๒๒
๏ บัดนั้น | อินทรีฤทธิแรงแข็งขัน |
พาองค์ประวะลิ่มจรจรัล | กับสันหยาลิขิตอนุชา |
ข้ามมหาสาคเรศทะเลวน | ด้วยกำลังฤทธิรณปักษา |
ดั้นหมอกออกเมฆเมฆา | พอสุริยาเยี่ยมยอดยุคุนธร |
อินทรีร่อนมาในอากาศ | ด้วยแสงโอภาสประภัสสร |
จนบ่ายชายแสงรวิวร | จวนข้ามถึงฝั่งสมุทรไทย |
เร่งรีบบินไปด้วยใจภักดิ์ | พ้นแดนอสูรยักษ์อาศัย |
ร่อนลงยังรุกข์พระไทร | ทรามวัยลงจากสกุณี |
อินทรีจึ่งมีวาจา | ว่าพระภัสดาของโฉมศรี |
ข้าพามาส่งยังที่นี่ | แล้วภูมีลีลาคลาไคล |
ไปยังอาศรมพระนักสิทธิ์ | ทรงฤทธิ์ยังอยู่อาศัย |
อนุชาจงนำพี่นางไป | จะได้พบองค์พระภัสดา |
ตรงไปในทิศพายัพนี้ | ทางซึ่งข้าชี้อย่ากังขา |
ไม่มีอันตรายจะบีฑา | กัลยาจงไปสวัสดี |
มารดาจะลาไปรัง | อยู่หลังอย่าเศร้าหมองศรี |
เมื่อหน้าถ้าทุกข์สิ่งไรมี | จะมาช่วยเทวีอย่าร้อนใจ ฯ |
ฯ ๑๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ประวะลิ่มเยาวยอดพิสมัย |
ทั้งองค์ลิขิตฤทธิไกร | จึ่งมีวาจาไปฉับพลัน |
ลูกขอบใจแม่เป็นนักหนา | ช่วยพามาให้พ้นเขตขัณฑ์ |
คุณนั้นสุดที่จะรำพัน | ชีวันจึ่งไม่ม้วยมรณา |
ว่าแล้วก็ลาคลาไคล | ปักษินบินไปในเวหา |
โฉมยงองค์ลิขิตฤทธา | นำหน้าสองเทวี ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เข้าในป่าระหงดงชัฏ | เลาะลัดตัดไปในไพรศรี |
รุกขชาติดาษป่าพนาลี | หลายอย่างต่างสีน่าพึงชม |
ที่เรียงเรียบเทียบต้นเสมอกัน | ที่ค้อมคดเป็นหลั่นงามสม |
สกุณีจับร้องอยู่ระงม | ชมช่อซอกไซ้เสาวคนธ์ |
บ้างคลอเคล้าเคียงเมียงม่าย | บ้างเต้นต่ายชิงกันจิกผล |
ลางหมู่โผผินบินบน | โหยหนร้องก้องระงมไพร |
ลางหมู่จับอยู่สันโดษเดียว | นางเหลียวแลเห็นละห้อยไห้ |
คิดคะนึงถึงองค์พระทรงไชย | ชลนัยน์ไหลอาบซาบพักตร์ |
อนิจจาปักษายังพรัดคู่ | เหมือนตัวกูพรากองค์พระทรงศักดิ์ |
พระมิได้อาลัยมาไกลพักตร์ | หวนหักไม่คิดปรานี |
ครั้นเห็นหมู่สัตว์จัตุบาท | เดินผาดกลาดกลางป่าพนาศรี |
ตกใจไม่เป็นสมประดี | เรียกองค์พระศรีอนุชา |
โน่นแน่ะสัตว์ร้ายอยู่ก่ายกอง | เที่ยวท่องสัญจรมานักหนา |
นางประหวั่นพรั่นใจไปมา | พักตราผาดเผือดลงทันใด ฯ |
ฯ ๑๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ลิขิตจึ่งทูลเฉลยไข |
พระองค์อย่าตระหนกตกใจ | กลัวไยกับหมู่มฤคา |
มันมิใช่สัตว์ร้ายราวี | มฤคีโคกระทิงมหิงสา |
เล็มล่าหาเลี้ยงอาตมา | มิได้บีฑาท่านผู้ใด |
