วันที่ ๒๓

วัน ๖ ๓ ค่ำ แม่น้ำน้อยเมืองกาญจนบุรีนี้ ดูฝั่งแลลำน้ำเปลี่ยนกันเปนตอน ๆ เข้าไป ตั้งแต่ปากแพรกเจ้าไปจนถึงวังหมึกเปนตลิ่งสูงดินแดง มีต้นตะไคร้น้ำริมน้ำตลอดไป ไม่ใคร่จะมีที่เว้น ต่อพ้นวังหมึกไป จึงมีเปนฝั่งศิลาบ้างรายๆ ขึ้นไป จนถึงเมืองสิงค์ ตั้งแต่เมืองสิงค์ขึ้นไป เปนฝั่งศิลาบ้างเขาริมน้ำบ้างฟากหนึ่ง ๆ เปนดินเกี่ยวกันตลอดขึ้นไป ข้างล่างมีเว้นบ้าง ต่อขึ้นไปจวนถึงไทรโยคมีตลิ่งศิลาเกี่ยวกันไม่ขาดเลย เว้นแต่ที่เปนวังตรง ๆ ใหญ่ ๆ ๒ แห่ง ๓ แห่ง สัตวต่าง ๆ ที่พบเห็นตามลำน้ำตั้งแต่ปากแม่น้ำเข้าไป ก็มีไก่ป่าเปนพื้น ตั้งแต่เขาตกน้ำขึ้นไปมีนกยูงบ้างราย ๆ เมื่อจวนจะถึงเมืองสิงค์ ตอนสองพี่น้องลุ่มสุ่มท่าตะกั่วเหล่านี้ มีนกยูงชุมนัก แต่ไม่เหมือนดังเช่นมาคราวก่อนดูเปรียวขึ้นมาก เมื่อคราวก่อนเราขึ้นไปถึงเมืองสิงค์ แล้วลงเรือเล็กขึ้นไปเหนือเมืองสิงค์อิก ๒ เลี้ยว ๓ เลี้ยว ได้พบนกยูงมากยิงได้ถึง ๓ ตัว แต่เจ็บไป ๕ ตัว พบยังไม่ทันยิง ๑๑ ตัว แต่เท่านี้ก็มากนักหนา แล้วมักจะยืนเดินอยู่ตามหาดที่แจ้งริมต้นตะไคร้น้ำตัว ๑ บ้าง ๒ ตัวบ้าง ๓ ตัวบ้าง แอบต้นไม้เข้าไปยิงได้จนใกล้เพียง ๖ วา ๗ วา ๘ วาก็มีบ้าง บางทีจับตามกิ่งไม้ริมน้ำ จนหัวเรือไปถึงตัวจึงได้บินก็มี เปนไม่ใคร่จะรู้จักคนเลย แต่มาคราวหลังนี้ ที่พบปะอยู่บ้างจะได้ลงมายืนริมหาดเหมือนดังแต่ก่อนไม่มีเลย ถ้าจะลงมาบ้างก็อยู่ในกลางหาด ที่ต้นตะไคร้น้ำล้อมรอบ ที่อยู่ในเรือจะยิงไม่ได้ต้องขึ้นบก แอบต้นไม้เข้าไปเรายังไม่ทันเห็นตัวก็บินโผเข้าไผ่เสีย ห่างจากก็เรายืน ๔ เส้น ๕ เส้น ถ้าจะยิงก็ต้องยิงตามหลังไม่ใคร่จะทัน ที่จับต้นไม้ริมน้ำก็มีบ้าง แต่อยู่สูง ๆ พอเรือแจวไปก็บินหนีเข้าป่าฦกไป ไม่ให้เข้าใกล้ เห็นจะเปนด้วยคนเดินทางนี้มากขึ้น ทำร้ายบ่อย ๆ จนรู้ตัวเสียจึงเข็ดไปเหมือนหนึ่งนกพรรณ ๑ พระยากาญจนบุรีเรียกว่านกกระต้อยตีวิด แต่เราไม่ได้เห็นมีที่อื่นเลย เห็นมีอยู่แต่ที่แม่น้ำเมืองกาญจนบุรีนี้ สีตัวเปนสีเทาแลมีดำสลับ มีขนเปนเส้นหงอน ตีนดำ มีเดือยที่หัวปีกทั้ง ๒ ข้าง ตัวขนาดนกพริก เปนนกไม่มีนิ้ว หลังนอนกับพื้นแผ่นดิน เดิมเมื่อคราวก่อนเรามา ไม่รู้ว่าชื่อนกอะไร ไปเที่ยวที่บ้านจรเข้เผือก ชาวบ้านเล่าถึงเรื่องอะไรต่าง