๑๕
๏ มาจะกล่าวบทไป | ถึงท้าวไทปะรังศรีเจ้าไอศวรรย์ |
ตั้งแต่ได้นกเบญจพรรณ | ให้ไว้วิลาวัณย์พระธิดา |
ท้าวมารำพึงคะนึงนึก | ตริตรึกที่จะฆ่าปักษา |
ประสงค์ดวงแก้วอันศักดา | ซึ่งทรงเดชาเชี่ยวชาญ |
จะใคร่ราชาภิเษกสม | จักรพรรดิอุดมมหาศาล |
จะได้เป็นกระษัตริย์จักรวาล | สามโลกกราบกรานถวายกร |
เหาะเหินเดินได้ในอากาศ | วินาศทุกทั่วกลัวสลอน |
ดั่งองค์ท้าวไทนรินทร | ท้าวนิ่งนอนนึกตรึกตา |
จะล่อลวงพระธิดายังไร | จึงจะได้หัสรังปักษา |
อย่าให้โฉมยงเจ้าสงกา | แต่พอเอามาฆ่าเสียทันที |
คิดพลางพระทางปราศรัย | เออองค์อรไทมเหสี |
โฉมน้องเจ้าสร้อยสุนี | รักร่วมฤดีชีวิตเดียว |
พี่จะให้ไปเอานกนั้นคืนมา | เห็นว่าธิดาจะหน่วงเหนี่ยว |
เจ้ารักดั่งดวงจิตบิดาเดียว | จะล่อลวงลดเลี้ยวยังไรดี ฯ |
ฯ เจรจา ๑๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | นางสร้อยสุนีมเหสี |
ได้ฟังทรงศักดิ์พระจักรี | เทวีเจ้ามารำพึงคิด |
ครั้นจะเอออวยด้วยก็ไม่ได้ | ครั้นจะห้ามภูวไนยจะได้ผิด |
นกนางรักเหมือนดวงชีวิต | ให้เป็นศิษย์ลูกแล้วจะคืนเอา |
บุษหรีจะน้อยพระทัย | จะว่ากูเป็นใจด้วยเล่า |
คิดแล้วจึ่งทูลพระปิ่นเกล้า | ตามแต่พระเจ้าจะเมตตา ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ ได้เอยได้ฟัง | ท้าวปะรังสมความปรารถนา |
จึ่งสั่งกำนัลกัลยา | ที่มีอัธยาศัยดี |
เอ็งลงไปหาธิดากู | โฉมตรูนิ่มนุชบุษหรี |
เกลี้ยกล่อมถนอมให้จงดี | ว่ากูนี้มิได้สบายใจ |
อยากจะใครได้ชมสกุณี | เลือกเอาแต่ดีแถลงไข |
อย่าให้รู้กลยลใน | เร่งไปบัดนี้อย่าได้ช้า ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | นางกำนัลรับสั่งใส่เกศา |
ก้มเกล้ากราบงามสามลา | เร่งรีบลีลาคลาไคล ฯ |
ฯ เพลง เสมอ ๒ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงยอกรประณม | บังคมบุษหรีศรีใส |
ทูลพลางทางตรึกนึกใน | แก้ไขลิ้นลมล่อลวง |
ว่าพระนรินทร์ปิ่นกระษัตริย์ | จักรพรรดิเลิศล้ำใหญ่หลวง |
แต่ก่อนพระพักตร์คือพุ่มพวง | ดั่งดวงอโณทัยไพบูลย์ |
แต่ท้าวประทานสกุณี | รัศมีศรีเศร้าเสื่อมสูญ |
ด้วยทรงกรุณาอนุกูล | อาดูรด้วยองค์อรไท |
เสมอแม้นเหมือนดวงนัยนา | ผ่านฟ้ารำจวนครวญใคร่ |
พระองค์ทรงทุกข์ดั่งเขาใหญ่ | หักทับพระทัยอยู่ตรึงตรา |
อยากจะใคร่ได้ชมสกุณี | ภูมีเศร้าสร้อยเป็นหนักหนา |
ท้าวรักดั่งดวงนัยนา | เสนหาเท่าองค์พระบุตรี |
แต่ท้าวไม่สบายมานานแล้ว | พระแก้วใคร่ชมปักษี |
จึ่งใช้ให้มาทูลแจ้งคดี | ขอพระบุตรีจงเมตตา ฯ |
ฯ เจรจา ๑๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | โฉมนางบุษหรีไม่กังขา |
ได้ฟังกำนัลทูลมา | สงสารบิดาเป็นพ้นไป |
อันนกรังสีให้คลาคลาด | บิตุราชยังคิดรักใคร่ |
ครั้นจะมิให้นกไป | ก็จะน้อยพระทัยพระบิดา |
ตริตรึกนึกไปในอารมณ์ | จะให้ไปชมให้หรรษา |
คิดแล้วจึ่งมีพระวาจา | เราจะขัดบิดาไม่บังควร |
จำเราจะให้ไปถวาย | สาวใช้ได้ฟังก็แย้มสรวล |
เสาวนีย์ตรัสนี้เห็นบังควร | จวนเวลาแล้วจะขอลา ฯ |
ฯ โอ้ ๘ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | จึ่งนกหัสรังสีปักษา |
