วันที่ ๙

ค่ายหลวงเมืองกาญจนบุรี

วันที่ ๙ วัน ๖ ๒ ค่ำ ทางซึ่งเรามาเที่ยวคราวนี้เปนทางเคยมาแล้วตลอดจนถึงเมืองสิงห์ คือตั้งหนึ่งแต่พระปฐมเจดีย์ตามเสด็จทูลกระหม่อม ไม่รู้ว่ากี่สิบครั้งนับไม่ถ้วน แต่ตัวได้มาเองนั้น เมื่อบวชเณรครั้งหนึ่ง เมื่อปีมเสงเอกศกศักราช ๑๒๓๑ คราวหนึ่ง มาครั้งนี้เปนที่สามที่ตัวได้มาเอง แต่ถ้าจะรวมทั้งตามเสด็จด้วยไม่รู้ว่ากี่มากน้อย ทางตั้งแต่พระปฐมเจดีย์มาพระแท่นดงรัง ถึงกาญจนบุรีนี้ ได้ตามเสด็จทูลกระหม่อม เมื่อปีชวดฉศกศักราช ๑๒๒๖ คราวหนึ่ง เที่ยวนี้อิกคราวหนึ่ง เปน ๒ คราว

ที่เมืองกาญจนบุรีนี้ ได้ตามเสด็จมาเมื่อปีชวดนั้นครั้งหนึ่ง มาเองเมื่อปีระกาเบ็ญจศก ศักราช ๑๒๓๕ ตลอดจนถึงเมืองสิงห์ครั้งหนึ่ง มาครั้งนี้เมืองกาญจนบุรีเปนคราวที่ ๓ เมืองสิงห์เปนคราวที่ ๒ แต่ต่อขึ้นไปนั้นยังไม่เคยไปเลย ที่กาญจนบุรีนี้ มีที่เที่ยวอยู่ ๒ แห่ง ๓ แห่ง เราได้ไปเที่ยวแล้วทุกแห่ง ที่เที่ยวไกลที่สุดนั้นเขาพุราง ข้ามฟากไปจากค่ายหลวง ขึ้นที่ท่าวัดเหนือเทวสังฆาราม เหมือนเมื่อลงมาเมื่อวานซืนนี้ ไปทางอิก ๙๐ เส้น ขี่ม้าขึ้นไปได้บนเขามาก จนเกือบจะถึงพุรางจึงต้องลงเดินไปหน่อยหนึ่ง ที่นั้นมีศิลาเปนรางน้ำอยู่ไม่ใหญ่นัก น้ำในนั้นใสเย็นวิดเท่าใดไม่แห้ง ต่อไปทางเดียวกันนั้น แต่แยกกันไป ถึงหนองบัวลาดหญ้าจนถึงเขาชนไก่ ทาง ๕๙๐ เส้น ที่ลาดหญ้านี้มีหญ้ามาก ถ้าจะเลี้ยงช้างสักกี่ร้อยก็เลี้ยงได้ เปนที่สำคัญในการศึก เมื่อเรายังทำศึกอยู่กับพม่า กองทัพเราตั้งรับฤๅกองทัพข้าศึกจะมาตั้ง ก็มักจะชิงเอาที่นี้ไว้ในกองทัพ ด้วยเปนที่อุดม ได้อาไศรยเลี้ยงพาหนะในกองทัพได้มาก ที่เขาชนไก่นั้น เปนที่เมืองเก่ายังมีวัดร้างอยู่ที่นั่น ว่าเปนวัดของยายทองประศรี แม่ขุนแผนสร้าง ยังแลเห็นเปนพระปรางค์บ้าง เปนรากอิฐหักพังอยู่ วัดนั้นเปนวัดเปนแน่ แต่จะเปนของยายทองประศรีฤๅอย่างไรไม่ทราบ พลับพลาไปตั้งอยู่ห่างเขา ๔๐ เส้น ๕๐ เส้น ตรงที่วัด เราไม่ได้ไปดูที่เขาไม่ทราบว่าเปนอย่างไร แต่เห็นว่าละไม่เปนอินเตอรเรสติงอันใด ผู้ที่ไปก็ไม่เห็นมาเล่ามาชม ตรงบ้านเขาชนไก่ออกไปหน่อยหนึ่ง เปนลำน้ำเรียกว่าลำตะเพิ่น ตรงนั้นกองทัพมหาอุปราชาข้ามมาตีเมืองกาญจนบุรี ไพร่พลมากนัก ในครั้งนั้นมีโคลงและคำร่ายในลิลิตเตลงพ่าย ได้กล่าวถึงตำราเดิมนี้ เมื่อมหาอุปราชาข้ามพล ว่า

