๑๖
๏ มาจะกล่าวบทไป | ถึงองค์ท่านท้าวปะรังศรี |
แต่ได้ดวงวิเชียรมณี | ภูมีอิ่มเอิบกำเริบใจ |
คิดแต่จะกรีพลขันธ์ | ไปเที่ยวบุกบั่นทุกกรุงใหญ่ |
ด้วยอานุภาพที่เกรียงไกร | ใครจะต้านทานได้นั้นไม่มี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ พระสถิตเหนือแท่นทิพรัตน์ | ไพบูลย์พูนสวัสดิ์กระเษมศรี |
เมื่อยามประจุสมัยราตรี | ภูมีนั้นทรงพระสุบิน |
ฝันว่าพระยากาฬฤทธิรอน | สองกรทรงกุมธนูศิลป์ |
เหาะโหยมาโดยอัมพิร | เข้าในบุรินทร์เวียงไชย |
มาตัดเอาเศียรเกศา | ชิงดวงจินดานั้นไปได้ |
ผวาตื้นฟื้นองค์ขึ้นทันใด | ภูวไนยหวาดหวั่นพรั่นนัก ฯ |
ฯ ร่าย ๖ คำ ฯ
๏ สังเกตดวงแก้วในโอษฐ์ดู | เศียรศอดีอยู่ก็ประจักษ์ |
พระคิดอัศจรรย์ใจนัก | ทรงศักดิ์เสด็จจากไสยา |
อ่าองค์ทรงเครื่องแล้วจรลี | ออกที่พระโรงข้างหน้า |
จึ่งมีพระราชบัญชา | แก่ขุนโหราไปทันที |
คืนนี้เราทรงพระสุบิน | บรรยายไปสิ้นถ้วนถี่ |
จงทำนายทายทักบัดนี้ | จะร้ายหรือดีประการใด ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | โหราบังคมประณมไหว้ |
จึ่งดำริตริตรึกนึกในใจ | อันในสุบินนี้ร้ายนัก |
แล้วจึ่งเอาดวงพระชันษา | เทียบทานไตรตราให้ประจักษ์ |
ทั้งราหูเสาร์จรเข้าเล็งลัคน์ | ร้ายนักขั้นพันทวี |
เห็นจะสิ้นชนมานเป็นแม่นมั่น | พร้อมกันกราบทูลถ้วนถี่ |
ซึ่งทรงพระสุบินในครานี้ | ว่าพระกาฬผู้มีฤทธา |
เห็นจะมีศัตรูหมู่ภัย | องอาจฤทธิไกรแกล้วกล้า |
ซึ่งเข้าไปถึงแท่นไสยา | ตัดเกล้าเกศาแล้วพาไป |
จะมีผู้ทรงอิทธิฤทธา | มาเอาจินดานั้นไปได้ |
ทั้งดวงชันษาพระภูวไนย | ก็ขาดไปสูญสิ้นประจวบกัน |
เร่งระมัดพระองค์ให้จงดี | ในราตรีจะเกิดเหตุเป็นแม่นมั่น |
แม้นไม่เหมือนคำทำนายนั้น | พร้อมกันขอถวายชีวา ฯ |
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท่านท้าวปะรังศรีรุ่งฟ้า |
ได้ฟังถ้อยคำโหรา | พระราชากริ้วโกรธพิโรธใจ |
กระทืบพระบาทผาดเสียง | สำเนียงเพียงแผ่นดินไหว |
ดูดูไอ้โหรจังไร | มึงแกล้งใส่ไคล้เจรจา |
ตัวกูทรงฤทธิ์เกรียงไกร | ปราบได้ทั่วทศทิศา |
อีกทั้งมนุษย์ครุฑา | คือใครจะมาต้านทาน |
มึงช่างเสกสรรพรรณนา | แกล้งว่าเปล่าเปล่าไอ้เดียรัจฉาน |
ชีพมึงโหราจะวายปราณ | จะสังหารผลาญเสียบัดนี้ |
ว่าแล้วเสด็จยาตรา | เข้ามายังปราสาทไชยศรี |
คับแค้นแน่นใจพันทวี | ที่คำโหราทำนาย ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระโฉมยงองค์ยุขันเฉิดฉาย |
ครั้นแสงสุริยานั้นอ่อนชาย | พระฤๅสายจึ่งมีบัญชา |
ตำมะหงงตะหลาหรันสองคน | วันนี้ชอบกลเป็นนักหนา |
เราจะเข้าไปในพารา | อย่าช้าเร่งรัดบัดนี้ ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | สองทหารประณตบทศรี |
ชวนกันออกมาทันที | ชำระขัดสีกายา |
แล้วทาว่านยาตามเพท | ใส่เครื่องวิเศษนักหนา |
โพกผ้าประเจียดทั้งสองรา | เหน็บกฤชฤทธาทันใด |
แล้วลองอาคมคาถา | ใครจะเห็นกายาก็หาไม่ |
