๕
๏ มาจะกล่าวบทไป | ถึงท้าวอะรุมเรืองศรี |
ครองไอศุริยาธานี | กับมเหสีโสภา |
ทรงนามมะยุมาโฉมเฉลา | เยาวรูปเลิศลักษณ์ดั่งเลขา |
ประกอบด้วยนักสนมดังดารา | ครองขัณฑเสมามาช้านาน |
อันเสนาประชาราษฎร | ไม่มีความทุกข์ร้อนกระเษมสานต์ |
เสวยรมย์ชมแสนศฤงคาร | ประมาณได้หลายปีมา |
จนทรงพระชราทั้งสององค์ | ไม่มีใครที่จะสืบพระวงศา |
พระไร้โอรสธิดา | ประยูรวงศาก็ไม่มี |
พระเร่าร้อนอาดูรพูนโศก | แสนวิโยคเศร้าสร้อยหมองศรี |
ทรงพระชราลงทุกปี | พระภูมีสวรรคาลัย |
มเหสีแสนสาวพระกำนัล | ก็ชวนกันโศกศัลย์ละห้อยไห้ |
จึ่งถวายพระเพลิงท้าวไท้ | เสร็จแล้วได้เจ็ดราตรี ฯ |
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | นวลนางมะยุมามารศรี |
แต่แสนโศกศัลย์พันทวี | ถึงพระสามีที่บรรลัย |
เมื่อวันจะมีเหตุเภทพาล | ให้เร่าร้อนรำคาญดั่งเพลิงไหม้ |
จึ่งเยี่ยมบานพระแกลแลไป | หวังจะให้สบายในวิญญาณ์ ฯ |
ฯ ร่าย ๔ คำ ฯ
๏ มาจะกล่าวบทไป | ถึงอสูรมัตตะริมยักษา |
สถิตยังปรางค์ทิพรจนา | ผาสุกอยู่ทุกทิวาวัน |
เรืองฤทธีศักดาอานุภาพ | อาจจะปราบเมืองแมนแดนสวรรค์ |
ด้วยเดชกระบองแก้วแพรวพรรณ | จะนึกอันใดได้สารพัดมี |
จะปรารถนาไพร่พลหญิงชาย | ก็แกว่งกระบองชัยศรี |
อีกทั้งโภชนาสาลี | มีในกระบองสุริย์กานต์ |
อันว่าปราสาททองของกุมภัณฑ์ | สนุกดั่งเมืองสวรรค์วิมานสถาน |
มีทหารขององค์ขุนมาร | สามตนเชี่ยวชาญฤทธี |
ตนหนึ่งชื่ออสูรปานัน | ตนหนึ่งชื่อยุกันยักษี |
ตนหนึ่งนันทสูรอสุรี | ให้รักษาทางที่พนาวัน |
เป็นด่านสามชั้นมั่นคง | ตระเวนในแดนดงไพรสัณฑ์ |
นักสิทธิ์วิทยาคนธรรพ์ | หลงเข้ามามันจับกิน |
อันองค์ขุนมารยักษา | ครั้นเช้าเข้าป่าพนาสิณฑ์ |
เที่ยวจับโคถึกมฤคินทร์ | กินเล่นสำราญบานใจ |
อสุรีตริตรึกไปมา | จะใคร่หาคู่ชิดพิสมัย |
แต่กูเที่ยวไปในพงไพร | ก็มิได้พานพบกระษัตรี |
อย่าเลยจะเข้าไปในกรุง | ก็จะสมมาดมุ่งของยักษี |
นางมนุษย์โสภามากมี | คิดแล้วอสุรีก็เหาะไป |
ถึงแดนอะรุมนครา | ก็เที่ยวหาตามชอบอัชฌาศัย |
อสุรีแลเล็งเพ่งไป | เห็นโฉมทรามวัยนั่งอยู่บัญชร |
ผลกรรมของนางจะพรากพรัด | จากสมบัติภิญโญสโมสร |
จะได้ทุกข์โศกาอาวรณ์ | จำจรไปจากนครา |
เผอิญให้อสุรีลานจิต | เพ่งพิศดั่งเทพเลขา |
ก็เหาะตรงเข้าไปด้วยฤทธา | อุ้มองค์กัลยาทันที ฯ |
ฯ ๒๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | นวลนางมะยุมามารศรี |
ครั้นเหลือบแลเห็นอสุรี | เทวีตระหนกตกใจ |
หน้าซีดผาดเผือดพักตรา | จะแลดูยักษาก็หาไม่ |