ๆ ว่า เขาเรียกฝรั่งว่าอ้ายกระลาขาว แขกเรียกว่าอ้ายกระลาดำ เวลานั้นเราไปยิงนกมีผู้เห็นนกกระต้อยตีวิด ก็ชี้ให้ยิง ว่านกอยู่ที่นั่น เราจึงว่าอย่ายิงมันเลยอ้ายกระลาดำ เอาไว้ยิงกระลาขาวคือนกยูง ด้วยมีเสียงปืนเสียแล้วนกยูงจะบินหนี ตั้งแต่นั้นมาก็เรียกว่ากระลาดำไม่มีใครรู้จักชื่อ จนมาคราวนี้ก็เรียกกระลาดำอยู่ตามเดิม นกพันนี้เมื่อมาคราวก่อนมีตามหาด ๆ ละ ๒๐ หาดละ ๓๐ เปนฝูงโต ๆ มาคราวนี้เห็นมีเพียงหาดละ ๓ ตัว ๔ ตัวเปนอย่างยิ่ง ลางหาดก็เว้นไปไม่มีเลยน้อยจนผิดตา เห็นจะเปนด้วยเขานับถือกันว่าอร่อย คนขึ้นล่องจะเก็บมากหนักเข้า จนชั้นนกยางก็เบาบางในตาลงกว่าแต่ก่อน แต่ยังมีมากกว่านกกระต้อยตีวิด ที่เคยมีมากกว่านกยางเสียอิก จะรอดตัวที่เนื้อเจ้าคนนั้นไม่สู้อร่อย ถึงอย่างนั้นขาขึ้นไปขากลับมายังดูบางผิดในตา นกถอดเห็นมีชุมตลอดไปจนถึงข้างบนมักจะมีเปนคู่ ๆ แต่ยิงยาก ถ้ายิงไม่ถูกสำคัญแล้ว ตกน้ำลงไปก็เลยดำไปตายเสียได้ ถ้าจะเอาตัวให้ได้ก็ต้องคอยกันวันยังค่ำทีเดียว นกกินอร่อย นกเปล้า นกกะลุมพู นกกวัก นกกระทา ก็มีชุมพอหาได้ แต่ไม่ค่อยจะพบเปนฝูงใหญ่ นกที่เปนฝูง ๆ บินอยู่นั้นเห็นเปนนกแก้วนกกระลิงมาก จับต้นไม้เปนฝูงโตๆ หลายสิบตัว ร้องจอกแจกจอแจน่าดูนัก นกกดเพลิง นกออกมีพบบ่อย ๆ เราเกลียดไม่ชอบนกปูดเลย แต่ต้องได้ยินอยู่เสมอ แลบินแฉลบไปแฉลบมาก็มี นกปักหลัก เหยี่ยว นกตะขาบ กำกวมกับอิกอย่างหนึ่งตัวเล็ก ๆ เท่านกสีชมภู ขนสีน้ำเงินมีชุม นกกระแวน นกกระแต แต้แวด กาเหว่า ร้องเพราะเสมอไม่ใคร่จะขาด นกเขาขันอยู่ในป่ามาก บินไปเปนคู่ เวลาเช้าเวลาเย็นเราไปได้ยินเสียงนกเหล่านี้ใจสบาย บางทีถูกที่ดงชุมเข้า ที่ต้นไม้งาม ๆ นกชุมเหมือนหนึ่งที่วังหมึก เลี้ยงร้องขานกันไปบ้างก็ขันบ้างก็พูด ไม่ได้ขาดเสียงเลย แซ่ไปทั้ว ๒ ฟากน้ำ บินผ่านไปบ้าง จับบนต้นไม้ต้นละหลายๆ ตัวบ้าง นกแซ้งแซวหางบ่วงบินดูงามจริง ๆ นกขุนทองมีบ้างแต่น้อย นกกะสาเราได้พบแต่ข้างล่าง ต่อขึ้นไปข้างบนเราไม่เห็นมี ลิงชุมนักที่จะไม่ได้พบสักวันหนึ่งไม่มีเลย บางทีขึ้นเกาะเต้นเต็มต้นไม้ เรือไปก็ไม่หนี เสียงกรากๆ ริมตลิ่ง วันหนึ่งเราลงเรือสำปั้นพายไปริมตลิ่ง มีต้นไผ่ยื่นออกมาพ้นตลิ่ง ลิงนั่งอยู่ที่โคนต้นบ้าง บนต้นบ้าง สัก ๓๐ เศษ พอเรือเราไปเสียงร้องแซ่พากันต่ายขึ้นไปบนต้น แลต่ายตามลำไม้ที่ยื่นออกมาตลอดจนถึงปลายกิ่ง แล้วนั่งเรียงต่อ ๆ กันเข้าไปจนกระทั่งถึงกอพอเรือพายไปถึงช่วยกันห่มขนานใหญ่ทีเดียว ไม่หนี จนเรือพ้นไปแล้วจึงได้กลับลงไปนั่งประชุมกันอย่างเก่า ลิงข้างนี้น่าตาดีกว่าลิงที่อื่น ๆ สีขนก็ขาวมากกว่าลิงธรรมดาหน่อยหนึ่ง ค่างพบบ้างห่าง ๆ บ่างมีผู้เขาได้เห็นกันแต่เราไม่ทันเห็น ชนีนั้นมีเสียงร้องอยู่เสมอทั้งเช้าทั้งเย็น ได้ยินไม่ขาดเลย นางเก้งเนื้อกวางสุกรป่ามีมากได้กินเสมอทุกกัน แต่เปนของคู่กันกับเสือ มีสัตวพวกนี้แล้ว เสือคงต้องมากอยู่เอง เขาได้พบกันมากนัก แต่เราไม่ได้พบตัวเสือเองได้เห็นแต่รอย ไม่มีเลยสักหาดเดียวที่จะเว้นรอยเนื้อกวางนางเก้ง แลรอยเสือ ขึ้นหาดไหนก็เห็นรอยก่ายกันไปทั้งหาดทุก ๆ หาด ที่เปนรอยเปียก ๆ ใหม่ ๆ ก็มีใหญ่ ๆ มาก เขาว่ามาลำหนึ่งสองลำแล้วคงเห็นตัวทุกที จนพระสัจจาก็ยิงได้ดังเราว่าไว้แล้ว ในเยอแนลนี้ เยียงผาเขาว่ามีแต่เราไม่ได้เห็น แลไม่มีไครเอามาให้เลย ถ้าโดยจะมีก็คงจะมีห่าง ๆ ทีเดียว ในน้ำที่ริม ๆ กอตะไคร้มีนาคมาเล่นน้ำบ่อย ๆ เราได้พบหลายครั้ง แต่จรเข้ปลอดไปทีเดียวเราไม่ได้เห็นตัวเลย คนที่เขามาเขาพบแทบทุกคน คนมาในกระบวนใหญ่ เหมือนยังพระยามหามนตรียังได้เห็นว่าใหญ่ ๆ ก็มี ผีเสื้อมีชุมนักหลายเพศหลายพรรณหลายอย่าง บินตอมอยู่ตามหาดเปนหมู่ ๆ ที่จับก็จับอยู่เปนกลุ่ม ๆ แล้วบินวนร่อนอยู่ ลวดลายอย่างใดก็อย่างนั้นหมู่หนึ่ง หมู่ใดหมู่นั้นไม่ได้ปะปนกัน ดูงามนักในแม่น้ำน้อยที่ขึ้นไป ไม่เหมือนแม่น้ำแควใหญ่ เลยเปนบ้านช่องรวงรังของสัตวทั้งปวง คงจะได้ยินเสียงนกแลสัตวสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ร้องเสมอไปตลอดทางวันยังค่ำ แต่ถ้าเสียงใหญ่ ๆ แล้วไม่มีอะไรเพราะเท่านกยูงร้้องน่าสงสาร ในตอนกลางที่เราได้ว่าแล้วว่าเปนที่นกยูงชุมนั้น ร้องเสียงขานไปไม่ได้ขาดเลย พระสัจจาเป็นนักเลงที่จะหาสัตวต่าง ๆ มากนัก ฝีมือปืนเขาแม่นดีมาก มีพรานหลายคน ๆ หนึ่งร้องนกยูง ร้องเสียงสัตวใด ๆ เหมือนทุกอย่าง ถ้าเอาไปร้องที่กลางแม่น้ำฤๅที่หาด นกยูงคงขานรับทุกที ว่าถ้ามีคนน้อย ๆ เรียกให้มันมาหาได้ เรียกได้แทบทุกอย่างราวกับพระสังข์ ได้ลองแล้วได้จริงด้วย