ได้ฟังถ้อยคำมารดา | จะให้พระบิดาก็ตกใจ |
โอ้ทูลกระหม่อมของลูกแก้ว | รักลูกแล้วหรือเป็นไฉน |
จะให้เขาพาเอาลูกไป | เหมือนตายจากอกพระชนนี |
เจ้าตาไม่เห็นพระแม่แล้ว | ก็คงจะฆ่าลูกแก้วให้เป็นผี |
ที่ไหนเลยลูกจะรอดชีวี | พระชนนีช่างเชื่อวาจา |
ทีนี้จะไกลไม่เห็นแม่ | นับวันไปแลจนวันหน้า |
รํ่าพลางหัสรังก็โศกา | อนิจจาพระแม่ไม่เอ็นดู ฯ |
ฯ โอด ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | โฉมองค์บุษหรีไม่มีคู่ |
รักนกยกขึ้นชมชู | เอ็นดูถ้อยคำมาอ้อนวอน |
นางจึ่งตระโบมโลมเล้า | ขวัญข้าวอย่าเพ่อกันแสงก่อน |
แม่รักเจ้าดั่งลูกในอุทร | ไปด้วยเขาก่อนแล้วจึ่งมา |
ใช่ว่าบิดาจะชังชิง | รักเจ้ายอดยิ่งเป็นหนักหนา |
เสมอเหมือนเท่ากับพระมารดา | ลูกแก้วแววตาอย่าปรารมภ์ |
เวราหัสรังจะถึงกาล | ทัดทานเท่าไรไม่เห็นสม |
เผอิญให้นางอ่อนอารมณ์ | หลงลมสาวสรรกำนัลใน |
นางให้หัสรังสั่งกำชับ | ว่าวันนี้เอากลับมาให้ได้ |
ทูลว่าข้าให้นกไป | เหมือนเด็ดดวงใจออกจากกาย ฯ |
ฯ เจรจา ๑๐ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | สาวสรรสมคิดดังจิตหมาย |
รับสั่งแจ่มจันทร์บรรยาย | ได้นกแล้วถวายบังคมลา ฯ |
ฯ เพลง ๒ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงจึ่งถวายบังคมคัล | กำนัลทูลถวายปักษา |
พระบุตรีมิใคร่จะให้มา | ว่าแสนเสนหาดั่งดวงใจ ฯ |
ฯ เจรจา ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท้าวปะรังยินดีจะมีไหน |
เสด็จไปลอบสั่งให้ตั้งไฟ | แต่งพิธีใหญ่จะทำการ |
เอาโหรโหรามาให้ฤกษ์ | เบิกบายศรีแก้วแสงฉาน |
ที่เครื่องสำหรับจะทำการ | เพดานม่านรูดให้รอบราย |
ธงทองเป็นหลั่นแลระยับ | ให้ต้องตำรับตำราหมาย |
ราชวัตรฉัตรแก้วให้ปักราย | รอบโรงเพริศพรายอร่ามตา |
เพดานดาดดำดูพิลึก | อำมฤตด้วยรสบุปผา |
ห้อยหอมพินพวงมาลา | กฤษณากระลำพักอันพึงใจ |
ให้ตรลบอบไปด้วยมาลี | บำรุงโรงพิธีให้สุกใส |
ประดับด้วยเนาวรัตน์เรืองไชย | รูปเขียนเขียนไว้อร่ามตา |
แล้วจึ่งให้เอากระทะทอง | ทำให้ถูกต้องตำราว่า |
จึ่งเอาสิ่งซึ่งสรรพยา | ตั้งไว้คอยท่ากูบัดนี้ ฯ |
ฯ เจรจา ๑๒ คำ ฯ
๏ ครั้นสั่งเสร็จพลันทันใด | เสด็จไปยังกรงปักษี |
นั่งลงข้างกรงสกุณี | ภูมีตริตรึกนึกใน |
คิดจะใคร่หํ้าหั่นเสียทันที | ปรานีมิใคร่จะทำได้ |
ทรงอาวุธแอบพระองค์ไว้ | มิให้ปักษีสงกา ฯ |
ฯ โอ้ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | หัสรังตระหนกตกประหม่า |
เห็นพระองค์ชักกฤชฤทธา | เอะเวราเราแล้วมาตามทัน |
ปักษาร้องขอประทานโทษ | พระโกรธสิ่งไรจะห้ำหั่น |
ควรฤๅเจ้าตาจะฆ่าฟัน | ไม่ทันรู้ถึงพระชนนี |
โอ้พระมารดาของลูกเอ๋ย | ที่ไหนเลยจะได้มาเห็นผี |
งดหลานไว้ก่อนพระพันปี | ให้พระแม่บุษหรีมาเห็นใจ |
สักน้อยจะเสด็จขึ้นมาเฝ้า | โปรดเกล้าอย่าเพ่อให้ตักษัย |
ทูลพลางทางชะแง้แลไป | จะวานใครไปทูลพระชนนี |
จะแลข้างซ้ายก็เปล่าตา | แลขวาก็เปล่าใจปักษี |
โอ้ว่าอนิจจาครานี้ | ชีวีเห็นจะม้วยพิราลัย |
ทำไฉนจะแจ้งกิจจา | พระอัยกาจะฆ่าให้ตักษัย |
พระองค์จงมาขอชีวิตไว้ | ลูกจะได้อยู่เพื่อนพระมารดา |
