วันที่ ๑๒

วัน ๒ ๑๐ ๒ ค่ำ ตื่นนอนก่อนย่ำรุ่ง เรียกเสื้อผ้าอยู่ข้างขลุกขลักสักหน่อยหนึ่ง จนย่ำรุ่งแล้ว จึงได้ลงเรือม่วง กาพย์กับหมอสายไปด้วย วันนี้ควันในน้ำมากเต็มที เหมือนกับน้ำต้มยังไม่เดือด เมื่อตื่นนอนมาแล้ว ได้ดูปรอทอยู่เพียง ๗๐ เรือภายมาจนถึงท่าตะคร้อ แลเห็นเสาพลับพลายังเปนรูปพลับพลาอยู่ กับโรงอิกหลังหนึ่ง เสาสะแตนดาดยังอยู่ แต่แผ่นดินเห็นผิดไปทีเดียว ดูพลับพลาลงมาตั้งอยู่ใกล้น้ำ ที่ซุดเห็นจะผังยับเยิน น่าค่ายหลวงจนเหลือแคบนิดเดียว ปีนี้เปนปีที่ ๕ นับตั้งแต่เรามาคราวก่อนตลิงพังเข้าไปเปนนักเปนหนา ในแม่น้ำนี้คงจะเดินแรงมาก ตลิ่งคงจะพังทุกคุ้งแทบทุกปี แต่ต้นไผ่ลงน้ำเห็นจะหลายร้อยกอ ด้วยมาตามทางพอประมาณทีเดียว เหมือนหนึ่งหาดวังตะเคียน เราไปผักกินเข้าเช้าวันนี้ ไม่มีทรายเลย เปนดินทลายลงมาตรง ๆ ฤๅเปนดินพอกขึ้น รอยน้ำท่วมแตกระแหงอยู่ ชาวบ้านพูดกันว่า ร่องน้ำเดินเสมอทุกปีไม่ยืนที่ ๒ โมงเช้าไปตั้งลำพาชีเปนที่หลัก ๗๐๐ เข้าไปในลำนั้นประมาณสัก ๑๐ เส้น ดูน้ำมากกว่าเมื่อมาคราวก่อนเรืออวนตามเข้าไปด้วย แต่ถามเขาว่าน้ำมากนักลงไม่ได้ ปลาไม่มี เมื่อคราวก่อนนี้มากับสมเด็จเจ้าพระยา ปลามีมากได้ตัวใหญ่ ๒ ตัวเรียกว่าปลาตะโกกรูปร่างคล้าย ๆ ปลาแขยง โตสัก ๕ กำ ๖ กำ ๒ ตัวลงเรือพายม้าพอดี ที่ท่าตะคร้อนี้ เราเคยไปเที่ยวทางน้ำจนถึงกลอนโด แลขึ้นมาถึงจรเข้เผือก จึงได้ให้ชื่อเรือคะนู ๒ ลำชื่อกลอนโดลำ ๑ ชื่อจรเข้เผือกลำหนึ่ง ว่าข้างเดินบก แล้วป่าหลังท่าตะคร้อนี้ เห็นงามกว่าทุกแห่งหมด เปนพื้นทรายขาวหญ้าแพรกขึ้น มีต้นไม้เปนจังหวะเหมือนกับที่เขาเล่ากันว่าป๊าก มีต้นกลุมพุกที่เปนอาหารของเนื้อกิน กำลังมีลูก ถ้าปลูกเรือนอยู่ในระหว่างป่าเหล่านี้ มีรั้วต้นไม้ฤๅอะไรกันเปนอาณาเขตรเลี้ยงเนื้อเลี้ยงกระต่ายไว้ ยิงเล่นบ้างอยู่เงียบ ๆ จะสบายนัก ที่ปากคลองลำแม่พาชีนี้ มีแพกระท่อมอยู่ ๒ หลัง ๓ หลัง มีพวกญวนอยู่ ๔ คน ๕ คน ทำปลาในลำพาชี เห็นว่ากั้นเฝือกไว้เขาว่ากั้นสองตอน ไม่ได้ทำอะไรนอกจากปลา แต่ถึงทำปลาดังนั้น แล้วยังอดหมูไม่ได้ต้องขังคอกไว้บนแพ ตามทางเรือที่พายมา มีนกแก้วนกกลิงเปนฝูง ๆ ลิงก็มีอยู่บนต้นไม้ยั้วเยี้ยอยู่บ่อย ๆ เมื่อเกือบจะถึงหาดวังตะเคียน มีศิลาอยู่ริมน้ำข้างขวามือ พวกญวนล่วงน่าไปลงอวนเสียก่อนแล้ว แจวตามลงมาเราให้แจวกลับขึ้นไป พอถึงหาดดูเห็นมีปลากระพากตัว ๑ ปลาสายู ปลาอ้ายเบี้ยว ปลาสังกวาด ๓ โมงสิบมินิตแล้วเมื่อเราขึ้นหาด คุณแพตามเอาเข้าไปให้เรากินคอยเรืออยู่โมง ๑ กับ ๑๕ มินิตจนถึง ๔ โมง ๒๕ มินิตจึงได้ออกเรือมาเรือโบดเหลือง ออกเรือไปหน่อยหนึ่ง เห็นเขาข้างน่าข้างหลังที่บ้านจรเข้เผือก เห็นเรือนคน ที่นั้นหลัก ๘๐๐ เวลา ๕ โมงเช้าแล้วที่หาดนั้นมีปรำพักสองหลัง มีเรือนบนฝั่งสัก ๕ หลัง ๖ หลังมีแพอยู่ ๕ แพ แต่เพหลังหนึ่งปลาดมาก เรือนฝากระแชงอ่อนตั้งอยู่บนลูกบวบตรง ๆ ทีเดียว บนบกมีกล้วยมาก มาถึงท่าสำเภาแม่น้ำแคบนัก ฤๅเขาเรียกกันว่าเกาะน้ำเชี่ยว ที่ตรงนั้นเรือเราถ่อไม่ขึ้น กลับลอยถอยหลังลงไปต้องเอะอะกันมาก แต่อยู่ข้างจะสนุกอยู่วันนี้ เดิมคนแจวเรือแจวมาพอถึงที่ ๆ เรือถอยหลังลงไปหลวงอุดม๙๘เอะอะให้จับถ่อ สั่งให้ถอดแจวตัวเองก็เข้าถอดแจวด้วย ครั้นถึงที่ถ่อก็เอะอะทำท่าว่าฝีนายถ่อไม่เปนถ่อไม่ถูก ตัวก็จับถ่อเข้าถ่อเอง ต่ายไปบนกราบเรือ พอถึงน่าแก่ง ตีนพลาดลงจากกราบเรือ โครมครามลงมาครั้งหนึ่ง นิ่งเงียบไปสักครู่หนึ่ง แต่เสียงยังร้องเร่งฝีพายขรมอยู่ เห็นดุฝีพายว่าถ่อไม่แขงแรงถ่อไม่จริง ร้องเร่งให้ปีนขึ้นไปบนกราบ ตัวก็จับถ่อขึ้นถ่อใหม่ ทำท่าอย่างให้ฝีพายร้องให้เอาอย่างนี้ ๆ ประเดี๋ยวเสียงดังโพล่งใหญ่ เขาบอกว่าหลวงอุดมตกน้ำ สักครู่หนึ่งเห็นขึ้นมาเปียกทั้งตัว ตั้งแต่ตีนตลอดหมวกแต่ไม่หลุดจากหัว คราวนี้ไม่จับถ่อเลย ต่ายกันไปสักหน่อยหนึ่ง จึงได้เตือนเสียงดังขึ้นอิก ทีนี้น้ำเชี่ยวแรงจริง ๆ น้ำวนคว้าง ๆ จนริมตลิ่งไหลขึ้นได้บ้าง ต้นไม้ใหญ่ ๆ ล้มอยู่ที่ริมคลองมาก มาหน่อยหนึ่งถึงบ้านตาลสามต้น เวลาบ่าย ๓ โมงครึ่งลองนับดูตาลเห็นอยู่ ๑๑ ต้นแต่ใบโกร๋น ซักไซ้ไล่เลียงได้ความว่าเขาตัดไปห่อใต้ ตามแถบนี้ต้นยางมีมากพบริมแม่น้ำบ่อย ๆ เปนรอยเผาอยู่ทุกต้น ใต้พวกเหล่านี้ทำใช้ไม้ผุ เปนใต้อย่างเช่นเรียกว่าใต้ขี้ร่วง ถ้าไม่มีใบตาลใช้ใบเลี่ยงห่อ ชาวบ้านเหล่านี้ทำไว้สำหรับแลกของ กับฝ้ายอิกอย่างหนึ่ง เขาว่ามีไร่อยู่หลายแห่ง มีเรือมอญบรรทุกเกลือปลาเค็มเยื่อเคย ผ้าขาวผ้าเขียวขึ้นมาแลก แต่ใต้เหล่านี้ ไม่พอลงไปถึงบางกอกเลย หมดอยู่เพียงกาญจนบุรีเท่านั้น ที่ตาลสามต้นนี้ มีนาประมาณสัก ๑๐๐๐ ไร่ แต่อยู่ในเรือไม่แลเห็นเลย ด้วยตลิ่งสูงเกินในตา ที่จะแลเห็นได้ เขาว่าที่อื่นก็ยังมีอิกหลายแห่งที่เปนที่ทำนา มาตามทางพบแพไม้บ่อย ๆ เหมือนวันก่อน เปนไม้ไผ่บ้าง ไม้ทุบเปลือกบ้าง แลเห็นฝางกองอยู่บนตลิ่งมากแห่งหนึ่ง ผูกแพไว้จะบรรทุกเต่ยังมิได้บรรทุก