้วยเป็นกระษัตรี |
เมียจะไปด้วยก็ไม่ได้ | จะห่วงใยซึ่งชัยศรี |
จงฟังเมียว่าพาที | พันปีจะไปจากเมีย |
ซึ่งจะออกไปรานรอน | ฆ่าเมียก่อนเถิดให้ตายเสีย |
ยกไปจะไม่ได้อาลัยเมีย | ตายเสียด้วยกันไม่น้อยใจ |
ทูลพลางนางแสนโศกสร้อย | ดั่งจะผ็อยชีวิตตักษัย |
สิ้นทั้งสนมกรมใน | ร่ำไรโศกาจาบัลย์ ฯ |
ฯ โอด โอ้ตรอม ๑๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท้าวปะรังเศร้าสร้อยโศกศัลย์ |
เห็นนางครวญคร่ำรำพัน | ยิ่งให้รันทดพระทัยนัก |
โอ้สร้อยสุณีของพี่เอ๋ย | พี่เคยชมชวนให้นอนตัก |
เสนหาไม่วายคลายรัก | ใช่จะไม่คิดเมื่อไรมี |
จะพากันหนีไปจากเวียงไชย | จะลือไปว่าท้าวปะรังศรี |
ไม่อายกลัวตายดั่งสตรี | ทุกบูรีก็จะเย้ยไยไพ |
สู้ตายตายเสียดีกว่า | อย่าให้ใครมานินทาได้ |
เกียรติยศจะปรากฏไป | ที่ในแผ่นพื้นธรณิน |
ทีนี้จะจากลูกรัก | ทั้งองค์อัคเรศโฉมฉิน |
ทั้งสนมกรมในนาริน | ดั่งอัปสรอินทร์ประดับยศ |
เคยบรมสุขไสยาสน์ | ทิพย์อาสน์บัลลังก์อลงกต |
บำเรอเสียงจำเรียงจำเริญยศ | จะเสื่อมคลายหายหมดเสียครั้งนี้ |
จะแลลับดั่งดับแสงบุหลัน | นับวันก็จะมัวหมองศรี |
สั่งพลางโศกศัลย์พันทวี | สร้อยสุณีกอดบาทเข้าโศกา ฯ |
ฯ โอด โอ้ ๑๔ คำ ฯ
๏ พ่อเจ้าประคุณของเมียแก้ว | นับวันไปแล้วไม่เห็นหน้า |
พระองค์จะม้วยมรณา | ดั่งเกศาเมียขาดไปจากกาย |
อันความติฉินนินทา | เป็นธรรมดาพระฤๅสาย |
ใครห่อนจะพ้นกล่าวร้าย | ตายแล้วยังเอามานินทา |
ดีชั่วไม่เว้นตัวใคร | ช่างกล่าวแคะไค้พิไรว่า |
รักแล้วว่าดีย่อมมีมา | ตรึกตราดูก่อนในพระทัย |
ทูลพลางนางกอดบาทผัว | ทอดตัวลงแล้วสะอื้นไห้ |
ฟังคำเมียว่าอย่าชิงชัย | พาเมียหนีไปเสียเถิดรา ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ ยอดเอยยอดมิ่ง | ประจักษ์แจ้งทุกสิ่งที่เจ้าว่า |
เกิดมาในโลกโลกา | ชีวังสังขาร์ไม่เว้นคน |
ถึงว่าอินทร์พรหมยมเรศ | อันเพศความตายนั้นเป็นต้น |
จงระงับดับใจนิรมล | จำไปประจญด้วยไพรี |
พี่เป็นกระษัตริย์อันเรืองงาม | ทรงนามชื่อท้าวปะรังศรี |
จะกล่าวบรรลัยไปไยมี | จำพี่จะยกไปชิงชัย |
ว่าพลางสวมสอดกอดน้องแก้ว | แนบทรวงเข้าแล้วร่ำร้องไห้ |
แต่พลบค่ำจนย่ำฆ้องไชย | อโณทัยไขแสงขจายจร ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เสด็จออกพระโรงรูจี | เสนีหมอบเฝ้าอยู่สลอน |
ตรัสสั่งพหลพลนิกร | จะยกไปรานรอนไพริน |
เร่งเกณฑ์กองทัพฉับไว | หมู่หมวดของใครเอาให้สิ้น |
อย่าเหลือหลอในธรณิน | เกณฑ์ไปให้สิ้นทั้งพารา |
แม้นใครหลบลี้หนีตาทัพ | จับเอามาฟันบั่นเกศา |
แจกจ่ายนายหมวดให้ตรวจตรา | หอกดาบปืนผาให้ครบมือ |
ใครสนัดสันทัดสิ่งใด | ชำนาญหอกให้เอาหอกถือ |
ชำนาญดาบให้เอาดาบสองมือ | ชำนาญปืนให้ถือปืนไป |
ปีกซ้ายปีกขวาทัพหน้าหลัง | ให้พร้อมพรั่งบัดนี้จงได้ |
ม้าทรงยงยิ่งเคยชิงชัย | เตรียมให้เสร็จสรรพทัพโยธา ฯ |
