วันที่ ๑๘

วัน ๑ ๓ ค่ำ วันนี้ไม่มีที่ไปทางไกล แต่ถึงใกล้ก็เปนสำคัญ คงจะต้องกินสมุดหลายใบเหมือนกัน เราออกเรือลากพลับพลาขึ้นไปเหนือน้ำโมง ๑ ตามสองข้างฝั่งเปนศิลาเทือกยาว ๆ ข้างหนึ่งเปนดินเกี่ยวกันตลอดไป ที่เปนเขาทั้งสองข้างก็มีบ้าง แต่วันนี้เรานึกว่ายังไม่ว่าถึงหนทางที่ไปก่อน เพราะพรุ่งนี้ยังจะมีอิกวันหนึ่ง จะต้องเขียนหนังสือมากเหนื่อยเปล่า ๆ ผ่อนไว้เขียนพรุ่งนี้บ้างดีกว่า วันนี้จะว่าถึงน้ำพุทีเดียว โมง ๑ สี่สิบห้ามินิต ไปถึงพุที่ ๑ เราไปจอดเรือที่แพลอย ตรงทางตัดขึ้นไปบนบกเหนือน้ำพุสับดินเปนคั่นบันไดขึ้นไป ตลิ่งที่ตรงนั้นสูงประมาณ ๖ วาเศษ ๗ วา เดินไปหน่่อยหนึ่งจึงถึงลำธารที่น้ำตกลงมา ตั้งแต่ธารขึ้นไปจนถึงลำธารนั้น มีต้นไม้ใบใหญ่เรียกว่าไผ่บง เปนไม้อย่างเช่นเขาทำระนาด ไม้ที่นี่ลำใหญ่ ๆ ยาวมาก แต่เมื่อดูอยู่กับกอเห็นไม่สู้ใหญ่นัก สมเด็จกรมพระท่านตัดมายาวถึง ๑๕ วา ๑๖ วา ล่องแพลงไปบางกอกด้วย คราวก่อนนี้ท่านหาได้ที ๑ ว่าใหญ่ยาวอยู่แล้วยังเล็กกว่านี้ ไผ่ที่นี่ร่มชิดไม่มีแสงพระอาทิตย์ พื้นล่างเตียนรอบไปกว้างสัก ๑๕ วาฤๅเส้นหนึ่ง ลำธารนั้นไหลมาแต่ตวันออกเฉียงเหนือต่อกับทิศใต้ แล้วมาเลี้ยวลงตรงที่น้ำพุ ๆ นั้นอยู่ตรงระหว่างทิศตวันตก กับทิศตวันตกเฉียงใต้ต่อกัน ลำธารกว้าง ๆ แคบ ๆ ๓ วาบ้าง ๔ วาบ้าง ศิลาที่ทิ้งในกลางลำธารนั้นราย ๆ ไม่สู้มีมาก เปนแต่น้ำไหลลงมาตรง ๆ จนถึงที่ตกพุ ฦกอยู่ในศอก ๑ ศอกเศษ ปากธารลงถึงพุนั้นกว้าง ๑๐ วา ที่พุนั้นเปนเขาศิลาก้อน ๆ เปนมอแต่มิใช่เขาใหญ่ เปนตลิ่งศิลาฤๅเขาริมน้ำ สูงเสมอพื้นดินดังทางที่เคยมีบ่อย ๆ ไม่ค่อยจะเว้น ชั้นบนเปนน่ามอสองลูกติดกันยื่นหันน่ามาข้างแม่น้ำ แลดูน่ามอข้างซ้ายมือ ถ้าจะหมายไว้ว่าตัว (ก) ในระหว่างออกมาจากตลิ่งมาก แต่สูงชันวัดได้ ๓ วา ๒ ศอก น้ำไหลอาบน่าผาตกลงมาในอ่าง ๆ นั้นอยู่ชั้นกลาง ยาวประมาณ ๓ วากว้างสัก ๕ ศอก