อนิจจาสมเด็จพระชนนี | ป่านนี้จะละห้อยคอยหา |
เจ้าพระคุณจงเห็นแก่มารดา | รักข้าได้เลี้ยงพยาบาล |
เห็นแก่เจ้าแม่ลูกเถิดหนา | อย่าเห็นแก่ข้าเดียรัจฉาน |
แม้นข้ามอดม้วยวายปราณ | พระมารดาจะม้วยมรณา |
ขอโทษหลานเถิดเจ้าพระคุณ | เอาบุญไปภายภาคหน้า |
เอาไว้ช่วงใช้ใต้บาทา | โปรดเกล้าเกศาสกุณี ฯ |
ฯ ร่าย ๑๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท่านท้าวปะรังเรืองศรี |
ได้ฟังปักษาพาที | พระภูมีสงสารเป็นพ้นใจ |
ไปรักใคร่ในคำสกุณา | แล้วคิดถึงธิดาศรีใส |
แต่รีรอท้อถอยฤทัย | มิใคร่จะทำได้ดั่งจินดา |
แล้วกล่าวถนอมกล่อมเกลี้ยง | สุดที่เราจะเลี้ยงปักษา |
เจ้านี้ถูกต้องในตำรา | มีผู้เที่ยวหาทุกแห่งไป |
ตานี้ก็รักเป็นนักหนา | จะฆ่าเจ้าแล้วไม่ทำได้ |
จงดับโศกโศกาอาลัย | ไปที่ชอบเถิดเจ้าสุบรรณ ฯ |
ฯ โอ้ ๘ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | หัสรังวิโยคโศกศัลย์ |
ซบเศียรกับบาทพระทรงธรรม์ | รำพันทูลขอชีวา |
พระองค์งดหลานประเดี๋ยวก่อน | จะวิงวอนวานเขาให้ไปหา |
ให้พระแม่บุษหรีคืนมา | ถึงจะตายพอได้เห็นหน้ากัน |
เสียแรงพระองค์สั่งสอน | ขออำลาเสียก่อนจึ่งห้ำหั่น |
เรียกพลางโศกาจาบัลย์ | ลูกจักม้วยอาสัญในวันนี้ |
ผลกรรมนั้นเข้ามาดลใจ | จึ่งยอมให้ข้ามากับทาสี |
ได้ทูลทัดทานพระชนนี | มิได้เชื่อฟังสกุณา |
ครั้งนี้ชีวิตจะบรรลัย | ทำไฉนลูกจะได้เห็นหน้า |
คิดเห็นเป็นน่าอนิจจา | อยู่พาราอุเรเซนไม่มีภัย |
เสียรู้ด้วยรักพระบิดา | เขาจึ่งลวงมาฆ่าเสียได้ |
เที่ยวทุกนคเรศประเทศใด | ไม่มีใครคิดฆ่าราวี |
โอ้แม่ประวะลิ่มของลูกเอ๋ย | ไฉนเลยจะทราบบทศรี |
ว่าลูกมอดม้วยชีวี | พระชนนีมิได้เห็นใจ |
ขอบังคมลาทั้งสององค์ | ผู้ทรงสุจริตพิสมัย |
พรํ่าเลี้ยงลูกมาไม่มีภัย | มิได้ระคายเท่าใยยอง |
รักลูกถนอมเลี้ยงไว้ | กรงแก้วอำไพไม่มีสอง |
ข้าวน้ำบำรุงรับประคอง | ลูกมิได้หมองพระบาทา |
พระองค์ค่อยอยู่จงดี | สกุณีจะม้วยสังขาร์ |
ลูกวอนขอโทษไม่เมตตา | อนิจจาชะรอยได้ทำกรรม |
รํ่าพลางประคองปีกไหว้ | จิตใจตื่นเต้นไม่เป็นสำ |
หลับตากลัวพ้นล้นล้ำ | บริกรรมหลงเลือนเฟือนไป ฯ |
ฯ ๒๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท่านท้าวปะรังศรีเป็นใหญ่ |
พระทรงดำริตริไตร | แม้นจะไม่ฆ่าฟันสกุณี |
ที่ไหนจะได้ดวงวิเชียร | ในเศียรหัสรังปักษี |
จำเป็นจำล้างชีวี | ตามที่ผลกรรมได้ทำมา |
แกล้งกล่าวล่อลวงพูดเล่น | เลินเล่อแล้วเขม่นจะเข่นฆ่า |
ฉวยกฤชแทงคอสกุณา | ปักษาก็ผ็อยม่อยเมียง |
ว่าช่วยลูกด้วยเถิดเจ้าแม่ | ร้องแต่คำเดียวก็หายเสียง |
เศียรศอคอขาดกระเด็นเรียง | เอนเอียงพินาศขาดใจ ฯ |
ฯ โอ้ ๘ คำ ฯ
๏ จึ่งหยิบเอาเศียรมาต่อติด | โลหิตแถวถั่งหลั่งไหล |
ทอดทิ้งลงพลันทันใด | ในกระทะพิธีเพลิงกาฬ |
เดือดพลุ่งฟุ้งฟองวิทยา | เกิดเป็นดวงจินดาแสงฉาน |
เสร็จสรรพดับเพลิงสุริย์กานต์ | พระภูบาลหยิบดวงวิเชียรมา |
ชูไว้เหนือหัตถ์พระทรงฤทธิ์ | ชื่นชมภิรมย์จิตเป็นนักหนา |
แล้วสำแดงแผลงอิทธิฤทธา | เหาะเหินเดินฟ้าได้ดั่งใจ |
พระเร่งอิ่มเอิบกำเริบจิต | ทศทิศไหนจะรอต่อได้ |
แล้วใส่ในโอษฐ์อมไว้ | พระทัยสุขเกษมเปรมปรีดิ์ |
จึ่งเสด็จยุรยาตรคลาไคล | เข้าในปราสาทเรืองศรี |
สถิตแท่นสุวรรณรูจี | ภูมีสำราญวิญญาณ์ ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | โฉมนางบุษหรีเสนหา |
แต่ตั้งใจคอยสกุณา | เป็นไฉนไม่มาจนป่านนี้ |
นางให้หวั่นหวาดประหลาดใจ | เร่าร้อนพระทัยดั่งไฟจี้ |
ประหนึ่งแว่วเสียงแก้วสกุณี | เทวีสะดุ้งจิตคิดอัศจรรย์ |
วิปริต่ในอุราก็ร้อนเร่า | แล้วเจ้าปักษาจะอาสัญ |
หรือทาสานั้นแกล้งมารำพัน | พาเอานกนั้นหนีไป |
หรือจะไปถวายพระบิดา | จะนิ่งอยู่ช้าก็มิได้ |
จำกูจะรีบขึ้นไป | เฝ้าไทบิตุราชธิบดี |
นางไม่ทันแต่งกายา | พักตราเศร้าสร้อยหมองศรี |
ทรงแต่สไบอันรูจี | พร้อมนางสาวศรีกำนัลใน ฯ |
ฯ สาลิกา ๑๐ คำ ฯ
๏ ครั้นมาถึงปรางค์ปราสาท | เร่งคิดผิดประหลาดสงสัย |
เห็นแต่กรงเปล่าวางไว้ | มิได้เห็นตัวสกุณา |
นางจึ่งเข้าไปกราบบาท | ทูลปิ่นภูวนาถนาถา |
หัสรังอยู่ไหนพระบิดา | ฤๅว่าไปเฝ้าพระชนนี |
เห็นแต่กรงขังตั้งเปล่า | ใจลูกสร้อยเศร้าหมองศรี |
ขอพระองค์จงแจ้งคดี | ทูลพลางเทวีก็โศกา ฯ |
ฯ โอด ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท่านท้าวปะรังศรีนาถา |
เห็นองค์พระราชธิดา | โศกาสะอื้นอาวรณ์ |
จึ่งตรัสตระโบมโลมเล้า | ขวัญข้าวอย่าเพ่อกันแสงก่อน |
ฟังคำบิดาอย่าทุกข์ร้อน | พระนครจะกระเษมเปรมปรีดิ์ |
หัสรังนั้นต้องในตำรา | จะหาไหนมานะโฉมศรี |
ในเศียรนั้นมีดวงมณี | ฤทธีประเสริฐเลิศนัก |
พ่อประหารชีวิตนกเสียแล้ว | จึ่งได้ดวงแก้วพญาจักร |
สำเร็จคิดแล้วนะลูกรัก | นงลักษณ์อย่าเศร้าโศกี ฯ |
ฯ โอ้ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | จึ่งโฉมนวลนางบุษหรี |
ฟังพระบิดาพาที | เทวีข้อนทรวงเข้าร่ำไร |
ดั่งองค์พระกาฬชาญชิด | มาสังหารชีวิตให้ตักษัย |
ทอดองค์ลงทรงโศกาลัย | ทรามวัยไม่เป็นสมประดี |
โอ้หัสรังสีเจ้าแม่เอ๋ย | ไม่เห็นเลยว่าจะม้วยเป็นผี |
เวรามาทันเจ้าวันนี้ | เผอิญให้ชนนีงวยงง |
เจ้าได้ทูลทัดขัดห้าม | เหมือนรู้ความว่าจะม้วยเป็นผุยผง |
วิงวอนอ้อนให้อยู่ในกรง | กลัวองค์อัยกาจะฆ่าฟัน |
พาซื่อจึ่งเสียด้วยเล่ห์กล | แยบยลถ้อยคำนางสาวสรร |
แม่นี้ไว้ใจว่าทรงธรรม์ | รักจริงแม่นมั่นเหมือนมารดา |
มิรู้พระให้ไปลวงล่อ | ไม่รู้ว่าพ่อจะสังขาร์ |
กรรมของเราแล้วนะลูกอา | ดั่งชีวาของแม่จะทำลาย |
โอ้แต่นี้ไปไม่มีสุข | จะอาดูรพูนทุกข์ไม่เหือดหาย |
นางค่อยดำรงทรงกาย | ถวายบังคมลาคลาไคล |
ครั้นถึงห้องทองชัชวาล | เยาวมาลย์ครวญคร่ำร่ำไห้ |
ทอดองค์ลงทรงโศกาลัย | มิได้มีความสุขสักราตรี ฯ |
ฯ โอด ๖ คำ ฯ
๏ มาจะกล่าวบทไป | ถึงยุขันผู้เฉิดโฉมศรี |
อยู่ในฉะนะตันบูรี | ได้สิบห้าราตรีทิวา |
แต่ตริตรึกปรึกษาการณรงค์ | กับองค์ท้าวตะรังนาถา |
แต่เรามาอยู่ในพารา | ช้านานก็ได้หลายราตรี |
มิได้แจ้งข่าวสารปักษิน | ที่ในบุรินทร์ปะรังศรี |
เราจะยกจัตุรงค์โยธี | พรุ่งนี้จะเห็นประการใด ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท่านท้าวตะรังจึ่งทูลสนองไข |
ข้าจะขอตามเสด็จภูวไนย | ไปเป็นทัพหน้าทรงธรรม์ |
พระองค์ผู้ทรงศักดา | เป็นจอมโยธาทัพขันธ์ |
