วันที่ ๑๗

วัน ๗ ๑๕ ๒ ค่ำ ออกเรือโมงกับ ๒๐ มินิตสายหนักขึ้นไป ด้วยเมื่อคืนนี้นอนดึก กลางวันเที่ยวสนุกจนอ่อนใจ เธอมอเมตเตอร์เช้า ๗๖ หกสิบแปดฤๅ ๗๐ ถ้วนเดี๋ยวนี้ไม่ได้พบเห็นแล้ว เมื่อคืนนี้น้ำค้างเห็นจะมากดูเรือเปียกชุ่ม ยอดเขาถ้ำผีมีหมอกหุ้มลงมาสักส่วนหนึ่ง เหลือสัก ๔ ส่วนพอแดดในหมอกค่อยเกลื่อน ๆ ไป แลเห็นยอดเขาที่แหลม ๆ ข้างบน แต่หมอกคั่นกลางเหมือนหนึ่งยอดแหลมนั้นขาดตั้งลอยอยู่เปล่า ๆ ตามฝั่งน้ำที่แผ่นดินริมเขามี่น้ำชื้นขึ้นไปสัก ๑ ศอก บ้าง ๒ ศอกบ้าง จะชื้นขึ้นไปฤๅจะชื้นลงมาก็ไม่ทราบ คุ้ยลงไปมีน้ำ แต่ที่ห่าง ๆ เซาเปนตลิ่งแห้งทีเดียว พบน้ำพุอิกแห่งข้างขวามือเขาเดียวกัน สูงพ้นน้ำประมาณสัก ๔ ศอก ไหลแรงกว่าน้ำพุเล็ก ๆ ทั้งปวงที่พ้นมาแล้ว มีศิลาจำเภาะที่จะนั่งอาบคนเดียวได้ ศิลาก้อนหนึ่งที่รับน้ำเปนน้ำราดตกเกือบจะเต็มน่าศิลา ถ้านั่งตรงที่สำหรับนั่งอาบมีต้นตะไคร้บังแดดอยู่น่า แต่เราไม่อาบด้วยยังเช้าอยู่เปนแต่ลองชิมน้ำดูกร่อย ๆ แต่ยังดีกว่าพุที่ล่วงมาแล้ว มาอิกหน่อยหนึ่งมีเขาริมน้ำเปนเขามอเท่า ๆ กับเขาวัดเชตุพน มีถ้ำฦกเข้าไปท่วงทีดี ๒ โมง ๑๕ มินิตถึงหาดท่าสระสี่มุมแวะไปลองดู เขาว่าหาดนั้นนี้น้ำร้อนทั้งหาด ลองให้ฝีพายขุดดูสูงพ้นน้ำขึ้นไปสัก ๔ ศอก ๕ ศอกน้ำก็ร้อนเหมือนที่บ่อน้ำร้อนแต่ไม่สู้จัดนัก ยิ่งขุดใกล้น้ำลงมายิ่งร้อนหนักขี้น ถ้าขุดห่างแม่น้ำสัก ๔ นิ้ว ๕ นิ้วน้ำเปนควันพลุ่งร้อนจัดหนักขึ้นจนถึงขุดแหวะหาดให้น้ำเย็นเจือเข้าไปได้ น้ำในที่นั้นก็ยังร้อนออกมาต่อกับน้ำเย็นที่แม่น้ำเปนอัศจรรย์อยู่ ที่บ่อขุดลงไปนั้นเดือดปุด ๆ ชิมดูรศกร่อยเหมือนกับบ่อที่บ่อน้ำร้อน ท่านี้เปนทางขึ้นไปบ้านกะเหรี่ยงมีสระสี่มุม ๆ นั้นกำเปนหนองฤๅทเลสาบกว้างใหญ่ยาวสัก ๕๐ เส้น พวกกะเหรี่ยงตั้งอยู่ที่นั่นมาก ทำไร่เข้าทำไร่ฝ้ายทำไร่ยาแลแตงต่าง ๆ ที่นี่มีต้นหมากมากไม่ต้องซื้อหมากบางช้างกิน เข้าไร่นั้นทำในร่อง อาไศรยน้ำฝนแลน้ำค้าง