ทูลพลางนำนางลีลา | เห็นต้นพฤกษาสุกใส |
เก็บดวงพวงผลที่แกว่งไกว | ถวายองค์อรไทกัลยา |
ให้นางเสวยสำราญ | แล้วเก็บให้นงคราญสันหยา |
เลี้ยวลัดดัดเดินอรัญวา | พระสุริยาเลื่อนลับยุคุนธร ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ พอถึงซึ่งบรรณศาลา | อนุชาชื่นชมสโมสร |
น้อมกายถวายชุลีกร | ทูลนางบังอรทันใด |
นี่คืออาศรมพระนักสิทธิ์ | ซึ่งพระทรงฤทธิ์อยู่อาศัย |
ขอเชิญเสด็จเข้าไป | จะได้พานพบประสบองค์ ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | โฉมนางประวะลิ่มนิ่มเนื้อนวลหง |
ได้ฟังลิขิตฤทธิรงค์ | โฉมยงกระเษมเปรมปรีดิ์ |
เหือดหายคลายความโศกศัลย์ | มุ่งมั่นจะพบพระโฉมศรี |
ทั้งสามชวนกันจรลี | เข้าในกุฎีพระอาจารย์ |
นางจึ่งยอกรบังคม | ด้วยมโนภิรมย์กระเษมสานต์ |
นอบน้อมเศียรเกล้านมัสการ | องค์พระอาจารย์ด้วยยินดี ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | จึ่งพระมหาฤๅษี |
เห็นกุมารกับสองนารี | เข้ามาถึงที่ศาลา |
จำได้ว่าองค์ลิขิต | พระนักสิทธิ์ใสโสมนัสา |
จึ่งมีมธุรสวาจา | มานี่มีกิจสิ่งใด |
เชษฐาให้อยู่ด้วยกัลยา | เหตุไรนัดดาจึ่งมาได้ |
สีกาสองคนนั้นคือใคร | เป็นไฉนจึ่งพากันมา ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ลิขิตเฉิดโฉมเสนหา |
น้อมเศียรอภิวันท์ด้วยปรีดา | แล้วแจ้งกิจจาทั้งปวงไป |
นี่คือประวะลิ่มเยาวเรศ | พระเชษฐารักร่วมพิสมัย |
พระองค์มาจากทรามวัย | อรไทครวญคร่ำโศกา |
ครั้นว่าปักษาไปเยี่ยมเยียน | ถึงในมณเฑียรเลขา |
ปักษีมีความเมตตา | พาข้ามมหาวารี |
คนนี้ชื่อว่าสันหยา | พี่เลี้ยงพระธิดาโฉมศรี |
มีความจงรักภักดี | เห็นนางจรลีก็ตามมา |
อินทรีบอกว่าพระโฉมยง | มาอยู่ด้วยองค์ทรงสิกขา |
ก็รีบลัดดัดดั้นอรัญวา | หวังว่าจะพบพระทรงไชย ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | องค์พระดาวบสเป็นใหญ่ |
ฟังเล่าถ้วนถี่ก็ดีใจ | มีใจเมตตานางเทวี |
ซึ่งเจ้าซื่อตรงคงสัตย์ | จะจัดหาไหนได้เหมือนโฉมศรี |
รักผัวไม่กลัวแก่ชีวี | ทิ้งขว้างบูรีตามมา |
อันองค์ยุขันสามี | มานี่แล้วไปจากข้า |
กับหัสรังสกุณา | ว่าจะพากันไปเวียงไชย |
ถึงแล้วจะรีบกลับมา | รับองค์กัลยาผู้พิสมัย |
เจ้าอย่าละห้อยน้อยใจ | ไหนจะได้พบภัสดา ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | โฉมนางประวะลิ่มเสนหา |
ฟังพระดาวบสบอกมา | กัลยาจึ่งถามพระภูมี |
