๑๓

๏ มาจะกล่าวบทไป ถึงท่านท้าวปะรังศรี
เสวยราชสมบัติเปรมปรีดิ์ ในบูรีอุรังฆารกรุงไกร
ประกอบด้วยเดชาวราฤทธิ์ ทุกทิศคร้ามครั่นหวั่นไหว
ม้ารถคชพลสกลไกร ไพร่ฟ้ามิได้อนาทร
โฉมยงองค์พระมเหสี ชื่อสร้อยสุนีดวงสมร
พระสนมดั่งดารากร งามดั่งอัปสรในเมืองอินทร์
มีพระบุตรีศรีสวาดิ ชื่อเยาวราชบุษหรีโฉมฉิน
อรชรอ้อนแอ้นดั่งกินริน พระภูมินทร์พิศวาสเพียงขาดใจ ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ ครั้นปฐมยามราตรี พระเข้าที่ไสยาสน์พิสมัย
บรรทมหลับนิ่งนิทราไป ภูวไนยเธอทรงสุบิน
ว่าได้นกหัสรังสี งามลํ้าสกุณีในไพรสิณฑ์
ในเศียรมีวิเชียรมณีนิล ทั่วทวีปแดนดินไม่เปรียบปาน
ใครได้ดวงมณีศรีสวัสดิ์ จะเป็นจักรพรรดิมหาศาล
เหาะเหินเดินบนมัฆวาน ไม่มีใครจะต้านทานฤทธิไกร
กระษัตริย์ใดรุ่งเรืองศักดา เที่ยวเสาะแสวงหาเห็นจะได้
ยังอยู่กลางดงพงไพร ภูวไนยตื่นขึ้นทันที ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เวรามาเข้าดลจิต คิดจะใคร่ได้ปักษี
สรงพักตร์แล้วเสด็จจรลี ออกยังที่พระโรงรัตนา[๑]

ฯ เสมอ ๒ คำ ฯ

๏ พร้อมด้วยเสนาพฤฒามาตย์ ราชครูประโรหิตพร้อมหน้า
จึ่งมีพระราชบัญชา แก่แสนเสนาทั้งปวงไป
คืนนี้เราเข้าที่ไสยา ในเมื่อเพลาประจุสมัย
ทรงสุบินหลากนักประจักษ์ใจ ว่าได้หัสรังสกุณา
เรืองฤทธิ์เดชาอานุภาพ อาจจะปราบประจามิตรทุกทิศา
บัดนี้อยู่ในพนาวา ผู้ใดจะอาสาเราไป ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น เสนามาตยาน้อยใหญ่
จึ่งกราบทูลพระองค์ผู้ทรงไชย อย่าร้อนฤทัยพระทรงธรรม์
จะให้พรานป่าพนาลัย เที่ยวค้นไปในป่าพนาสัณฑ์
เห็นจะได้พบนกสำคัญ แม่นมั่นดั่งพระทัยจินดา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวปะรังได้ฟังหรรษา
จึ่งพระราชบัญชา ให้หาพรานป่ามาฉับไว ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น กิดาหยันบังคมประณมไหว้
คลานออกจากท้องพระโรงไชย มาสั่งตำรวจในฉับพลัน
รับสั่งให้หาพรานป่า เร่งรีบเข้ามาขมีขมัน
ยังเสด็จอยู่ท้องพระโรงคัล ให้ทันเพลาวันนี้ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ตำรวจในแจ้งใจถ้วนถี่
เผ่นขึ้นหลังอาชาทันที ตีม้าควบขับหนักไป ฯ

ฯ เชิด ๒ คำ ฯ

๏ มาเอยมาถึง ที่บ้านพรานป่าอาศัย
ตำรวจจึ่งร้องบอกไป รับสั่งให้หาบัดนี้ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น จึ่งพวกพรานป่าพนาศรี
ตกใจไม่เป็นสมประดี ต่างรีบจรลีทันใด
ตำรวจเร่งรัดให้เดินมา เข้าในทวาราใหญ่
ยังเสด็จอยู่ท้องพระโรงไชย พรานคลานเข้าไปมิได้ช้า ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวปะรังแลเห็นหรรษา
จึงมีพระราชบัญชา ว่าไปแก่นายพรานไพร
เอ็งจงเที่ยวเสาะแสวงหา ปักษามาให้จงได้
นามชื่อหัสรังศรีใส อยู่ในแดนดงพงพี
เลิศล้ำสกุณีในไพรวัน ขนนั้นพันอย่างต่างสี
ในเศียรนั้นมีจินดาดี ทรงอิทธิฤทธีมหึมา
แม้นสมดั่งจิตเราคิดปอง จะรางวัลเงินทองเสื้อผ้า
จงช่วยกันรีบไคลคลา อย่าช้าเร่งรัดบัดนี้ ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ บัดนั้น มะยุหงัดรับสั่งใส่เกศี
ก้มเกล้ากราบงามลงสามที ออกมาจากที่พระโรงคัล ฯ