ทั้งสะกดจังงังบังตาไว้ | องอาจฤทธิไกรทั้งสองรา |
จึ่งเข้าไปถวายอภิวาท | ท่ามกลางอำมาตย์ซ้ายขวา |
ไม่มีใครเห็นกายา | เห็นแต่พระยอดฟ้าฤทธิไกร ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ยุขันรัศมีศรีใส |
เห็นสองทหารชาญชัย | มาในสุวรรณพลับพลา |
พระเร่งชื่นชมโสมนัส | ไพบูลย์พูนสวัสดิ์หรรษา |
จึ่งเสด็จยุรยาตรคลาดคลา | เข้ามาสระสรงคงคาลัย |
ชำระสนานสำราญสกนธ์ | ให้หมดมลทินผ่องใส |
ทรงสุคนธรสอำไพ | สอดใส่สนับเพลาเพราตา |
ภูษิตวิจิตรบรรจง | ฉลององค์จำรัสพระเวหา |
สอดใส่ธำมรงค์อลงการ์ | ทรงเครื่องยุทธนาอ่าองค์ |
แล้วทรงสังวาลประพาฬแสง | เลิศลํ้ากำแหงสูงส่ง |
ร่ายเวทกำกับประทับลง | แล้วทรงเกราะแก้วแววไว |
รัดอกกระหนกเพชรรัตน์ | แสงจำรัสด้วยมณีศรีใส |
โพกเวียนเศียรเกล้าอำไพ | เหน็บกฤชฤทธิไกรไคลคลา ฯ |
ฯ ทยอย ๑๒ คำ ฯ
๏ พระเสด็จมาขึ้นพาชี | ล้วนมีฝีเท้าแกล้วกล้า |
เชื้อชาติสินธพอาชา | กายาดำสีมณีนิล |
อาชาทั้งสองทหารดี | เลือกล้วนพาชีดำสิ้น |
เผ่นทะยานผ่านโผนดั่งหงส์บิน | ภูมินทร์เร่งรีบจรจรัล |
ขับอัศวราชไคลคลา | พักเดียวก็ไปถึงเขตขัณฑ์ |
พอพระสุริยาสายัณห์ | ชวนกันลงจากอาชา |
หักซุ้มซ่อนม้าทั้งสามตัว | มืดมัวลงไม่รู้จักหน้า |
พระจึ่งบทจรยาตรา | พากันไคลคลามิทันนาน |
ลอดลัดหลีกเลี้ยวลอบไป | เข้าไปจนถึงราชฐาน |
แล้วพระจึ่งร่ายโองการ | สะเดาะพระทวารเข้าไป |
เปิดได้ก็เสด็จยาตรา | เข้าในพารากรุงใหญ่ |
ต่างคนต่างอ่านอาคมไป | ผู้ใดจะเห็นก็ไม่มี |
ชาวเมืองทั้งนั้นไม่รู้ตัว | เล่นไพ่เล่นถั่วอยู่อึงมี่ |
ลางพวกขึ้นหากระษัตรี | บ้างเป็นโจรจรลีล้วงคว้า |
ลางพวกบ้างชวนกินเหล้า | เมามายแล้วไม่รู้จักหน้า |
ผู้คนกล่นเกลื่อนกันไปมา | พระยาตราจนถึงทวารวัง |
อ่านอาคมเป่าก็เปิดไป | ไม่ทันใดด้วยวิทยาขลัง |
เข้าในปราสาทราชวัง | ขึ้นยังมณเฑียรอันรูจี ฯ |
ฯ ๑๘ คำ ฯ
๏ เข้าในพระปรัศว์เบื้องขวา | ล้วนฝูงกัลยาสาวศรี |
จึ่งเห็นองค์นางสร้อยสุณี | บรรทมอยู่บนแท่นที่ไสยา |
แล้วพระจึ่งเข้าในปรัศว์ซ้าย | สอดส่ายนัยน์เนตรแลขวา |
เห็นองค์บุษหรีศรีโสภา | นิทราอยู่บนแท่นทอง |
อรชรอ้อนแอ้นประโลมใจ | เฉิดโฉมวิไลไม่มีสอง |
พิศพักตร์เพริศพริ้งนวลละออง | ผิวพรรณดั่งทองทาบทา |
พระเร่งวินิจพิศวาส | ในองค์เยาวราชเสนหา |
จะใคร่อิงแอบแนบกายา | กลัวว่าจะช้าท่วงที |
แล้วพระเสด็จไคลคลา | ออกมาจากห้องโฉมศรี |
เข้าในปราสาทมณี | ภูมีสะกดฝูงนาริน |
สาวสนมในสิ้นทั้งนั้น | นอนหลับทับกันหมดสิ้น |
เข้าในห้องแก้วมณีนิล | ภูมินทร์ร่ายมนต์จังงัง |
อีกทั้งพระเวทคาถา | วิทยาอาคมแต่ล้วนขลัง |
พระหัตถ์รูดม่านกำบัง | นั่งลงข้างเศียรพระภูมี |
ควักเอาดวงมณีวิเชียรโชติ | ที่ในโอษฐ์ท้าวปะรังศรี |
พระจับกฤชอันเรืองฤทธี | จะใคร่ล้างชีวีให้บรรลัย |
แม้นกูจะฆ่าเสียบัดนี้ | เหมือนทำซากผีหาควรไม่ |
คิดแล้วเสด็จออกไป | บอกทหารชาญชัยทั้งสองคน |