ร่าย ส่วนนเรนทรสมญา มหาอุปราชรามัญ ธก็ให้เร่งผันพลผ้าย ย้ายมาโดยทางเถื่อน ทัพน่าเคลื่อนพลเดิน ลุลำตะเพิ่นบมิหึง จึงพระยาจิตตอง ให้พลกรองเวฬู ปูเปนสพานผ่านชล เร่งเดินพลข้ามฟาก มากนิกรคั่งคาม…...

ที่ลำตะเพิ่นนี้ ไม่ห่างกันกับเขาชนไก่กี่มากน้อย เห็นจะใกล้กันกับเมือง ในครั้งนั้นคนชาวเมืองกาญจนบุรีตกใจตื่นหนีออกจากเมืองหมด ด้วยกองทัพมามากนักเหลือกำลังที่จะรับ กรมสมเด็จพระปรมานุชิต ท่านว่าโคลงไว้ว่า

๏ ชาวสยามคร้ามศึกสิ้น ทั้งผอง
นายแลไพร่ไป่ปอง รบร้า
อพยพหลบหลีกมอง เอาเหตุ
ซุกซ่อนห่อนให้ข้า ศึกได้ไปเปน

ในครั้งนั้นเมืองกาญจนบุรี ซุ่มดูไพร่พล แล้วมีใบบอกเข้าไปว่า

ร่าย ข้าพระพุทธเจ้าผู้รั้ง ทั้งกรมการทั่วตน ด้าวกาญจนบุรี ศรีสวัสดิปุเรศ ขอโอนเกษวันทนา แด่ออกยามหาด ขานข้อราชดัษกร ทูลภูธรผ่านถวัลย์ เพื่อรามัญผ้ายพล ดลประเวศสีมา ผู้เปนนายกไส้ คือหน่อไท้อุปราช ยาตรพยุหแสนยา ยลโยธาทวยหาร ประมาณห้าสิบหมื่น ดูดาษดื่นแดนดง ตรงข้ามน้ำลำตะเพิ่น เดินโดยสพานเรือกรัด ตัดเข้ากาญจนบุเรศ ข้าคุ้มเขตรเหลือป้อง ขอสมเด็จพี่น้อง ท่านรู้ข่าวเข็ญ เทอญนา

ในครั้งนั้น มอญได้เมืองกาญจนบุรีง่ายทีเดียว ไม่ต้องรบเลย แต่ไม่ได้จับคนไทยได้ เปนแต่ยกเข้ามาตั้งอยู่ในเมือง

กรมสมเด็จพระปรมานุชิตท่านว่า

๏ ดลยังเวียงด่านด้าว โดยมี
เมืองชื่อกาญจนบุรี ว่างว้าง
ผู้ใดบ่ออกตี ตอบต่อ ทัพนา
ยลแต่เย่าเรือนร้าง อยู่ไร้ใครแรม
๏ สอดแนมจักจับถ้อย ไถ่ความ
ฤๅบ่ได้ชาวสยาม สักผู้
จักสืบจักเสาะถาม เหตุห่อน รู้แฮ
รู้ว่าชาวเมืองรู้ เล่ห์แล้วหลีกหนี
๏ ธก็กรีธาทัพเข้า เนาเมือง
ประดับอยู่แรมคืนเคือง สวาสดิ์ไหม้
คำนึงนุชไป่เปลือง จิตรท่าน ถวิลนา
เจ็บอุระราชไข้ ขุ่นแค้นคับทรวง