น้ำฤกพ้นเข่าขึ้นมาหน่อยหนึ่ง มอข้างขวามือถ้าจะหมายตัวหนังสือได้ว่า (ข) ขัดข้อง ต่ำกว่ามอตัว (ก) แต่ลากกว้างออกไป วัดตั้งแต่ปากทางถึงที่สุดหลังมอโดยยาว ๗ วา แต่มอนั้นต่ำวัดแต่พื้นชั้นกลางถึงหลังมอสูงเพียง ๑๐ ศอก น้ำไหลอาบหลังมอกัดเปนห้วงๆ เหมือนฝาหอยฤๅคั่นบันไดต่ำ ๆ เดินขึ้นลงได้ง่าย น้ำอาบเต็มน่ามอนั้นเหมือนกัน ซ้ายมือข้างชั้นบนพ้นมอตัว (ก) ไป แลขวามือชั้นบนพ้นมอตัว (ข) มา ก็มีน้ำไหลอาบน่าผาบ้างไหลตรง ๆ ลงมาบ้างเหมือนกัน ต้องดูรูปจะว่าให้เลอียดไม่ได้ ที่นั้นลงมาถึงชั้นกลาง น่ามอตัว (ก) แลตัว (ข) นั้นเปนพื้นกว้างใหญ่ วัดดูยาวตั้งแต่ตวันออกเฉียงใต้ มาจนตวันตกเฉียงเหนือถึง ๑๘ วา กว้าง ๑๐ วา ปากขอบนั้นเหมือนยังกับปากล่าง ในนั้นเปนอ่างน้ำฦกลงไปศอกเศษบ้าง ๒ ศอกบ้าง เปนที่รับน้ำตกทั้งมอ (ก) มอ (ข) ในระหว่างมอ (ก) กับ (ข) ต่อกันนั้นเปนซอกอยู่น้ำไหลลงแรงนัก มีศิลาเปนก้อนๆ ขึ้นไปรับกระท้อนน้ำตกลงมาโจนขึ้นสูง ๆ เราไปอาบที่ตรงนั้นนั่งไม่ใคร่จะอยู่ต้องเหยียดตีนยันศิลาให้แน่น แล้วน้ำตกลงมาถูกไหล่ฤๅเอนหัวลงไปก็ท่วมหน้า เหมือนหนึ่งคนทุบฤๅตีลงมา เผลอตัวก็นอนกลิ้งทีเดียว แต่เราขึ้นไปนี้ยังต่ำอยู่ มิศเตอรไปเยอ ปีนขึ้นไปสูงกว่านั้น ถึงตรงซอกเขาทีเดียวน้ำตกแรงนัก แล้วพุ่งไกลออกมาจากน่าผาตัวผลุดเข้าไปในน้ำ แล้วไปยืนแอบอยู่ในใต้ทางน้ำไหล น้ำบังมิดไม่แลเห็นตัวเลย พอหายใจได้อยู่นานๆ ไม่สำลักน้ำ ๆ ที่ตรงระหว่างมอสองมอนี้ ตกลงมาในอ่างที่รับน้ำมอ (ก) ดังเช่นที่ว่าไว้แล้วในข้างต้น พื้นชั้นกลางที่ว่าเมื่อตะกี้นั้นน้ำไหลล้นปากอ่างตกไปถึงแม่น้ำบ้าง มีเขาแลอ่างเล็ก ๆ น้อย ๆ รับเปนชั้น ๆ ลงไปบ้างจนถึงน้ำ วัดดูสูงพ้นน้ำขึ้นมาถึงปากอ่างใหญ่ได้ ๓ วา ๒ ศอก ข้างขวามือของอ่างชั้นกลางตรงน่ามอนั้น เปนอ่างลดลงมาเปนชั้น ๆ ได้รยะกันเหมือนเปนคั่นบันไดเพล่ลงไปข้าง ๆ เฉภาะอ่างหนึ่ง ๆ ต่อกันลงไปสัก ๕ คั่น ๖ คั่นจนถึงอ่างเล็ก ๆ แล้วก็เปนชั้นหน่อยหนึ่งลงไปตนถึงน้ำไม่สู้สูงนัก ที่น้ำพุนี้น้ำไหลอาบท่วมทั่วทั้งมอ แรงบ้างเบาบ้างมากบ้างน้อยบ้าง ตามที่เปนซอกแลตรง ให้พึงเข้าใจเอาเองเถิด จะอธิบายหมดไม่ได้ เพราะปากพูดไม่เหมือนกับตาเห็น วัดโดยยาวที่น้ำตกตามริมน้ำ แต่เปนตลิ่งเขา มีน้ำอาบไปถึง ๒๔ วา ๒ ศอก การตกแต่งนั้นก็มีผูกราวทำแคร่ ตามกระบวนที่จะทำไปได้ พุนี้น้ำแรงกว่าที่พุท้องช้างมากนัก แล้วก็รศจืดสนิทน้ำดูสอาดกว่าที่พุท้องช้างอาบก็เย็นกว่ากัน แต่ถ้าจะดูข้างงาม พุท้องช้างงามเปนที่ฝีมือช่างไทยช่างจีนทำ ที่สนุกจู๋จี๋มีต้นไผ่เล็ก ๆ ประดับเหมือนกับเขามอที่ไทยก่อเล่น เห็นเปนที่แกล้งทำมากกว่าที่จะเปนเองได้ แต่มอนี้ท่วงทีขึงขังน้ำตกแรง ที่น้ำจะตกมาก็ดูศิลามั่นคงมากใหญ่โต เปนที่ช่างของฝรั่งเห็นเปนของเปนเองมาก ไม่เปนคนแกล้งทำ งามเปนคนละอย่างแท้ๆ จะว่าไหนดีกว่ากันก็ไม่ได้ ถ้าจะดูน้ำแล้วที่พุนี้เปนงามที่สุด อาบก็สบายมาก จะว่า ๆ ไม่เปนฝีมือช่างไทยเลยก็ไม่ได้ ที่อ่างรองพุ (ก) พุ (ข) นั้นดูเหมือนหนึ่งเขาโรงลคร ที่ทำไว้สำหรับเทวดาพระอินทร์ฤๅปัตตาระกาหลานั่ง ตัดฝานยอดเขาเสียตรง ๆ แต่ที่ท้องช้างนั้นเปนฝานๆ อย่างนี้ไปทุกหนทุกแห่งจนตลอดข้างบนเหมือนกับเขาที่เขียนไว้ตามวัดตามวามาก ที่งามนักแต่น้ำไม่สู้งามที่มอนี้ต้นไม้เล็ก ๆ เปนต้นผักใบแฉกแลต้นไผ่ไม่มีๆแต่ต้นไม้ใหญ่ครึ้มไป เราไม่ได้หยุดอาบที่นี่รีบไปดูพุที่ ๒ ต่อไป พุที่ ๒ นั้นไม่ไกลจากพุที่ ๑ ไปนัก ไปสักมินิตหนึ่งสองมินิตเท่านั้น พุนี้พระยาประภากรวงษ์มาจัดการ พุที่ ๑ นายสรรพวิไชยได้ไปช่วยดูการด้วย พุที่ ๒ นี้ต้องขึ้นข้างน่าทางน้ำตกทีเดียว ต่ายขึ้นไปตามบันไดบ้างตามศิลาที่น้ำตกบ้าง ไปถึงพื้นแผ่นดินเปนลำธารกว้าง ๆ แคบ ๆ แต่ไม่เห็นต้นเค้าว่าออกจากแห่งได เปนลำธารไหลมาถึงจะเดินตามไปอิกก็ไม่หมด ด้วยน้ำพุในแถบนี้ ไม่ใกล้เหมือนหนึ่งน้ำพุท้องช้างที่ออกจากเขากินร