ดั่งหนึ่งจะสิ้นชีวาลัย | อรไทก็ทรงโศกี ฯ |
ฯ โอด ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | อสุรามัตตะริมยักษี |
ตรงเข้าอุ้มองค์นางเทวี | อสุรีก็เหาะระเห็จมา |
ครั้นถึงปรางค์รัตน์ชัชวาล | จึ่งเปิดทิพพิมานเลขา |
วางองค์เหนืออาสน์รจนา | อสุราเพ่งพิศพินิจไป |
งามสิ้นทั่วสารพางค์พักตร์ | จำเริญรักเป็นที่พิสมัย |
เสียดายองค์แต่ทรงชราไป | คิดไฉนเป็นเช่นนี้นะอกอา |
กูจะร่วมภิรมย์สมสวาดิ | ก็จะอายเทวราชทุกทิศา |
สมควรที่จะเป็นพระมารดา | คิดแล้วพระยาอสุรี |
จึ่งยอกรถวายอภิวาท | แทบบาทมะยุมาโฉมศรี |
จึ่งทูลไปด้วยใจภักดี | พระชนนีอย่าทรงโศกาลัย |
เดิมลูกตั้งจิตแสวงหา | เอกอัครไฉยาศรีใส |
เห็นนั่งอยู่ริมบัญชรไชย | ต้องใจมิได้พิจารณา |
ทั้งนี้เพราะเวรมาแต่หลัง | จึ่งกำบังนัยน์เนตรทั้งซ้ายขวา |
ลูกขอเป็นบุตรในอุรา | พระมารดาอย่าร้อนอาวรณ์ใจ ฯ |
ฯ ๑๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | โฉมนางมะยุมาศรีใส |
ได้ฟังพระยามารชาญชัย | ค่อยคลายสบายใจที่รุมร้อน |
แล้วมีสุนทรวาจา | ตามแต่จะเมตตาผันผ่อน |
จะรักดั่งบุตรในอุทร | แม่จะคลายเดือดร้อนในวิญญาณ์ ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระยามารมีจิตหรรษา |
อยู่ด้วยสมเด็จพระมารดา | ช้านานมาได้หลายปี |
อตส่าห์ปรนนิบัติรักษา | มิให้กัลยาหมองศรี |
ไม่มีอันตรายราคี | สุขกระเษมเปรมปรีดิ์ทุกเวลา |
เสวยทิพโภชนาอาหาร | สิ่งของตระการเป็นหนักหนา |
วันหนึ่งพระยาอสุรา | จะไปประพาสป่าพนาลี |
จึ่งทูลสมเด็จพระมารดา | ลูกจะไปเที่ยวป่าพนาศรี |
ล่าไล่โคถึกมฤคี | บ่ายแสงสุริย์ศรีจะกลับมา |
ทูลแล้วถวายอภิวาท | ลงจากปราสาทอันเลขา |
ตรงไปในอรัญวา | จับคชาโคถึกมฤคี |
ทั้งหมู่มหิงส์กระทิงไพร | ได้แล้วพระยายักษี |
แสนสนุกสุขกระเษมเปรมปรีดิ์ | อสุรีกินเล่นสำราญใจ ฯ |
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ยุขันรัศมีศรีใส |
กับเจ้าลิขิตฤทธิไกร | แรมนอนมาได้หลายราตรี |
แลไปเห็นยอดปราสาท | อันโอภาสจำรัสรัศมี |
ผู้คนไปมาก็ไม่มี | สองศรีคิดอัศจรรย์ใจ |
ทำไฉนจะได้แจ้งประจักษ์ | ว่ายักษ์ฤๅมนุษย์อาศัย |
คิดพลางย่างเยื้องคลาไคล | เสด็จเข้ายังในพระทวาร ฯ |
ฯ เพลง ๖ คำ ฯ
๏ ชมปรางค์มณีแก้วแพรวพรรณ | งามดั่งเมืองสวรรค์วิมานสถาน |
เนาวรัตน์จำรัสชัชวาล | กำแพงแก้วแถวชานชาลา |
มีสระสี่มุมปราสาท | พื้นดาดด้วยทองมีค่า |
ชมพลางทางเสด็จไคลคลา | มายังทวาราทันใด |