เมื่อใบบอกไปถึงกรุงแล้ว พระนเรศวรได้สั่งให้มารื้อตะพานลำตะเพิ่นนี้เสีย

ร่าย แล้วธกเอื้อนออกพจน์ พระราชกฎประกาศ แด่เมืองราชบุรี เกณฑ์โยธีห้าร้อย คะค้อยไปซุ่มซ่อน ดูศึกผ่อนพลเดิน ผ่านลำตะเพิ่นโดยสพาน เพ่งพลหารเห็นเสร็จ ให้ระเท็จเข้าหั่น บั่นเรือกขาดเปนท่อน ค่อนพวนขาดเปนทุ่น เถกองกรานกรุ่นพลวกเผา อย่าให้เขาจับได้ เขากระทำดังให้ ธิราชอื้นโองการ สั่งนา

เมื่อเราไปคราวก่อนออกจากที่เขาชนไก่ แล้วเราอยากจะเห็นที่ลำตะเพิ่นแลที่หินดาษ จึ่งขี่ม้าไปที่นั่น เวลานั้นน้ำน้อย ม้าลุยพอจะท่วมหลัง เย็นสักห้าโมงแล้ว เราเอาม้าข้ามฟากไปขึ้นฟากข้างโน้น รีบควบขับไปโดยเร็ว ทางสัก ๑๒๐ เส้นถึงหินดาษ ใกล้กับลาดหญ้าข้าม ทางที่ไปนั้นเปนสิลาก้อนย่อม ๆ ม้าเหยียบไม่ใคร่จะถนัด แต่จำเปนต้องรีบวิ่งอย่างเร็วเพราะเวลาจวนค่ำ ไปด้วยกัน ๗ ม้า ๘ ม้า พบนกยูงกลางทาง ไม่ต้องสงไสยเลยว่าจะไม่มีเสือที่นั้น ไปถึงที่หินดาษ เห็นหินเปนพื้นไปทั้งสิ้น ไม่เปนแผ่น ๆ ดูเปนเหมือนหนึ่งสิลาปูดาษไป ยิ่งกว่าขึ้นไปบนเขาจะพบดินบ้าง เขาว่าไปอิกหน่อยหนึ่งมีน้ำพุในกลางหินดาษ เรียกว่าพุพระ แต่เราไปไม่ได้ ด้วยเวลาไม่มี บ่ายจวนค่ำแล้ว ยังนั้นร้อนจัดนักอายหินขึ้นวาบ ๆ ลงเรือกลับมาเวลาค่ำ มีแก่ง ๒ แห่ง แก่งเสี้ยนกับแก่งจีน แต่แก่งเสี้ยนนั้นอย่างไรเราจำไม่สู้ถนัด แต่แก่งจีนนั้นเปนสิลายื่นออกมาในน้ำทั้ง ๒ ข้าง เรือเดินได้เฉภาะช่องกลาง เสียงน้ำดังสู้ๆ กรมการต้องลงมาส่องไต้อยู่ ๒ ข้าง อิกทางหนึ่งไปทางแม่น้ำน้อยที่เขาตกน้ำ มีถ้ำอยู่แห่งหนึ่ง หลวงญวนไปอยู่ แต่วันนั้นเราไปถ้ำมเกลือก่อน ไปทางบกแต่ค่ายหลวงทาง ๑๑๙ เส้น ถ้ำนั้นอยู่ในระหว่างเขา ต้องเดินขึ้นไปบนเจา มีช่องที่ลงไปได้ฦก แต่เราไม่ได้ลงไป ตำรวจเขาได้ลงไปกัน มีมเกลืออยู่ที่ปากถ้ำ ดูเหมือนมีพระพุทธรูปด้วย แล้วไปจากถ้ำมเกลือนั้นไปลงน้ำได้ แล้วถึงถ้ำพระญวนคนละฟาก เดินขึ้นบกไปไม่สู้มากนัก จึงขึ้นบนเขาทางอยู่ข้างจะชัน ที่ปากถ้ำนั้นเบิดช่องไว้แต่ช่องเดียว ช่องอื่นเอาไม้ปักอุดไว้เสียทุกช่อง เข้าไปในนั้นถ้ำกว้างขวางอยู่ มีโต๊ะที่บูชาอยู่ตรงกลาง สองข้างในหลีบถ้ำเปนที่นอน มีเครื่องใช้อะไรบ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ ถ้ำแวะออกไปอิกข้างหนึ่งเปนครัว เห็นมีแตงโมผ่าซีกอยู่ในนั้น แลของอื่น ๆ เบ่นเครื่องทำครัวหม้อเข้าหม้อแกง ที่เพดานถ้ำควันหุงเข้าจับดำ ยังมีถ้ำลดเลี้ยวไปได้อิกบ้าง ว่าพระญวนมาอยู่ที่นั้นหลายองค์ช้านานมาแล้ว แต่เดี๋ยวนี้จะมีฤๅไม่มีไม่รู้ ยังมีที่สำคัญอิกแห่งหนึ่งเปนที่ชอบใจมาก เราได้ไป ๒ หนแล้ว เมื่อคราวตามเสด็จครั้งก่อนครั้งหนึ่ง เมื่อปีรกาครั้งหนึ่ง ที่นี้ควรนักปราชญ์คีมิสตรีจะมาตรวจด้วยเปนอัศจรรย์อยู่ จำเพาะเปนแต่แห่งเดียว ถ้าจะไปจากพลับพลากาญจนบุรีนี้ ทางเขาช่องควายไปได้ จะถึงทุ่งนาคราช ที่นี้ทาง ๓๔๑ เส้น แต่เปนทางต้องขึ้นเขาบ้าง มีระยะดังนี้ แต่ค่ายหลวงถึงบ้านยาง ๔๔ เส้น แต่บ้านยางถึงเขาช่องควาย ๗๑ เส้น ตั้งแต่บนช่องควายจนลงช่องเขา ๑๘ เส้น แต่ช่องเขาถึงหนองยา ๔๔ เส้น แต่หนองยาถึงเขานางงอน ๓๒ เส้น แต่นางงอนถึงเขาแก้ว ๓๐ เส้น แต่เขาแก้วถึงทุ่งนาคราช ๑๐๒ เส้น ทางนี้ลำบากต้องขึ้น ๆ ลง ๆ ถ้าจะไปให้ง่ายลงเรือไปทางแม่น้ำน้อย ขึ้นที่ท่าชุกยายญวน เดินบกไปอิก ๑๑๔ เส้น ถ้าเข้าทางชุกยายญวน เมื่อเกือบจะถึงทุ่งนาคราชนั้นพบเปนแอ่งฤๅคู กว้างแต่ไม่สู้ฦกนัก เปนทางคดไปคดมาเหมือนแม่น้ำ เขาว่าเปนแม่น้ำเดิมมีอยู่หน่อยหนึ่ง แต่น้ำไม่มีในนั้นเลย ตั้งแต่ข้ามคูนั้นไปแล้วแผ่นดินแดงเปนสีดินแดง พื้นราบแต่สูงเปนเนินเปนชั้น ๆ ขึ้นไป พื้นเหมือนกันกับเอาดินแดงเข้าเกลี่ยเปนพื้น มีเขามอเล็ก ๆ สูงเพียง ๓ ศอก ๔ ศอก ๕ ศอก สีแดงเหมือนกับพื้นตั้งเรียงรายเปนจังหวะ มีต้นไม้เตี้ย ๆ ไม่สู้สูงท่วงทีเหมือนไม้ดัด ที่ทิ้งกิ่งแล้วขึ้นตามเขามอเหล่านั้น มีต้นเกดมากกว่าต้นอื่น ๆ มอ ๑ บางทีมีต้นไม้ ๔ ต้น ๕ ต้นเพียง ๙-๑๐ ต้นไม่รก เตียนไม่มีหญ้าขึ้นเลยสักเส้นหนึ่ง เหมือนกับเขามอก่อเล่นในกระถางฤๅในอ่างแก้ว ที่พุทธรัตนสถานยากที่จะพรรณนาให้สมกับงามของที่นั้นได้ เมื่อพ้นเขามอเหล่านั้นเข้าไปแล้ว มีแผ่นดินยกสูงขึ้นเปนคั่น เหมือนหนึ่งคนแกล้งพูนไว้เปนที่พัก ฤๅเปนที่ปลูกตำหนักไว้กลางสวน ที่บนที่แผ่นดินสูงนั้น ไม่มีเขามอเล็ก ๆ เลย ต่อไปเปนแต่ดงไม้รวกลำเล็ก จะตัดทำอะไรเล่นน่ารัก เทือกของไม้รวกนั้นรายล้อมที่ทุ่งนาคราชรอบไป เหมือนหนึ่งกับรั้วไม้ไผ่เล็ก ที่ใช้กันที่เมืองสิงคโปร์ เปนแต่ที่ลำใหญ่กว่าสูงกว่า กับไม้ที่ผู้ช่วยตัดกิ่งก้านให้เรียบเปนรั้วเท่านั้น จะว่าเปนสวนเจ้าแผ่นดินแต่โบราณมาทำไว้ ฤๅยังไรก็ไม่รู้ เหมือนกับฝีมือคนทำแต่จะทำให้แดงเห็นจะไม่ได้ ถ้าจะว่าอย่างไทย ๆ ตามเช่นเขาพูดกันแต่ก่อน ก็ว่ากันว่าเห็นจะเปนสวนของเทวดาสร้าง ถ้าพวกมิศชันเนรี่มาเห็นฤๅได้ยินเล่า คงจะตั้งกระทู้ว่าเห็นฤๅไม่เล่าว่าเปนฝีมือมีผู้ทำดังนี้ พระยะโฮวาเปนผู้ทำ ที่เปนกรวดอยู่ตามพื้นนั้นเปนก้อนกลม ๆ ดำ ๆ มีมาก ทูลกระหม่อมท่านรับสั่งว่าเห็นจะเปนแร่เหล็ก ได้ให้กรมพระเทเวศออกมาตรวจดูครั้งหนึ่ง แต่ละรีโป๊ดว่ากระไรเราไม่รู้ ในเมืองกาญจนบุรีนี้ราษฎรทั้งปวงทำนาแต่พอกิน ไม่สู้จะเปนสินค้าออกจากเมืองดังเช่นเราว่าไว้เมื่อวานนี้แล้ว แต่สินค้าซึ่งเปนของสำคัญราษฎรได้ทำไร่อยู่นั้นยาสูบเปนมาก เปนที่สองของเมืองเพชรบูรณ์ ได้สืบดูวิธีทำไร่ยาในเมืองนี้ เดือนหกลงมือพวนดินเอาแกลบโรยเมล็ดยาโปรย เหมือนหนึ่งตกกล้าต้องรดน้ำทุกวัน กำหนดเดือนหนึ่งจึงจะเอาต้นยาไปปลูกที่อื่นอิก พวนดินครบ ๓ ครั้ง แล้วจึงถอนยาไปปลูกใหม่ ได้ ๒๐ วันยกร่องต่อไปอีก ๒๐ วัน จึงเด็ดยอด อิก ๑๕ วัน ลิดแขนง แล้วต่อไปอีก ๗ วัน ๗ วันลิดแขนง อิก ๗ ครั้งปลูกยามาได้ ๓ เดือนกับสิบวัน จึงหักใบริมดินมาบ่มไว้ ๓ วัน แลฉีกก้านออกเสีย ม้วนแต่ใบวางบนม้าหั่นลงแผง ผึ่งแดดผึ่งน้ำค้างไว้ ๓ วัน ๓ คืน แลตัดเปนอัน ๆ ห้าอันซ้อนกันนับเปนตั้งหนึ่ง ถ้ายาลังใหญ่ลังหนึ่งเปนยา ๓๑๕๐ อัน ๖๓๐ ตั้ง แล้วก็หักใบยาขึ้นไปถึงกลางต้นแลยอด ถ้ายาใบริมดินเปนยาไม่ดีสูบไม่ได้ น้ำหนักลังละ ๑๔ ชั่งจีน ราคาลังหนึ่งเพียงก่ำงตำลึง ถ้าเปนยากลางต้นสูบได้แต่ไม่สู้ดี น้ำหนักลังละ ๑๕ ชั่งจีน ราคาลังละ ๓ บาท ๒ สลึง ถ้าหักขึ้นไปถึงยอดยายานั้นเปนอย่างดี น้ำหนักลังละ ๑๗ ชั่งจีน ราคาลังละตำลึงสองสลึง แต่ยาที่เปนอย่างดีทีเดียว ว่าเก็บใบยอดเฉภาะมีต้นละใบ ถึงโดยจะเปนยายอดก็จริง บางทีดีมากดีน้อย ถ้าผู้ที่บริบูรณ์ปลูกทำนุบำรุงรักษาดีมีน้ำมันมาก ถ้าเปนแต่การรีบร้อนจะใช้หนี้เขาก็ไม่ใคร่จะดีได้ นี่เปนคำยายบ๊วย๘๗ว่า ยาซื้อขายกันในเมืองกาญจนบุรีนี้พอแล้วออกไปจากเมือง ปีหนึ่งประมาณสัก ๑๐๐๐๐ ลัง แต่ไร่ยานั้นต้องเปลี่ยนเสมอทุกสามปี ถ้า/**/ทำต่อไปถึง ๔ ปีใบยาจืดลง จึงต้องเปลี่ยนที่ใหม่ ที่ทำยานี้คนไทยทำน้อยเปนการไม่ถนัด ถ้าทำก็ทำแต่พอกินเล็กน้อย ที่ซื้อขายนั้นเปนพวกจีน แลจีนเขยสู่ทำเปนอันมาก การหากินของพวกไทยที่เปนสินค้าออกจากเมือง เลิกนาแล้ว เข้าป่าตัดฝางเสาไม้รวกไม้ขอนสัก ลงทางแม่น้ำเมืองกาญจนบุรี ล่องลงไปราชบุรี แต่แถบบ้านวังกุ่ม บ้านเขารัก บ้านกรับ บ้านห้วยกระเจา บ้านเขากระจิว ราษฎรตัดไม้แล้ว จะลากมาลงแม่น้ำกาญจนบุรี ทางเกวียนไกลเขาลากลงทางท่าสองพี่น้อง แขวงเมืองสุพรรณบุรีใกล้กว่า ตัดไม้ทางนี้เขาไม่คอยท่าน้ำ ล่องไม้เวลาน้ำท่วมป่า ใช้เกวียนเขนลงมา ไม้ที่ตัดนั้นก็พอกำลังเกวียนไม่มีไม้ใหญ่ ถ้าเปนไม้เล็กใช้เกวียนโต ถ้าเปนไม้ใหญ่ใช้เกวียนกระบือ แต่ไม้สักนั้นแถบแขวงกาญจนบุรีนี้ไม่มี เขาว่ามีตั้งแต่สระสี่มุมแขวงไทรโยครายสองฝั่งขึ้นไป จนถึงเมืองไทรโยค แต่ไม่สู้ใหญ่นักมีเพียง ๔ กำ ๕ กำ ๖ กำ ได้ล่องเพียงปีละ ๒๐๐ ต้น ๓๐๐ ต้น ขายกันที่เมืองกาญจนบุรีต้นละ ๖ บาท ๗ บาท ไม้ไผ่ป่าตกลงทางแม่น้ำนี้ปีละหลายหมื่น ราคาอยู่ในร้อยละ ๓ บาท ไม้รวกไม้ตับจากก็มาก ขายอยู่ในร้อยละสองสลึงเฟื้อง ไม้รวกทำรั้วยาว ๗ ศอก ๘ ศอก ราคาอยู่ในร้อยละบาท ไม้แดงท่อนละกึ่งตำลึง ไม้เตงรังน่า ๑๒ นิ้ว ๔ เหลี่ยมยาว ๔ วา ๒ ศอก เขนลงมาตกท่าราคาต้นละ ๔ บาทปีละหลายพันต้น ไม้เสาตกปีละหลายพันต้น เสา ๓ วา ๓ กำกึ่ง ไม้เตงรังราคาซื้อขายกันต้นละ ๒ สลึง เสา ๔ กำ ๔ วาลากมาตกท่าต้นละตำลึง เสา ๑๑ ศอก ๓ กำ ต้นละ ๓ สลึงบ้างบาทหนึ่งบ้าง ๒ กำ ๒ กำกึ่งต้นละ ๒ สลึงเฟื้องบ้าง ถ้างามถึงบาทหนึ่ง ไม้ที่ได้ใช้ในราชบุรีสุพรรณแลในกรุงเทพ ฯ ใช้ ไม้แขวงเมืองกาญจนบุรีนี้มาก ฝางยังสืบไม่ได้ความ ไร่ผลไม้ต่าง ๆ มีแตงมีส้มโออ้อยบ้าง แต่ทำพอกินในเมือง ไม่ได้จำหน่ายไปต่างเมือง พระยากาญจนบุรีว่าอ้อยดีมาก ถ้าจะทำน้ำตาลคงทำได้ดี แต่ไม่มีผู้ลงทุน กล้วยมีมาก สมเด็จเจ้าพระยาว่าลงไปราชบุรีก็มีบ้าง ฝ่ายพริกมีมากข้างแขวงเมืองศรีสวัสดิ์ มอญละว้ากะเหรี่ยง ข่าสอูด ทำไร่ฝ้าย มีพวกจีนไหหลำขึ้นไปรับปีหนึ่งก็มาก ๆ การหาสัตวป่านั้นมีพรานมาก หนังเขาจำหน่ายแก่ลูกค้าก็มี ปลามีพอกินในเมืองไม่มีออกไปเมืองอื่น