เปลือกบางกว่าเข้าตามธรรมเนียม หุงเปียกไปคล้าย ๆ เข้าเหนียว ถ้าใช้ต้มกินนุ่มดีเปนเข้ามียางมาก หนทางที่ไปสระสี่มุมนั้น เขาว่าขึ้นไปบนตลิ่งเปนแผ่นดินสูงขึ้นไปทุกชั้น ๆ ถึง ๗ ชั้นจึงถึงที่บ้านคนเดิน ไปกินเข้าเข้าที่โน่นได้ ออกเรือจากท่าสระสี่มุม ๒ โมง ๓๕ มาหน่อยหนึ่งจึงได้พบไก่ขันบ้างบินบ้าง ไม่เงียบทีเดียวเหมือนวานนี้ เขาพโนอยู่ข้างขวามือ ยังมีหมอกหุ้มอยู่บนยอด เกือบจะสามโมง ตรงเขาตาคลาศ แลดูเหลี่ยมหนึ่งที่ยอดสูงรูปเหมือนองค์ระฆังพระเจดีย์อิสีปตัน ที่เมืองเปนาริลยอดเกลี้ยงอย่างนั้น ต่อเรือพ้นมาดูเหลี่ยมอื่นจึงคลายไป เห็นแต่องค์ระฆังอยู่ครึ่งซีกติดกับเขาเทือกยาว สามโมงครึ่งแดดร้อนนัก แวะแอบเข้าร่มคอยเรือใหญ่ สี่โมงลงเรือแหวดกินเข้าแล้วเขียนเยอแนล มาถึงท่าซุงพบญวนตีอวน ๆ ติดศิลาในน้ำไม่ได้ปลาอะไร ที่นี่จะลงอวนต้องระวัง ลางทีไม่ได้ปลาแล้วเลยขาดทุนอวนขาดด้วย ๔ โมง ๕๐ ถึงแก่งหางนาค น้ำเชี่ยวจัดจนคนลงไปคอยประคองเรือยืนไม่ใคร่จะอยู่ ถึงน้ำพุเขาเสน ๕ โมงครึ่ง เราแวะขึ้นไปดูเดินไปตามลำธารทางประมาณสัก ๑๖ วา ๑๗ วา มีศิลาก้อนหนึ่งไม่สู้ใหญ่นัก ตั้งฝังอยู่ในดินตรงน่าเปนแอ่งมีก้อนศิลาล้อม กว้างสัก ๔ ศอก ๕ ศอกรอบ แต่ไม่แลเห็นเปนน้ำไหลออกมาจากศิลาแห่งใด เหมือนหนึ่งพุอื่น ๆ เปนแต่น้ำเต็มอยู่ในอ่างเสมอ ที่หลังน้ำเปนวง ๆ เห็นว่าน้ำจะขึ้นมาจากใต้ก้อนศิลานั้น เมื่อน้ำล้นท่วมศิลาปากแอ่งนั้นแล้ว ก็ไหลตกลงมาลำธาร ๆ กว้าง ๆ แคบ ๆ ๙ ศอกบ้าง ๑๐ ศอกบ้าง มีก้อนศิลาตั้งรับ น้ำกระทบเปนสองแยกบ้าง เหมือนท้องธารทั้งปวง ธารนั้นเขาลาดลงมาถึงริมน้ำ เปนเขามอใหญ่ ๆ เท่ามอวัดพระเชตุพนหลายลูกติดกัน น้ำไหลอาบน่ามอตกถึงแม่น้ำเต็มทั่วทั้งมอ แต่ที่เปนซอก ๆ ตรงไหนน้ำก็ลงตรงนั้นมาก ที่หลังมอนั้นน้ำกัดเปนห้วง ทำนองอย่างเช่นจะเปนอ่างรับน้ำพุทั้งปวง แต่ที่หลังมอนั้นไม่ชันน้ำไม่ตกลงมาแรง เปนแต่ลงมากระทบจึงกัดเปนห้วง ๆ เหมือนหนึ่งฝาหอยแครง รับกันเปนชั้น ๆ ลงมาจนถึงน่ามอ จึงเปนอ่างย่อม ๆ ซ้อนกันไปกันมา รับจนกระทั่งถึงน้ำที่ตรงซอกมอกลาง น้ำพุนั้นเปนที่น้ำลงมาก มีชง่อนศิลาเล็ก ๆ พอนั่งอาบได้ น้ำลงเปนสี่ทางดูราวกับมาจากปากสี่สัตว นั่งอาบได้สบาย ต่อไปข้างขวามือนั้นเปนอ่างใหญ่ น้ำตกอาบน่าผาถึงจะไปนั่งอาบก็ไม่ไคร่จะถูกตัว แต่อ่างนั้นงามรูปเปนพระจันทร์ครึ่งซีก นั่งลงฦกเพียงไหล่ ใต้มอที่น้ำตกนั้นเปนน้ำฦกเข้าไป มีศิลาราบเหมือนหนึ่งจะเปนแท่นนั่ง แต่เข้าไปไม่ได้เพราะมีศิลากีดอยู่ ที่ในถ้ำแลปากถ้ำมีฟองน้ำเหมือนหนึ่งน้ำย้อยในถ้ำทั้งปวง พ้นอ่างนั้นลงมาน้ำก็ตกลงมาในอ่างเล็ก ๆ จนกระทั่งถึงแม่น้ำ ถ้าจะว่าไปให้เหมือนสระอโนดาษก็ได้ แต่ต้องเรียกเขาไกรสาศ ใต้พุนั้นลงไป มีน้ำหยดย้อยตามเหลี่ยมเขาลงไปบ้าง จนถึงน่าผาสูง ๆ ยาวประมาณสัก ๒ เส้น เปนศิลาลงถึงน้ำเปนช่อง ๆ ไป ที่ช่องใหญ่มีน้ำตกอิก ๒ ทางเคียงกัน แต่ไหลโจ๊กซ่าลงแม่น้ำดูไม่งามอะไร เที่ยงครึ่งออกจากที่น้ำพุ บ่ายโมง ๑ ขึ้นเรือเหลืองต่อไปอิกหน่อยหนึ่ง ถึงน่าเขาสูงใหญ่ดูในแผนที่ว่าเปนเขาเกริด แต่ถามนำร่องไม่ได้ความ เรียกเสียว่าเขาพระแต่เห็นจะเปนเขาเกริดแน่ มีน้ำพุเล็ก ๆ อยู่แห่งหนึ่งพ้นน้ำสัก ๒ นิ้ว บ่ายโมง ๔๐ ตรงเขาถ้ำอยู่ข้างซ้ายมือสูงใหญ่เหมือนกัน ที่แก่งเปรียงน้ำเชี่ยว ที่ร่องน้ำฦกมีศิลาด้วย ท่าเปรียงมีไม้สักขนาด ๓ กำ ๔ กำ ๓ วา ๔ วาวางอยู่ริมท่า ไม้สักข้างนี้เขาว่าเปนไม้เนื้อดีด้วย แต่ต้นใหญ่ไม่ใคร่จะมี มาถึงแก่งดึกดัก ข้างซ้ายมือมีศิลาก้อนใหญ่ ๆ ออกมาจนถึงกลางแม่น้ำ ศิลานั้นไม่สูงพ้นน้ำขึ้นมามากพอปริ่ม ๆ น้ำ ศิลาอยู่แห่งใดก็แลเห็นเปนน้ำโจนอยู่ที่ตรงนั้น ที่ใกล้ ๆ ร่องมีศิลาก้อนย่อม ๆ เท่าส้มโอส้มเกลี้ยง กลิ้งตามท้องเรือกระทบบ้าง แก่งนี้ในแผนที่ไม่มีชื่อ แต่อยู่ตรงแห่งเขาเกริด บ่ายสองโมงสามส่วนเศษถึงแก่งม่องตี้ เแต่ไม่แลเห็นคลองม่องตี้ เพราะในกลางแม่น้ำมีเกาะยาว