เยอแนลของเราเวลาวันนี้ เราทอดธุระเสียไม่ได้ตื่นเช้ามืด สั่งว่าได้เวลาให้ฝีพายออกเรือทีเดียว เมื่อออกเรือนั้นไม่รู้ว่ากี่โมง กรมนเรศร์บอกว่า ๒ โมง ถ้าอย่างนั้นเรือจะออกได้สักหน่อยหนึ่ง เราก็ตื่นกินเข้าแล้วเสร็จ ๔ โมงครึ่งถึงแก่งหลวง ไปจอดเรือที่ปรำรอให้เรือข้างน่าล่วงไปก่อน ๕ มินิต วันนี้เราหยากจะดูทางเรือที่จะขึ้นทางแก่งหลวง แต่เห็นทางที่จะบอกซ้ายบอกขวาในเยอแนลนี้ จะต้องบอกขวาเมื่อขาขึ้นไปซ้าย ๆ เมื่อขาขึ้นไปเปนขวา เรือล่องลงมาตามลำแม่น้ำ ข้างซ้ายมือเห็นมีศิลาอยู่ ๒ ก้อน แล้วเลี้ยวข้างขวามือน่าเรือตรงไปฝั่งเยื้องหน่อยหนึ่ง เปนศิลาอยู่ ๒ ข้าง พอเรือล่วงเข้าไปในช่องนั้นหน่อยหนึ่งต้องเลี้ยวกลับอิก ด้วยตรงนั้นทางเปนข้อศอกอยู่ มีศิลาเกะกะอยู่ทั้งสองข้าง ถ้าเรือล่วงลงไปในช่องนั้น ถูกสายน้ำแรงเลี้ยวไม่ทัน หัวเรือจะต้องกระทบหิน ฤๅถ้าน้ำแรงปัดออกช่อง กลับหัวเรือมาตรงฝั่งซ้ายแรงนักก็คงจะต้องกระทบหิน ต้องเหนี่ยวรั้งเรือค่อย ๆ ลงไป จนออกปากช่องที่เลี้ยวแล้วยังต้องตั้งหัวเรือให้ตรงที่จะต้องล่องลงไป ด้วยศิลายังดาดลงไปข้างล่างอิก ในคราวนี้ถึงน้ำลดลงมากแล้วก็จริง แต่ศิลายังไม่ผุดหมดเต็มที่เหมือนอย่างเช่นเราเห็นแต่ก่อน ลำบากกว่าแก่งสารวัด ๒ เท่า ๓ เท่า ผู้ที่พูดว่าแก่งสารวัดยากกว่าแก่งหลวงนี้เห็นจะผิดไป แต่ประสงค์ที่ว่านั้น จะมุ่งเอาอย่างเดียว ที่ว่าอยู่ตรงหักเลี้ยว เรือล่องลงมาไม่ทันทราบว่าแก่ง พอเลี้ยวลงมาก็ถึงแก่ง จึงเห็นว่าลำบาก ถ้ารู้ตัวแล้วก็ไม่เห็นจะลำบากสิ่งใด ที่แก่งหลวงนี้ ถึงตั้งอยู่ในกลางลำแม่น้ำตรง ๆ ก็จริง เแต่ขึ้นลงคงต้องระวังอยู่เสมอ จะประมาทไม่ได้ เวลาย่ำเที่ยงตรง เรือมาถึงชุกยายญวน มีไร่ยาสูบแลเห็นอยู่ตามริมน้ำ ที่เปนที่ดินสูงบ้างต่ำบ้าง จนเปนเนินเล็ก ๆ สันถานคล้ายจอมปลวก ก็ปลูกต้นยาต่ายขึ้นไปจนถึงยอด ดูดินที่นั่นเปนสีแดง ๆ วันนี้เราตั้งใจจะดูบ้านสมเด็จเจ้าพระยาที่เขาตกน้ำ จึงลงเรือเล็กสองแจว ๆ ออกจากเรือใหญ่ เมื่อเวลาเที่ยงแล้ว ๓ ส่วน บ่ายโมง ๑ ก็ถึงท่า ที่ท่าน้ำนั้น เปนแพสามหลังเฉลียงรอบ เปิดโถงไม่มีฝาหลังหนึ่ง ในนั้นมีปังกาแขวนอยู่อันหนึ่ง โคมน้ำมันปิโตเลียม ๓ ใบ เก้าอี้หวาย ๒ ตัว ปูด้วยเสื่อหวาย ข้างน่ามีตรงแลปรำสำหรับอาบน้ำ ต่อไปข้างใต้แพมีปรำที่เรือจอดบ้างเล็กน้อย ที่แพนั้นลมพัดเย็นสบายนัก ขึ้นทางตะพานไม้หลังแพตามตลิ่งที่สูงนั้น มีคั่นบันใดก่ออิฐถือปูน คั่นโตๆ ขึ้นไป ๑๘ คั่น ขึ้นไปถึงข้างบนเปนที่ดินแผ้วปราบไว้เตียน แต่ตรงนั้นดูเปนดินสูง เหมือนหนึ่งคั่นแม่น้ำ มีต้นไม้ใหญ่ ๆ ร่ม ต้นไม้ใหญ่นั้น เห็นเปนต้นมะม่วงมะขามขนุนเปนพื้น ใต้ต้นไม้ใหญ่มีเก้าอี้ปูน ๒ อัน เก้าอี้ไม้ทำนองอย่างเก้าอี้เหล็กยาว ๆ อัน ๑ ต่อลงไปจากหลังที่แผ่นดินสูงนั้นเปนแอ่ง ๆ ฤๅห้วยในนั้นมีกรงซี่ไม้ใหญ่ ๆ ปักล้อมต้นไม้ เปนกรงไก่กรงหนึ่ง หมูป่ากรงหนึ่ง มีตะพานถมด้วยดิน เปนทางผ่านลำราง ไปถึงที่ดินสูงข้างใน สองข้างตะพานนั้นปักเสากระทู้ มีไม้ร้อยเปนรั้วฝรั่ง เข้าไปจนถึงแผ่นดินที่สูงหน่อยหนึ่งก็ถึงรั้วบ้าน ปักด้วยเสาไม้แก่นถาก ๔ เหลี่ยม เสี้ยมปลายสูงประมาณ ๕ ศอกเปนรั้วบ้าน กว้างสักเส้นเศษ ยาวสัก ๒ เส้น มีเรือนฝากระดาน ๓ ห้องเฉลียงรอบ เปนเรือนอย่างฝรั่ง ตั้งอยู่เสมอแนวหลังบ้าน ข้างซ้ายมือนอกรั้วเรือน ๑ มีต้นมะม่วงกะล่อนใหญ่กำลังออกช่ออยู่ข้างนอกประตูบ้านต้นหนึ่ง ในประตูบ้านต้นหนึ่ง เข้าไปในระเนียดเห็นมีเรือนทำค้างยังไม่แล้ว หลังหนึ่งอยู่ตรงกลาง เปนตรีมุข ๕ ห้องเฉลียงรอบห้องกลางกว้าง มุขน่าที่ยื่นออกมานั้น ๒ ห้อง บันไดอยู่ในมุขน่า ทำนองเดียวกันกับพลับพลาเดิมที่ราชบุรี ฤๅพลับพลาหลังนอก ที่เมืองกาญจนบุรีคราวนี้ มีเรือนข้างหลังเปนพื้นต่ำอิกหลัง ๑ ห้าห้องเฉลียงรอบ ยังทำไม่แล้วเหมือนกัน เรือนหันน่าไปทางทิศใต้ระหว่างตวันตกเฉียงใต้ ไม่ได้หันน่าลงมาหาลำแม่น้ำ เพราะลำแม่น้ำนั้น ตรงตวันออกทีเดียว ที่ริมระเนียดข้างน่าเรือน มีโรงจากที่พักคนเลว ๒ โรง แต่ในวงระเนียดนั้นดูเปนที่แจ้งมาก เพราะไม่มีต้นไม้ใหญ่ เปนแต่ต้นไม้พึ่งแรกปลูกมาก หลังเรือนพื้นต่ำออกไป มีต้นพุดซาปลูกเปนแถว ๆ สองแถวบ้างสามแถวบ้าง นับได้ ๒๔ ต้น เห็นจะเปนพุดซาอินเดีย มีรั้วกั้นล้อมรอบ ต่อออกไปอิกหน่อยหนึ่งเปนสวนดอกไม้ มีดอกบานไม่รู้โรย แลดูเปนเขารอบปลายตกลงถึงแม่น้ำทั้งสองข้าง เแต่ค่ายนั้นตั้งใกล้เขา เขาข้างเหนือเชิงเขาเกือบจะถึงรั้ว ดูเปนเขาไม้โกร๋นศิลาดำ บนบ้านนั้นเห็นจะไม่เย็น เรากลับมาลงเรือบ่ายโมงเกือบครึ่ง พอเรือพ้นเขาตกมาหน่อยหนึ่ง