ฯ ปฐม ๑๐ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | เสนารับสั่งใส่เกศา |
ถวายบังคมแล้วออกมา | ยังที่ศาลาลูกขุนใน |
หามาพร้อมพรั่งแล้วสั่งการ | ทั้งทหารพลเรือนน้อยใหญ่ |
เกณฑ์เข้ากระบวนทัพฉับไว | ทาสไพร่เร่งรัดสัสดี |
อันหมู่พหลสกลไกร | ไม่เป็นใจทั้งกรุงปะรังศรี |
ด้วยกลัวอาญาจะฆ่าตี | จำเป็นเข้าที่กระบวนทัพ |
เกณฑ์เป็นทัพหลังทัพหน้า | ปีกซ้ายปีกขวาเสร็จสรรพ |
สาตราอาวุธพ้นที่จะนับ | แม่ทัพนายหมวดตรวจบัญชี |
เก้าแสนแปดหมื่นเจ็ดพัน | แต่งตัวพร้อมกันประจำที่ |
นายม้าแต่งม้าเตรียมพาชี | ประทับที่ตามเคยยังเกยไชย |
เสร็จสรรพกลับเข้าไปอัญชุลี | ทูลตามบัญชีซึ่งจัดได้ |
ครบถ้วนตามกระบวนทัพไชย | จงทราบที่ในพระบาทา ฯ |
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท่านท้าวปะรังศรีรุ่งฟ้า |
ได้ฟังถ้อยคำเสนา | เสด็จมาที่สรงคงคาลัย ฯ |
ฯ โทน ๒ คำ ฯ
๏ สระสรงแล้วทรงสุคนธาร | ผ่องผัดชัชวาลสดใส |
สนับเพลาพื้นทองยองใย | จีบโจงโกไสยพัตรา |
สอดฉลองพระองค์ทรงเกราะแก้ว | งอนงามอร่ามแววพระเวหา |
กรรเจียกแก้วรอมรัดกายา | เบื้องขวาเหน็บกฤชประดับพลอย |
ชายเหน็บกั้นหยั่นกุดั่นดำ | เช็ดหน้าศรีดอกคำประจำห้อย |
ทรงมาลาดั่งว่าจะเลื่อนลอย | โฉมสร้อยสุณีเห็นบังคมคัล ฯ |
ฯ โอ้ ๖ คำ ฯ
๏ ลดองค์สวมสอดกอดแก้ว | ถอนใจใหญ่แล้วพระรับขวัญ |
เคยได้เป็นสุขทุกคืนวัน | เวรามาทันให้จำไกล |
เคยชมเคยชิดพิศวาส | แต่นี้จะนิราศพิสมัย |
เคยฟังดุริยางค์นางใน | ตั้งแต่วันนี้ไปจะไกลกัน |
เคยให้นางนั่งพัดวีลม | พักตราน่าชมภิรมย์ขวัญ |
เคยออกที่นั่งเย็นเล่นแสงจันทร์ | สารพันจะจากพรากแล้ว |
เคยสรงเสวยเคยบรรทม | แสนบรมสุขในห้องแก้ว |
เคยใกล้จะไกลลับแล้ว | กอดมิ่งเมียแก้วเข้าร่ำไร ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ คอยเอยเจ้าคอยอยู่ | โฉมตรูกำนัลน้อยใหญ่ |
จะลาเจ้าแล้วแก้วกลอยใจ | ชลนัยน์คลอเนตรเสด็จมา |
โฉมสร้อยสุณีบุตรีตาม | มีความวิโยคโศกนักหนา |
อตส่าห์แข็งพระทัยแล้วไคลคลา | ขึ้นเกยทรงอาชาไนย ฯ |
ฯ โอ้ ร่าย ๔ คำ ฯ
๏ เสด็จออกจากวังปะรังศรี | โยธีแห่แหนแน่นไสว |
ท้าวปะรังเหลียวหลังแลไป | ชลนัยน์คลอครองนัยนา |
โอ้กรุงปะรังศรีเอ๋ย | แสนสนุกกระไรเลยเป็นนักหนา |
เคยได้อาศัยแต่ไรมา | โอ้อนิจจาจะจากไป |
ครวญพลางทางชักอัสดร | แลลับพระนครแล้วโหยไห้ |
พระเร่งกำสรดสลดใจ | เสด็จไปด้วยแสนเสนา |
ให้บังเกิดลางอัศจรรย์ | ได้ยินพลขันธ์ถ้วนหน้า |
สำเนียงเป็นเสียงโศกา | แซ่ไปทั้งป่าพนาลัย |
ธงเทียวซึ่งแห่ไปทั้งนั้น | ลมหวนม้วนกันเสียได้ |
สารพัดที่จะอุบัติไป | สุนัขไนผ่านหน้าพาชี |
นกแสกบินแถกทาบถา | แร้งกาว่อนไปทั้งไพรศรี |
วายุพานพานพัดปัถพี | ผงคลีเกลื่อนกลบตรลบพล |
จะลืมหูลืมตาก็ไม่ได้ | มืดกลุ้มคลุ้มไปทุกแห่งหน |
อันหมู่เสนีรี้พล | ต่างคนต่างพรัดพรายกัน |
จะตั้งหมวดตั้งกองก็ไม่ได้ | เสียกระบวนทัพไชยที่จัดสรร |