จะรีบไปให้ถึงในสามวัน | ตั้งกระชั้นปลายด่านพระบูรี |
แล้วพระจึ่งสั่งโหรา | ให้เร่งหาฤกษ์ชัยศรี |
เราจะยกพหลมนตรี | วันใดจึ่งจะดีจงบอกมา ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | โหรเฒ่ารับสั่งใส่เกศา |
จึ่งพลิกสมุดตำรา | ค้นคว้าหาทั่วทุกคัมภีร์ |
เทียบทานกับดวงพระชันษา | ลัคนาสถิตราศี |
ชั้นโชคโยคเกณฑ์นาที | ภูมีจะได้ราชัย |
พรุ่งนี้ฤกษ์ดีเป็นหนักหนา | จะยกโยธาทัพใหญ่ |
จะได้ลาภสตรีที่พึงใจ | ภูวไนยจงทราบพระบาทา ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ยุขันเรืองฤทธิ์ทุกทิศา |
ได้แจ้งแห่งคำโหรา | ผ่านฟ้าชื่นบานสำราญใจ |
จึ่งสั่งตำมะหงงเสนา | ให้ตรวจเตรียมโยธาทัพใหญ่ |
เราจะยกพหลพลไตร | ให้ได้ทันฤกษ์เพลา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ตำมะหงงรับสั่งใส่เกศา |
ถวายบังคมคัลวันทา | ออกมาจัดพลสกลไตร |
เลือกสรรกลั่นเอาที่เคยรบ | รู้ครบท่วงทีหนีไล่ |
เคยประจญปล้นวิ่งชิงชัย | ได้ผลาญศัตรูแต่ก่อนมา |
จัดทัพหน้าหลังทั้งเกียกกาย | กองขันธ์ปีกซ้ายปีกขวา |
พร้อมเสร็จสรรพทั้งอาวุธนานา | เสือป่าแมวเซาด้อมมอง |
บ้างถือธนูเกาทัณฑ์ | เลือกสรรมาเป็นแถวถ่อง |
จัดจบครบได้ดั่งใจปอง | ตามทำนองกระบวนทัพไชย |
ครั้นแล้วมหาเสนา | เข้ามาบังคมประณมไหว้ |
ทูลว่าพหลพลไตร | เตรียมไว้พร้อมแล้วพระภูมี ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระโฉมยงองค์ยุขันเรืองศรี |
ได้ฟังมหาเสนี | ภูมีสำราญบานใจ |
ครั้นเอยครั้นรุ่ง | สุริยาพวยพุ่งรุ่งแรงแสงใส |
จึงเสด็จลีลาคลาไคล | ทั้งท้าวตะรังก็ไปสรงคงคา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ชำระพระองค์สรงสนาน | สุคนธ์ธารเฟื่องฟุ้งด้วยบุปผา |
สอดทรงสนับเพลารจนา | ภูษาเลื่อมลายวาสุกรี |
ชายแครงแสงจับชายไหว | รัดพระองค์อำไพสอดศรี |
ฉลององค์พื้นสุวรรณรูจี | สร้อยสะอิ้งมณีสังวาลพราย |
ทับทรวงดวงเด่นประดับพลอย | ตาบทิศดั่งจะย้อยจำรัสฉาย |
พาหุรัดทองกรมังกรกราย | ธำมรงค์เพชรพรายจำรัสฟ้า |
ทรงพระมหามงกุฎสุริย์กานต์ | งามปานอสัญแดหวา |
ทัดอุบะทรงกฤชไคลคลา | มาทรงมิ่งม้าอาชาไนย |
ให้เลิกทัพออกจากธานี | คลายคลี่นิกรน้อยใหญ่ |
อันท้าวตะรังอูฤทธิไกร | ไปเป็นทัพหน้าพระภูมี ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ ม้าเอยม้าศึก | เผ่นทะยานหาญฮึกดั่งราชสีห์ |
ล้วนชาติสินธพพาชี | ท่วงทีมีอำนาจมหึมา |
เบาะอานพานหน้ามรกต | มีพยศหักศึกแกล้วกล้า |
เรืองรองลองเชิงเป็นโกลา | ไว้หน้าย่อท้ายจรจรัล |
เยื้องอกยกหูชูหาง | สะบัดย่างเคล่าคล่องผัดผัน |
พู่พรายสายเหียนเวียนวัน | ล้วนเครื่องกุดั่นบรรจง |
เครื่องสูงธงชัยไสวมา | ฆ้องกลองก้องป่าไพรระหง |
ผงคลีบดบังพระสุริยง | ให้เคลื่อนจัตุรงค์ไคลคลา |
ข้ามด่านธารเขาลำเนาไพร | มิได้พักพลอาสา |
เร่งรัดจัตุรงค์โยธา | ล่วงมาถึงด่านพระบูรี ฯ |
ฯ เชิด ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท่านท้าวตะรังอูเรืองศรี |
ซึ่งเป็นทัพหน้าพระภูมี | เห็นที่ชัยภูมิโอฬาร์ |
ร่มชิดปิดแสงอโณทัย | มีที่อาศัยน้ำท่า |