เรือมาร่องข้างขวามือ คลองนั้นอยู่ฝั่งข้างซ้ายจึงไม่แลเห็นได้ พ้นแก่งขึ้นมา แต่อยู่ในระหว่างเกาะนั้น ถึงท่าม่องตี้อยู่ข้างขวามือ เขาว่ามีบ้านเรือนหลายหลัง มีลาวบ้างกะเหรี่ยงบ้างมอญบ้าง ทำไร่เข้าปลูกกล้วยแลไร่ฝ้ายอยู่ที่นั่น ท่าม่องตี้นี้เปนท่าตัดไม้ ขอนสักลงทางนี้ แต่ข้างนี้ใช้เกวียนบ้างช้างบ้างเราได้เห็นรอยช้าง ๒ รอย ๓ รอยอยู่ริมน้ำ ไม้ที่ตัดมาได้ที่ท่าบ้างแล้วก็มี เมื่อเราผ่านไปนั้น มีคนชายหญิงผู้ใหญ่เด็กลงมาอยู่ริมน้ำประมาณสัก ๒๖ คน ๒๗ คน ถือใบไม้ทุกคนลุกยื่นขึ้นไหว้แล้วเห็นเอาใบไม้วางที่ริมตลิ่ง แล้วก็นั่งยอง ๆดู เรือพ้นมาถึงเขาเทือกหนึ่งใหญ่ยาว ในแผนที่หาไม่พบเลย นำร่องบอกว่าเขาพระสงไสยว่าเขาพระในแผนที่นั้น วางบนขึ้นไปแล้วก็ไม่เปนเทือกยาวนัก นี่เปนเทือกยาวนัก สอบเจ้านำร่องเข้าอิก ก็ว่าเขาพระมี ๒ แห่ง บ้างว่าเทือกเดียวกันบ้าง เหลวไปจะเอาเปนแน่ก็ไม่ได้ ต่อมาถึงแก่งหลวงอิกแห่งหนึ่ง มีเกาะกลางน้ำเปนสองแยก ข้างซ้ายมือเรือเดินไม่ได้ว่ามีศิลามาก ต้องไปข้างขวามือ ในนั้นมีศิลาอยู่กลางร่องอยู่ข้างขวามือเปนกรวดพ้นน้ำบ้าง น้ำที่ท้ายแก่งดูไม่สู้เชี่ยวนัก ยิ่งขึ้นไปยิ่งเชี่ยวหนักขึ้นทุกที เรือขยับแต่จะกลับหัวลง ต้องเอาทหารลงฉุดเชือกรั้งหัวเรือไว้ ค่อยถ่อขึ้นไปพระนิโครธาภิโยค๑๑๓มาคอยรับเรืออยู่ที่นี่ เมื่อเข้าในแก่งนั้นอิก ๕ มินิตจะบ่าย ๔ โมง จน ๔ โมง ๒๕ มินิตจึงได้พ้นแก่ง เบ็ดเสร็จถึงครึ่งโมง อนึ่งใต้แก่งนี้ลงไปเห็นมีปรำใบไม้อยู่ที่นั้น จะเปนสำหรับใครฤๅยังไรไม่รู้ ต่อมาถึงย่านชื่อลูกเสือ มีคนตั้งโรงตัดไม้ ๆ ไผ่ที่นี่งาม ๆ มาก ขยับจะดีกว่าไม้สีสุกตามบ้าน ปล้องก็ยาวลำโต ๆ ห้าโมงกับส่วนหนึ่งถึงแก่งลูกเสือ ท้องเรือครู่กรวดน้ำเชี่ยวเรือถอยหลัง วันนี้คนตกน้ำอิก ๒ หน แต่ดูเงียบเชียบไม่เห็นหลวงอุดมว่าอย่างไร วันนี้พบเรือพระลำหนึ่ง เปนเรือเหนือว่าจะขึ้นไปท้องผาภูม คราวนี้ถึงวังพระแท้ในแผนที่ ล่วงเข้าไปถึง ๕ โมง ๕๐ แล้วนึกวิตกว่าจะข้ามแก่งปรังตาไม่ทัน แต่เห็นว่าจะไม่เปนไร ด้วยสว่างอยู่ จนเกือบทุ่มหนึ่งยังไม่มืดนัก เร่งให้เขารีบแจวกลับซ้ำมาถูกน้ำเชี่ยวอิกไม่ใคร่จะถึง จนค่ำแล้ว ๒๕ จึงถึง แต่ไม่เปนไรยังสว่างดีทีเดียว แก่งนั้นอยู่ตรงหัวเลี้ยว มีหินในน้ำอยู่ข้างปากทางข้างซ้ายมือ มีคนลงไปยืนประจำอยู่ทุกก้อน แต่ที่ร่องน้ำฦกเหนือขึ้นไปอิก มีก้อนโตอยู่ในน้ำบ้างพ้นน้ำบ้างเสมอน้ำบ้าง น้ำกระทบแตกซ่าอยู่ แต่ไม่ยาวนักพ้นแก่งเร็วที่ในกลางแก่ง พระยากาญจนบุรีแลใคร ๆ กะเหรี่ยงก็ลงน้ำ ที่อยู่บนเรือก็มี มาถึงเกือบจะพ้นแก่ง ได้ยินเสียงสมเด็จเจ้าพระยาอยู่เหนือแก่ง พระยาประภากรวงษ์ นายสรรพวิไชย๑๑๔ หยาด พร้อม มาด้วย พอแจวเรือขึ้นไปพ้นแก่งพูดกับท่านสองสามคำพอเรือพ้นกันไป ต่อค่ำแล้วสามส่วนจึงได้มืดทีเดียวไม่เห็นอะไร เรือสมเด็จเจ้าพระยาแจวมาข้างเรือเรา ตามทางไม่เห็นตำบลสนทยาว่าไปทางไหนเลย ต่อมาถึงปากคลองแม่น้ำน้อย ฤๅจะเรียกตามชาวนครว่าแม่น้ำน้อยเล็ก ฤๅแม่น้ำน้อยเอียด เพราะเปนน้อยของน้อยลงไปอิกทีหนึ่ง เปนช่องขาวโว่เข้าไป ทุ่ม ๑ กับ ๘ มินิตถึงพลับพลา เราแลดูทางน่าต่าง (เห็นเปนเงาบังเงื้อมเข้ามา ถามเขาว่านั่นตลิ่งฤๅอะไร เยี่ยมหน้าออกไปดูเห็นเปนพลับพลา เรือเข้าจอดทางปรำยาวไม่ได้ต้องมาจอดขึ้นทางปรำน่า สมเด็จเจ้าพระยา พระยาอภัยรณฤทธิ์ พระยาพิไชยชาญฤทธิ์๑๑๕ มาคอยรับ นั่งพูดอยู่กับสมเด็จเจ้าพระยาประมาณสักครึ่งโมง พระสัจจาเอาเสือตัวเล็กมาตัว ๑ เขาเรียกว่าเสือครูด คล้าย ๆ กับเสือที่เราไปไล่เนื้อที่เมืองปาจิณ วิ่งเข้ามาในกลางฝูงช้าง คนช่วยกันปล้ำจับตัวได้แต่ตัวนั้นใหญ่กว่านี้ เปนเสือแม่ลูกอ่อนด้วย ไม่ได้ยิงไม่ได้แทงอะไรเลย เอาไปเลี้ยงไว้บางกอกได้นาน แต่ตัวนี้พระสัจจาเขายิงได้ที่เหนือสระ ๔ มุม ขึ้นมาสี่เลี้ยวตายเสียแล้ว ต้องเอาแต่หนังไปเลี้ยงไว้มิวเซียม ลงอาบน้ำในกรงที่สมเด็จเจ้าพระยากั้นไว้ ให้ลูกอาบน้ำเพียงเข่า