บ่าวนายเกริ่นกรายหากัน | ก็ถึงทัพค่ายมั่นตะรังอู ฯ |
ฯ ๑๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท้าวตะรังห้าวหาญจะรานสู้ |
อยู่ในค่ายมั่นชวนกันดู | นิ่งอยู่เห็นได้ท่วงที |
สั่งสองทหารชาญชิด | ให้วงล้อมอ้อมปิดปะรังศรี |
............................[๑] | ให้คอยตีกระหนาบข้างมา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | สองทหารชำนาญแกล้วกล้า |
คุมพลคนหมื่นพันมา | รับสั่งวันทาไปจัดพล |
นายกองนายหมวดตรวจพร้อม | ยกอ้อมล้อมไปในไพรสณฑ์ |
หมู่ไว้คอยทีตีประจญ | รายคนตรลบประจบกัน ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท่านท้าวตะรังอูอยู่ค่ายมั่น |
ให้ทหารแยกยกวกไพรวัน | ทรงธรรม์จะตีหน้าทัพ |
จัดพลพหลโยธา | หอกดาบปืนผาก็เสร็จสรรพ |
ท้าวทรงเกราะแก้วแวววับ | จับทวนทรงขึ้นอาชาไนย |
โยธาห้าหมื่นล้วนแข็งขัน | ปืนยิงดาบฟันหาเข้าไม่ |
โห่ร้องก้องสนั่นลั่นไพร | คนดีจัดให้ถือธง |
อันพวกพหลพลไกร | ล้วนใส่เสื้อแดงแสงทรง |
ได้ฤกษ์โห่ลั่นสนั่นดง | ยกตรงออกกั้นประจัญตี ฯ |
ฯ เชิด ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | จึ่งองค์ท่านท้าวปะรังศรี |
เห็นพลตะรังอูเข้าจู่ตี | ภูมีไม่พรั่นประหวั่นใจ |
ด้วยความมานะกษัตรา | จะคิดกลัวมรณาก็หาไม่ |
กริ้วโกรธโกรธาแต่ราไฟ | เร่งให้ทัพหน้าเข้ารารับ |
ปีกซ้ายปีกขวาอย่าล่าถอย | ปืนใหญ่ปืนน้อยทั้งปืนตับ |
หอกดาบให้กระหนาบกางรับ | ใครท้อถอยคอยปรับเอาชีวิต ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | เสนารับพระอาญาสิทธิ์ |
ขับพลเข้าประจญประจัญชิด | ปีกซ้ายขวาติดประชิดกัน ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท่านท้าวตะรังอูแข็งขัน |
ขับพลเข้าปะทะรบกัน | ยิงปืนควันอบตรลบไพร |
อันคนทั้งสองกองทัพ | เข้มแข็งแรงรับกันอยู่ได้ |
ฝ่ายสองทหารชาญชัย | ซึ่งยกไปหมู่กระหนาบตี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ทั้งสองทหารชาญชัยศรี |
เห็นกองทัพหน้าเข้าราวี | ออกต่อตีกระหนาบข้างมา |
ยิงปืนครื้นครั่นสนั่นเสียง | สำเนียงเสียงดั่งฟ้าผ่า |
ถูกกลิ้งวิ่งตัดเอาเศียรมา | กายากลิ้งกลาดดาษไป ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท่านท้าวตะรังอูเป็นใหญ่ |
รู้ว่าสองทหารชาญชัย | ล้อมไล่กระหนาบตีมา |
จึ่งให้เร่งพลเข้ารนรุก | บุกรุกคลุกคลีเข้าตีหน้า |
รุมรันฟันฟาดด้วยสาตรา | ตายกลาดเกลื่อนป่าพนาลัย ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท้าวปะรังศรีพรั่นหวั่นไหว |
ซ้ายขวาพะว้าพะวังใจ | ชักม้าเลี้ยวไล่ขับพล |
ปีกซ้ายปีกขวาหน้าหลัง | แตกกระจายพ่ายพังโกลาหล |
ต้อนขับกลับฟันเอานายตน | จลาจลไปสิ้นทั้งทัพไชย ฯ |
ฯ เชิด ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ยุขันรัศมีศรีใส |
ได้ยินเสียงลั่นสนั่นไพร | ม้าใช้มาทูลก็แจ้งการ |