ฯ เจรจา ๒ คำ ฯ

๏ ต่างคนต่างแยกกันไคลคลา ไปตามมรคาพนาสัณฑ์
บ้างถือธนูเกาทัณฑ์ ปืนสั้นนกคาบศิลา
แต่นายมะยุหงัดพรานไพร กับบ่าวเที่ยวไปที่ในป่า
ดั้นดัดลัดไปในหิมวา เสาะแสวงหานกทุกตำบล
แยกกันเที่ยวไปทั้งเรือบก ที่รกที่แจ้งทุกแห่งหน
แลไปเห็นม้ากับคน นอนอยู่ใต้ต้นพระไทรทอง
นายพรานมะยุหงัดจึ่งขัดปืน มิให้เครงครื้นค่อยยอบย่อง
แอบแฝงซุ้มพุ่มไม้มอง เอะเจ้าไทรทองหรือเทวัญ
หรือองค์อสัญแดหวา ลงมาแต่ชั้นกระยาหงัน
หรือจะว่าอำพนคนธรรพ์ ทรงเครื่องพรายพรรณทั้งกายา
นั่นอะไรที่อยู่ในกรงแก้ว แล้วจะเป็นหัสรังปักษา
ซึ่งพระองค์ทรงถวิลจินดา ให้เที่ยวแสวงหาที่ในดง
พรานป่าร่าเริงบันเทิงใจ ทีนี้จะได้ดั่งประสงค์
ลูกเมียจะได้ดีเป็นมั่นคง กูจะลักเอากรงนกไป
ฆ่าเจ้าของเสียให้ม้วยมรณ์ จะได้ทั้งอัสดรเครื่องทรงใส่
คิดสรรพประทับปืนไว้ เผอิญให้ประหวั่นพรั่นกลัว
ตัวสั่นมือสั่นครั่นคร้าม เข็ดขามสยองพองหัว
เวียนด้อมมองหมอบอยู่รอบตัว คิดกลัวไปเองไม่อาจใจ ฯ

ฯ ร่าย ๑๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ยุขันรัศมีศรีใส
ประทมอยู่ใต้ร่มไทร ภูวไนยพลิกฟื้นกาย
แลเห็นพรานป่ามาด้อมมอง พวกพ้องแอบแฝงอยู่มากมาย
จึ่งมีพจนารถภิปราย บ่าวนายเอ็งไปไหนมา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น พรานตระหนกตกใจเป็นหนักหนา
ตัวสั่นกราบลงกับบาทา ข้ามาแต่อุรังเที่ยวตะรัน
ครั้นเห็นพระองค์ก็สงสัย เสด็จมาอยู่ในไพรสัณฑ์
อะไรอยู่ในกรงนั้น ทรงธรรม์จงบอกให้แจ้งใจ ฯ

ฯ เจรจา ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ยุขันเฉิดโฉมพิสมัย
ได้ฟังพรานป่าพนาลัย ภูวไนยจึ่งตอบวาจา
เราชื่อยุขันเรืองฤทธิ์ หน่อท้าวอุรังยิดนาถา
ไปเมืองอุเรเซนกลับมา หลงลืมมรคาพนาลี
ที่ในกรงนั้นสกุณา ชื่อว่านกหัสรังสี
จะขอถามบรรดาที่มานี้ บูรีอุรังยิดอยู่ทิศใด ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น พรานป่ายินดีจะมีไหน
จึ่งตริตรึกนึกในใจ กูหลายคนจะชิงเอาสกุณี
แล้วคิดครั่นคร้ามหวั่นไหว เกลือกมิได้จะม้วยเป็นผี
อย่าเลยจะลวงภูมี เข้าไปธานีพระเวียงไชย
ให้อยู่ในสวนอุทยาน อย่าให้ภูบาลสงสัย
แล้วจะไปทูลปิ่นภพไตร ให้ยกนิกรโยธา
ออกมาช่วงชิงเอานกไว้ ก็จะได้ดั่งใจปรารถนา
คิดแล้วจึ่งทูลพระราชา ว่ากรุงอุรังยิดพระบูรี
อยู่ยังเบื้องบุรพ์ทิศา ไปมาถึงกันพระโฉมศรี
องค์ท้าวปะรังธิบดี มีราชบุตรีดั่งดวงจันทร์
เจ็ดวันมาชมสวนศรี พรุ่งนี้นางจะมาสัตตาหมัน
ทรงโฉมประโลมวิไลวรรณ พระทรงธรรม์อย่าเพ่อจรลี
คอยชมพระราชธิดา เมื่อจะออกมาเล่นสวนศรี
อันกรุงอุรังฆารธานี กับบูรีอุรังยิดไม่ไกลกัน
ขอเชิญเสด็จคลาไคล เข้าไปอาศัยในสวนขวัญ
ให้สบายพระทัยสักสามวัน จึ่งจะพาทรงธรรม์คลาไคล