เราได้จินดามาสมคิด | จะเหาะลองดูฤทธิ์ในเวหน |
ท่านอยู่นี้ก่อนทั้งสองคน | แล้วจะจรดลกลับมา |
ตรัสแล้วเอาดวงมณีรัตน์ | วางลงเหนือหัตถ์เบื้องขวา |
ลอยละลิ่วปลิวไปในเมฆา | มาถึงพลับพลาทันใด ฯ |
ฯ เชิด ๒๒ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงจึ่งหยิบดวงมณี | ที่ยอดชฎาศรีใส |
เหาะระเห็จเก็จฟ้ามาฉับไว | ลงยังปรางค์ในรจนา |
ครั้นถึงทหารชาญชัย | ภูวไนยชื่นชมหรรษา |
พระเข้าไปในที่ไสยา | เอาดวงจินดาใส่โอษฐ์เแทน |
แล้วผลักพลิกคว่ำทำเล่น | ทีนี้จะเห็นกันมั่นแม่น |
ให้สาแก่ใจที่ได้แค้น | จะใคร่ทำให้แสนสากรรจ์ |
ว่าแล้วเสด็จยาตรา | มาหาตำมะหงงตะลาหรัน |
ชวนสองทหารจรจรัล | ออกจากเขตขัณฑ์เวียงไชย |
ขึ้นทรงมิ่งม้าอาชา | รีบรัดตัดมาในป่าใหญ่ |
ถึงที่ประทับพลับพลาไชย | พอพระสุรีย์ใสส่องธาตรี ฯ |
ฯ ร่าย ๑๐ คำ ฯ
๏ พระชำระสระสรงคงคา | ทรงสุคนธาธารเรืองศรี |
แล้วเสด็จย่างเยื้องจรลี | ออกที่สุวรรณพลับพลาไชย ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ พร้อมท้าวพระยาสามนต์ | ทั้งสกนธ์พยุหะน้อยใหญ่ |
อีกท้าวตะรังอูชาญชัย | ภูวไนยตรัสเล่าคดี |
เราได้ดวงมณีอำไพ | ที่ในโอษฐ์ท้าวปะรังศรี |
ทีนี้สิ้นอิทธิฤทธี | ชีวีจะม้วยบรรลัย |
เราจะยกเข้าล้อมพารา | ฆ่าเสียให้ม้วยตักษัย |
จะหักเอาให้ได้ดั่งใจ | ใครจะเห็นเป็นยังไรให้ว่ามา ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท่านท้าวตะรังอูนาถา |
ถวายบังคมคัลวันทา | ทูลสนองบัญชาพระภูวไนย |
อันจะเข้าหักโหมโจมตี | ปะรังศรีฤๅจะทานฝีมือได้ |
แต่ไม่มีเกียรติยศปรากฏไป | ดั่งทัพใหญ่เข้าปล้นพารา |
ด้วยมิได้แจ้งแห่งคดี | เห็นทีจะคิดกังขา |
ไม่รู้ว่าทัพใครยกมา | จำจะว่าด้วยเรื่องสกุณี |
ให้เสนาในจำทูลสาร | ไปว่าขานกับท้าวปะรังศรี |
ให้เอาหัสรังสกุณี | ทั้งองค์บุตรีออกมา |
นอบน้อมถวายโดยดี | ชีวีจึ่งจะไม่สังขาร์ |
มาตรแม้นไม่ส่งสกุณา | กับองค์ธิดานารี |
จึ่งจะเข้าหักโหมโรมรุก | บุกบั่นให้ถึงกรุงศรี |
จึ่งจะชอบตามราชประเพณี | ภูมีจงทราบพระบาทา ฯ |
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ยุขันเรืองฤทธิ์ทุกทิศา |
ได้ฟังท้าวตะรังทูลมา | ผ่านฟ้าเห็นชอบระบอบบรรพ์ |
แล้วพระจึ่งสั่งเสนา | ให้แต่งสารตราขมีขมัน |
จงเร่งรีบรัดจัดกัน | เข้าไปให้ทันเวลานี้ ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | เสนารับสั่งใส่เกศี |
จึ่งแต่งราชสารทันที | ตามมีพระราชบัญชา |
แล้วจัดทหารชาญชัย | เลือกล้วนฤทธิไกรแกล้วกล้า |
ชวนกันเผ่นขึ้นอาชา | รีบมายังราชธานี ฯ |
ฯ เชิด ๔ คำ ฯ
๏ มาเอยมาถึง | ปลายด่านอุรังฆารกรุงศรี |
จึ่งเข้าไปแจ้งคดี | ตามมีพระราชสารา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ชาวด่านตกใจเป็นหนักหนา |
จึ่งชวนกันขึ้นอาชา | เข้ามายังราชธานี ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงจึ่งแจ้งกิจจา | แก่มหาเสนาถ้วนถี่ |