จึ่งสั่งตำมะหงงเสนา | ให้ตั้งพลับพลาบัดนี้ ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ตำมะหงงรับสั่งใส่เกศี |
ก้มเกล้ากราบงามสามที | มาเกณฑ์รี้พลโยธา ฯ |
ฯ ยานี ๒ คำ ฯ
๏ ทำค่ายขุดคูปักขวาก | จับฉลากเร่งรัดกันหนักหนา |
อีกทั้งสุวรรณพลับพลา | โรงรถคชาพาชี |
คูค่ายซ้ายขวาหน้าหลัง | ทั้งตามเป็นกระบวนครบที่ |
ทั้งกองร้อยคอยเหตุไพรี | จัดแล้วถ้วนถี่ทุกอัน |
ครั้นเสร็จที่ประทับพลับพลา | ตำมะหงงเสนาผายผัน |
เข้ามากราบทูลองค์พระทรงธรรม์ | ตั้งมั่นพร้อมเสร็จทุกประการ ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท่านท้าวตะรังอูได้ฟังสาร |
จึ่งเข้าไปประณตบทมาลย์ | เชิญเสด็จภูบาลขึ้นพลับพลา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ยุขันเรืองฤทธิ์ทุกทิศา |
พระจึ่งยุรยาตรคลาดคลา | ขึ้นสุวรรณพลับพลาฉับพลัน ฯ |
ฯ เสมอ ๒ คำ ฯ
๏ พร้อมหมู่อำมาตย์เสนา | เฝ้าแหนอยู่หน้าพลับพลานันต์ |
ทั้งท้าวตะรังอูทรงธรรม์ | ก็เฝ้าอยู่หน้าสุวรรณพลับพลาไชย |
แล้วพระจึ่งมีบัญชา | สั่งมหาเสนาผู้ใหญ่ |
จงปลอมเข้าไปในเวียงไชย | หานายประมงมาให้เรา |
จะไถ่ถามกิจการในธานี | ท่วงทีแยบกายฝ่ายเขา |
จะยกพลปล้นวิ่งชิงเอา | ท่าทางนั้นจะเข้าทิศใดดี ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ตะหลาหรันรับสั่งใส่เกศี |
ก้มเกล้ากราบงามลงสามที | เผ่นขึ้นพาชีควบไป |
ดั้นดัดลัดไพรพฤกษา | มาถึงอุรังฆารกรุงใหญ่ |
เอาพาชีผูกซ่อนไว้ในไพร | แต่ตัวเข้าไปในธานี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ยุขันเพราเพริศเฉิดโฉมศรี |
ครั้นตะหลาหรันไปจากภูมี | ฤดีพระคะนึงถึงนงเยาว์ |
........................... | ........................... |
...........................[๑] | จวนสกุณาเนาในรัง |
สระสี่เหลี่ยมเปี่ยมน้ำใส | ลึกไหลนองแนวเป็นแถวถั่ง |
มัจฉาวนว่ายใต้บัวบัง | พระนิ่งนั่งทอดทัศนานาน |
ปักษาฉาบเฉี่ยวชิงมาลัย | เลี้ยวไล่แลเล็งเซ็งแซ่ซ่าน[๒] |
บ้างลงหลงชมบัวบาน | บัวหลวงเหลืองลานตระการตา |
พรรณบัวเผื่อนผ่องแจ่มจัด | กลีบกลัดตูมตั้งดั่งเลขา |
สัตบงกชแกมบุษบา | กลิ่นกล้าเฟื่องฟุ้งจรุงใจ |
แมลงผึ้งหึ่งฮือเอาซาบ | อาบละอองเกสรฟอนใฝ่ |
นิลุบลจงกลบังใบ | ตูมบานไสวนานา |
เหมหงส์บินลงลอยเล่น | เห็นเหมือนพี่พลัดขนิษฐา |
กระเหว่าร้องโต้สัตวา | เหมือนแก้วตาพี่พลอดเพลินใจ |
ยางเจ่าจับแลบนจอมผา | นกกระทาปักกร้อเสียงใส |
โนรีเรื่อยร้องระวังไพร | เหมือนให้พี่กล่อมเมื่อนิทรา |
แขกเต้าไต่ตามลัดาพลอง | โพระดกร่อนร้องสนั่นป่า |
จากพรากกระพือลมมา | เหมือนแก้วตาพัดพี่ให้บรรทม |
นางนวลจับนางนวลนอน | เหมือนวอนบังอรเมื่อสู่สม |
วายุภักษ์จับไผ่ไพรพนม | เหมือนเราบรมสุขที่ปรางค์ใน |
วิหคโหยละห้อยหาคู่ | เขาคูคะนองในป่าใหญ่ |
แก้วจับกิ่งแก้วแล้วบินไป | พญาลอเลี้ยวไล่อลวน |
นกเปล้าเคล้าคล้าคณานาง | พูดพลอดกันพลางทางไซ้ขน |
เห็นเหมือนนุชเรียงเรียมบน | เหนือพิกลแก้วบัลลังก์ใน |
หวนหันรันทดสลดลง | เอนองค์โอดโอยโหยไห้ |
จักจั่นแจ้วเจื้อยจับใจ | เรไรหริ่งรี่เรื่อยร้อง |