อันองค์สมเด็จพระภูวนาถ | ลีลาศไปยังกรุงศรี |
ได้สักกี่ราษราตรี | โปรดบอกข้านี้จะตามไป |
ยังจะพบองค์พระทรงธรรม์ | หรือจะแคล้วคลาดกันเป็นไฉน |
แม้นไม่พบองค์พระทรงไชย | ข้าจะตามไปยังพารา ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | พระดาวบสอันพรตแกล้วกล้า |
จึ่งบอกว่าองค์พระภัสดา | ว่าลาไปได้หลายวัน |
ถึงติดตามไปไม่พบพาน | นงคราญเจ้าอย่าผายผัน |
จะลำบากด้วยองค์ทรงครรภ์ | ซึ่งจะเดินไพรสัณฑ์เห็นกันดาร |
ฟังคำตาว่าเจ้าอย่าไป | จะได้ความยากไร้ในไพรสาณฑ์ |
ภัสดากลับมาจะพบพาน | เยาวมาลย์เจ้าอยู่ยังกุฎี ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ประวะลิ่มผู้เฉิดโฉมศรี |
ได้ฟังพระมหามุนี | ห้ามปรามมิให้ไคลคลา |
กราบลงรับรสพจมาน | องค์พระอาจารย์ฌานกล้า |
พระคุณพ้นที่จะพรรณนา | เมตตาหลานรักในครั้งนี้ |
ข้าน้อยจะอยู่สนองคุณ | ซึ่งการุณโปรดเกล้าเกศี |
กว่าพระทรงธรรม์พันปี | จะเสด็จจรลีกลับมา ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | องค์พระดาวบสพรตกล้า |
จึ่งนิรมิตบรรณศาลา | ให้สองกัลยาเทวี |
เครื่องใช้ครบครันนานา | สำหรับชีป่าพนาศรี |
ให้นางไปอยู่ยังกุฎี | หวังจะให้เทวีสำราญใจ ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | โฉมนางประวะลิ่มศรีใส |
บังคมลามายังศาลาลัย | ทรามวัยค่อยคลายจาบัลย์ ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ลิขิตฤทธิรงค์รังสรรค์ |
อยู่ยังกุฎีพระนักธรรม์ | ปรนนิบัตินวดฟั้นทุกเวลา |
ครั้นเช้าก็หาสาแหรกคาน | เข้าในไพรสาณฑ์แสวงหา |
ส้มสุกลูกไม้นานา | ถวายพระอาจารย์ทุกเพลางาย |
แล้วเอามาถวายพระพี่นาง | ผลไม้ต่างต่างหลากหลาย |
น้ำท่าตักมาไม่เว้นวาย | ปรนนิบัติโฉมฉายทุกราตรี ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ประวะลิ่มนิ่มเนื้อนวลศรี |
อยู่ด้วยพระมหามุนี | ที่ในพงพีนานมา |
จนพระครรภ์นั้นถ้วนทศมาส | จะประสูติพระราชโอรสา |
ให้เจ็บปวดรวดร้าวทั้งกายา | จึ่งเรียกสันหยานารี |
พี่เจ้าจงช่วยน้องด้วย | เพียงชีวิตจะม้วยเป็นผี |
เจ็บสุดที่จะกลั้นพันทวี | ปรานีอย่าให้มรณา ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | จึ่งนางพี่เลี้ยงสันหยา |
ตกใจร้องเรียกอนุชา | เข้ามาใกล้องค์นางเทวี |
สันหยาก็เข้ามาประคองครรภ์ | ลิขิตนวดฟั้นนางโฉมศรี |
ไม่เป็นสติสมประดี | บ้างบนผีสางที่กลางไพร |
แล้วจึ่งบอกพระมุนี | ว่าองค์เทวีศรีใส |
ให้เจ็บพระครรภ์เป็นพ้นไป | ทรามวัยจะประสูติลูกยา ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | พระนักสิทธิ์ทรงญาณแกล้วกล้า |
จึ่งหยิบเอาเตาทารา | โอมอ่านคาถาประสิทธี |
เป่าเสกมหาคงคา | เสร็จแล้วเอามายังโฉมศรี |
รดเหนือเศียรเกล้านางเทวี | ฤกษ์ดีจึ่งคลอดพระลูกยา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ประวะลิ่มเยาวยอดเสนหา |
เจ็บทั่วสกนธ์กายา | ดั่งว่าจะม้วยชีวาลัย |
ครั้นได้ฤกษ์ยามเวลา | วาตากรรมชวาตหวาดไหว |
พานพัดผัดผันทันใด | ทรามวัยประสูติทันที |
เป็นชายโสภาน่ารัก | นงลักษณ์พักตราราศี |
ผิวผ่องดั่งทองไม่ราคี | ดั่งตรีเนตรนิรมิตลงมา ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | พระดาวบสทรงพรตสิกขา |
ทั้งองค์ลิขิตอนุชา | สันหยาพี่เลี้ยงก็ดีใจ |
จึ่งชวนกันอุ้มองค์พระกุมาร | ชำระชลธารให้หมดใส |
ผิวผ่องดั่งทองละอองอำไพ | เหมือนองค์ภูวไนยพระบิดา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | โฉมนางประวะลิ่มเสนหา |
พิสมัยในองค์พระลูกยา | ดั่งดวงชีวาอรไท |
ยิ่งคิดถึงองค์พระทรงเดช | ชลเนตรแถวถั่งหลั่งไหล |
โอ้ว่าพระยอดฟ้ายาใจ | เมื่อไรจะพบลูกรัก |
พระจากไปก็ได้หลายเดือนตรา | แสนเวทนาเพียงอกหัก |
ได้ความร้อนรนเป็นพ้นนัก | พระทรงศักดิ์ไม่คิดเมตตา |
อนิจจาลูกน้อยกลอยสวาดิ | แสนอนาถไร้ญาติวงศา |
ตกไร้ได้ความเวทนา | เห็นแต่อัยกากับมารดร |
แล้วเอาธำมรงค์ของทรงไชย | ผูกให้ลูกรักสายสมร |
ประคองหัตถ์รับขวัญแล้วอวยพร | จงถาวรเป็นสุขทุกราตรี |
เป็นแสนวิบากของมารดา | ลูกยาจึ่งได้หมองศรี |
นางกอดโอรสเข้าโศกี | เทวีพ่างเพียงจะขาดใจ ฯ |
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | องค์พระอาจารย์เป็นใหญ่ |
พิศวาสนัดดาดังดวงใจ | บำรุงมิให้อนาทร |
ครั้นเช้าจึ่งเข้าพนาวาส | เก็บผลรุกขชาติเหมือนแต่ก่อน |
ลัดลอดสอดไปในดงดอน | จรหาผลไม้บรรดามี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ มาจะกล่าวบทไป | ถึงมะยุหงัดพรานป่าพนาศรี |
ออกจากอุรังฆารธานี | สองคนดั้นหนีรีบมา |
จึ่งแลเห็นองค์พระนักสิทธิ์ | ทั้งสองพรานคิดว่าเสือป่า |
ยกปืนประทับมิได้ช้า | แอบแฝงพฤกษาจะคอยยิง |
กระหยับเล็งตะแคงตามอง | ถือหอกคอยจ้องทีจะวิ่ง |
เอะผิดแล้วเหวยอย่าเพ่อยิง | มิใช่เสือสิงห์พระมุนี |
ตกใจแบกปืนยืนหยุด | สองพรานวิ่งมุดจะผลุดหนี |