บัดนี้มีเหล่าไพรี | ถือพระราชสารศรีเข้ามา |
ขององค์ยุขันเป็นใหญ่ | ว่ามีฤทธิไกรนักหนา |
จะเข้ามาในพระพารา | ท่านมหาเสนาจงแจ้งใจ ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | อัครมหาเสนาผู้ใหญ่ |
ได้ฟังตระหนกตกใจ | จึ่งเข้าไปในท้องพระโรงคัล |
ครั้นถึงจึ่งกราบบังคมทูล | นเรนทร์สูรปิ่นภพไอศวรรย์ |
บัดนี้มีพวกไภยัน | มาถึงเขตขัณฑ์เวียงไชย ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เสนานำราชสารทรง | ขององค์ยุขันเป็นใหญ่ |
มาอยู่ปลายด่านเวียงไชย | จะเข้ามาในพระบูรี ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | จึ่งองค์ท่านท้าวปะรังศรี |
ได้ฟังเสนาทูลคดี | พระภูมีตริตรึกนึกใน |
อันอ้ายยุขันกุมาร | เหล่าทหารโบยตีเพียงตักษัย |
ยังไม่ม้วยมอดบรรลัย | ได้พวกพลไกรกลับมา |
บัดนี้ให้มีพระราชสาร | เห็นจะมาว่าขานด้วยปักษา |
จำกูจะให้รับสารา | เข้ามาในราชธานี |
คิดแล้วจึ่งสั่งเสนาใน | เร่งให้ไปรับสารศรี |
ตรวจตรากำชับกันจงดี | อย่าให้มีเหตุเภทภัย ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | เสนารับสั่งบังคมไหว้ |
ออกมาจากท้องพระโรงไชย | ให้จัดรี้พลโยธา |
จึ่งแต่งเสนาผู้ใหญ่ | คุมพวกสกลไกรซ้ายขวา |
ครั้นเสร็จให้ยกไคลคลา | ออกมายังนอกเวียงไชย |
มาถึงปลายด่านพารา | จึ่งมหาเสนาผู้ใหญ่ |
บอกทูตถือสารทันใด | เชิญท่านเข้าไปฉับพลัน ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | จึ่งมหาเสนาคนขยัน |
ได้แจ้งแห่งคำอำมาตย์นั้น | แต่งตัวฉับพลันทันใด |
ครั้นเสร็จก็ชวนกันลีลา | เข้าในนครากรุงใหญ่ |
เสนานำหน้าคลาไคล | บัดใจก็ถึงพระบูรี ฯ |
ฯ กราว ๔ คำ ฯ
๏ จึ่งให้หยุดอยู่ยังศาลา | ตรวจตรากำชับกันถ้วนถี่ |
แล้วจึ่งมหาเสนี | เข้าไปยังที่พระโรงไชย |
ครั้นถึงจึ่งถวายอภิวาท | พระบาทปิ่นพิภพเป็นใหญ่ |
อันราชทูตทั้งปวงไซร้ | เข้ามาอยู่ในศาลา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท่านท้าวปะรังศรีรุ่งฟ้า |
ได้ฟังมหาเสนา | ให้เบิกทูตเข้ามาบัดนี้ ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | เสนารับสั่งใส่เกศี |
จึ่งออกไปพลันทันที | นำมหาเสนีเข้ามา |
ครั้นถึงก้มเกล้าบังคม | องค์พระบรมนาถา |
เสนีจึ่งถวายสารา | มิได้ว่าขานประการใด ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | สุปิหลันบังคมประณมไหว้ |
จึ่งรับสารามาทันใด | คลี่ออกอ่านไปทันที |
ในลักษณ์ราชสารทรง | องค์บรมกระษัตริย์เรืองศรี |
พระเดชเฟื่องฟุ้งทุกธานี | ไม่มีใครอาจองทะนงใจ |
เป็นหน่อท่านท้าวอุรังยิด | ทรงฤทธิ์ดั่งดวงพระสุรีย์ใส |
ศักดาอานุภาพเกรียงไกร | ไปเมืองเรเซนได้นกมา |
นามชื่อว่าหัสรังสี | มาหยุดอยู่ในที่สวนขวา |
ท้าวปะรังโมหันธ์ฉันทา | ออกมาช่วงชิงเอานกไป |
จงเร่งแต่งสุวรรณบรรณา | ทั้งสกุณาปักษาศรีใส |
