วันที่ ๖

ค่ายหลวงพระแท่นดงรัง

วันที่ ๖ วัน ๓ ๒ ค่ำ กลางคืนวันนี้หนาวมากกว่าทุกวัน เมื่อเข้ามืดเธอมอเมตเตอร์ ๖๘ ดิครี ๓ โมงเช้า ๗๔ ดิครี ตื่นนอนแล้วออกไปพบพระยาศรีสรราชมาทำการอยู่ที่นี่ แต่เมื่อวานนี้ไม่ได้พบ เพราะจับไข้ดูผอมไป เล่าว่าแต่เดิมจับสองเวลา ครั้นมาทีหลังลงเปนจับเวลาเดียวติดกัน แต่เวลาเช้าสบายมาดูงานได้ นั่งพูดกันอยู่หน่อยหนึ่งฃอให้เธอกลับไป พักรักษาตัวได้กินยาที่พระองค์สายเอามาด้วย พระพรหมบริรักษ์๗๐ มาแต่สุพรรณได้มาหาเมื่อคื่นนี้คราวหนึ่งแล้ว วันนี้พาพระปลัดกับยกรบัตรเมืองสุพรรณมาหา นั่งพูดอยู่กับพระยาประภากรวงษ์หน่อยหนึ่ง กลับเข้ามาข้างในน่าท้องพระโรงแดดร้อนนัก เพราะถูกตวันออกข้างในเย็นดี บ่ายหน่อยหนึ่ง จีนเท่ง๗๑ เขามาทำโรงครัวเอาของกินมาให้ ในเวลาบ่ายนี้ ข้างในกลับร้อนข้างนอกสบายดี นอนให้หลวงราโช๗๒นวด เทวัญเขียนหนังสือเยอแนลนี้ ไม่ใคร่จะหายเหนื่อยแลเมื่อยที่ขี่ม้าเลย จนเวลาบ่าย ๕ โมงครึ่ง ไปที่พระเท่นขี้เกียจจะแวะที่พระแท่นเปน ๒ หน ๓ หน จึงขึ้นไปที่เขาถวายพระเพลิงเสียทีเดียว ระยะทางที่มาประมาณว่า ๑๒ เส้นนั้น เย็นวันนี้ถามพันจันท์ ได้ความว่าทางตั้งแต่พลับพลาไปจนถึงวิหารพระแท่น ทาง ๑๖ เส้น ๑๓ วา เแต่วิหารไปถึงเชิงเขา ๑๐ เส้น ๗ วา แต่เชิงบันไดถึงเชิงมณฑป ๓ เส้น ๘ วา นี่เปนระยะทางวัดด้วยเส้นเชือกเปนแน่ ที่เขานี้เปนยอดสูงขึ้นไป ยาวตลอดอยู่ใน ๙ เส้น ๑๐ เส้น ตรงน่าที่สูงข้างบันไดขึ้นไป ยังเปนยอดสูงขึ้นไปอิกหน่อยหนึ่ง เปนที่ตั้งมณฑป ๑๒ เหลี่ยมกว้างประมวณ ๓ วา มีเสาข้างใน ๔ เสา ทำเปนเมรุกลาย ๆ ยอดแหลม มีประตู ๒ ประตู ในนั้นมีพระบาทอยู่บนเชิงตะกอน มีรูปพระสงฆ์ไปยืนไหว้อยู่ ข้างพระปราศณางคพระบาทเห็นจะเปนพระกัสสป มีราวเทียนเหมือนดังตามเคยที่มี แลแขวนพระบทต่าง ๆ ที่เสาหนึ่งมี่พระบาทสองข้าง ติดอยู่กับแผ่นกระดานปิดทอง มีเดือยทำนองเปนด้านสกัดของหีบศพ ทำนองจะทำให้เห็นว่า เมื่อถวายพระเพลิงพระพุทธเจ้า ยื่นพระบาทออกมาให้พระกัสสปนมัศการ มณฑปนั้นตั้งอยู่ตรงทิศตวันตกตวันออก