ทรงเครื่องศึกเสร็จเสด็จมา | กับสามเสนายอดทหาร |
ขึ้นอาชาไนยชัยชาญ | แต่สามทหารตามไป |
พระเร่งรีบขับม้านั่ง | สามเสนาวิ่งไปตามได้ |
ด้วยฤทธิ์วิทยาชาญชัย | ไปยังทัพท้าวตะรังอู ฯ |
ฯ เชิด ๖ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงจึ่งตรงเข้าไปหา | ท้าวตะรังวันทายืนม้าอยู่ |
ถามเหตุทั้งนั้นสารพันรู้ | เราอย่านิ่งอยู่ให้ช้าที |
ตีทัพให้ยับแหลกป่น | อย่าให้มีพลปะรังศรี |
จับตัวให้ได้ในบัดนี้ | อย่าเพ่อฆ่าตีให้วายปราณ ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท่านท้าวตะรังสั่งทหาร |
เร่งพลเข้าบุกรุกราน | พวกทหารเข้ากลุ้มตะลุมบอน |
ล้วนคงกระพันไล่ฟันฟาด | หัวขาดตัวขาดออกเป็นท่อน |
กระหนาบหุ้มรุมรันฟันฟอน | นิกรนั้นแตกยับทั้งทัพไชย ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท่านท้าวปะรังศรีเร่งหวั่นไหว |
เหลียวไม่เห็นพลสกลไกร | แต่สักคนเดียวไซร้ก็ไม่มี |
อาวรณ์ร้อนรนนั้นเหลือเข็ญ | ผันแปรแลเห็นแต่ซากผี |
ประหวั่นพรั่นใจไม่สมประดี | โจนจากพาชีหนีไป ฯ |
ฯ กลองแขก ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ทั้งสามทหารทะยานไล่ |
อ่านเวทให้หายกายไป | ผู้ใดจะเห็นก็ไม่มี |
เข้าชิดด้วยวิทยายง | ยังไม่จับองค์ปะรังศรี |
ต่างตบตีเล่นเป็นสิงคลี | ปะรังศรีพะว้าพะวังใจ ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท้าวปะรังศรีดั่งเลือดตาไหล |
เฝ้าทุบตีเล่นไม่เห็นใคร | ชักกฤชออกไล่ด้วยโกรธา |
ใครทำสิ่งไรก็ไม่เห็น | สามทหารเยาะเล่นเป็นบ้า |
ขัดแค้นแน่นใจโศกา | ตายเสียดีกว่าไม่น้อยใจ ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | สามทหารละลานจับได้ |
คลายเวทคงเพศทันใด | เรียกไพร่รึงรัดมัดผูกมา |
ถวายยุขันฤทธิรงค์ | เสนาล้อมวงอยู่ซ้ายขวา |
ตำมะหงงตะหลาหรันวันทา | ยุขันรุ่งฟ้าเรืองไชย ฯ |
ฯ ๔ ทำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ยุขันรัศมีศรีใส |
เห็นสามทหารชาญชัย | จับปะรังได้พาตัวมา |
ผูกมัดรัดไว้กับหน้าฉาน | ได้ความอัประมาณนักหนา |
จึ่งเสด็จบทบาทยาตรา | ออกมาเย้ยหยันทันใด |
นี่ฤๅชื่อท้าวปะรังศรี | ศักดิ์สิทธิ์ฤทธีจะมีไหน |
ยกพลมาปล้นเอานกไป | ซํ้าให้เสนานั้นฆ่าตี |
บัดนี้ก็จับตัวได้ | จะเอาหน้าไว้ไหนปะรังศรี |
มัดกลิ้งนิ่งอยู่ดูอัปรีย์ | เงยหน้าพาทีบ้างเป็นไร |
แม้นว่ารักตัวกลัวความตาย | จงมาถวายบังคมไหว้ |
เราจะไว้ชีวิตสืบไป | ฤๅจะว่ากระไรก็ว่ามา ฯ |
ฯ ร่าย ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท้าวปะรังได้ฟังยุขันว่า |
กลุ้มกลัดขัดแค้นในวิญญาณ์ | นัยนาดั่งแสงไฟฟอง |
เข็ดเขี้ยวเคี้ยวกรามอยู่ฮึดฮือ | น้อยฤๅถ้อยคำทำจองหอง |
สู้ตายวายชีพอย่าคิดปอง | ต้องการอะไรจะวันทา |
นึกแล้วจึ่งตอบคำไป | ว่ากล่าวเรากระไรนักหนา |
ฆ่าเราเสียเถิดให้มรณา | อันจะวันทานั้นอย่าพึงคิด |