น้ำทางนี้เปนลำธารมาในกลางป่า ตั้งแต่เขาแดนเมืองศรีสวัสดิ์ ไหลมาเปนหลายลำ ถึงพุที่ ๑ กับพุที่ ๒ นี้ก็คนละลำธาร แต่ออกจากเขาเมืองศรีสวัสดิ์แห่งเดียวกัน ลำธารพุที่ ๒ นี้ก็กว้างอยู่ใน ๔ วาบ้าง ๕ วาบ้าง แต่มีที่กว้างทีเดียว ถึง ๑๐ วาก็มี เปนหินมากกว่าธาร พุที่ ๑ น้ำฦกบ้างตื้นบ้าง อยู่ข้างจะรกกว่าธารพุที่ ๑ ต่ายไปต่ายมาลำบาก เมื่อจวนจะถึงน้ำ มาแยกออกเปนสองทาง ๆ ข้างซ้ายมือเมื่อยืนหันหน้าลงไปแม่น้ำ นั้นนับว่าเปน (ก) ข้างขวามือนับว่าเปน (ข) ลำธาร (ก) นั้นดูแคบ ๆ แลตื้นกว่าลำธาร (ข) ปากธารที่ลงริมตลิ่งกว้าง ๓ วา ๒ ศอก น้ำอาบลามไปตามหลังมอ ๑๔ วา แลเปนที่แห้งคั่นกลางอยู่ ๗ วา จึงถึงปากธารกว้าง ๑๐ วา ไหลอาบลงมาตามหลังมอ ที่เปนชั้นบนเสมอพื้นตลิ่ง ถ้าจะดูชั้นกลางลงมา น้ำลำธาร (ก) ที่พลัดตกลงมานั้นเปนแต่อาบไปตามน่าเขาบ้างพุ่งแรงบ้าง มีอ่างรับบ้างกระทบเขาบ้าง ลงถึงแม่น้ำ ไม่เปนที่ใหญ่โตนั่งอาบได้ แต่น้ำที่ลงมาจากลำธาร (ข) นั้น แยกออกไปอิกเปน ๓ ส่วน ๆ ช้างซ้ายมือ เมื่อเวลายืนหันหน้าลงมาแม่น้ำ นับเปน (ค) เปนน่าผาชันลงมาถึงพื้นชั้นกลาง แล้วกระท้อนลงน้ำ ตอนกลางนั้นนับเปนตอนข้างขวามือนับเปนที่ ๑ นั้น เปนที่น้ำตกลงมาแรงกว่าที่ เพราะน้ำที่กับที่ มาร่วมกัน ๒ ทางข้างล่างก็เปนเขาศิลารับ มีอ่างตัดเปนชั้น ๆ ลงมาจนถึงอ่างใหญ่รับชั้น ๑ แล้วก็ตกลง น้ำที่นั้นเปนน้ำตกอาบเงื้อมเขาลงมาถึงอ่างใหญ่ กว้าง ๔ วาเศษยาว ๖ วา ในใต้เงื้อมเขานั้นมีถ้ำคนเข้าไปยืนได้สัก ๒ คน ๓ คน มีน้ำหยดหยัดไปเสมอทั้งถ้ำ ต่อลงมาทางที่น้ำอาบนั้นก็กัดศิลาเปนห้วง ๆ เหมือนหนึ่งกับน้ำพุที่ ๑ เราไม่หยากจะอธิบายซ้ำซากมากนัก เพราะผู้ไม่เห็น เปนแต่อ่านฟังด้วยหู เมื่อมีคำซ้ำ ๆ บ่อย ๆ ก็จะเบื่อหนัก ควรจะเห็นว่าน้ำพุที่ ๒ นี้ก็คล้าย ๆ กับน้ำพุที่ ๑ แต่ไม่ใคร่จะงามเหมือน ท่วงทีน้ำที่ตกมานั้นมีที่กระทบน้อยไป