ทางขี้นทางทิศตวันออก รอบมีชานทักษิณพอเดินได้ ที่ภูเขานั้นไม่มีหญ้าแลต้นไม้รกนัก เปนแต่ต้นรังย่อม ๆ รายไป ทางขึ้นไปเปนบังไดก่อด้วยอิฐแผ่นใหญ่ ๆ คั่นกว้าง ๆ ขึ้นไปถึงยอดเขา ไปหน่อยหนึ่งถึงมณฑป มิศเตอร์ไปเยอ ได้วัดด้วยบารอมเมเตอร์ ว่าสูง ๘๒ ฟิต คิดเปน ๑๒ วาศอก ๔ นิ้วแน่ฤๅไม่แน่ไม่ทราบ ยืนอยู่บนยอดเขา แลไปเห็นแต่ต้นเตงรังแลไม้แดงรอบข้าง ว่ามีผู้มาตัตมาก เปนที่หากินของคนที่อยู่แถบราชบุรีแห่งหนึ่ง บนเขานั้นมีที่ดูอยู่แต่เท่านั้น ที่วิหารพระแท่นตั้งอยู่นั้น เปนเขาเทือกเดียวกันกับเขาถวายเพลิง เชิงเขานั้นตกราบลงมา สูงกว่าพื้นดินข้างล่างอยู่หน่อยหนึ่ง มาถึงที่พระแท่น จึงเปนเขาศิลากองยาวออกไป ที่ข้างหลังวิหารมีช่องศิลายาวประมาณ ๖ นิ้ว กว้าง ๔ นิ้ว หยั่งดูฦกลัก ๒ ศอก ว่าเปนที่บ้วนพระโอฐของพระพุทธเจ้า ที่พระแท่นนั้นเปนปลายของเทือกศิลาที่เขานั้นยื่นออกมา ก่อผนังทับคงเปนศิลาเปนแท่งสูงข้างหนึ่ง ต่ำข้างหนึ่ง ข้างสูงนั้นวัดได้ศอกคืบ ยังมีสูงขึ้นไปอิกเหมือนหนึ่งเปนหมอนกว้างสักคืบเศษสูงคืบ ๑ ข้างปลายสูง ๑๖ นิ้วยาว ๑๑ ศอกคืบ ข้างบนกว้าง ๔ ศอกเศษ ข้างล่าง ๓ ศอกเศษ เปนพื้นครุคระอยู่ แต่เจ้าของปิดทองทำนั้นเปนบัวรองไว้ พื้นกลางพระแท่นนั้น จะเปนอย่างไรไม่เห็น ด้วยผ้าที่ห่มนั้นคลุมสูงขึ้นไปสักศอก ๑ ทำเปนคล้าย ๆ รูปคนนอนคลุมหัว เมื่อ ๑๒ ปีมาแล้ว เราตามเสด็จทูลกระหม่อมมายังเด็กอยู่ พอเยี่ยมหน้าเข้าไปเห็นที่คลุมผ้าตกใจ นึกว่าศพอะไรคลุมอยู่ในนั้น วิหารที่ก่อครอบพระแท่นไว้นั้นเปนสี่เหลี่ยม ดูข้างในกว้างประมาณ ๔ วา ๒ ศอก มีเสาสี่เสาผนังหนา ข้างนอกมีเฉลียงรอบกว้างสัก ๖ ศอก ยาวตลอดสัก ๗ วา ๒ ศอก ในโบถแขวนพระบทต่าง ๆ ที่ปลายพระแท่นนั้นมีพระบาทตั้ง พระปราศณางค์ลงข้างล่าง เปนเหมือนลับแลอันหนึ่ง มีพานใส่ก้อนศิลาปิดทองตั้งอยู่หลายก้อน สังเกตได้แต่ก่อนว่ามาเห็นก้อนโตกว่านี้ แต่คราวนี้มาเห็นเปนแตกสองซีกก็มี ทราบว่าแย่งกันบังสุกุลพลัดตกแตก พื้นดาดด้วยตะกั่ว วิหารนี้เปนของราษฎรกับพระสงฆ์เข้ากันทำ มีหนังสือจาฤกแผ่ส่วนบุญอยู่ริมผนังด้านตวันตกได้คัดมาแล้ว อยู่ในแอบเปนเดกซ์ ที่วิหารพระแท่นนั้น หันน่าตรงทิศใต้ รอบนอกมีกำแพงแก้วทักษิณรอบมีพระเจดีย์เล็ก ๆ น้อย ๆ หลายองค์ ในรอบบริเวณนั้น มีวิหารฤๅศาลาดูเปนของค้างฤๅทำยังไม่แล้ว ก่ออิฐแผ่นใหญ่ขึ้นไป เหลืออยู่ครึ่งหนึ่งบ้าง กว่าครึ่งบ้าง เแต่สองข้างนั้นทีจะเปนโบถฤๅวิหาร ไม่มีเครื่องบน ข้างตวันตกมีโรงจากคลุมอยู่โรงหนึ่ง น่าวิหารพระแท่นมีโรงระฆังหลายหลัง ในอาณาเขตรนั้นเปนต้นรังย่อม ๆ ไม่สู้ใหญ่นัก ขึ้นไปทางข้างขวามือขึ้นไป มีกองศิลาตั้ง แล้วมีศิลา ๔ เหลี่ยมเรียกว่าหินบด ในค่ำวันนี้ ได้จุดเทียนรายบูชารอบกำแพงแก้ว เฉลียงพระวิหารแลนิมนต์พระสงฆ์เมืองราชบุรี เมืองสมุทสงคราม กรุงเทพ ฯ แลพระสงฆ์ที่วัดพระแท่นรวม ๕๑ รูป มีพระวินัยมุนีเปนประธาน ถวายสบงจีวรแล้วจุดดอกไม้เพลิงบูชาคืนหนึ่ง วันนี้พระอมรเมธาจาริย์ พระคุณาจาริย์ กับพระสงฆ์ที่ตามมาด้วยขึ้นไปหาลาว่าจะล่วงน่าไปเมืองกาญจนบุรีก่อน เวลาห้าหุ่มครึ่งเข้านอน ปรอท ๗๔ ในที่ ๒ แห่ง คือพระปฐมเจดีย์แลพระแท่นดงรังนี้ ถ้าจะเทียบเคียงดูว่า ข้างไหนควรจะเปนที่นับถือบูชา ให้เจริญความเลื่อมไสสรัทธาในพระรัตนไตรมากกว่ากัน ก็จะต้องเทียบเคียงกันเปนอย่าง ๆ ในที่พระแท่นดงรังนี้ตามถ้อยคำของผู้ที่เชื่อถือเล่าว่าเปนเมืองกุสินารายน์ บ่าไม้รังของมลกระษัตร ที่พระพุทธเจ้าเสด็จมาปรินิพพาน มีที่ถวายพระเพลิง ที่บ้วนพระโอฐ แลอะไร ๆ ไปต่าง ๆ ที่พูดเชื่อถือกันอยู่ได้ดังนี้ ก็เปนแต่ผู้ที่หลับตาอยู่ไม่รู้เหนือไม่รู้ใต้ มักเชื่อก็เชื่อเอาโดยง่าย ว่าเปนจริงจังไป แต่ถ้าผู้รู้จักประเทศอินเดีย ว่าเปนมัชฌิมประเทศแล้ว คงจะไม่คิดเห็นว่า พระพุทธเจ้าจะเสด็จมาปรินิพพานถึงสยามประเทศนี้ เพราะกำหนดชัดว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้เสด็จออกจากมัชฌิมประเทศเลย อนึ่งภูมิ์สถานที่ทำไว้นั้นเล่า ดูก็ไม่เห็นจริงอะไรเลยจนสักอย่างหนึ่ง ถ้าจะถือว่าพระพุทธเจ้าสูง ๑๒ ศอก ดังผู้ที่ถือพระแท่นเคยเชื่อนั้น ถ้าคิดส่วนให้ประทมบนพระแท่นนี้ พระเศียรแลพระบาทคงจะเกินพระเท่นอยู่ข้างละคืบ จะตั้องถือใหม่ว่าพระพุทธเจ้าสูงเพียง ๕ ศอกเศษเท่าส่วนใหม่ แต่ถ้าจะถือเท่านั้น ก็ยังขัดกันกับก้อนพระโลหิต แต่เดิมเมื่อมาคราวก้อน เห็นก้อนโตกว่านี้ ครั้นมาคราวนี้เล็กลงไปเปนหลายก้อนขึ้น เพราะอุตริแย่งกันบังสกุลจนตกแตก แต่อย่างนั้นยังโตเกือบเท่าผลมะตูม ถ้าสองก้อนฤๅสามก้อนประกับกันเข้าเท่าเดิม จะโตสักเท่าไร เห็นว่าจะออกไม่ได้ อนึ่งที่ถวายพระเพลิงนั้น เชิญพระศพพระพุทธเจ้าเข้าไปในเมืองกุสินารายน์ ผ่านไปออกประตูหนึ่ง ถ้าพระนครตั้งอยู่ในที่นี้แล้ว พระพุทธเจ้าละมิปรินิพพานริมกำแพงนักฤๅ นี่เปนเรื่องต้นเหตุของพระแท่นดงรังที่คนนับถือ แต่พระปฐมเจดีย์เปนของมีพยานหลายสิ่ง ที่ควรเห็นว่าของสร้างช้านานแต่โบราณไม่มีต่ำกว่าพันปีลงมาเปนอันมาก มีทีเทียบเคียงได้หลายอย่าง ดังเช่นกล่าวมาข้างต้นบ้างแล้ว ควรจะเชื่อเลื่อมไสว่าที่นี่เปนที่บรรจุพระบรมธาตุของพระพุทธเจ้าบ้างเปนแท้ ด้วยเวลาที่สร้างนั้น ไม่ช้านานกว่าเวลาที่พระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานมากนัก เพียง ๒๐๐ ปีเศษ ผู้ที่สรัทธาเลื่อมไสคงจะรักษาพระบรมธาตุไว้ได้จนถึงได้บรรจุพระเจดีย์องค์นี้ เพราะพระเจดีย์องค์นี้มิใช่เล็กน้อย คงจะมีสิ่งสำคัญอะไรที่บรรจุแล้วจึงได้สร้างขึ้นเปนแน่ ถึงโดยจะเชื่อเอานิทานที่เล่าว่าพระยาพานลูกพระยากง ได้สร้างก็ยังเปนอันเชื่อได้ ว่าในเวลานั้นมีพระอรหันต์ที่เปนผู้รู้มากยังอยู่ เพราะในเวลานั้นพระพุทธศักราชได้กล่าวไว้ว่าล่วงแล้ว ๕๖๙ ปีเท่านั้น ซ้ำมีคาถาว่า เยธัม์มาเหตุบ์ปภกา ที่ให้สอบสวนได้แน่ว่าเปนแบบเดียวกัน กับครั้งกระษัตรศรีธรรมาโศกราช มีเรื่องราวปรากฎอยู่ในคำประกาศ ที่ได้คัดมาในแอบเปนเดกซ์ ถ้าจะเทียบดูในการชั้นต้น ต่อชั้นต้นด้วยกัน ว่าเปนที่เจดียฐาน เปนรูปสถูปก็ดี ถ้าเปนรูปแท่นก็ดี อย่างใดอย่างหนึ่ง สุดแต่เป็นเจดียฐานแล้วก็ควรเปนที่ให้ก่อเกิดความเลื่อมไส ให้รฦกถึงคุณพระพุทธเจ้าได้ทุกอย่างก็จริงอยู่ แต่เมื่อนึกถึงความซึ่งเห็นชัดว่าของไม่จริง เล่าเอาหัวเราะไม่เปนที่สงบรำงัปได้ แต่ที่พระปฐมเจดีย์นั้น ไม่มีสิ่งไรซึ่งจะเปนที่น่าหัวเราะ เปนที่ควรสักการบูชาดีกว่าที่พระแท่นดงรังนี้อย่างหนึ่ง แต่ธรรมดาคนไทยๆเรา มักจะถือการที่ขลังศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ มากกว่าที่ถือพระพุทธคุณโดยแท้ ถ้าเห็นเจดียฐานแห่งไรไม่ขลังศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ใคร่จะนับถือ ถ้าแห่งใดมีคำเล่าลือว่าขลังศักดิ์สิทธิ์อย่างนั้นอย่างนี้ ก็มักจะสรัทธามากขึ้น เหมือนหนึ่งที่พระแท่นดงรังนี้ มีเรื่องราววิเศษต่าง ๆ หลายอยู่ เรื่องหนึ่งว่าแขกคนหนึ่งขึ้นมาเที่ยว่ว่าพระแท่นสบายน่านอนเล่นน่าอยู่ โลหิตออกจากปากออกจากจมูกตาย เรื่องหนึ่งว่าน้ำบ้วนพระโอฐนั้น ถ้าเปนตาแดงหยอดตาหาย อย่างหนึ่งว่าหินบดนั้น ถ้าบดใบไม้ใด ๆ ไม่ว่า ถ้ากินเข้าไปเปนยาทั้งสิ้น อย่างหนึ่งว่าน้ำมันตามตะเกียงทาบาดแผลอันใดหายหมด อิกอย่างหนึ่งว่านับคั่นบันไดที่ขึ้นเขาถวายเพลิงนั้นได้เท่าใด อายุผู้นั้นจะยืนไปเท่ากับคั่นบันไดที่นับนั้น อิกอย่างหนึ่งว่าถ้าผู้ใดเดินไปหลังมณฑปนั้นหน่อยหนึ่งจะพบเมืองลับแลกลับมาไม่ได้ แลต้นไม้ในฤดูแล้งเปนธรรมดาใบก็ร่วง เห็นกันว่าเปนต้นไม้เศร้าโศก หญ้าก็แห้งงอเพราะร้องไห้สงสารพระพุทธเจ้า คำเล่าฦๅตื่นเต้นกันดังนี้ มีหลายสิ่งหลายอย่างนักพรรณาไม่ถ้วน แต่ถ้าจะถืออฮาการปาฏิหารต่าง ๆ เหล่านี้เปนการจริงบ้างแล้วที่พระปฐมเจดีย์ ก็มีปาฏิหารหลายสิ่งหลายอย่างเหมือนกัน มีรัศมีสว่างเปนดวงบ้าง สว่างไปทั้งองค์บ้าง ในเวลาที่ทูลกระหม่อมเสด็จอยู่ ตัวเราก็อยู่ที่นั้นได้เห็นบ้างก็มี เจ้าคุณกรมท่าได้จดหมายเรื่องนี้ไว้มาก ได้คัดลงแอบเปนเดกซ์ การเรื่องปาฏิหารเหล่านี้ ถ้าผู้มีปัญญาคิดตรึกตรองแล้วก็มักจะไม่ใคร่เชื่อถือ แต่ที่ว่ามานี้ตามน้ำใจคนที่มักจะนับถือการปาฏิหารต่างๆ ให้เห็นว่าที่พระปฐมเจดีย์ก็มีปาฏิหารมากเหมือนกัน น่าเชื่อกว่าปาฏิหารที่ฦๅกันว่าพระแท่นปาฏิหาร เพราะว่าปาฏิหารนั้นเจ้าแผ่นดินได้เสด็จอยู่ในที่นั้นก็มี แต่คุณวิเศษของพระแท่นนี้ มีเหมือนกับพูดกับเด็กก็มี