เวลาเที่ยง ๔๔ มินิตถึงหลัก ๙๐๐ บ่าย ๓ โมงถึงห้วยแมงลัก เมื่อจวนละถึงห้วยแมงลักนี้ ต้องเอะอะถึงเป่าแตรเรียกพลทหารมาลากเรือ คราวนี้เรือเราดูเหมือนกับชักพระดูอลม่าน เรือก็ไม่ใคร่จะเดินเลย มีกรมการ ๑๔ คน ๑๕ คนมาคอยชักเรือ พอพ้นน้ำเชี่ยวแล้วก็ปล่อยไป ฉุดเรืออื่นต่อไป วันนี้กินแกงไก่ป่าอั่วปลาอ้ายเบี้ยว ฉู่ฉี่ปลาสังกวาดเมื่อเช้านี้อร่อยนัก กินเข้าได้กว่าทุกวัน หลัก ๑๐๐๐ ถึงเมื่อเวลา ๒ โมง ๑๐ มินิต เธอมอเมตเตอรเวลาเที่ยง ๘๕ กรมนเรศว่าในเรือแหวด ๙๑ เรารอคอยดูมาว่าจะถึง ๙๐ เมื่อไรจนถึงบ่าย ๒ โมง จนขึ้นถึง ๙๐ สามโมงขึ้นไป ๙๑ สามโมงครึ่งเปน ๙๒ เปนสิ้นเกณฑ์ขึ้นอยู่เพียงเท่านี้ กรมนเรศว่า ๙๓ เปนสิ้นเกณฑ์ขึ้น ถึงพลับพลาบ่าย ๕ โมง ตรงฤๅจะย่อมสักนิดหนึ่ง ด้วยต้องมาจอดเรือคอยอยู่ ให้เขาตัดเสาเรือเข้าไม่ได้ คิดระยะทาง เอาเรือลำเหลืองเปนหลัก ออกเมื่อไรก็ไม่รู้แน่เรามาเสียก่อน พูดกันว่าย่ำรุ่งแล้วบ้าง โมงแล้วบ้าง แต่กรมพิชิตบอกว่า ๒ โมงแล้วเปนแน่ นายทอง๙๙ รับเปนสกันต์ควรเชื่อได้ มาถึงพลับพลาวังหมึกบ่าย ๕ โมง กินเวลาถึง ๙ ชั่งโมง แต่อยู่ข้างจะหยุดโตโรโตเลบ้าง ทอนลงเสียสักครึ่งชั่วโมงเพียงแปดชั่วโมงครึ่ง ทาง ๔๕๐ เส้น เดินอยู่ ๑๐๐ เส้นต่อโมง ๑ กับ ๔๐ มินิต ที่วังหมึกนี้ชื่อออกจากแม่น้ำที่ตรงนี้ เขาว่าน้ำสีเขียวแก่เพราะน้ำฦกมาก ที่ว่าวังหมึกนั้นดุจหนึ่งว่าละลายด้วยหมึก ท้ายพลับพลาลงไปมีบ้านกะเหรี่ยงแลบ้านคนเขามีหลายสิบหลังเรือน แลแพบ้างเล็กน้อย นอกนั้นอยู่ฦกเข้าไป ที่ริมน้ำเห็นมีต้นกลัวยต้นมะพร้าวมาก แต่ที่ตรงตลิ่งริมน้ำทีเดียวมีต้นไม้ ผูกผ้าแดงผ้าสีชมภูอยู่ต้นหนึ่งว่าศักดิ์สิทธ์มากชาวบ้านนี้นับถือกัน ห้าโมงครึ่งแล้วลงเรือไปยิงนกพบนาค ๒ ตัว ยิงถูกตัว ๑ แต่หนีดำน้ำไปได้ กลับมาถึงทุ่ม ๑ ตรวจดูปรอทลงอยู่ ๘๒ ที่พลับพลานี้ทำคล้าย ๆ กับพลับพลาโน้นเปนสามหลังเหมือนกัน แต่ตูแมนีสะแต เบ็ดเสร็จด้วยกันมีถึง ๕ อัน ๖ ทั้งขึ้นบนตลิ่ง วิเศษขึ้นที่ฝาเปนแผงลายดำ ๆ แดงๆ กับมีเพดานเปนแผงขึ้น แต่พลับพลานี้ไม่ได้ตั้งบนหาด เพราะน้ำฦกเปนวังต้องตั้งบนตลิ่ง พลับพลาสูง น้ำขึ้นกว่าที่กลอนโด เห็นพูดฦๅกันว่าตามตลิ่งที่มา เปนแต่รอยเนื้อรอยเสือไปทั้งนั้น อนึ่งวันนี้ลงเรือเล็กไปนั้น นั่งพิจารณาลำน้ำแลป่าไม้ เมื่อเวลาพระอาทิตย์ตกเสียงนกยูง นกกวัก นกออกนกเงือกนกกระแตแต้แวดร้องไก่ป่าขันเซงแซ่ไปดูสบายใจดี คิดโคลงให้เยอแนลหน่อยหนึ่ง