ฯ ๑๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ยุขันรัศมีศรีใส
ได้ฟังมะยุหงัดพรานไพร ภูวไนยสำคัญว่าจริงจัง
เผอิญให้เคลิบเคลิ้มหลงใหล เพราะกรรมทำไว้แต่หนหลัง
จะได้ร้อนรนพ้นกำลัง คลุ้มคลั่งด้วยราคะรุมรึง
ยิ้มเยื้อนแล้วว่ากับพี่พราน อุทยานเมื่อไรจะไปถึง
อยากยลพักตราสักหน่อยหนึ่ง สักเมื่อไรจะได้ถึงพระบูรี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น นายพรานประณตบทศรี
จึ่งทูลไปพลันทันที ข้าจะนำภูมีเข้าไป
สักหน่อยก็จะถึงอุทยาน ผลไม้ตระการงามไสว
เชิญพระองค์เสด็จคลาไคล ไม่ช้าจะถึงพระนคร ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ยุขันฤทธิรงค์ทรงศร
ได้ฟังพรานป่าพนาจร ภูธรเสด็จขึ้นอาชา
พรานป่านำมรคาลัย ดั้นดัดลัดไพรปรึกษา
พอสายบ่ายแสงสุริยา มาถึงสวนขวัญทันใด
มะยุหงัดจึ่งทูลพระผ่านฟ้า ให้เสด็จเข้ามาอาศัย
จึ่งปล่อยมิ่งม้าอาชาไว้ ให้กินหญ้าอยู่ในสวนนี้ ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ยุขันผู้เฉิดโฉมศรี
จึ่งเสด็จลงจากพาชี ภูมีลูบหลังอัสดร
เราจะหยุดพักสักราตรี พาชีจงอยู่ที่นี่ก่อน
แล้วจึ่งจะไปพระนคร จงจรไปกินหญ้าให้สำราญใจ
สั่งแล้วยุรยาตรคลาดคลา พรานป่านำมาที่อาศัย
พระหิ้วสกุณาคลาไคล ทรงกฤชศรไชยเสด็จมา
ขึ้นยังตำหนักที่ในสวน รัญจวนคิดถึงขนิษฐา
เหมือนอย่างประวะลิ่มที่กล่าวมา ผ่านฟ้านิ่งคะนึงตะลึงไป ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ บัดนั้น พรานป่าทูลแจ้งแถลงไข
เพลาอัสดงลงไรไร จะใกล้เข้าสนธยาราตรี
จึ่งทูลลาองค์ทรงไชย กลับไปเคหากระเษมศรี
จงสำราญพระทัยเปรมปรีดิ์ พรุ่งนี้จึ่งจะกลับมา
ข้าจะอาสาองค์พระทรงศักดิ์ จะอุบายย้ายยักให้หนักหนา
เมื่อนางมาชมสวนมาลา พระจะได้ทัศนาแจ่มจันทร์
แม้นพระจะได้เห็นนางโฉมตรู จะไม่ทันขอสู่ตุนาหงัน
เห็นดีก็จะรี่เข้าหากัน แต่อย่าให้โทษทัณฑ์ถึงเฒ่าพราน
ว่าแล้วถวายบังคมคัล ออกจากสวนขวัญกระเษมสานต์
ตรงเข้าวังในมิทันนาน นายพรานถึงท้องพระโรงไชย ฯ

ฯ ร่าย ๑๐ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท่านท้าวปะรังศรีเป็นใหญ่
พระมิได้สำราญรำคาญใจ ตรึกไปอยากได้สกุณี
ไม่เป็นสรงเป็นเสวยโภชนา ให้รำลึกตรึกตราถึงปักษี
แต่คอยพรานป่าผู้ภักดี เป็นหลายราตรีทิวาวัน
พระเสด็จยุรยาตรคลาดคลา ออกพระโรงรจนาเฉิดฉัน
พร้อมหมู่มนตรีครามครัน แน่นนันต์เกลื่อนกลาดดาษดา
พอแลไปเห็นพรานไพร พระเปรมใจใสโสมนัสา
จึ่งมีพระราชบัญชา ปราศรัยไถ่ถามทันใจ
ตัวท่านไปหาสกุณา ได้มาฤๅว่าเป็นไฉน
เรานับวันท่าเห็นช้าไป ได้การฤๅไม่จงบอกมา ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ บัดนั้น มะยุหงัดบังคมเหนือเกศา
จึ่งทูลสนองพระบัญชา ข้าเที่ยวสัญจรในดอนดง
ได้พบสกุณาปักษา ดั่งพระองค์นั้นมาต้องประสงค์
ของหน่ออุรังยิดฤทธิรงค์ อยู่ในแดนดงพงพี
ข้าบาทล่อลวงพระองค์มา ให้อยู่ในอุทยานสวนศรี
หัสรังนั้นงามพันทวี ภูมีไม่วางห่างไกล
ข้าน้อยแกล้งอุบายย้ายยัก จะลอบลักเอานกนั้นไม่ได้
ด้วยพระองค์ทรงอิทธิฤทธิ์ไกร ภูวไนยจงทราบบาทา ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท่านท้าวปะรังศรีนาถา
ฟังนายพรานไพรทูลมา ดั่งได้ฟากฟ้าอมรินทร์
ทีนี้สำเร็จบรมจักร จะหักสี่ทวีปได้สิ้น
อันในพิภพแดนดิน จะดูหมิ่นเราได้นั้นไม่มี
คิดแล้วจึ่งมีวาจา แก่มหาเสนาทั้งสี่
จงเร่งจัดหาคนดี ที่มีฝีมือเชี่ยวชาญ
ทั้งสะกดสะดมคาถา วิทยาสามารถอาจหาญ
เหล่าฉกรรจ์สันทัดอาชาชาญ ประมาณให้ได้สี่สิบม้า
เราจะไปแต่ย่ำราตรี จงกำชับเสนีพร้อมหน้า
อย่าให้เสือกสนไปมา กิจจาจะแพร่งพรายไป ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ บัดนั้น สุปิหลันรับสั่งบังคมไหว้
ออกมาจากท้องพระโรงไชย จึ่งให้เร่งรัดจัดกัน ฯ