มีหมู่บ้านอยู่ใกล้กันกับเขา ที่นั้นเปนที่น้ำตื้นมาก ต้องมีกรุยในกลางแม่น้ำหลายทบ บ่าย ๒ โมงมาถึงปากแพรก เห็นเรือแลเตนต์ทหารปักอยู่มาก เรือล่องลงมาตามลำแม่น้ำใหญ่ แต่นี้ต่อไปเปนทางใหม่ ยังไม่มีในเยอแนลนี้ ตรงวัดใต้พระสงฆ์มาคอยไชยันโต มีหาดในเม่น้ำใหญ่นี้ เหมือนกันกับที่ในแม่น้ำน้อย ที่หาดในแม่น้ำน้อย มักจะมีเปนหาดกรวด แลหาดศิลาบ้าง มีต้นตะไคร้น้ำล้อมรอบ ๆ เกาะแลตามชายหาด หาดก็ไม่สู้กว้างใหญ่นัก แต่บางทีสูงลึกตั้งชันขึ้นไปก็มี หาดแม่น้ำใหญ่นี้เปนหาดราบไม่สู้สูงแต่ใหญ่ยาวแลสุด ๆ สายตา ถ้าจะวิ่งให้ตลอดหาดเห็นจะอ่อนเต็มที เห็นเขาบ้านถ้ำ เขาริมน้ำอยู่ข้างขวามือ บ่าย ๒ โมงครึ่ง เขาถ้ำนี้ทูลกระหม่อมได้เสด็จขึ้นไป ท่านรับสั่งว่าได้เสด็จแต่คราวยังทรงพระเยาว์อยู่ ทรงจำต้นไม้ที่ปากถ้ำได้ ที่บ้านล้อมีจีนมากแต่เห็นเรือนริมน้ำสัก ๔ หลัง ที่แผ่นดินข้างบนเปนที่ราบ เห็นจะเปนไร่ยา แต่ตลิ่งสูงนักไม่แลเห็น เขาตั้งโต๊ะตีม้าฬ่อรับ ถึงตรงบ้านถ้ำบ่าย ๓ โมง ๔๐ มีพระลงมาไชยันโต เขาว่าบ้านมีมะตูมดีนักเราก็เคยได้กินแล้ว เปนมะตูมอย่างไม่มียาง ครั้นค่ำวันนี้ พระยาอาหารก็เอามาให้ว่าเปนมะตูมบ้านนี้เอง ต่อบ้านถ้ำลงมาเปนที่ไม่มีหาดลำน้ำตรง ตลิ่งชันแต่ไม่สูงนักไม่แลเห็นต้นไม้ใหญ่ริมฝั่งเลย เห็นจะพังลงน้ำเสียหมด จนเกือบถึงหัวกรวดจึงมีหาด ที่หัวกรวดนี้เราได้ว่าไว้แต่ก่อนว่าเปนที่น้ำตื้น ล่องแพมาต้องตัด ๔ โมงเกือบ ๓ ส่วนมาถึงบ้านม่วงชุม มีกระบืออยู่ที่นั่นมาก มีเรือประทุนลำใหญ่ ๆ เปนเรือลูกค้าจอดอยู่หลายลำแพไม้ด้วย แพไม้ที่มีพบบ่อย ๆ เปนไม้ไผ่บ้างเปนไม้เสาบ้างตลอดลำแม่น้ำ แต่ที่บ้านม่วงชุมนี้ มีสำคัญอยู่หน่อยหนึ่ง ในนิราสพระพุทธยอดฟ้า ได้ออกชื่อไว้ในระหว่างบ้านที่ท่านได้ออกชื่อน้อยทีเดียว เพราะในเวลานั้นเห็นจะไม่ใคร่มีคน แต่ที่ม่วงชุมนี้ จะเปนที่คนอยู่หรือจะเปนที่บ้านมีชื่อเสียงดั้งเดิมมา จึงได้ออกชื่อไว้ในนิราศ เพราะบ้านที่มีอยู่เดี๋ยวนี้ เปนบ้านเกิดขึ้นใหม่ ๆ มาก ด้วยแต่ก่อนนี้บ้านผู้เรือนคนน้อยนัก บ้านม่วงชุมนี้เห็นจะเปนบ้านเก่าจึงได้มีในนิราศว่า

๏ ถึงม่วงชุมเหมือนเมื่อเคยประชุมเฝ้า ยิ่งร้อนเร่ารื้อกำหนัดประวัติถวิล ยามเสวยเคยเห็นเปนอาจินต์ แดดิ้นถึงเนื้อนฤมลมาลย์.