แล้วแจกเงินพราน ๑๔ คน กับให้เสื้อตาครูด้วยอิกตัวหนึ่ง ดึกสัก ๕ ทุ่มครึ่งแล้วปรอทจึงลง ๗๙ เดินทางวันนี้เปนวันถึงที่สุดทางที่จะไปต่อไปข้างน่าไม่มี ต่อไปควรจะนับว่าเปนขากลับ จึงรวมรยะทางที่มาตั้งแต่กาญจนบุรีลองดู เมื่อวันที่ ๑ เดิน ๘ ชั่วโมง ๔๓ วันที่ ๒ เดิน ๘ ชั่วโมง ๓๐ วันที่ ๓ เดิน ๖ ชั่วโมง วันที่ ๔ เดิน ๗ ชั่วโมง ๒๕ วันที่ ๕ เดิน ๑๑ ชั่วโมง ๔๕ วันที่ ๖ เดิน ๔ ชั่วโมง ๓๐ วันที่ ๗ เดิน ๑๐ ชั่วโมง ๒๖ รวมเดิน ๗ วัน ๕๗ ชั่วโมง ๑๙ นาที รยะทางตั้งแต่ปากแพรกเมืองกาญจนบุรีจนถึงเมืองไทรโยค ตามจดหมายที่ได้ลงเส้นเชือกวัดว่าเป็นทาง ๓.๗๕๔ เส้น คิดถัวให้เดินเท่า ๆ กันทุกวัน ๆ ละ ๘ ชั่วโมง ๑๑ นาที ทางวันละ ๕๓๖ เส้น ๖ วา เรือเดินร้อยละชั่วโมงครึ่ง แต่เรือเรามาอย่างช้า ถ้าจะเดินอย่างราชการเร็วจริงทีเดียว ๕ คืนเห็นจะถึงไทรโยค กรมพิชิตว่าฉันท์สำหรับน้ำพุที่ท้องช้างมายื่นทีหลังดอก แต่คัดลงไว้ในท้ายนี้เสียทีเดียว จะได้เห็นงามแลเพราะหูพร้อมกัน

สาลินีฉันท์ ๑๑

๏ เดินทางในกลางชล ก็มาดลศิขรเขา แถวทางน้ำตกเนา ณฝั่งน้ำสดำโดย ๏ แลเมือเมื่อเรือเลี้ยว ประดุจเกลียวเผลียงโรย ลมชายยิ่งปรายโปรย ลอองตกซะซกไหล ๏ พิศผาเร่งพาพิศ วงจิตรบจืดใจ จักเม็นจักมองใด ก็สบท่าบทรามที ๏ ดังมออันก่อแกล้ง ประดิษฐแสร้งประดับดี ยิ่งชมยิ่งชวนปรี ดิปราโมทย์กระมลเมิน ๏ น้ำตกเปนชั้น ๆ แลผุดดั้นพุแนวเนิน น่าพิศน่าเพลิดเพลิน บน่าจากบอยากคลา ๏ ผายื่นเปนภู่ย้อย แลพวงห้อยประดับผา ล่างแลดังอ่างปลา แลเปี่ยมด้วยนทีธาร ๏ กลางก่อเปนมอเหมาะ ละเมาะเกาะแลห้วยละหาร ไม้น้อยที่ริมธาร ก็น่าชมพอสมกัน ๏ จักร่ำรำพรรณพจน์ บหมายหมดระบินสรรพ์ สิ่งงามยิ่งครามครัน เสนอย่อบพองาม

  1. ๑๑๓. พระนิโครธาภิโยค ผู้ว่าราชการเมืองไทรโยค

  2. ๑๑๔. พระยาทรงสุรเดช (อั้น)

  3. ๑๑๕. พระยาพิไชยชาญฤทธิ์ (เอม)

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