ปลากดปลาเค้าปลากระพากปลาตะเพียนมีชุมเปนพื้นเมือง แต่ปลาช่อนปลาหมอปลาดุก ในห้วยคลองไม่ใคร่จะรู้จักมี ที่ปากแพรกนี้มีอวนอยู่แต่สองปากเท่านั้น เห็นไม่เปนเมืองปลาเลย ของเข้ามาต่างเมือง มีผลไม้ของสวนมามาก ที่สุดจนหมากพลูก็ต้องบรรทุกมาบางช้าง แต่ก่อนนี้ต้องกินพลูนาบกันเปนพื้น ด้วยเรือใหญ่กว่าจะบรรทุกเข้ามาแต่เมืองสมุทสงครามถึง ๗ คืน เรือชล่าถ่อสองเล่มอย่างเร็วก็เพียงสี่คืน แต่พระยากาญจนบุรีเขาบอกว่าได้ป่าวร้องให้ราษฎรปลูกพลูปลูกหมากขึ้น เดี๋ยวนี้พอได้กินพลูสดขึ้นบ้าง ของทเลเปนปลาเค็มปูเค็มเกลือ มีลูกค้าบรรทุกมาขายแต่เมืองสมุทสงคราม ที่เปนแลกเปลี่ยนกับของในเมืองนี้ก็มี ของขายที่ร้าน มีผ้าขาวผ้าลายเครื่องทองเหลืองทองขาวเครื่องเหล็ก แต่พรุ่งนี้จะไปดูในเมืองเผื่อจะมีอะไรพูดบ้าง งดไว้ก่อน ว่าด้วยเรื่องอื่นมากนักแล้วจะเลยไดอะรีสำหรับวันนี้เสีย จะต้องกลับมาว่าเสียสักหน่อย เมื่อย่ำรุ่งตื่นขึ้นเห็นเธอมอเมเตอร ๖๖ นึกไม่สู้เชื่อ กลัวตาจะง่วงนอนอยู่ สอบหมอเกาแวน๘๘บอกว่า ๖๖ จริง เอาเปนใช้ได้หนาวกว่าทุกวันตั้งแต่มา แล้วนอนหลับต่อไปตื่นต่อสามโมงเช้า ปรอทขึ้นไปเปน ๗๐ วันนี้กลาง๘๙เมียพระยากาญจนบุรีมาหา กลางคนนี้เปนแซ่เดียวกันกับยายตลับ๙๐ เถ้าแก่พี่น้องกับคุณแพด้วย แต่มิใช่ราชนิกูล ให้ผ้าห่มนอนผืนหนึ่ง ออกมาข้างนอกพบพระยาศรีสรราชบอกว่าหยุดจับแล้ว ได้ให้ของทำขวัญเล็กน้อย กรมการเอาของมาให้แจกเสื้อด้วย นั่งอยู่น่าพลับพลาร้อนเต็มที เวลาเที่ยงปรอทขึ้นถึง ๙๐ ต้องเลี่ยงลงไปท่าน้ำ ตกลงไปได้ ๙๖ ดิกรีเท่ากันกับเรือหมอเกาแวน วันนี้อาบน้ำสักประเดี๋ยวหนึ่ง เรือมาถึงแล้วบ่าย ๕ โมงครึ่งลงเรือ ๔ แจวไปเที่ยวตามลำแม่น้ำ เห็นพ้นพลับพลาอาบน้ำไปหน่อยหนึ่ง เปนที่โรงครัวคุณสุรวงษ์ ต่อนั้นไปเปนเรือครัวจอดแน่น เรียงลำเอาหัวเข้าฝั่งตลอด จนหมดน่าค่ายยังมีรายต่อไปอิกมาก ไม่รู้ที่จะนับอย่างไร น้ำล่องเร็วนัก แต่คงเปนหลายร้อยลำเปนแน่ ไปจนหาดกลางน้ำยังมีจอดบ้าง มีอาหารบริรักษ์๙๑ เปนต้น ที่หาดนั้นมีเรือใหญ่ ๆ เปนเรือรับยา ๑๘ ลำด้วยกันได้นับแน่นอน เรือเล็ก ๆ อิกหลายลำ ล่องลงไปเกือบถึงสามแยก ไปแม่น้ำน้อยแคงหนึ่ง ใหญ่แกงหนึ่ง ตรงกลางเปนหัวแหลมใหญ่มีหาดข้างหลังมีเขาซับซ้อนกันดูงามที่สุด