จะเผยพระทวารบัญชร | สองกรจะผลักก็ไม่ไหว |
พระเร่งคิดอัศจรรย์ใจ | จึ่งตรัสไปแก่พระอนุชา |
เราจะดูให้รู้ประจักษ์ | น้องรักผู้ยอดเสนหา |
จะเข้าไปก็ไม่ได้ดั่งจินดา | ทวาราปิดมั่นลั่นกลอนไว้ |
จำเราจะเอาพระขรรค์ | ฟาดฟันเข้าไปให้จงได้ |
ว่าแล้วทรงพระขรรค์ทันใด | ฟันพระทวารไชยมิช้า ฯ |
ฯ เชิด ๑๐ คำ ฯ
๏ ใบดาลมิอาจจะทานทน | ด้วยพระขรรค์ฤทธิรณคมกล้า |
สององค์เสด็จไคลคลา | เข้าในทวาราทันใด ฯ |
ฯ โทน ๒ คำ ฯ
๏ พระเที่ยวชมปรางค์มณีรัตน์ | แสงจำรัสแอร่มแจ่มใส |
อัจกลับพู่พรายกระจายไป | ล้วนสุวรรณอำไพจินดาดี |
เพดานม่านกั้นฉากพับ | งามสลับดั่งวิมานโกสีย์ |
มีแท่นทิพอาสน์รูจี | เห็นนารีบรรทมไสยา |
รูปทรงส่งสัณฐานบริสุทธิ์ | จะเป็นมนุษย์ฤๅยักษา |
สององค์เข้าใกล้กัลยา | เพ่งพิจารณาดูแยบคาย ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | นวลนางมะยุมาโฉมฉาย |
ครั้นนางนั้นฟื้นตื่นกาย | ชายเนตรเห็นสองกุมารา |
กล้องแกล้งแน่งน้อยทั้งสององค์ | รูปทรงดั่งเทพเลขา |
จึ่งมีสุนทรวาจา | ถามว่าเจ้ามาแต่แห่งใด |
อันในปรางค์รัตน์มณี | จะมีใครไปมาก็หาไม่ |
อันนามกรทั้งสองไท | ชื่อไรจงแจ้งกิจจา |
อาจองทะนงใจสามารถ | ไม่รู้ฤๅว่าปราสาทยักษา |
ไม่เกรงเราผู้เป็นเจ้าปรางค์ปรา | มีธุระกิจจาประการใด ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ยุขันเฉิดโฉมพิสมัย |
ได้ฟังยุบลทรามวัย | ภูวไนยจึ่งตอบวาจา |
ข้าชื่อยุขันเรืองฤทธิ์ | น้องชื่อลิขิตขนิษฐา |
มาแต่อุรังยิดนครา | ข้าจะไปอุเรเซนพระบูรี |
พระบิตุรงค์ทรงฤทธิ์ประสิทธิ์ใช้ | ให้ไปเอานกหัสรังสี |
แลเห็นปรางค์รัตน์มณี | มิได้แจ้งกิจจาว่าของใคร |
ขึ้นมาหมายว่าจะหยุดพัก | จะขออยู่สำนักอาศัย |
แล้วจะลาสัญจรนอนไพร | ไม่ช้าแต่สักราตรี |
ซึ่งข้าได้ผิดเบาความ | วู่วามมาในปราสาทศรี |
จงได้เมตตาปรานี | ข้อนี้จงได้มีอภัย ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | มะยุมามีจิตพิสมัย |
หน่อกระษัตริย์สุริย์วงศ์เรืองไชย | จะรักใคร่พันผูกเหมือนลูกยา |
จึ่งมีมธุรสสุนทร | ดูก่อนทั้งสองเสนหา |
เห็นเจ้าให้มีจิตคิดเมตตา | สองราอย่าแหนงแคลงใจ |
เราเป็นมนุษย์เหมือนกัน | จอมขวัญอย่าคิดสงสัย |
จะรักเจ้าเป็นบุตรสุดสายใจ | อย่าไปเลยจงอยู่ด้วยชนนี ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ยุขันทรงสวัสดิ์รัศมี |
กับเจ้าลิขิตผู้ภักดี | สองศรีคิดพร้อมพระทัยกัน |
เห็นนางมะยุมาแสนสนิท | มิจิตปรีดิ์เปรมกระเษมสันต์ |
จึ่งยอกรประณมบังคมคัล | แล้วทูลไปพลันทันที |