พระสิทธาจึ่งว่าไปทันที | อ้ายสองคนวิ่งหนีกูไปไหน |
ฝ่ายสองใจพาลพรานนก | ตัวสั่นงันงกไปไม่ได้ |
หยุดยืนวางปืนตั้งไว้ | แล้วก้มกราบไหว้พระสิทธา ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | พระมหาดาวบสพรตกล้า |
จึ่งร้องถามไปมิได้ช้า | สองนายเอ็งมาแต่แห่งใด |
เดินดงหลงทางถิ่นฐาน | หรือว่าเป็นพรานเที่ยวป่าใหญ่ |
เอ็งมาแต่บ้านเมืองใคร | จะไปแห่งใดจงบอกกู ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | มะยุหงัดพรั่นใจใครจะสู้ |
ก้มเกล้ากราบได้เอ็นดู | ขออยู่อาศัยพระมุนี |
พระองค์จงโปรดเกศา | ข้ามาแต่เมืองปะรังศรี |
ยุขันได้ผ่านธานี | ความผิดข้ามีกับเธอมา |
เพราะข้าพาท้าวปะรังไป | ปล้นวิ่งชิงชัยเอาปักษา |
รู้ตัวกลัวจะม้วยมรฌา | พากันหนีมาให้พ้นภัย ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | พระโคดมชื่นชมผ่องใส |
รู้ข่าวว่าหลานผ่านเวียงไชย | จึ่งว่าเอ็งไปเถิดอย่ากลัว |
เธอไม่ผูกกรรมทำภัย | หลบลี้หนีไยอ้ายคนชั่ว |
กูจะให้เข้าไปถวายตัว | อย่ากลัวออกชื่อกูมุนี |
จงนำข่าวองค์นงลักษณ์ | ไปถึงทรงศักดิ์ในกรุงศรี |
ดีร้ายบ่าวนายจะได้ดี | ว่าแล้วฤๅษีก็พามา |
ครั้นถึงศาลาอาศรม | พระโคดมบอกหลานเสนหา |
ผัวเจ้าสุขกระเษมเปรมปรา | ได้ผ่านพาราธานี |
ฆ่าท้าวปะรังศรีวายชนม์ | อ้ายพรานสองคนซุกซนหนี |
ด้วยตัวทำผิดคิดไม่ดี | มารศรีจงช่วยธุระมัน |
จะได้ให้นำมรคา | เข้าไปพาราเขตขัณฑ์ |
เจ้าเอ็นดูด้วยช่วยป้องกัน | อย่าให้โทษทัณฑ์ถึงบรรลัย ฯ |
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ประวะลิ่มได้ฟังก็ผ่องใส |
จึ่งมีวาจาไปทันใด | ทุกข์ร้อนเป็นไฉนของพี่พราน |
จะช่วยผันผ่อนอย่าร้อนรน | มิให้ม้วยวายชนม์สังขาร |
น้องจะขอถามเหตุการณ์ | พี่พรานจงเล่าให้เข้าใจ |
ฆ่าท้าวปะรังศรีอาสัญ | นกนั้นได้คืนหรือหาไม่ |
แสนสุขสำราญประการใด | พี่จงเล่าไปให้น้องฟัง ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | นายพรานทูลไปดั่งใจหวัง |
อันว่าหัสรังสีม้วยชีวัง | ท้าวปะรังฆ่าเสียให้มรณา |
ได้แก้วในเศียรนั้นเหาะได้ | เรืองอิทธิฤทธิ์ไกรนักหนา |
ใส่โอษฐ์อมไว้อัตรา | คายออกกลัวว่าจะหายไป |
ยุขันฤทธิรงค์ทรงยศ | ลอบไปสะกดให้หลับไหล |
ล้วงเอาแก้วมณีที่อมไว้ | เอาแก้วอื่นใส่ให้แทน |
ท้าวปะรังก็อัปราชัย | รี้พลบรรลัยนับแสน |
พระยศปรากฏในดินแดน | มีแต่แสนสุขทุกนิรันดร์ |