ไม่ต้องอธิบาย แต่ถึงเราได้พูดติเตียนพระแท่นฝ่ายหนึ่ง สรรเสริญพระปฐมเจดีย์ฝ่ายหนึ่งดังนี้ ใช่ว่าจะคัดค้านติเตียนเสียว่าพระแท่นดงรัง ไม่เปนที่ควรบูชานั้นก็มิได้ เพราะสิ่งใด ๆ ก็ดี เปนเครื่องที่จะเตือนใจจะนำใจให้รฦกถึงพระพุทธคุณได้ สิ่งนั้นก็เปนที่ควรบูชาทุกอย่าง เพราะเราไม่ได้ถือตามความปาฏิหารศักดิ์สิทธิ์ของสิ่งใด ๆ ว่าเปนพระพุทธเจ้าแท้ไม่แท้ ฤๅสืบมาแต่พระพุทธเจ้าแท้ไม่แท้ ดังคนบางจำพวกที่เห็นไปว่าการเคารพไหว้กราบพระพุทธรูปนั้น เปนไอดอละตารี จำเภาะเจาะใจจงจะบูชาสิ่งอันนั้น เมื่อผู้ใดนึกดังนี้ผู้นั้นเปนผู้นึกผิดโดยแท้ เปนผู้ไม่ทราบสิ่งใดเลย เอาแต่ตามเคอะของตัวให้คนอื่นพลอยเคอะด้วย ผู้ที่รู้อยู่ทั่วจึงจะไหว้กราบในที่มีพระพุทธรูปสถูป ฦๅสิ่งอื่น ๆ ซึ่งเปนเจดียฐาน ฤๅจะไหว้กราบในที่แจ้ง ในชายคาที่ไม่มีเจดียฐานก็ดี ต้องส่งใจรฦกถึงคุณพระพุทธเจ้า แล้วไหว้กราบทุกครั้งทุกคราว แลพระแท่งดงรังนี้เล่าก็เปนเจดียฐานอัน ๑ ซึ่งควรจะส่งใจรฦกถึงพระพุทธเจ้าที่เสด็จปรินิพพาน ในเมืองกุสินารายน์ ที่ป่ารังของมลกระษัตร ก็เหมือนหนึ่งได้นมัศการในที่นั้นเหมือนกัน ถึงพระปฐมเจดีย์เล่าก็เปนที่ควรบูชาเพราะเปนที่ควรเชื่อว่า เปนสถูปที่บรรจุพระบรมธาตุของพระพุทธเจ้า เจดียฐานต่าง ๆ ยกไว้เปนเครื่องชักน้ำใจให้ส่งไปรฦกถึงคุณพระพุทธเจ้าโดยง่ายขึ้นกว่าที่จะนึกเปล่า ๆ เพราะดังนั้น ถ้าเจดียฐานแห่งใดความเปนที่เชื่อ ที่เสื่อมไสเพราะมีหลักถาน เปนพยานสำคัญได้ก็มีแรงจะชักจูงความเลื่อมไสให้มากขึ้น ซึ่งว่าเปรียบเทียบมาดังนี้ เพราะจะให้เปนประโยชน์ ที่จะได้นำความเลื่อมไสเท่านั้น ใช่จะว่าพระแท่นไม่แท้ไหว้ไม่ได้บุญ พระปฐมเจดีย์แท้ไหว้ได้บุญนั้นก็มิได้ ถ้าเปนเจดียฐานแห่งใด ๆ ก็ดี ถ้าไม่มีเจดียฐานก็ดี ผู้ใดมีน้ำใจไหว้ดีก็จะมีอานิสงษ์ ถ้าไหว้ไม่ดีก็จะเหมือนกับเดินไกว่แขนเล่นเหมือนกัน

  1. ๗๐. พระยาสีหราชฤทธิไกร (ทองคำ)

  2. ๗๑. พระเจริญราชธน (เท่ง)

  3. ๗๒. พระยาสัมพาหบดี (แก้ว)

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