พระมารดาตรัสมาทั้งนี้ไซร้ | จะใส่ไว้เหนือเกล้าเกศี |
ทรงพระเมตตาปรานี | ดั่งพระชนนีบังเกิดมา |
แม้นอยู่ด้วยได้ไม่ไปจาก | เป็นกรรมวิบากลูกรักหนักหนา |
มิได้สนองคุณพระมารดา | รับอาสามาก็จนใจ |
สำเร็จเสร็จสรรพจะกลับมา | รองเบื้องบาทาให้จงได้ |
อันซึ่งมรคาจะคลาไคล | ยากเย็นเป็นไฉนพระชนนี ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | นวลนางมะยุมาโฉมศรี |
ได้ฟังพระกุมารพาที | เทวีจึ่งตอบคำไป |
อันมรคาลัยไพรวัน | แม่จะรู้สำคัญก็หาไม่ |
เหตุด้วยขุนมารชาญชัย | นั้นไปพาแม่เหาะมา |
เจ้าจะใคร่รู้หนทางจร | มารดรจะถามยักษา |
อสุรีกลับมาแต่หิมวา | ก็จะแจ้งกิจจาในราตรี |
จะอยู่ที่นี่ก็มิได้ | แม่จะซ่อนเจ้าไว้ทั้งสองศรี |
ในชานบุปผาสุมาลี | อย่าให้อสุรีแจ้งใจ ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระพี่น้องเปรมปรีดิ์จะมีไหน |
ถวายบังคมคัลทันใด | จึ่งทูลไปด้วยใจยินดี |
ทั้งนี้สุดแต่พระแม่เจ้า | โปรดเกล้าลูกน้อยทั้งสองศรี |
จงถามพระยาอสุรี | จะใคร่แจ้งคดีประจักษ์ใจ ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | โฉมนางมะยุมาศรีใส |
ได้ฟังสององค์ทรงไชย | อรไทจึ่งมีวาจา |
เวลาสายัณห์ลงไรไร | ยักษีจะคลาไคลมาแต่ป่า |
มาไปกับแม่ทั้งสองรา | ว่าแล้วพากันจรลี ฯ |
ฯ เสมอ ๔ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงซึ่งกองบุปผา | เอามาลาปกปิดทั้งสองศรี |
ซ่อนเร้นมิให้เห็นทั้งอินทรีย์ | แล้วเทวีกลับยังห้องใน ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | อสุรีมัตตะริมเป็นใหญ่ |
ล่าไล่มฤคีที่ในไพร | บ่ายแสงสุริย์ใสก็กลับมา |
จึ่งเก็บบุปผาสุมาลี | ที่มีกลิ่นซาบนาสา |
จะถวายสมเด็จพระมารดา | ได้แล้วอสุราก็คลาไคล ฯ |
ฯ กราว ๔ คำ ฯ
๏ เลาะลัดตัดดงพงพี | ถึงปราสาทมณีศรีใส |
จึ่งเปิดใบดาลทวารไชย | เข้าไปด้วยใจภักดี |
นอบน้อมคำรบอภิวาท | แทบบาทมะยุมาโฉมศรี ฯ |
จึ่งถวายบุปผามาลี | องค์พระชนนีด้วยปรีดา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | องค์นางมะยุมาเสนหา |
รับพฤกษชาติมาลา | มาจากลูกยาด้วยยินดี |
จึ่งมีวาจาปราศรัย | วันนี้เจ้าไปพนาศรี |
จนใกล้สนธยาราตรี | จึ่งกลับมาปรางค์มณีพรรณราย |
คิดว่ามีเหตุเภทภัย | ใจแม่ประหวั่นขวัญหาย |
ฤๅเจ้าเล่นสุขสนุกสบาย | สายใจลืมพระมารดา ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ขุนมารชาญฤทธิ์ทุกทิศา |
จึ่งทูลสนองพระวาจา | วันนี้ลูกยาสำราญใจ |