ฯ เจรจา ๒ คำ ฯ

๏ ได้ทหารอาสา พร้อมสี่สิบม้าแข็งขัน
ทั้งวิทยาอาคมครบครัน เสร็จแล้วจรจรัลเข้ามา
ครั้นถึงจึ่งกราบบังคมทูล นเรนทรสูรปิ่นภพนาถา
ตรวจเตรียมพหลโยธา พร้อมตามบัญชาพระภูวไนย ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท่านท้าวปะรังศรีเป็นใหญ่
ได้ฟังมหาเสนาใน มีพระทัยชื่นชมยินดี
จึ่งชำระสระสรงทรงเครื่อง อร่ามเรืองจำรัสรัศมี
พระกรจับกฤชฤทธี ภูมีเสด็จขึ้นอาชา
พรั่งพร้อมจัตุรงค์ทวยหาญ พรานนำเข้าในพฤกษา
เลี้ยวลัดตัดดงตรงมา แต่ในเพลาราตรี ฯ

ฯ กราว ๖ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงสวนพลันทันใด ภูวไนยปรีดิ์เปรมกระเษมศรี
หยุดประทับยับยั้งโยธี พรานพาภูมีเสด็จไป
เข้าใกล้เดินย่องมองดู พระกุมารนอนอยู่ที่ตรงไหน
ครั้นแลเห็นองค์พระทรงไชย ถอยหลังออกไปมิทันนาน
แล้วมีพระบัญชาไป แก่พรานผู้ใหญ่ใจหาญ
จงเร่งเข้าไปดูอาการ แม้นกุมารสนิทนิทรา
จงเร่งรีบกลับมาฉับไว กูจะใช้เสนีอันแกล้วกล้า
เข้าลอบลักสกุณา ทั้งกฤชศรมาบัดนี้ ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ บัดนั้น มะยุหงัดรับสั่งใส่เกศี
ทูลลาพระองค์ทรงธรณี เข้ามายังที่อุทยาน
ล่วงเข้าปฐมราตรี สงัดเสียงสกุณีขันขาน
แอบดูอยู่ที่พระทวาร เห็นภูบาลแล้วถอยไปหยุดยั้ง ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ยุขันหวั่นใจพระทัยหวัง
บรรทมแท่นรัตน์บัลลังก์ ฟังเสียงนกในอุทยาน
บ้างเข้ารังร้องคลอแคล เซ็งแซ่ให้ประหวั่นเสียงหวาน
เรไรแทรกเสียงสกุณนาน ดั่งเสียงซอประสานเรื่อยรับ
ยิ่งนั่งยิ่งให้ไม่เสบย นิจจาเอ๋ยไหนเลยจะนอนหลับ
เสียงดุเหว่าร้องแว่วใจวับ บ้างกระหยับปีกบินโบกโบย
จักจั่นร้องแจ้วจะเจื่อยจ้าน หมู่วิหคหงส์ห่านหวนโหย
ดอกพะยอมเหยเปรยโปรย ร่วงโรยรื่นรสเรณู
สารภีพิกุลกาหลง หอมส่งกลิ่นรสปรากฏอยู่
ผลิดอกออกช่อตามฤดู แมลงภู่รู้รสชมเชย
ใบผลัดดอกช่อเกสร ยังไม่วายอาวรณ์อกเอ๋ย
วิตกถึงประวะลิ่มไม่ลืมเลย ได้เสบยเชยสไบที่ได้มา
ทรงลูบจูบชมบรมสุข ค่อยสบายคลายทุกข์ถวิลหา
หอมหวนยวนยินกลิ่นมณฑา กรก่ายพักตราเข้าจาบัลย์
ให้สะท้อนถอนใจไหวหวาด ผิดประหลาดพลางให้ไหวหวั่น
จวนจะใกล้รุ่งแสงพระสุริย์ฉัน อัศจรรย์ให้ประจักษ์หนักใจ
ระวังองค์ทรงกฤชติดกร เอนองค์ลงนอนไม่หลับไหล
ด้วยเวรามาซัดวิบัติไป ภูวไนยม่อยหลับลงทันที ฯ