๏ ลำน้ำสามแยกยั้ง เรือเรา
ชมฝั่งทั้งลำเนา หมู่ไม้
สลอนสลับซับซ้อนเขา เขียวชอุ่ม
แลเล่ห์นฤมิตรให้ ติดต้องหฤไทย

ได้สั่งท่านกาพย์ ขอให้ยุพวกฟอตอกราเฟอให้ถ่ายรูปที่นั่นไปสักรูป ๑ ไปอิกหน่อยหนึ่งเห็นเขาช่องควายใกล้ทีเดียว พอถึงหลัก ๕๐ ที่หาดเขาปูน คุณสุรวงษ์เอาญวนไปลงอวนคราวหนึ่งข้างนอกคราวหนึ่งข้างใน เรื่องปลาที่เราจะออกชื่อไม่ใคร่จะรู้จักเลย ไม่ได้ศึกษา เแต่ก็ไม่มีอะไรดอก ในลงอวน ๒ หน มีปลาใหญ่ ๒-๓ ตัว ในใหญ่ ๒-๓ ตัวนั้นแลมีปลากระพากตัวหนึ่ง กลับมาพลบค่ำลงอวนที่หาดตรงลิ้นช้างอิกคราวหนึ่ง คราวนี้ได้ปลาใหญ่หลายตัว แต่มืดเต็มทีไม่ทันถามว่าอะไรบ้าง ออกมาแม่น้ำใหญ่แจวทวนน้ำขึ้นมา ขึ้นตพานน้ำน่าค่ายหลวง จึงแลเห็นว่าเรื่องพลับพลาเมื่อคืนนี้ยังขาดอยู่อิก นอกค่ายหลวงมีเพิงพลตลอดทั้งด้านน่า สำหรับทหารแลตำรวจอาไศรย แล้วมีเสาไต้ปักรายกันไปสลับกับเสาโคมตลอดน่าค่าย อนึ่งเมียพระยากาญจนบุรีเขาบอกว่า พระยากาญจนบุรีมานอนอยู่ที่น่าค่ายหลวงเดือนครึ่งแล้วจนตลอดเดี๋ยวนี้ วันนี้เสด็จยายท่านให้ดอกไม้มาห่อหนึ่ง คล้าย ๆ ดอกไน้หน่าแต่กลีบบางสั้นกว่า มีกลีบล่างที่ขั้วด้วย มีกลิ่นหอมตงุตงิด ถามพระยากาญจนบุรีเขาไปเก็บมาที่ต้นน่าพลับพลา มีเหมือนกัน เรียกว่าดอกค้อนกลอง แต่ชาวบางกอกเราที่มา บอกกันว่าดอกนมหมา เห็นจะนึกออกมาจากดอกนมแมว ห้าทุ่มแล้วเธอมอเมเตอ ๗๕

  1. ๘๗. ยายบ๊วย (ญวน)

  2. ๘๘. หมอปิเตอร์กาแวน

  3. ๘๙. กลาง ภรรยาพระยากาญจนบุรี

  4. ๙๐. ตลับ เถ้าแก่

  5. ๙๑. พระยาอาหารบริรักษ์ (ทิน)

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