ล่าไล่โคกระทิงมหิงสา | เพลิดเพลินวิญญาณ์แจ่มใส |
จนอัสดงลับเมรุไตร | อันตรายมิได้บีฑา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | โฉมนางมะยุมาเสนหา |
ได้ฟังลูกรักทูลมา | กัลยาชื่นชมภิรมย์ใจ |
แต่เจรจาปราศรัยไปมา | มิให้ยักษาสงสัย |
จนปฐมยามล่วงไป | หวังจะให้สบายวิญญาณ์ |
แล้วกล่าวมธุรสวาที | ชนนีให้คิดกังขา |
แต่สถิตอยู่ในปรางค์ปรา | ช้านานประมาณมาได้หลายปี |
จะมีใครไปมาก็หาไม่ | เอกาอยู่ในปราสาทศรี |
อันประยูรวงศาธิบดี | ของชนนีอยู่ในนคร |
มิได้แจ้งเหตุเภทภัย | ว่ามาอยู่ไพรสิงขร |
แม้นมารดาสิ้นชีพม้วยมรณ์ | ก่อนเจ้าจะได้เผาชนนี |
แม้นเจ้าสวรรคาลัย | ใครจะพาแม่ไปยังกรุงศรี |
จะตกอยู่ในปรางค์มณี | เป็นเหยื่อเสือสีห์ที่ในไพร |
มารดาเร่าร้อนอาวรณ์นัก | จะรู้จักมรคาก็หาไม่ |
สำหรับจะม้วยบรรลัย | เจ้าจะคิดไฉนนะลูกรัก ฯ |
ฯ ๑๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | มัดตะริมอสุรีมีศักดิ์ |
จึ่งกราบทูลไปด้วยใจภักดิ์ | แม้นว่าลูกรักม้วยมรณ์ |
พระองค์จะกลับไปนครา | ลูกจะบอกมรคาสิงขร |
จงไปตรงทิศอุดร | จรไปไม่ยากมรคา |
ทหารคอยตระเวนพนาวัน | ชื่อสุระปานันยักษา |
ถัดนั้นวายุกันอสุรา | นันทะสูรยักษาอยู่ชั้นปลาย |
กระทั่งถึงฝั่งพระสมุทร | ถึงแดนมนุษย์ทั้งหลาย |
เมืองท้าวอุเรเซนเพริศพราย | ปลายแดนถึงเมืองพระชนนี |
แม้นพระองค์จะไปนคเรศ | จงบอกเหตุแก่สามยักษี |
เอาเส้นเกศาข้านี้ | ผูกเป็นมณีธำมรงค์ |
อสุราจะแจ้งประจักษ์ใจ | ว่าลูกสั่งไว้ให้ไปส่ง |
ไม่ยากลำบากในแดนดง | พระองค์ก็จะถึงพารา ฯ |
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | โฉมนางมะยุมาเสนหา |
ได้ฟังลูกรักทูลมา | กัลยาชื่นชมภิรมย์ใจ |
แต่เจรจาปราศรัยกันไปมา | จนล่วงเพลาประจุสมัย |
อสุราก็ม่อยหลับไป | อยู่ในแท่นทิพไสยา |
นวลนางมะยุมาโฉมยง | เห็นองค์พระยายักษา |
หลับสนิทไม่ฟื้นกายา | จึ่งตัดเกศาเส้นหนึ่งนั้น |
สีแดงดั่งแสงปัทมราช | ประหลาดกว่ายักษาทุกเขตขัณฑ์ |
เอาซ่อนใส่ไว้ในสไบพลัน | แล้วบรรทมสนิทนิทรา ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | มัตตะริมอสุรยักษา |
ครั้นรุ่งรางสว่างสุริยา | ตื่นจากนิทราทันใด |
จึ่งชำระสระสรงทรงเครื่อง | รุ่งเรืองแอร่มแจ่มใส |
ลาองค์ชนนีทรามวัย | ลงจากปราสาทไชยฉับพลัน |
ล่าไล่โคกระทิงมหิงสา | ทั้งคชามฤคีที่ไพรสัณฑ์ |
จับได้ประหารชีวัน | กุมภัณฑ์กินเล่นสำราญ ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | นวลนางมะยุมากระเษมสานต์ |