ตัวเจ้าเปรียบเหมือนลูกหลาน | อย่าว่าขานเจ็บช้ำระกำจิต |
เราแพ้สุดแต่จะม้วยมิด | อย่าคิดที่จะบังคมคัล |
เกิดมาในภพสงสาร | ใครจะพ้นวายปราณอาสัญ |
ถึงว่าพรหมินทร์อินทร์จันทร์ | อยู่ในสิบหกชั้นฟ้าก็บรรลัย |
จะสาอะไรแก่ตัวเรา | ขุนเขาพระสุเมรุก็ม้วยไหม้ |
ตัวท่านผู้มีฤทธิไกร | ก็ไม่พ้นบรรลัยมรณา |
เสียศรีเรามิให้เสียศักดิ์ | อย่าภักดิ์จ้วงเจินให้เกินหน้า |
ชาติเชื้อจักรพรรดิกษัตรา | มรณาไม่คิดแก่ชีวี ฯ |
ฯ ๑๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ยุขันได้ฟังปะรังศรี |
ทรงพระโกรธนักดั่งอัคคี | สั่งสามเสนีทันใด |
จงเอาไปหํ้าหั่นฟันฟอน | รานรอนชีวิตให้ตักษัย |
มิได้ย่อท้อง้องอนใคร | ทรงยื่นพระแสงให้ทหารพลัน |
ทั้งสามทหารนั้นวันทา | รับเอาพระแสงมาจากยุขัน |
ตำมะหงงพิฆาตฟาดฟัน | ม้วยมอดชีวันบรรลัย ฯ |
ฯ โอด ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ยุขันรัศมีศรีใส |
ครั้นท้าวปะรังศรีบรรลัย | สั่งให้ชุมพลโยธา |
เสนาท้าวพระยาน้อยใหญ่ | พรั่งพร้อมมิได้ขาดหน้า |
ให้เลิกทัพกลับไปพลับพลา | โยธากระเษมเปรมปรีดิ์ ฯ |
ฯ เชิด ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ฝ่ายพวกพลท้าวปะรังศรี |
แตกตื่นไม่เป็นสมประดี | ต่างคนต่างหนีกระจายไป |
บ้างวิ่งซุกซอนซ่อนตัว | ด้วยกลัวชีวิตจะตักษัย |
บ้างหนีเข้าในเวียงไชย | เฝ้าองค์อรไทเทวี ฯ |
ฯ เชิด ๔ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงจึ่งบังคมคัล | โศกศัลย์ทูลพระมเหสี |
บัดนี้พระองค์ทรงพระธรณี | สิ้นชีพชีวีบรรลัย |
อันพวกพหลโยธา | มรณาย่อยยับไม่นับได้ |
ตายกลาดเกลื่อนเต็มพนาลัย | ข้าหนีได้จึ่งรอดคืนมา ฯ |
ฯ เจรจา ร่าย ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | นางสร้อยสุณีเสนหา |
ได้ฟังถ้อยคำเสนา | กัลยาตระหนกตกใจ |
ดั่งองค์พระกาฬชาญชิด | มาผลาญชีวิตให้ตักษัย |
ทอดองค์ลงทรงโศกาลัย | สลบไปไม่ฟื้นสมประดี ฯ |
ฯ โอด ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ฝูงนางสนมสาวศรี |
ทั้งเฒ่าแก่กำนัลขันที | โศกีมี่อึงทั้งวังใน |
บ้างนวดฟั้นนางกัลยา | บ้างเอาสุคนธามาสรงให้ |
บ้างข้อนทรวงเข้าโศกาลัย | แซ่ไปทั้งปราสาทรจนา ฯ |
ฯ โอด ๔ คำ ฯ
๏ บ้างรํ่ารักนางโฉมฉาย | คิดว่าวอดวายสังขาร์ |
ไม่เป็นตำบลสนธยา | แซ่เสียงโศการ่ำไร |
บ้างไปยังปราสาทรจนา | ทูลองค์พระธิดาศรีใส |
บัดนี้พระปิ่นภพไตร | ยกไปชิงชัยด้วยไพรี |
พระองค์มอดม้วยบรรลัย | อยู่ในสมรภูมิไชยศรี |
พระมารดาทรงโศกโศกี | สลบอยู่บนที่ปรางค์ปรา ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | โฉมนางบุษหรีเสนหา |
รู้ว่าสมเด็จพระบิดา | สิ้นชีพชีวาบรรลัย |
ดั่งเศียรนางขาดออกจากองค์ | จะดำรงพระกายก็ไม่ได้ |
จึ่งเสด็จลีลาคลาไคล | ขึ้นไปยังองค์พระมารดา |
ครั้นถึงจึ่งเข้ากอดเอาบาท | พระชนนีธิราชนาถา |