พระพายหวนหอมเหมือนกลิ่นแก้ว | ฤๅมาแล้วให้พี่คลายหายหมอง |
ยื่นพระหัตถ์แหวกม่านเมียงมอง | ทอดทัศนาน้องตะลึงแล |
........................... | ........................... |
...........................[๓] | เห็นแต่สกุณาซบเซา |
เงียบเหงาแลเห็นแต่ซุ้มเซิง | ว่างเวิ้งตรอกโตรกยิ่งโศกเศร้า |
แสนคะนึงถึงองค์นางนงเยาว์ | คืนเข้าในมหาพลับพลาพลัน ฯ |
ฯ ช้าครวญ ๓๒ คำ ฯ
๏ ซบพักตร์ลงกับเขนยทอง | ขุ่นหมองเนตรนองกันแสงศัลย์ |
โอ้สร้อยสุดาวิลาวัณย์ | เรียมรันทดทุกข์ทุกเพลา |
โอ้ยามป่านฉะนี้เจ้าพี่เอ๋ย | นุชเจ้าเคยพิงพันหรรษา |
เรียมแนบเจ้าแอบอุระพา | นั่งนวดบาทาให้บรรทม |
พลิกพลอดแล้วชวนชมเชย | เคียงเขนยที่เคยสู่สม |
นุชน้องแนบพี่พี่แนบชม | เกลียวกลมพี่เแนบนางนอน |
ยามสรงเจ้าสรงสุคนธ์ให้ | ลูบไล้ให้พี่สโมสร |
ป่านฉะนี้แก้วพี่จะอาวรณ์ | จะเร่าร้อนครวญครํ่ารำจวน |
เด็ดด่วนทุกข์ถึงสุดาเดียว | แลเหลียวก็สุดทรามสงวน |
ยิ่งคะนึงยิ่งร่ำครํ่าครวญ | ยิ่งป่วนปั่นจิตไม่นิทรา |
โอ้ว่าเป็นกรรมวิบากเรา | จากเจ้าผู้ยอดเสนหา |
น้ำพระเนตรไหลอาบพักตรา | เต็มคลองนัยนาเนืองไป |
เป็นสายแสงแดงดุจโลหิต | ในจิตร้อนยิ่งกว่าเพลิงไหม้ |
จันทร์จรจวนรุ่งอโณทัย | ไขศรีส่องโลกนิกร ฯ |
ฯ ๑๔ คำ ฯ
๏ เสด็จสรงพระพักตร์เสร็จสรรพ | ทรงเครื่องประดับแล้วจับศร |
กั้นหยั่นสำหรับอยู่กับกร | บทจรออกหน้าพลับพลาพลัน ฯ |
ฯ ร่าย เสมอ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | จึ่งมหาเสนาตะหลาหรัน |
ซึ่งไปฟังเหตุในเขตขัณฑ์ | จรจรัลตามชนทั้งปวงมา |
เข้าไปแต่ตัวไม่กลัวใคร | อาจองทะนงใจเป็นหนักหนา |
ปลอมไปกับชาวพารา | ถามหานายประมงอยู่แห่งใด ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ชาวเมืองบอกแจ้งแถลงไข |
หน้าบ้านอยู่ริมประตูไชย | แลไปก็เห็นอยู่ตรงนี้ ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ตะหลาหรันแจ้งใจถ้วนถี่ |
เร่งรีบคลาไคลไปทันที | ถึงที่สำนักบัดใจ |
แล้วจึ่งร้องเรียกเข้าไปดู | ว่านายประมงอยู่หรือไม่ |
นายประมงได้ยินก็ลงไป | นั่งไหว้แล้วถามเนื้อความพลัน |
ตะหลาหรันจึ่งบอกนายประมง | บัดนี้โฉมยงองค์ยุขัน |
ยกมากับท้าวฉะนะตัน | ทรงธรรม์จะใคร่แจ้งประจักษ์ความ |
จึ่งให้มาหาท่านออกไป | นายประมงดีใจกระซิบถาม |
เสด็จมาถึงไหนพระโฉมงาม | พูดความพลางพากันเดินมา |
ถึงป่าแก้ม้าที่ซ่อนไว้ | ขึ้นขี่ไปด้วยกันหรรษา |
เลี้ยวลัดตัดดงตรงมา | มิช้าก็ถึงพลับพลาไชย ฯ |
ฯ เชิด ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ยุขันรัศมีศรีใส |
แลเห็นนายประมงมาแต่ไกล | สมดั่งพระทัยจินดา |
ตรัสเรียกให้เข้ามาใกล้ | ชื่นชมภิรมย์ใจเป็นหนักหนา |
นายประมงก็คลานเข้ามา | ก้มเกล้าวันทาพระภูมี |
จึ่งปราศรัยไถ่ถามกิจจา | ยังค่อยผาสุกกระเษมศรี |
อันราชการในธานี | พี่ยังรู้บางหรือยังไร |
ได้ยินข่าวคราวสกุณี | ปักษีนั้นอยู่ที่ไหน |
อันท้าวปะรังศรีชาญชัย | แจ้งเหตุหรือไม่เรายกมา ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ประมงบังคมเหนือเกศา |
จึ่งทูลไปด้วยใจปรีดา | ข้าแจ้งอยู่สิ้นทุกประการ |