จึ่งมายังองค์พระกุมาร | เลิกชานมาลาออกมาฉับไว |
นางโอบอุ้มทั้งสองพระลูกรัก | ให้นั่งเหนือตักแล้วปราศรัย |
บอกว่าแม่ถามความใน | ยักษาแจ้งให้สิ้นทั้งนั้น |
อันซึ่งมรคาพนาลัย | ที่จะไปยากแค้นแสนศัลย์ |
ล้วนหมู่อสุราอาธรรม์ | ทหารของกุมภัณฑ์พระลูกยา |
พระพี่น้องสองราจะคลาไคล | แม่จะให้เส้นเกศของยักษา |
ผูกเป็นธำมรงค์รจนา | สอดนิ้วหัตถาของเจ้าไป |
แม้นอสูรหยาบช้าสามานย์ | จะเข้ามาหักหาญรุกไล่ |
จึ่งถอดธำมรงค์ที่ทรงไป | ออกให้มารเห็นสำคัญ |
มารนั้นจะส่งต่อไป | จะได้ถึงฝั่งสมุทรขัณฑ์ |
ฟากหนึ่งแดนมารชาญจกรรจ์ | ฟากหนึ่งนั้นแดนอุเรเซน |
สงสารลูกน้อยเจ้าแม่อา | จะลำบากกายาแสนเข็ญ |
กรำฝนทนแดดทุกเช้าเย็น | กว่าจะถึงอุเรเซนพระบูรี |
ว่าแล้วจึ่งเอาเส้นเกศา | ผูกเรือนรจนามณีศรี |
ให้แก่ยุขันฤทธี | ธำมรงค์วงนี้เป็นสำคัญ ฯ |
ฯ ๑๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ยุขันเพราเพริศเฉิดฉัน |
ก้มเกล้าถวายอภิวันท์ | รับธำมรงค์นั้นมาทรงไว้ |
แล้วทูลสนองพระวาจา | พระคุณนั้นหาที่สุดไม่ |
จำเป็นลูกจำจะลาไป | ให้ได้หัสรังดั่งจินดา |
พระแม่เจ้าอยู่เสวยสุข | อย่ามีทุกข์โทรมนัสา |
ไปแล้วลูกแก้วจะกลับมา | สนองคุณมารดาสืบไป ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | นวลนางมะยุมาศรีใส |
ได้ฟังลูกยาให้อาลัย | นางจึ่งอวยไชยสวัสดี |
ทั้งสององค์จงไปจำเริญสุข | อย่าอาดูรพูนทุกข์หมองศรี |
อันตรายสิ่งใดอย่ายายี | ให้ได้สกุณีดั่งใจปอง |
จงไปถึงเมืองอุเรเซน | ความเข็ญอย่าเคืองขุ่นหมอง |
ชนนีกอดพี่ประคองน้อง | น้ำเนตรคลอครองนัยนา ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ยุขันลิขิตขนิษฐา |
อาลัยมิใคร่จะไคลคลา | ยอกรวันทาพระมารดร |
ลงจากปรางค์รัตน์ชัชวาล | ข้ามด่านผ่านเนินสิงขร |
เข้าในพนมพนาดร | พฤกษาอรชรมากมี |
ราบในพื้นพันธุ์ร่มรัง | ช่อสลับใบบังแสงสี |
ชมเพลินเดินพลางในพงพี | ปักษีร่ำร้องเรียกรัง |
จับนอนเสียงพลอดฉะฉอดเฉื่อย | เสียงเจื้อยจับใจพระทัยหวัง |
สององค์หยุดยืนอยู่ฟัง | เซ็งแซ่เสียงสั่งภาษากัน |
ไก่ฟ้าพญาลอคลอคู่ | คลอเคียงเคล้าคูขานขัน |
เคียงคู่จับอยู่ยอดจัน | ยอดหว้าหวายพันห้อยย้อย |
ห้อยระย้าสาขาทุกกิ่งก้าน | กิ่งเกี่ยวเลี้ยวประสานเป็นสนสร้อย |
สนสักปักษาจับสูงลอย | สูงลิ่วลมพลอยพัดผ่าน |
พัดพาวายุภักษ์กวัดร้อน | กวักร้องเรียกสมรเสียงประสาน |
ชมเพลินเดินเข้าในด่านมาร | ช้านานได้หลายทิวา ฯ |
ฯ ๑๔ คำ ฯ