อีกองค์พระธิดายาใจ | ออกไปถวายพระภูมี |
จงลุกะโทษตัวที่มัวเมา | กราบเกล้าประณตบทศรี |
พระองค์จะประทานชีวี | ให้มีความสุขทั้งพารา |
แม้นมิไปถวายโดยดี | ปรางค์ศรีเหมือนอยู่ในหัตถา |
จะบุกบั่นไม่ทันพริบตา | จะสังหารชีวาให้บรรลัย ฯ |
ฯ ร่าย ๑๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท่านท้าวปะรังศรีเป็นใหญ่ |
ฟังสารดาลเดือดฤทัย | จึ่งตรัสไปแก่ทูตทั้งสองพลัน |
เอ็งจงไปบอกแก่กุมาร | ให้แจ้งเหตุการณ์ทุกสิ่งสรรพ์ |
กูปรานีพ้นที่จะรำพัน | ยุขันเหมือนหนึ่งลูกยา |
ไม่ควรที่จะต่อสู้ | ขายเบื้องบาทกูเป็นหนักหนา |
อันท้าวอุรังยิดบิดา | ดั่งว่าเป็นมิตรสหายกัน |
กูเห็นแก่ท้าวอุรังยิด | กูไม่เกรงฤทธิ์อ้ายยุขัน |
บัดเดี๋ยวจะเป็นธุลีกัน | มาสิบเท่านั้นไม่พรั่นใจ |
อันซึ่งนกหัสรังสี | กูผลาญชีวีให้ตักษัย |
เจ้าเอ็งอาจองทะนงใจ | มานอนในสวนศรีอุทยาน |
กูคิดนิดหนึ่งถึงบิดา | หาไม่ชีวาจะสังขาร |
กลับมากล่าวคำอหังการ | หยาบช้าสามานย์เป็นพ้นไป |
จะให้แต่มหาเสนี | ไปสังหารชีวีให้ตักษัย |
เอ็งจงเร่งกลับออกไป | บอกให้แจ้งใจบัดนี้ ฯ |
ฯ ๑๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ทูตาซึ่งนำสารศรี |
ได้ฟังกริ้วโกรธดั่งอัคคี | ร้องตอบวาทีไม่กลัวเกรง |
จริงแล้วยุขันเหมือนลูกยา | ท้าวกล่าววาจาเห็นเหมาะเหม็ง |
บุษหรีลูกน้อยจะลอยเท้ง | ออกโอษฐ์ท้าวเองก็เห็นดี |
ดีร้ายจะได้มาเป็นเขย | มั่งแล้วกระไรเลยไม่รู้ที่ |
อย่าอวดโอ้โป้ปดมันไม่ดี | แต่เรานี้ก็ปรีชาชาญ |
นี้หากไม่โปรดให้อาญาสิทธิ์ | หาไม่จะลองฤทธิ์กลางสนาม |
อันองค์ยุขันทรงนาม | จะปราบปรามอาธรรม์ฉันทา |
พระองค์เหมือนเหล็กเพชรกรด | จะแผลงผลาญบรรพตภูผา |
ท่านเหมือนลอมฟางอยู่กลางนา | ผ่านฟ้าเหมือนเพลิงประลัยกัลป์ |
ฟางหรือจะทนเพลิงได้ | อย่าอวดอิทธิฤทธิ์ไกรว่าแข็งขัน |
รักตัวกลัวจะม้วยชีวัน | จงบังคมคัลถวายเมือง ฯ |
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท้าวปะรังศรีโกรธฟุ้งเฟื่อง |
รู้ว่าทหารฤทธิ์เรือง | ย่อมลือเลื่องฝีมือเป็นพ้นนัก |
เข้าการอะไรจะโมโห | ตอบโต้มันไยให้เสียศักดิ์ |
จึ่งสั่งสุปิหลันผู้ใจภักดิ์ | เป็นทหารยอดรักพระภูมี |
เร่งเกณฑ์จัตุรงค์ไปยงยุทธ์ | พร้อมสรรพอาวุธให้ถ้วนถี่ |
แต่ละคนแกล้วกล้าวิชาดี | กลัวแต่จะหนีถอยไป |
แม้นเห็นเร่ร่อนกระบวนทัพ | กลับมาบอกกูให้จงได้ |
จะยกกรีพลสกลไกร | ไปเยาะเย้ยไยไพให้อัประมาณ |
อย่าบอกว่ากูเหาะได้ | ฤทธิ์เดชยังไรอย่าว่าขาน |
แม้นแจ้งว่ากูปรีชาชาญ | มินานจะหนีไปนคร ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ ทหารสองนายก็ยิ้มหัว | งดขอผ่อนครัวประเดี๋ยวก่อน |
ลูกเล็กเด็กน้อยจะซอกซอน | พระนครพรุ่งนี้จะวุ่นวาย |
ลูกสาวข้ามีอยู่คนหนึ่ง | อย่าโกรธขึ้งเลยจะถวาย |
เยาะเย้ยต่างต่างทั้งสองนาย | ปะรังศรีปิ่มกายจะโทรมทรุด |
ท้าวยิ่งกริ้วโกรธพิโรธใจ | สั่งให้ไล่จับอุตลุด |