โคลง

๏ พระลบเจียนจับไม้ รอนรอน
แสงส่องสั่งอัมพร พ่างย้อม
สีสลับกับสาคร เขียวโสด ใสแฮ
อิกหมู่ไม้ไล่ล้อม เล่ห์ล้ำรบายสี
๏ ปักษาเซงแซ่ซ้อง หลายเสียง
บ้างหยุดบ้างบินเฉียง สู่ไม้
ขึ้นรังร่วมคู่เคียง กันพลอด
ฟังเพลิดเพลินใจให้ ห่วงน้องเนาหลัง
๏ แลเฉนียนสูงน้ำเนิ่น เนินทราย
เรือเล็กเล่มพายพาย ล่องน้ำ
มากลางกระแสสาย สินธุ์สุด ซึ้งเฮย
งามยิ่งงามนักซ้ำ เสนาะทั้งวังเวง
๏ วังหมึกแม่น้ำเรียก ตำบล นี้นอ
ชลบเชี่ยวฉวางกล แก่งตื้น
น้ำดำดุจหมึกปน เหตุฦก เหลือแฮ
วังหมึกชื่อเพราะพื้น น่านน้ำดำมัว

อนึ่งยังมีอะมิวซเมนต์อิกอย่าง ๑ ยังต้องเติมไว้เสียข้างท้ายกลัวจะลืม วันนี้เทวัญกำลังเขียนเยอแนลอยู่ เหลียวไปเห็นตักแตนทองแดง เห็นว่าควรจะเก็บไปไว้มิวเซียมได้ ด้วยเปนของปลาดไม่เคยเห็นเลย ไล่ตามจับได้ตัวมาชมเชย เห็นตัวเปนมันลื่น ๆ สงไสย ดมดูกลายเปนตักแตนอาบน้ำแกง อนึ่ง ทอง๑๐๐ ทำโคลงชมลิงมาให้บท ๑ กับโคลงเยาะนกอิกบทหนึ่ง เติมลงไว้ท้ายนี้

โคลง

๏ หมู่ลิงโลดแล่นเลี้ยว ไล่กัน
ลูกกอดอกผายผัน คู่ไม้
บ้างโน้มเหนี่ยวเถาวัล โหนจับ ไม้แฮ
เรือหลีกหาดเข้าใกล้ โดดเร้นป่าสูญ
๏ โคกม้าจับหาดจ้อง จิกปลา
ยืนอยู่แต่เอกา คู่ไร้
เรามาเพื่อนมีมา เยาะนก เล่นแฮ
นกนึกอายเราไผล้ หลีกหน้าเลยหนี
  1. ๙๘. พระพิชิตชลธาร

  2. ๙๙. นายทอง

  3. ๑๐๐. พระเจ้าบรมวงษ์เธอ กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