ฯ ๑๘ คำ ฯ

๏ บัดนั้น นายพรานชำนาญพนาศรี
เห็นพระองค์ผู้ทรงฤทธี มิได้หลับสนิทนิทรา
จะนิ่งอยู่ฉะนี้ก็มิได้ จำจะไปทูลพระบรมนาถา
คิดแล้วมะยุหงัดก็กลับมา ทูลพระราชาให้แจ้งใจ
ว่ายุขันผู้มีฤทธิรงค์ จะบรรทมหลับลงก็หาไม่
พระกรนั้นกุมกฤชกับศรไชย กรงสกุณานั้นไว้ไม่เคลื่อนคลา ฯ

ฯ ร่าย ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท่านท้าวปะรังศรีรุ่งฟ้า
ได้ฟังพรานไพรทูลมา พระถวิลจินดาในพระทัย
อันกุมารนี้มีฤทธิ์นัก จึ่งหาญหักเอานกมาได้
เราก็เป็นกระษัตริย์อันชาญชัย จำจะแก้ไขเอาด้วยความคิด
ถึงจะเป็นหน่อเนื้อเชื้อบุญ ก็ยังเป็นเด็กรุ่นกระจิริด
จะรบราฆ่าฟันกันด้วยฤทธิ์ ไพร่พลก็ไม่มีติดมา
ที่ไหนจะสู้เราได้ เสมือนไข่กระทบแผ่นผา
ป่วยการเสียเปล่าไม่เข้ายา จะเอาแต่สกุณาไป
แล้วจะเก็บเอาเครื่องสัตรา อีกทั้งอาชาก็จะได้
คิดแล้วจึ่งมีบัญชาไป แก่เสนาในทั้งปวงพลัน
เราจะไปจับเอาตัวมา ฆ่าเสียให้ม้วยอาสัญ
ที่ไหนจะต้านทานทัน มันมาคนเดียวจะสู้ใคร
แต่ว่ากิตติศัพท์จะเฟื่องฟุ้ง ถึงกรุงอุรังยิดเป็นใหญ่
เกลือกว่าจะเกิดยุ่งยิ่งชิงชัย ไพร่ฟ้าจะได้ความเดือดร้อน
จะใกล้รุ่งขึ้นแล้วนะเสนา อย่าช้าเร่งคิดผันผ่อน
เห็นมันทรงกฤชฤทธิรอน แม้นนอนหลับไปจะได้ที
เกรียวกรูจู่โจมเข้าจับมัด ชิงเอานกหัสรังสี
ทั้งศรกฤชอันเรืองฤทธี มาให้กูนี้เร็วไว
ถ้าแม้นมันสู้รบกับเรา สูเจ้าฆ่าเสียให้ตักษัย
ได้นกโดยดีก็แล้วไป อย่าให้ชีวิตมรณา ฯ

ฯ ๒๐ คำ ฯ

๏ บัดนั้น สุปิหลันว่องไวใจกล้า
รับสั่งแล้วบังคมลา ออกมาลอบสั่งกันงุบงิบ ฯ

ฯ เจรจา ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น เหล่าทหารตัวดีสี่สิบ
รับสั่งแล้วคอยกระซิบ ย่องกริบเข้าไปมิให้รู้
พอพระกุมารเธอหลับ ทรงกฤชนั้นติดพระกรอยู่
สุปิหลันคอยย่องมองดู ยืนพร้อมล้อมอยู่แต่ไกล
จะหลับไหลแล้วฤๅว่ายัง เหลียวหลังนัดเหล่าบ่าวไพร่
ได้ทีโห่เกรียวเข้าไป ล้อมไล่หน้าหลังพรั่งพรู
บ้างจับกรชิงศรกระชากกฤช เข้าประชิดโจมตีต่อสู้
เหล่าทหารแอบนิ่งวิ่งกรู จู่ลู่เข้าจับเอาอาวุธ
มี่ฉาวเข้าชิงสกุณี รบรอต่อตีอุตลุด
ยุขันไม่ท้อต่อยุทธ์ รับจนอาวุธหลุดมือไป ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ยุขันปิ่มเลือดตาไหล
จะต่อตีไพรีก็จนใจ ไม่มีอันจะยงยุทธ์
แต่กำลังพระองค์มือเปล่า เข้ากลุ้มรุมปล้ำอุตลุด
พระเอียงด้วยกำลังฤทธีรุด บ้างแตกหักชำรุดหมอบไป
เหล่าทหารมากมายหลายมือ จับถือมิให้เลี้ยวตัวได้
เข้ากลุ้มรุมจับจนอ่อนใจ ภูวไนยเซองค์ลงทันที
เหล่าทหารเข้าจับพระองค์ได้ ตีไม่ปราศรัยดั่งสรรพศรี
ล้มกลิ้งนิ่งไปไม่พาที รังสีร้องขอเพียงมรณา ฯ