กลิ้งเกลือกเสือกร่ำโศกา | กัลยาเพียงจะสิ้นชีวี |
แล้วเอาสุคนธมาลา | มาชโลมกายานางโฉมศรี |
ลูบไล้ไปทั่วทั้งอินทรีย์ | ค่อยได้สมประดีคืนมา ฯ |
ฯ โอด ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | นางสร้อยสุณีเสนหา |
เห็นองค์พระราชธิดา | กัลยาพ่างเพียงจะขาดใจ |
สององค์ทรงโศกโศกา | ชลนาแถวถั่งหลั่งไหล |
โอ้ว่าพระปิ่นภพไตร | มาทอดทิ้งเมียไว้ให้เอกา |
พระบุตรีว่าโอ้ทูลเกศ | บิตุเรศมาม้วยสังขาร์ |
ละลูกน้อยไว้ไม่นำพา | พระผ่านฟ้าเสด็จไปองค์เดียว |
พระมารดาข้อนทรวงกันแสงศัลย์ | ควรฤๅทรงธรรม์ไม่แลเหลียว |
ละข้าบาทบริจาไว้เด็ดเดี่ยว | ให้เปล่าเปลี่ยวโศกศัลย์พันทวี |
บุษหรีว่าพระองค์กระทำผิด | คิดฆ่านกหัสรังสี |
จึ่งเกิดสงครามขึ้นครั้งนี้ | ไพรีมาถึงพระเวียงไชย |
พระมารดาว่าเมียได้ห้ามปราม | พระจะเชื่อฟังความก็หาไม่ |
เพราะคิดอาจองทะนงใจ | จึ่งเกิดเหตุเภทภัยทั้งนี้ |
บุษหรีว่าโอ้พระปิ่นเกล้า | ค่ำเช้าเป็นสุขกระเษมศรี |
ลูกเคยมาเฝ้าพระพันปี | แต่นี้จะผินหน้าไปหาใคร |
พระชนนีว่าทรงพระสุบิน | ก็ประจักษ์อยู่สิ้นไม่สงสัย |
โหรได้ทูลทายทำนายไว้ | ภูวไนยโกรธกริ้วโกรธา |
สองกระษัตริย์วิโยคโศกศัลย์ | ดั่งชีวันจะม้วยสังขาร์ |
กลิ้งเกลือกเสือกไห้ไปมา | กัลยาเศียรซบสลบไป ฯ |
ฯ โอด ๑๘ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ท้าวนางเฒ่าแก่ผู้ใหญ่ |
ทั้งฝูงนักสนมกรมใน | ต่างตระหนกตกใจไม่สมประดี |
บ้างเข้านวดฟั้นกัลยา | บ้างวิ่งหาหมออึงมี่ |
บ้างเอาสุคนธวารี | ชโลมสองกระษัตรีให้ฟื้นกาย ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | องค์พระมเหสีโฉมฉาย |
กับพระบุตรีผู้เพริศพราย | เคลื่อนคลายได้สมประดีมา |
ค่อยระงับดับความโศกเศร้า | เร่าร้อนพระทัยเป็นนักหนา |
จึ่งสั่งให้หาเสนา | เข้ามาในปราสาทบัดนี้ ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | เฒ่าแก่รับสั่งใส่เกศี |
ไปบอกเสนาทันที | พระเสาวนีย์ให้หาท่านเข้าไป ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | จึ่งมหาเสนาผู้ใหญ่ |
ก็เข้าไปยังปราสาทไชย | เฝ้าองค์อรไทเทวี ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | นางสร้อยสุณีมเหสี |
จึ่งมีพระราชวาที | สั่งแก่มนตรีมิได้ช้า |
ท่านจงเอากฤชกับศรศรี | อีกทั้งพาชีอันแกล้วกล้า |
ทั้งเครื่องบรรณาการนานา | ไปถวายผ่านฟ้าทันใด |
ท่านทูลเบี่ยงบ่ายให้ชอบที | ขอศพภูมีมาจงได้ |
อย่าให้ขัดเคืองพระฤทัย | เร่งรีบออกไปบัดนี้ ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | อำมาตย์ประณตบทศรี |
ก้มเกล้าถวายอัญชุลี | ออกมาจากที่ข้างใน |
จึ่งเอากฤชศรแลอาชา | อีกเครื่องบรรณาน้อยใหญ่ |
แล้วขนใส่ราชรถไชย | เสนาผู้ใหญ่ไคลคลา ฯ |
ฯ เชิด ๔ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงพลับพลาไชยศรี | อำมาตย์ผู้มียศฐา |