ด้วยโฉมวรนุชบุษหรี | บุตรีท้าวปะรังศรีที่อาสัญ |
ข้าได้รู้ข่าวแต่เท่านั้น | แม้นจะจรจรัลจะนำไป ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ประวะลิ่มเฉิดโฉมพิสมัย |
ได้ฟังมะยุหงัดพรานไพร | ดั่งดวงหฤทัยจะทำลาย |
โอ้หัสรังสีของแม่เอ๋ย | ไม่ควรเลยจะมาม้วยฉิบหาย |
บิดาพามาให้วอดวาย | แม่แสนเสียดายเป็นพ้นคิด |
สองกรนางข้อนทรวงไห้ | ดั่งใครมาล้วงเอาดวงจิต |
รักเจ้าเท่าดวงชีวิต | ชมชิดแนบอุระรอน |
สงสารด้วยคำเจ้ารํ่าว่า | พูดจารู้หลักไม่พักสอน |
ร่วมจิตร่วมคิดของมารดร | ได้สบายคลายร้อนทุกคืนวัน |
แต่เพียงลูกรักจากไป | แม่ซูบผอมตรอมใจจะอาสัญ |
ร่ำพลางโศกาจาบัลย์ | ดั่งชีวันจะม้วยบรรลัย ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ ครั้นคลายวิโยคโศกเศร้า | นางก้มกราบเกล้าเฉลยไข |
หลานรักจักขอลาไป | ติดตามภูวไนยถึงบูรี ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | องค์พระรักขิตฤๅษี |
ได้ฟังกัลยาพาที | พระมุนีจึ่งมีวาจา |
เจ้าจะไปติดตามสามี | ที่ทางยังไกลนักหนา |
โอรสก็เยาว์ยุพา | จะต้องแสงสุริยาลำบากใจ |
จงฟังตาว่านะหลานรัก | อย่าหักหวนด่วนได้ |
ให้แต่ลิขิตฤทธิไกร | ไปด้วยพรานไพรพนาลี |
ทูลแถลงให้แจ้งเหตุการณ์ | ว่าองค์นงคราญมเหสี |
มาอยู่ยังคันธกุฎี | เทวีประสูติลูกยา |
แม้นพระนัดดาแจ้งจิต | จะมีจิตใสโสมนัสา |
เห็นจะยกนิกรโยธา | ออกมารับเจ้าเข้าไป ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | โฉมนางประวะลิ่มศรีใส |
ทั้งพระอาจารย์ชาญชัย | ผ่องใสชื่นชมปรีดา |
แล้วนางยอกรบังคม | นบนิ้วประณมเหนือเกศา |
พระองค์จงโปรดนัดดา | จะได้มีชีวาสืบไป ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | องค์พระอาจารย์เป็นใหญ่ |
จึ่งสั่งลิขิตฤทธิไกร | เจ้าจงเข้าไปในธานี |
กับด้วยมะยุหงัดพรานป่า | เฝ้าพระเชษฐาเรืองศรี |
ทูลให้จะแจ้งแห่งคดี | ว่าองค์เทวีตามมา |
อันโทษของนายพรานไพร | ช่วยแก้ไขให้คลายโทษา |
หนักเบาจงเจ้าได้เมตตา | อย่าให้พรานป่าบรรลัย ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ลิขิตบังคมประณมไหว้ |
อำลาพี่นางทรามวัย | แล้วชวนมะยุหงัดไคลคลา |
พรานนำมรคาพนาลี | ข้ามคีรีห้วยธารภูผา |
รีบรัดดัดดั้นอรัญวา | แต่มาได้หลายทิวาวาร |
ครั้นมาถึงราชเวียงไชย | พรานไพรจึ่งกราบทูลสาร |
ว่าพระองค์จงทราบบทมาลย์ | นี่กรุงอุรังฆารธานี |