เสนีวิ่งรี่เข้ายั้งยุด | สองทหารอุตลุดราวี |
อ่านอาคมหายตัวไปต่อหน้า | ประจักษ์แก่ตาปะรังศรี |
ออกจากพระโรงคัลทันที | เผ่นขึ้นพาชีกลับไป ฯ |
ฯ เชิด ๘ คำ ฯ
๏ มาเอยมาถึง | ยังสุวรรณพลับพลาศรีใส |
ก้มเกล้ากราบทูลพระทรงไชย | ตามในคดีซึ่งมีมา ฯ |
ฯ ร่าย ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระโฉมยงทรงฤทธิ์ทุกทิศา |
ได้ฟังมหาเสนา | ผ่านฟ้ากริ้วโกรธพิโรธใจ |
แล้วมีพระราชบัญชา | แก่ท้าวพระยาน้อยใหญ่ |
ท้าวตะรังอูชาญชัย | ให้ยกพลไกรไคลคลา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท้าวตะรังรับสั่งเหนือเกศา |
ทูลลามาขึ้นอาชา | ยกเป็นทัพหน้าพระภูมี ฯ |
ฯ เชิด ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ยุขันทรงสวัสดิ์รัศมี |
เสด็จทรงมิ่งม้าพาชี | เป็นจอมโยธีทัพไชย |
อีกทั้งปีกซ้ายปีกขวา | เกลื่อนกลาดดาษดามาไสว |
โห่ร้องกึกก้องทั้งทัพไชย | ยกพลสกลไกรไคลคลา |
ล่วงเข้าในแดนธานี | ให้หยุดโยธีซ้ายขวา |
ตั้งมั่นกระชั้นพารา | ตรวจตั้งทัพพลับพลาพลัน ฯ |
ฯ เจรจา ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ปะรังศรีขัดแค้นหุนหัน |
ด้วยสองทหารชาญฉกรรจ์ | เยาะเย้ยสารพันให้เจ็บใจ |
แล้วหายตัวไปต่อหน้า | ผ่านฟ้ายิ่งขัดอัชฌาศัย |
พอได้ยินเลื่อนลั่นสนั่นไป | ก็แจ้งว่าทัพไชยยกมา |
จึ่งสั่งให้สุปิหลันเสนี | ให้จัดรี้พลอาสา |
ออกไปต้านต่อฤทธา | อย่าช้าเร่งรัดบัดนี้ |
แม้นว่าสงครามสามารถ | องอาจฤทธิไกรชัยศรี |
เร่งบอกเข้ามาในธานี | จึ่งจะตีจัตุรงค์โยธา |
แม้นใครย่อท้อถอยหลัง | กูจะผลาญชีวังให้สังขาร์ |
เลือกล้วนเรืองฤทธิ์เดชา | ตรวจตราเร่งรัดจัดกัน ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | จึ่งมหาเสนาสุปิหลัน |
รับสั่งพระองค์ทรงธรรม์ | ถวายบังคมคัลแล้วออกมา |
เร่งรัดพหลพลไกร | ได้ทั้งปีกซ้ายปีกขวา |
สรรพด้วยสินธพคชา | ทัพหลังทัพหน้าครบครัน |
จัดทัพพร้อมสรรพสาตรา | วิทยายิ่งยวดกวดขัน |
ล้วนเหล่าทหารชาญฉกรรจ์ | เสร็จแล้วสุปิหลันแต่งกาย |
นุ่งผ้าสอดใส่สังวาลเครื่อง | เรืองแสงอร่ามเฉิดฉาย |
โพกผ้าประเจียดเพริศพราย | ผันผายมาขึ้นอาชาไนย |
ได้ฤกษ์ให้ยกจัตุรงค์ | โบกธงตีฆ้องกลองใหญ่ |
โห่ร้องครื้นครั่นสนั่นไป | ออกจากเวียงไชยมิได้ช้า ฯ |
ฯ เชิด ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | เจ้ากรุงฉะนะตันทัพหน้า |
แจ้งว่าสุปิหลันเสนา | ยกพลโยธามาชิงชัย |
แต่เราทัพหน้าจะประจญ | ตีให้ย่อย่นไปจงได้ |
มิให้เคืองบาทพระภูวไนย | จึ่งสั่งพลไกรไปทันที |
จงตั้งเป็นปีกซ้ายปีกขวา | รบราอย่าท้อถอยหนี |
อย่าให้ทันตั้งพลมนตรี | ตีให้แตกพ่ายกระจายไป ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | เสนารับสั่งบังคมไหว้ |
แยกปีกซ้ายขวาออกฉับไว | คอยรับทัพไชยอยู่กลางแปลง ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | สุปิหลันเสนากล้าแข็ง |