จึ่งเข้าไปแจ้งกิจจา | แก่อัครเสนาทันใด ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ตำมะหงงได้ฟังก็ผ่องใส |
เข้าไปเฝ้าองค์พระทรงไชย | ทูลให้ทราบเบื้องบทมาลย์ |
บัดนี้เสนีในพารา | ออกมาบอกแจ้งแถลงสาร |
จะมาเฝ้าประณตบทมาลย์ | พระภูบาลจงทราบฝ่าธุลี |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ยุขันทรงสวัสดิ์รัศมี |
จึงสั่งให้หาเสนี | เข้ามายังที่พลับพลา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ตำมะหงงรับสั่งใส่เกศา |
ออกไปมิได้ช้า | แจ้งเหตุแล้วพาจรลี |
ครั้นถึงจึงถวายบังคม | นบนิ้วประฌมเหนือเกศี |
จึ่งกราบทูลไปทันที | ว่าพระมเหสีนงคราญ |
ให้เชิญพระแสงศรกฤช | กับอาชาชาญชิดห้าวหาญ |
มาถวายสมเด็จพระภูบาล | เชิญเข้าราชฐานธานี |
จะขอประทานศพพระภัสดา | เข้าไปพารากรุงศรี |
จะถวายพระเพลิงพระภูมี | พระพันปีจงทรงพระเมตตา ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ยุขันสุริย์วงศ์นาถา |
ได้ฟังมหาเสนา | พระผ่านฟ้าชื่นชมภิรมย์ใจ |
แล้วมีพระราชบัญชา | แก่มหาเสนาผู้ใหญ่ |
อันท้าวปะรังศรีบรรลัย | เพราะใจโมหันต์ฉันทา |
ไม่อยู่ในทศพิธราชธรรม์ | จึ่งสิ้นชีวันสังขาร์ |
ท่านจงไปทูลนางกัลยา | อันศพภัสดาที่บรรลัย |
จงรับเข้าไปธานี | เรานี้อนุญาตประสาทให้ |
จงถวายพระเพลิงท้าวไท | ตามในประเพณีนั้นมีมา |
เราจะหยุดพักจัตุรงค์ | ที่ในแดนดงพฤกษา |
สักเจ็ดราตรีทิวา | จึ่งจะยกโยธาเข้าไป ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | เสนาประณมบังคมไหว้ |
ทูลฉลองบัญชาพระภูวไนย | ด้วยใจยินดีปรีดา |
พระองค์ผู้ทรงศักดาเดช | ปราบทั่วทุกประเทศทิศา |
ลือเลื่องเฟื่องฟุ้งพระเดชา | ไพร่ฟ้าจะผาสุกใจ |
ทูลแล้วถวายบังคมลา | ออกมาจากหน้าพลับพลาใหญ่ |
ไปยังศพพระภูวไนย | ร่ำไรโศกเศร้าโศกี |
เชิญพระศพใส่ราชรัถา | แล้วพาเข้าไปในกรุงศรี |
รถประทับกับเกยมณี | มนตรีไปทูลแก่ทรามวัย |
ข้าออกไปถวายบรรณาการ | แล้วประทานพระศพด้วยผ่องใส |
ว่าจะพักพหลพลไกร | ในไพรสักเจ็ดทิวาวัน |
แล้วจึ่งจะยกโยธา | เข้ามานิเวศเขตขัณฑ์ |
บัดนี้พระศพทรงธรรม์ | ประทับเกยสุวรรณรจนา ฯ |
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | นางสร้อยสุณีเสนหา |
ทั้งองค์พระราชธิดา | เสด็จมายังเกยมณี |
สาวสนมกรมในซ้ายขวา | ตามเสด็จกัลยาทั้งสองศรี |
คอยรับพระศพพระภูมี | โศกีมี่อึงทั้งวังใน |
ครั้นถึงเกยรัตน์ชัชวาล | ทั้งสององค์นงคราญละห้อยไห้ |
กราบบาทบงสุ์พระทรงไชย | ร่ำไรไม่เป็นสมประดี |
ฯ โอด ๖ คำ ฯ
๏ พระจอมมงกุฎสุดสวาดิ | มานิราศลูกน้อยมเหสี |
เสด็จไปยังชั้นดุษฎี | มิได้ปรานีข้าทั้งสองรา |
ทูลห้ามเท่าไรไม่ฟังความ | ไปติดตามสัประยุทธ์เข่นฆ่า |
เพราะคิดมานะกษัตรา | สู้เอาชีวาไปม้วยมรณ์ |
โอ้พระปิ่นปักนคเรศ | เคยปกเกศเป็นสุขสโมสร |
สิ้นทั้งไพร่ฟ้าประชากร | สถาวรเป็นสุขทั้งกรุงไกร |