ต่อมาถึงบ้านสุกพี้มีคนนั่งอยู่บนฝั่งมาก มีไร่กล้วยเปนดงไป ที่วัดนั้นเห็นการเปรียญอยู่ริมน้ำ พระมานั่งไชยันโตตามทางที่มาวันนี้ ต้นไม้ใหญ่เห็นมีต้นมะม่วงมาก แต่ต้นโตนักเห็นจะเปนมะม่วงกะล่อน กำลังออกช่อเต็ม ๆ ต้นทุกต้น อยู่ข้างจะมากเกินไป น่ากลัวจะไม่ใคร่จะติดเสียมาก ถึงบ้านสีโหละ ๔ โมง ๕๐ บ้านนี้กลายเปนเมืองศรีสวัสดิ์ไปทีเดียว ด้วยตัวพระศรีสวัสดิ์แลหลวงปลัด ก็มาตั้งอยู่ที่สีโหละไม่ได้ขึ้นไปตั้งอยู่ที่เมืองศรีสวัสดิ์ ที่หัวบ้านข้างเหนือมีวัด ต้นไม้โต ๆ มาก พื้นลานวัดหมดจดดี ต่อวัดไปเปนท่าแล้วจึงถึงบ้าน มีบ้านเรือนตั้งอยู่ตามริมแม่น้ำหลายสิบหลังเรือน ต้นไม้นั้นมีตามธรรมเนียม มะพร้าวมะม่วงมะขามเปนต้น เขาปลูกพลับพลาไว้ที่หาดริมน้ำ มีกรงใหญ่ตั้งไว้กรงหนึ่ง ให้ไปดูว่ากวาง แต่เราไม่ได้แวะที่พลับพลา ต่อมาก็มีบ้านอิกหย่อม อยู่ในเขตรสีโหละนั้นเอง เราลงเรือสำปั้นเล็กจะมาลงเรือแหวด แต่เรือแหวดไปไกลนัก พายขึ้นไปไม่ใคร่จะถึง ยิ่งพายขึ้นไปทหารก็ยิ่งเร่งพายหนีขึ้นไป ที่บ้านวังขนายมีต้นกล้วยมาก ต่อไปบ้านใหม่มีเรีอนหลายหลัง แล้วถึงบ้าน โคกกัลออม ต่อไปก็ถึงสำรอง ที่บ้านเหล่านี้มีต้นกล้วยเปนดงโต ๆ ทั้งนั้น ถึงพลับพลาสำรอง ๘ มินิตจะค่ำ ที่สำรองนี้เปนที่ต่อเขตรแดนเมืองกาญจนบุรีกับราชบุรี คลองสำรองนั้นอยู่ข้างฝั่งขวามือ ขาลงมาตรงพลับพลาข้าม วันนี้ได้ทราบข่าวอร้ายอย่างหนึ่ง ว่าอ้ายพวกตองซู่ประมาณ ๓๐ คน เข้ามาปล้นบ้านจีนที่เมืองกาญจนบุรี ฆ่าคนเด็กผู้ใหญ่ตายถึง ๖ คน เจ็บลำบากก็หลายคน ปล้นนี้มิใช่เวลากลางคืน เล่นกันในเวลาเย็นทีเดียว ก่อนเรามาถึงเมืองกาญจนบุรีวันหนึ่ง ทั้งกำลังคนมาก ๆ ตามจับไม่ได้ วันนี้ได้ปฤกษากับคุณสุรวงษ์ ให้พระศรีสวัสดิ์กับพระอร่ามคิรีรักษ์รีบตามต่อไป มาเกิดเหตุวันนี้ขึ้นเพิ่มความเจ็บใจแลให้เปนความชั่วของตองซู่ขึ้นอิก เห็นจะเปนอ้ายพวกเดียวกันกับที่ปล้นที่เมืองสุพรรณ อ้ายคนจำพวกนี้ เมื่อเวลาอยู่ในบังคับพม่าก็เปนศัตรูกับเราทั้งนายแลบ่าว จนคนแถบกาญจนบุรีแลราชบุรีนี้ไม่ได้ตั้งอยู่ติดเลย ครั้นมาบัดนี้เปนข้าอังกฤษ ๆ ก็เปนไมตรีดีอยู่กับกรุงเทพ ฯ แต่อ้ายขี้ค่าไม่สิ้นโกงไม่สิ้นคุมเหงเลย ถ้าเปนดังแต่ก่อนแล้ว อ้ายพวกนี้เหยียบมาในแผ่นดินเราเมื่อไร ก็คงจะไม่มีหัวเปนแน่ แต่บัดนี้จะเปนไปไม่ได้ เพราะนายเขาเปนไมตรีกันอยู่กับเราพูดกันได้ถ้าจะว่าโดยโวหารแล้ว เห็นว่าลำบากกว่าที่จับฆ่าเสียอย่างแต่ก่อน ถ้าทำอย่างเช่นแต่ก่อนจะง่ายกว่าที่ฟ้องหมาป่าดังนี้ วันนี้มากลางทางพบพระยาอาหารกลับขึ้นมาได้ แล้วมาหาที่พลับพลาพายายม่วง๑๒๘มาด้วย รับแขกรับข่าวมาก ตาอาลี๑๒๙ พระพิเทสานตระพานิช อุส่าหตามเอาของมาให้ แกได้ไปหาที่พระปฐมเจดีย์คราวหนึ่งแล้ว ๆ กลับไปบ้านเสียคราวหนึ่ง แล้วจึงตามขึ้นมาคราวนี้ เรือเดินราชการกรุงเทพ ฯ ก็มาถึง ได้รับข่าวหลายทางนัก ทั้งข่าวกรุงเทพ ฯ จากพระอินทรเทพ๑๓๐ แลคุณสุรวงษ์เอาหนังสือพระนรินทร์๑๓๑มาให้ดูด้วย ข่าวเมืองเขมรมาให้ดูด้วย พระศรีสวัสดิ์เอาของมาให้ มีกวางตัวผู้ที่เราได้ให้ไปดูที่น่าบ้านสีโหละกับนกยูงแลสัตวอื่นๆอิก กวางนั้นเรามีตัวเมียตัวหนึ่งแล้วคราวนี้ได้ตัวผู้ ให้ล่วงน่าไปคอยอยู่โพธาราม จะให้ไปเยอสตาฟ อนึ่งเรือเราเดินวันนี้ ตั้งแต่กลอนโดมาถึงสำรองประมาณ ๙ ชั่วโมง หักที่หยุดที่รอบ้าง แต่น้ำแควใหญ่นี้ไหลอ่อน ไม่แรงเหมือนข้างบน สังเกตดูวันแรกล่องเร็วนัก แลค่อยช้า ๆ ลงมาทุกที วันนี้เรายังจะไม่ว่าถึงพลับพลาก่อน ด้วยความมากอยู่แล้ว แต่พลับพลานั้นหันน่าทิศใต้กับระหว่างทิศตวันตกเฉียงใต้ เทอมอเมตเตอรมี ๗๖

  1. ๑๒๘. ม่วง ภรรยาพระยาอาหารบริรักษ์ (ทิน)

  2. ๑๒๙. ตาอาลี คือ พระพิเทสานตระพานิช (ชลิบอาลี)

  3. ๑๓๐. พระอินทรเทพ (ทับ)

  4. ๑๓๑. พระยาเทพประชุน (ปั้น)

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