ฯ โอด ช้า ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ยุขันพรั่นใจเป็นหนักหนา
งวยงงมึนไปทั้งกายา ครั้นว่าเขารัดมัดมือ
จึ่งถามว่าท่านมาจับเรา ประสงค์จะเอาสิ่งใดหรือ
เราจะให้ตามประสงค์จงวางมือ นี้ชาวป่าหรือชาวเวียงไชย ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ทหารขบฟันหมั่นไส้
กูเป็นทหารชาญชัย จะเอาตัวไปถวายพระทรงยศ
เหตุไรขึ้นร่วมแท่นศิลา ยังไม่รู้ตัวว่าเป็นกระบถ
ว่าพลางทหารไม่เงือดงด รุมกันพาบทจรมา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ยุขันทุกข์ใจเป็นหนักหนา
อนิจจากูหลงตรงเข้ามา แพ้รู้พรานป่าน่าเจ็บใจ
เป็นคนสักแต่ว่าคน ไม่รู้กลไอ้พรานมันลวงได้
ได้ข่าวสตรีก็ดีใจ ตามมันมาได้ไม่ยั้งคิด
ผิดท่วงผิดทีที่จะหลง ไม่เห็นรูปเห็นทรงแต่สักนิด
สตรีเอ๋ยพ้นที่จะคิด แต่ข่าวกล่าวก็ปลิดชีวิตกัน
ชั่วเองไม่ฟังสั่งสอน คำท่านแต่ก่อนกล่าวมั่น
อย่าใหลหลงด้วยกลสี่อัน นั่นคือรูปวาจากลิ่นรส
ทั้งดุริยางค์แลดนตรี สี่อย่างท่านห้ามขาดหมด
ครั้งนี้กูมาเสียยศ เพราะฟังคำรสวาจา
ความนี้ควรเป็นธรรมเนียมไว้ สอนใจบุรุษไปภายหน้า
อย่างวยงงหลงด้วยมารยา ดังว่าไว้นี้ทั้งสี่อัน
อย่าได้ฟังคำคนกลสัตย์ซื่อ เหมือนเราปลายมือได้โศกศัลย์
โอ้กูอยู่ไยให้เขาฟัน มาจะกลั้นใจเสียให้บรรลัย ฯ

ฯ ช้า ร่าย ๑๔ คำ ฯ

๏ ท่านท้าวปะรังศรีมีพจนา สั่งว่าอย่าให้ตักษัย
เอาไปทิ้งเสียที่ในไพร เร่งเร็วแต่ในบัดนี้
ครั้นสั่งเสนาเสร็จสรรพ ทรงอาชากลับเข้ากรุงศรี
ได้ทั้งมิ่งม้าพาชี สกุณีสมคิดทรงธรรม์
เสนีที่รับบัญชาไท ชวนกันไปส่งองค์ยุขัน
เดินพลางทางสะกิดคิดกัน ตัวสั่นครั่นคร้ามขามกลัว
ผลักลงให้ตายในนที เห็นว่าจะดีมิใช่ชั่ว
จะปล่อยไปเล่าเราก็กลัว จับตัวเราได้มิเป็นการ
ด้วยองค์โฉมศรีมีบุญหนัก ทรงศักดิ์ฤทธิไกรใจหาญ
ชวนกันฆ่าเสียให้วายปราณ ทุ่มทิ้งกุมารลงนที
สุดแต่ให้สูญเสียได้ รอดไปจะม้วยเป็นผี
ถึงนอกรับสั่งไปนี้ อันสูญไปดีไม่เป็นไร
คิดกันฉับพลันก็มาถึง ตะลึงอยู่มิใคร่จะทำได้
จะให้กลัวด้วยบุญพระภูวไนย ครั้นทำไม่ได้จะเสียที
คิดพร้อมใจพรั่นชวนกันเข้า ผลักเจ้าลงน้ำแล้วแล่นหนี
ไม่เหลียวหลังดูพระภูมี ชวนกันรีบรี่ตะบึงไป
ล้มแล้วลุกขึ้นวิ่งเย่าเย่า หนามในทำเนาหาเจ็บไม่
ต่างคนต่างพรัดกันไป บัดใจมาถึงวังพลัน ฯ

ฯ เชิด ๑๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท่านท้าวปะรังศรีเฉิดฉัน
เสด็จมาถึงท้องพระโรงพลัน พอสุริยันส่องฟ้าธาตรี
เสด็จนั่งเหนือบัลลังก์รัตน์ ตรัสแก่พรานป่าพนาศรี
แล้วประทานเงินทองมากมี เสื้อผ้ากำมะหยี่ครบครัน
อีกโคกระบือช้างม้า ทั้งข้าชายหญิงเมียขวัญ
ส่วยสาอากรครบครัน แล้วทรงธรรม์ก็เสด็จเข้าไป ฯ