ซึ่งพระเชษฐาเรืองเดช | เป็นปิ่นมงกุฎเกศบูรีศรี |
ตัวข้าจะพาจรลี | ไปอาศัยที่อุทยาน |
ทูลแล้วก็นำลีลา | ดั้นดัดลัดมาในไพรสาณฑ์ |
ก็ถึงธานีมิทันนาน | เข้ายังทวารเวียงไชย |
พาองค์ลิขิตบทจร | มิให้ชาวนครสงสัย |
ครั้นมาถึงสวนมาลัย | ก็พากันเข้าไปอุทยาน |
เห็นยายถากหญ้ากับตาผัว | ยิ้มยิ้มหัวหัวกระเษมสานต์ |
โฉมเจ้าลิขิตกับนายพราน | ด้อมคลานเข้าไปทั้งสองรา ฯ |
ฯ ๑๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ยายวิจิตรนั่งถากหญ้า |
สองคนกับผัวเจ้าขรัวตา | เหลียวมาเห็นองค์กุมาร |
กับนายพรานไพรใจกล้า | ยายตาปราศรัยอ่อนหวาน |
ดูก่อนกุมารากับตาพราน | มาแต่สถานบูรีใด |
หรือเสียบ้านเมืองเคืองเข็ญ | ลำบากยากเย็นเป็นไฉน |
จงบอกเรามาให้แจ้งใจ | แต่ก่อนไม่เห็นเคยมา ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ลิขิตเฉิดโฉมเสนหา |
ได้ฟังสองเฒ่าถามมา | จึ่งตอบวาจาไปทันที |
ข้านี้พรากพรัดซัดจร | จากพระนครบูรีศรี |
สุริย์วงศ์พงศ์พันธุ์ก็ไม่มี | จรลีด้วยยากลำบากมา |
ขออยู่อาศัยในสวนศรี | จงปรานีแก่ข้าอนาถา |
จะช่วยทำตามกำลังอาตมา | สองท่านยายตาจงโปรดปราน ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | สองเฒ่ามาลัยได้ฟังสาร |
มีความเมตตาพระกุมาร | ว่าขานไพเราะในวาที |
สองราพาไปยังเคหา | แล้วจัดโภชนาถ้วนถี่ |
ให้เจ้าลิขิตฤทธี | บริโภคตามมีกับพรานไพร |
ซักไซ้ไถ่ถามถึงความยาก | เจ้าพลัดพรากนคเรศประเทศไหน |
เมื่อพึ่งสะเทิ้นจำเริญวัย | ทุ่งกว้างทางไกลกันดารมา |
ยายเห็นก็เป็นน่าเอ็นดูนัก | นรลักษณ์พักตร์เพียงเลขา |
ได้ยากลำบากเวทนา | อนิจจาเป็นน่าปรานี |
ว่าแล้วไปตักชลธาร | ให้พระกุมารเรืองศรี |
ชำระสระสรงอินทรีย์ | ให้หมดราคีสำราญ ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | จึ่งนายพรานไพรใจหาญ |
ก้มเกล้าประณตบทมาลย์ | แจ้งการแก่องค์อนุชา |
พระองค์จงอยู่จำเริญสุข | อย่ามีทุกขโทรมนัสา |
ข้าน้อยจะขออำลา | ไปยังเคหาวันนี้ |
ครั้นจะอยู่ด้วยพระทรงไชย | กลัวจะเลื่องลือไปถึงกรุงศรี |
แล้วเป็นเทศกาลมาลี | พระภูมีเคยมาอุทยาน |
จะเสด็จมาพบข้าบาท | ชีวาตม์จะม้วยสังขาร |
พระองค์จงได้โปรดปราน | ขอประทานโทษาให้พ้นภัย |
ทูลแล้วถวายบังคมลา | ไปยังเคหาที่อาศัย |
ไม่มีความสุขเป็นทุกข์ใจ | กลัวภัยเป็นพ้นพันทวี ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