เห็นไพรีนั้นพ้นกำลังแรง | แจ้งว่าท้าวตะรังฤทธิไกร |
ยกเป็นทัพหน้ามาราวี | เสนีคิดพรั่นหวั่นไหว |
จึ่งสั่งทหารชาญชัย | ให้เข้ารบรันประจัญบาน |
ทัพหน้าปะทะปะกัน | พลช้างฉะนะตันห้าวหาญ |
สุปิหลันเข้าบุกรุกราน | พวกทหารดาษดาม้าทวน |
รับรองป้องกันประจัญหน้า | ชักม้าเวียนวันหันหวน |
เลี้ยวไล่ตามในกระบวนทวน | เห็นข้างไหนเรรวนเข้าป้องกัน ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท่านท้าวตะรังอูไม่ไหวหวั่น |
ขับทหารเข้ารุกบุกบั่น | ยิงแยงแทงฟันประจัญบาน |
คนเดียวรับได้สิบตน | ตีย่นย่อไปไม่ต่อต้าน |
บ้างแตกบ้างตายวายปราณ | อลหม่านไปทั้งทัพไชย ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | สุปิหลันเสนาผู้ใหญ่ |
ครั้นเห็นทหารชาญชัย | บรรลัยสิ้นชีพชีวา |
ปีกขวาปีกซ้ายกระจายกัน | พลข้างฉะนะตันแกล้วกล้า |
ไล่พิฆาตฟาดฟันกระชั้นมา | สุปิหลันเสนาก็เสียใจ |
เห็นเหลือกำลังจะต้านทาน | คิดอ่านจะกลับเข้ากรุงใหญ่ |
ให้เสนาห้อมล้อมพร้อมไป | พลตะรังอูไล่สกัดมา ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท่านท้าวตะรังอูนาถา |
ครั้นเห็นสุปิหลันเสนา | แตกล่าทัพไล่กระจายไป |
จึ่งสั่งเสนาแข็งขัน | ไปจับตัวสุปิหลันให้จงได้ |
พวกม้าแซงเข้ากั้นสกัดไว้ | อย่าให้ทันถึงพารา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | เหล่าทหารรับสั่งใส่เกศา |
พร้อมกันขับควบอาชา | ดาษดาเข้ารุกบุกบั่น |
สุปิหลันก็รอต่อต้าน | เหล่าทหารมอดม้วยอาสัญ |
ที่เหลือตายวิ่งกระจายเข้าไพรวัน | สุปิหลันก็เร่ร่อนไป |
พลฉะนะตันนั้นสามารถ | เข้าพิฆาตบุกบั่นกระชั้นไล่ |
จับตัวสุปิหลันเสนาใน | ฉวยชิงกฤชได้ทันที |
แทงถูกอุระทันใด | มอดม้วยบรรลัยลงกับที่ |
ตัดเอาศีรษะไพรี | มาถวายภูมีฉับพลัน ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท่านท้าวตะรังอูแข็งขัน |
ชื่นชมพระทัยทรงธรรม์ | ให้โห่สนั่นเอาชัย |
จึ่งเลิกจัตุรงค์โยธา | มายังพลับพลาศรีใส |
เข้าไปเฝ้าองค์พระทรงไชย | ทูลไปแต่ต้นจนปลาย ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระโฉมยงองค์ยุขันเฉิดฉาย |
ชื่นชมโสมนัสเปรมปราย | ด้วยไพรีแตกแพ้กระจายไป |
จึ่งมีบัญชาไปพลัน | แก่เจ้ากรุงฉะนะตันเป็นใหญ่ |
เราตั้งพลขันธ์ให้มั่นไว้ | คอยรับทัพใหญ่จะยกมา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ฝ่ายพวกทหารอาสา |
ที่เหลือตายแตกพ่ายกระจายมา | เข้าในพาราทันใด |
ครั้นถึงถวายบังคมคัล | อัดอั้นไม่ทูลความได้ |
ตระหนักอกสั่นพรั่นใจ | หน้าซีดเผือดไปไม่สมประดี ฯ |
ฯ ร่าย ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | จึ่งองค์ท่านท้าวปะรังศรี |
แลเห็นทหารมาวันชุลี | หน้าซีดคือผีไปทุกคน |
ท้าวคิดสะดุ้งด้วยสงคราม | พระจึ่งตรัสถามด้วยเหตุผล |
สุปิหลันยกออกไปประจญ | ฤทธิรณประจามิตรนั้นฉันใด ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | เหล่าทหารกราบสนองไข |