ฯ เสมอ ๖ คำ ฯ

๏ จึ่งให้ยกกรงสกุณา มายังปราสาทศรีใส
พร้อมแสนสุรางค์นางใน ทั้งประไหมสุหรีเยาวมาลย์
แล้วพระจึ่งกล่าววาที แก่สร้อยสุนียอดสงสาร
พี่ได้สมบัติมัฆวาน ใครจะต้านทานได้ก็ไม่มี
นี่คือมณีจักรพรรดิ ชื่อว่านกหัสรังสี
ในเศียรสกุณาจินดามี ฤทธีประเสริฐเลิศไกร ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นางสร้อยสุนีศรีใส
ทั้งนางสนมกรมใน เข้าไปล้อมชมสกุณี
งามประเสริฐนกในแดนไตร ขนนั้นอำไพต่างสี
เขียวขำอำไพรูจี ม่วงสีโมราศิลาทอง
ขาวเหลืองเรืองอร่ามงามนัก ในไตรจักรไม่มีเทียมสอง
ลางนางจะใคร่จับรับรอง กลัวท้าวผู้รองธรณี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท่านท้าวเจ้ากรุงปะรังศรี
จึ่งสั่งสาวสรรทันที จงไปหาพระบุตรีขึ้นมา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น นางกำนัลรับสั่งใส่เกศา
ก้มเกล้ากราบงามสามสา ลงมาปราสาทพระบุตรี ฯ

ฯ ชุป ฯ

๏ ครั้นเอยครั้นถึง นางจึ่งประณตบทศรี
ทูลว่าพระผู้ทรงธรณี ให้เชิญเทวีขึ้นไป ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น โฉมนางบุษหรีศรีใส
ได้ฟังสาวสรรกำนัลใน ทรามวัยสระสรงคงคา
ทรงเครื่องเรืองรัตน์อำไพ เฉิดโฉมวิไลดังเลขา
จึ่งเสด็จยุรยาตรคลาดคลา มายังปราสาทพระบิตุรงค์ ฯ

ฯ เพลง ๔ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงนางจึ่งอัญชุลี พระชนกชนนีสูงส่ง
แลเห็นสกุณาอยู่ในกรง โฉมยงเพ่งพิจารณา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท่านท้าวปะรังศรีนาถา
จึ่งมีสุนทรวาจา ปราศรัยธิดาดวงจันทร์
คืนนี้พ่อไปพนาลี ได้หัสรังสีเฉิดฉัน
ขนนั้นหลายอย่างต่างพรรณ ต้องกันกับทรงพระสุบิน
ดั่งหนึ่งดวงแก้วจักรพรรดิ จะปราบกรุงกระษัตริย์ได้สิ้น
ในเศียรนั้นมีมณีนิล จะเหาะเหินวิถีได้ดั่งใจ
เจ้าจงเชยชมสกุณา แล้วบิดาจะฆ่าให้ตักษัย
จักเอาวิเชียรในเศียรไซร้ จึ่งจะได้สำเร็จดั่งจินดา ฯ

ฯ ร่าย ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น โฉมนางบุษหรีเสนหา ฯ
ได้ฟังบิตุเรศบัญชา กัลยาจึ่งทูลสนองไป
ลูกคิดเสียดายเป็นหนักหนา พระบิดาจะฆ่าให้ตักษัย
นกนี้ประเสริฐเลิศไกร งามวิไลดั่งเทพรจนา
พระองค์จงโปรดเกศี ขอประทานสกุณีให้ข้า
ลูกรักดั่งดวงชีวา กัลยาวิงวอนพระภูวไนย ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น เจ้าเมืองอุรังฆารเป็นใหญ่
ได้ฟังธิดายาใจ ภูวไนยสำรวลไปมา
เออกระนี้เป็นไรสายสวาดิ ควรหรือรักราชปักษา
ยิ่งกว่าสมบัติกษัตรา จะเอาสกุณาไปเลี้ยงไว้
ครั้นพ่อจะขืนขัดนัก ลูกรักจะทรงกันแสงไห้
เอาไปเลี้ยงไว้เถิดดวงใจ เจ้าระวังระไวให้จงดี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น จึ่งโฉมนวลนางบุษหรี
รับสั่งทรงธรรม์พระพันปี เทวีชื่นชมภิรมย์ใจ
นางจึ่งถวายบังคมลา ยกกรงสกุณาศรีใส
มาส่งให้สาวสรรกำนัลใน เสด็จไปปราสาทนางเทวี ฯ

ฯ เพลง ๔ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงซึ่งแท่นสุวรรณรัตน์ เชยชมนกหัสรังสี
ชักชวนสกุณาพาที แม่นี้ขอถามเหตุการณ์
เป็นไฉนจึ่งมาถึงนี้ หรือพรัดบูรีราชฐาน
หรือว่ามาแต่หิมพานต์ จึ่งถึงอุรังฆารกรุงไกร
หรือหลงมาเที่ยวไพรสิณฑ์ ถิ่นฐานรวงรังอยู่ไหน
จงเล่าไปให้แม่เข้าใจ เป็นไฉนจึ่งมาถึงบูรี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น จึ่งนกหัสรังปักษี
ได้ฟังนางกล่าววาที สกุณีตริตรึกนึกใน
ครั้นจะบอกตามจริงบัดนี้ เทวีจะคิดสงสัย
จึ่งทูลไปพลันทันใด ลูกไซร้มาแต่อุเรเซน
กับองค์สมเด็จพระบิดา เข้าดงพงป่าแสนเข็ญ
ถึงพระไทรสาขาเพลาเย็น เคลิ้มสนิทนิทรา
ตื่นขึ้นก็เห็นพรานไพร ห้อมล้อมภูวไนยนักหนา
ทูลองค์สมเด็จพระบิดา ว่าเจ้าแม่จะมาอุทยาน
พระองค์คลั่งไคล้ใหลหลง พรานป่าพาตรงมาสู่สถาน
พอสิ้นแสงสุริยาเพลากาล พระภูบาลเสด็จเข้าไสยา
ครั้นเมื่อเพลาประจุสมัย ท้าวไทผู้ผ่านแหล่งหล้า
ไปลักเอากรงข้ามา ทั้งอาชาแลกฤชศิลป์ไชย
ทูลพลางสกุณาก็โศกศัลย์ ถึงองค์ทรงธรรม์เป็นใหญ่
ป่านนี้จะเป็นประการใด หรือจะม้วยบรรลัยมรณา
จะสร้อยเศร้าแสนศัลย์พันทวี ถึงข้าสกุณีเป็นหนักหนา
ลูกได้สมเด็จพระมารดา ช่วยชีวาไว้จึ่งรอดตาย ฯ