แต่พระองค์เสด็จไปจากข้าบาท | ได้ไปมาไม่ขาดในขัณฑ์ |
สืบสวนรู้สิ้นสารพัน | นกนั้นให้องค์พระธิดา |
ไปเลี้ยงไว้ในปราสาทศรี | เทวีรักใคร่เป็นนักหนา |
แล้วท้าวให้ไปลวงนางกัลยา | เอามาฆ่าเสียได้สามวัน |
ได้ดวงจินดามหาวิเศษ | ลือเดชยิ่งยวดกวดขัน |
อมไว้ในโอษฐ์พระทรงธรรม์ | สารพันนึกได้ดั่งใจ |
ซึ่งยกโยธามาครั้งนี้ | ในบูรีจะรู้ก็หาไม่ |
ข้าเห็นขัดสนจนใจ | ที่จะต่อฤทธิไกรในพารา ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ยุขันแค้นขัดสหัสสา |
ดั่งต้องปืนพิษติดอุรา | พระราชาสะท้อนถอนใจ |
อนิจจารังสีเจ้าพ่อเอ๋ย | ไม่ควรเลยจะม้วยตักษัย |
เพราะพาเจ้ามาจากเวียงไชย | จึ่งบรรลัยสิ้นชีพปลิดปลง |
พระเร่งเดือดดาลทะยานใจ | รานร้อนพระทัยดั่งเพลิงสง |
เราก็เป็นกระษัตริย์เอกองค์ | จะย่อท้อณรงค์อย่าสงกา |
ถึงชีวิตจะม้วยบรรลัย | จะให้ลือชื่อไว้ในทิศา |
แล้วมีพระราชบัญชา | ปรึกษาท้าวตะรังชาญชัย |
ครั้งนี้สงครามเห็นสามารถ | องอาจจึ่งจะหักศึกได้ |
เราจะแต่งทหารให้เข้าไป | ถึงในปราสาทรูจี |
สะกดไว้อย่าให้ฟื้นกายา | จึ่งจะได้จินดามณีศรี |
ในโอษฐ์ท้าวปะรังภูมี | ก็จะสิ้นฤทธีเกรียงไกร |
เราจะได้สังหารชีวา | ไม่ช้าจะม้วยตักษัย |
ผู้ใดจะอาสาเราไป | จึ่งจะได้ราชการในครั้งนี้ ฯ |
ฯ ๑๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ตำมะหงงตะหลาหรันทั้งสองศรี |
ก้มเกล้ากราบทูลทันที | ข้านี้จะขออาสาไป |
เข้าในอุรังฆารธานี | สะกดท้าวปะรังศรีให้จงได้ |
จะเอาดวงวิเชียรอำไพ | มาถวายภูวไนยถึงพลับพลา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระโฉมยงทรงธรรม์ก็หรรษา |
ได้ฟังทั้งสองเสนา | ผ่านฟ้าดำรัสตรัสไป |
ตัวเราจะเข้าไปด้วย | จะได้ช่วยคิดอ่านแก้ไข |
อันท้าวตะรังอูชาญชัย | ให้อยู่ที่ประทับพลับพลา |
ตรวจตรานั่งยามตามไฟ | จงระวังระไวรักษา |
กว่าเราจะกลับออกมา | อย่าให้มีเหตุเภทภัย |
ว่าแล้วจึ่งถอดพระธำมรงค์ | จากนิ้วพระองค์ประทานให้ |
แก่นายประมงทันใด | เราให้ท่านพลางเป็นรางวัล |
แม้นเสร็จสงครามในเวียงไชย | เราให้ผ่านพิภพไอศวรรย์ |
จะสนองคุณท่านให้ครามครัน | ช่วยชีวันไว้จึ่งรอดมา ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | นายประมงกราบงามสามท่า |
รับพระธำมรงค์อลงการ์ | ทูลเหนือเกศาด้วยยินดี |
จึ่งกราบถวายบังคมลา | ดั้นดัดลัดป่าพนาศรี |
ตรงไปเคหาด้วยทันที | มีความชื่นบานสำราญใจ ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ยุขันรัศมีศรีใส |
ครั้นนายประมงกลับไป | ภูวไนยเสด็จเข้าพลับพลา ฯ |
ฯ เสมอ โอด ๒ คำ ฯ
๏ ทอดองค์ลงเหนือปัจถรณ์ | อาวรณ์ไม่วายถวิลหา |
รำลึกตรึกถึงสกุณา | อนิจจามาม้วยบรรลัย |
เสียแรงบิดาพยายาม | พาข้ามพระมหาสมุทรใหญ่ |
สัญจรนอนดงพงไพร | ได้เจ้าเป็นเพื่อนพาที |
แม้นรู้ไปถึงพระมารดา | จะโศกาสร้อยเศร้าหมองศรี |
ไหนจะทุกข์ถึงเจ้าสกุณี | ไหนจะทุกข์ถึงพี่ที่จากมา |
ยิ่งทรงอาดูรพูนเทวษ | ชลเนตรพรั่งพรายทั้งซ้ายขวา |
พระเร่งแค้นขัดกลัดอุรา | นิทราไม่หลับในราตรี ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