อันไพรีที่ยกมาชิงชัย | มีอิทธิฤทธิ์ไกรเป็นพ้นนัก |
อันทัพหน้าที่ยกมาต่อสู้ | คือท้าวตะรังอูทรงศักดิ์ |
พวกทหารฤทธิรณเป็นพ้นนัก | ฮึกฮักห้าวหาญชาญชัย |
ทัพเราแตกพ่ายกระจายกัน | จับเอาสุปิหลันนั้นไปได้ |
ฆ่าเสียมอดม้วยบรรลัย | ภูวไนยจงทราบบาทา ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท่านท้าวปะรังศรีนาถา |
ได้ฟังอำมาตย์ทูลมา | นัยนาดั่งแสงเพลิงกาฬ |
พิโรธโกรธกริ้วกระทืบบาท | ผาดสุรเสียงก้องฉาดฉาน |
ดูดูยุขันกุมาร | ข่มเหงหักหาญเป็นพ้นไป |
เมตตาว่าเล็กกระจิริด | จะผิดใจกันกับผู้ใหญ่ |
ไม่คิดเกรงพักตร์ก็แล้วไป | เท่าไรจะครั่นฝีมือกู |
จงเร่งเตรียมพลสกลไกร | กูจะยกออกไปต่อสู้ |
ไม่กลัวกำลังตะรังอู | ทั้งยุขันมันรู้สิ่งใด |
แต่ซึ่งสงครามในครั้งนี้ | จะไว้ใจไพรียังไม่ได้ |
จัดเอาที่เคยชิงชัย | ไปให้สิ้นเชิงในครั้งนี้ |
ทั้งอาชาไนยไอยรา | อีกราชรัถาอันเรืองศรี |
จงกะเกณฑ์กันทันที | รีบรัดบัดนี้ฉับไว ฯ |
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | เสนารับสั่งบังคมไหว้ |
คลานออกมาจากท้องพระโรงไชย | ไปจัดรี้พลโยธา |
ตรวจเตรียมจัตุรงค์ทวยหาญ | เลือกล้วนชำนาญอาสา |
เข้มแข็งแรงฤทธิ์มหึมา | แกล้วกล้าณรงค์สงคราม |
ล้วนถือเสน่าเกาทัณฑ์ | ปืนสั้นกัลเม็ดไม่เข็ดขาม |
พลหอกถือหอกกลอกวาม | ติดตามไพรีไม่ย่อท้อ |
พลกฤชถือกฤชติดพัน | ไล่กระชั้นประจญไม่ย่นย่อ |
โตมรดาบดั้งไม่รั้งรอ | เคยต่อไพรีมีชัย |
เสร็จสรรพก็กลับเข้ามา | วันทาทูลแจ้งแถลงไข |
อันซึ่งรี้พลสกลไกร | เตรียมไว้พร้อมแล้วพระภูมี ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | จึ่งองค์ท่านท้าวปะรังศรี |
พระเสด็จย่างเยื้องจรลี | เข้ามายังที่ปราสาทไชย |
จึ่งมีพระราชวาที | แก่สร้อยสุณีศรีใส |
พรุ่งนี้พี่จะยกพลไกร | ออกไปต้านต่อฤทธา |
กับด้วยยุขันชาญชัย | อาจองทะนงใจเป็นนักหนา |
จะผลาญเสียให้ม้วยมรณา | กัลยาค่อยอยู่จงดี ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | นางสร้อยสุณีมเหสี |
ฟังพระภัสดาพาที | เทวีจึ่งทูลสนองไป |
ซึ่งจะยกจัตุรงค์พยุหบาตร | ไปพิฆาตไพรีให้ตักษัย |
เขาก็ย่อมเรืองอิทธิฤทธิ์ไกร | จึ่งมาชิงชัยถึงบุรี |
พระอย่าประมาทอาจใจ | แม้นมีชัยก็จะเป็นศักดิ์ศรี |
มาตรแม้นพ่ายแพ้แก่ไพรี | ก็เป็นที่อัปยศในสงคราม |
พระองค์ทรงศักดาวราเดช | ทุกประเทศย่อมคิดเกรงขาม |
แม้นดีเป็นที่ลือนาม | อย่าวู่วามควรคิดให้ชอบที ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | จึ่งองค์ท่านท้าวปะรังศรี |
สำรวลสรวลสันต์พาที | แก้วพี่อย่าประหวั่นพรั่นใจ |
เรามีดวงจินดามหาวิเศษ | ถึงเทเวศร์ก็ไม่ทานฤทธิ์ได้ |
อันจะมีฤทธีสักเพียงไร | จะบรรลัยไม่ทันพริบตา |
อันองค์ยุขันชาญชัย | ที่ไหนจะพ้นหัตถา |
ตรัสแล้วยุรยาตรคลาดคลา | เข้าที่ไสยาในราตรี ฯ |