ทีนี้จะลับเลือนเหมือนเดือนดับ | อัปภาคย์สิ้นแสงแขไข |
มีแต่จะพรัดกระจายไป | ด้วยภูวไนยมาสิ้นชนมาน์ |
พระองค์มาทิ้งน้องไว้ | ไม่อาลัยพระญาติวงศา |
มีแต่จะได้เวทนา | ทีนี้จะผินหน้าไปหาใคร |
นางทรงโศกศัลย์พันทวี | ดั่งชีวีจะม้วยตักษัย |
ทั้งฝูงแสนสาวกำนัลใน | รํ่าไห้ไม่เป็นสมประดี ฯ |
ฯ ร่าย ๑๒ คำ ฯ
๏ ครั้นค่อยคลายโศกโศกา | จึ่งองค์กัลยามเหสี |
ให้เชิญพระศพพระภูมี | เข้าไปยังที่พิมานไชย |
นางให้เอาชลวารี | มาชำระอินทรีย์ให้ผ่องใส |
ทรงรดสุธามาลัย | ลูบไล้ไปทั่วกายา |
แล้วเชิญเข้าใส่พระโกศแก้ว | อันเพริศแพร้ววิจิตรเลขา |
ขึ้นวางเหนืออาสน์รจนา | ไว้ในมหาปราสาทไชย |
เสร็จแล้วจึ่งมีเสาวนีย์ | แก่มุขมนตรีน้อยใหญ่ |
จงเร่งกะเกณฑ์กันไป | ให้ตั้งพระเมรุอันรูจี |
ท่านเร่งรัดกันอย่าหวั่นใจ | ทั้งเครื่องน้อยใหญ่ถ้วนถี่ |
จงตบแต่งตั้งไว้ให้มากมี | ในเจ็ดราตรีจงพร้อมกัน ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | เสนารับสั่งแล้วผายผัน |
ออกมาเร่งรัดจัดกัน | ทำเมรุสุวรรณอันรจนา |
เลิศแล้วด้วยแก้วเนาวรัตน์ | แสงจำรัสระยับพระเวหา |
ประดับด้วยรูปสัตว์นานา | ลวดลายเลขาล้วนบรรจง |
ยอดเมรุแซมแทรกประจำทิศ | วิจิตรอร่ามงามระหง |
ทั้งเครื่องใช้ท่านอันยิ่งยง | จัดสรรบรรจงอลงการ์ |
ทั้งการมโหรสพครบครัน | ทุกสิ่งสารพันพร้อมหน้า |
เสร็จแล้วมนตรีเข้ามา | เชิญพระโกศรจนาขึ้นใส่รถ |
เสียงประโคมแตรสังข์ฆ้องกลอง | สะเทือนท้องพสุธาปรากฏ |
เครื่องสูงเป็นชั้นหลั่นลด | เคลื่อนพิไชยราชรถไคลคลา ฯ |
ฯ ทะแย ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | นางสร้อยสุณีเสนหา |
กับองค์พระราชธิดา | ทั้งสนมซ้ายขวาแน่นนันต์ |
นางเสด็จตามศพพระสามี | โศกีวิโยคโศกศัลย์ |
เพียงจะมอดม้วยชีวัน | กัลยาครวญคร่ำร่ำไร |
ครั้นพระศพมาถึงเมรุทอง | อันกุก่องจำรัสแสงใส |
เชิญพระโกศเวียนรอบเมรุไตร | แล้ววางไว้เหนืออาสน์พรรณราย ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ จึ่งประโคมแตรสังข์ฆ้องกลอง | มี่ก้องพระศพถวาย |
ถ้วนสามเวลาไม่เว้นวาย | กำมพฤกษ์ก็โปรยปรายทาน |
ฝูงคนก็ช่วงชิงกันอึงมี่ | ที่หน้าพลับพลาราชฐาน |
ราตรีมีหนังประจำงาน | พลุประทัดชัชวาลมากมี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | นางสร้อยสุณีมเหสี |
ทั้งองค์พระราชบุตรี | พระวงศานารีกำนัลใน |
จึ่งเอาธูปเทียนมาลา | จวงจันทน์กฤษณาผ่องใส |
ใส่ในโกศแก้วแววไว | อรไทโศกศัลย์พันทวี |
กราบลงที่ศพพระภัสดา | นางสมาลาโทษถ้วนถี่ |
แล้วจึ่งถวายอัคคี | มี่อึงด้วยเสียงโศกา |
ครั้นเสร็จดับเพลิงทันที | องค์พระมเหสีเสนหา |
ทั้งโฉมพระราชธิดา | สุริย์วงศ์พงศาทั้งนั้น |
เสด็จยุรยาตรคลาดคลา | กลับมายังนิเวศเขตขัณฑ์ |
ต่างแสนโศกาจาบัลย์ | ถึงองค์ทรงธรรม์ที่มรณา ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
[๑] ต้นฉบับหายไป