ฯ โอด ๑๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น องค์นางบุษหรีโฉมฉาย
ได้ฟังปักษีภิปราย บรรยายแต่ต้นจนปลายไป
นางตริตรึกนึกในไปมา พระบิดาควรเป็นกระนี้ได้
โลภหลงปลงจิตผิดไป จะมีเหตุเภทภัยถึงบูรี
เห็นจะเกิดรบพุ่งชิงชัย เดือดร้อนไปทั่วทั้งกรุงศรี
ด้วยพระองค์ผู้ทรงธรณี ท้าวมิได้อยู่ในยุติธรรมา
นางโลมลูบจูบชมสกุณี อย่าโศกีเลยฟังแม่ว่า
นางอุ้มรังสีไคลคลา เข้าห้องไสยาบรรทมใน ฯ

ฯ ช้า ๘ คำ ฯ

๏ ถึงห้องแล้วหับพระทวาร รูดม่านขึ้นแท่นผ่องใส
อุ้มนกแอบอกนางไว้ พระทัยตริตรึกถึงราชา
ยอกรก่ายเกยเขนยทอง นางปองประหวัดหวนหา
ถ้อยคำหัสรังเล่ามา จะเป็นมารยาก็ผิดไป
กล่าวกลอนย้อนถามสกุณี รังสีเจ้าแม่ยังสงสัย
พระบิดาเจ้าอยู่บูรีใด จะไปไหนจึ่งเจ้ามา ฯ

ฯ ร่าย ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น จึ่งนกหัสรังปักษา
ได้ฟังนางถามความมา สกุณาจึ่งทูลไปทันใด
อันพระบิตุรงค์ของข้า อยู่พาราอุรังยิดเป็นใหญ่
ทูลพลางทางทรงโศกาลัย รํ่าไปถี่ถ้วนทุกสิ่งอัน
สรรเสริญยกข้อยอโฉม ให้ประโลมถึงองค์รังสรรค์
หัสรังช่างรู้รำพัน ถึงพระบิดานั้นทุกสิ่งไป ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ ได้เอยได้ฟัง นางยิ่งคลุ้มคลั่งพิสมัย
ทำไฉนจะได้พบพระทรงไชย จิตใจให้ร้อนอยู่รุมรึง
พระจะเที่ยวไปกว่าจะสุดฤทธิ์ อุรังยิดเมื่อไรจะไปถึง
ไม่มีเพื่อนสองน้องคำนึง จะไปถึงบูรีนั้นเมื่อไร
หรือยังจะอยู่ในไพรพนม หลงชมสกุณีมิ่งไม้
พระเสด็จองค์เดียวเปลี่ยวใจ ค่ำไหนจะนอนองค์เดียว
ถ้ามิกลัวสมเด็จพระบิดา จะให้สกุณานำไปเที่ยว
โตรกตรอกซอกศิลาลดเลี้ยว เที่ยวไปให้พบพระราชา
จะเดินกระไรในไพรพนม จะระบมบอบชํ้าหนักหนา
จะลัดห้วยเหวเขาลำเนามา น่าที่จะเปล่าเศร้าใจ
แม้นน้องนี้ได้ไปเป็นเพื่อน เดินในไพรเถื่อนหากลัวไม่
ให้เห็นประหนึ่งว่ามาอยู่ใกล้ หลงใหลด้วยกลสกุณี
คลับคล้ายประหนึ่งจะเห็นทรง แอบองค์เคียงอยู่บนแท่นที่
ด้วยนางปฏิพัทธ์ยินดี เทวีวิตกตายใจ
ให้ฟั่นเฟือนจิตแสนทวี บุษหรีรำพึงพิสมัย
ประหนึ่งนางจะทรงโศกาลัย ให้อักอ่วนครวญใคร่ไปมา ฯ

ฯ ๑๖ คำ ฯ


[๑] ต้นฉบับว่า “ออกไปยังที่พระโรงไชย” แต่สัมผัสไม่ส่งตามบังคับ ในการตรวจชำระครั้งนี้จึงแก้เป็น “ออกยังที่พระโรงรัตนา”

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