แล้วไหลอาบไปตามฝั่งกว้าง แต่น้ำเห็นจะมากกว่าที่ ๑ มีที่น้ำหยดบ้างไหลบ้างติด ๆ กันไป ออกลำธารทั้ง ๒ นี้ยาวถึง ๒ เส้น ที่น้ำตกทั้งสองแห่งนี้สูงอยู่ใน ๗ วาเศษฤๅ ๖ วาเศษบ้าง เสมอกับตลิ่งที่ตรงนั้น ผิดกันกับน้ำพุที่จันทบุรี ด้วยน้ำพุจันทบุรีนั้นเราไปดูเมื่อออกจากเขา น้ำพุที่นี่ีไหลมาจากลำธาร แล้วมาตกลงที่น้ำตามตลิ่ง ความงามของน้ำพุนี้ จะว่าก็จะพึมพำมากไป แต่เปนที่เพลินใจนัก คนที่มาตามทางร้อนแลเหนื่อย ถึงที่นี่เข้าแล้วดูเหมือนจะหายเหนื่อย เรายังไม่อาบน้ำที่เขานี้อิก ลงเรือต่อไปดูพุที่ ๓ เมื่อไปถึงกลางทางพบน้ำพุไหลจากเขานั้นเอง ลงมาในแม่น้ำอิกพุ ๑ แต่เตี้ยอยู่ริมแม่น้ำ เปนน้ำพุเล็กมิใช่พุใหญ่ ไปถึงพุที่ ๓ แปลกไปกับพุที่ ๑ ที่ ๒ เปนลำธารตรงลงมา เปนน่าผาชันก้อนเดียว วัดแต่หลังน่าผาชันลงมาถึงที่ ๒ สูง ๔ วา เปนอ่างฦกลงไปอิก ๔ ศอกกว้าง ๖ วา แล้วเปนชานหลังมอ ข้างน่าริมน้ำอิกชั้น ๑ กว้าง ๒ วาสูงพ้นน้ำขึ้นไป ๘ ศอก กว้าง ๕ วา น้ำแห้งเสียหมดแล้ว พุนี้ถ้าหากว่าน้ำยังมีอยู่ ก็จะงามมากเหมือนกัน ด้วยไม่มีอะไรกีดกั้น ดูเหมือนหนึ่งเปนบรรได ๒ คั่น ตกลงมาจากพื้นแผ่นดินข้างบนลงถึงพื้นรับชั้น ๑ แล้วก็เทลงถึงน้ำทีเดียว ถ้าเวลาน้ำตกคงจะเห็นเปนครอบแก้ว ๒ ใบซ้อนกันอยู่เท่านั้น สมเด็จเจ้าพระยาท่านว่าท่านขึ้นมาเมื่อเดือน ๑๒ น้ำยังมีอยู่มาก งามนักเสียงดังสนั่นกว่าพุทั้งปวงหมด ที่นี่พระยาประภากรวงษ์ ได้เดินขึ้นไปดูยังพบน้ำอยู่ในลำธารเปนห้วง ๆ พอพบรอยตีนช้างใหญ่เข้าก็รีบกลับลงมาเสีย เรากลับมากินเข้าที่น่าน้ำพุที่ ๑ โมงครึ่ง เมื่อเช้านี้สมเด็จเจ้าพระยาท่านไปที่พลับพลาก่อนเราลงเรือ ครั้นลงเรือมาท่านก็ตามมาด้วย มาถึงเขาเราขึ้นไปดูน้ำพุที่ ๑ ที่ ๒ ท่านยังอุสาหตามขึ้นไปได้ทั้ง ๒ แห่งจนถึงยอด แล้วลุยน้ำเข้าไปในลำธารด้วย อัศจรรย์จริง ๆ คนหนุ่ม ๆ ขึ้นยังลำบากมาก แต่ดูท่านก็ยังว่องไวอยู่ เหมือนกับพวกเรา ๆ เหมือนกัน ไม่เห็นคลานเห็นเกาะเหมือนหนึ่งคนแก่ ๆ ทั้งปวงที่เด็กกว่ามาก เราอาบน้ำวันนี้สนุกนัก พร้อมกันทั้งเจ้าทั้งขุนนาง หยาดกับพร้อมก็อาบด้วย เจ้าคุณ๑๑๖ อยู่ข้างล่างไล่หลวงรัตนาญัปติ์๑๑๗ขึ้นไป เราหมายว่าจะเอาตัวเข้าไปถึงถ้ำจุบแจง กลิ้งตัวขึ้นไปไม่ไหว ถ้าเข้าไปได้โผล่ออกมาจากน้ำเห็นจะได้ฮาใหญ่ อาบอยู่นานสักครึ่งชั่วโมง จึงได้ขึ้นจากน้ำ จะกลับมาแล้วเรายังเสียดายอยู่ ต้องจอดเรือดูเสียอิกหน่่อยหนึ่ง บ่ายสมเด็จเจ้าพระยามาหาอิก ลาว่าพรุ่งนี้เช้าจะไปรับที่ราชบุรี พวกกะเหรี่ยงนายกองแลไพร่ เมืองกาญจนบุรีเมืองไทรโยค เมืองท่าขนุน เมืองท้องผาภูม แลที่อื่นๆ มาหาหลายสิบคน ได้แจกเสื้อแลเงินตามเคย แล้วลงเรือไปเที่ยว ในคลองแม่น้ำน้อยใต้พลับพลาลงไปหน่อยหนึ่ง ปากคลองแง้มข้างซ้ายมืออยู่กับเขาทีเดียว ที่ตกลงมาอยู่ในน้ำ เปนศิลาเกะ ๆ กะ ๆ ดูงามดีทีเดียว เข้าไปในนั้นดูเปนคลองแคบๆ กว้าง ๕ วา ๖ วา แต่มีหาดมีแก่งมีศิลาในน้ำเหมือนกับแม่น้ำใหญ่ ร่องที่ไปนั้นต้องเลี้ยวไปเลี้ยวมาถี่ขึ้นกว่าแม่น้ำใหญ่ น้ำก็เชี่ยวจัด ดูเปนเหมือนหนึ่งถ่ายกอปปี้ไปจากแม่น้ำใหญ่ทีเดียว ต้องเอาคนลงน้ำจูงเรือไปตลอด ย่ำค่ำครึ่งแล้วเรากลับมาถึงพลับพลา ยังมีกะเหรี่ยงหลายสิบคน เห็นจะเรือนร้อยมาคอยหาอยู่ มีของกำนันตามทำเนียมของกะเหรี่ยง มีเครื่องยาแลผ้าเสมียนละว้าแลเข้าไร่เปนต้น มีคนช่างพูดในหมู่พวกนั้นอยู่บ้าง ได้ไล่เลียงถึงธรรมเนียมกะเหรี่ยงต่าง ๆ นับปีนับเดือนนั้นเขานับกันด้วยไร่ ว่าเกิดเมื่อทำไร่โน่นเกิดเมื่อทำไร่นี่ ไม่รู้จักนับปีเดือนเลย ธรรมเนียมแต่งตัวผู้หญิง ถ้าเปนเด็ก ๆ ใช้เสื้อขาว ถ้ารุ่นสาวจวนจะแต่งงาน ฤๅแต่งงานแล้วใช้เสื้อแดง ถ้าแก่ ๆ จึงใช้เสื้อดำ มีผู้หญิง ๔ คน เราแจกแพรสีคนละแถบผ้าลายคนละผืน นอกนั้นก็ให้เงินแลเสื้อเหมือนกับพวกก่อนๆ กินเงินเข้าไปหลายชั่ง แล้วมีกะเหรี่ยงรำ แลเต้นไม้ตามธรรมเนียมของเขาอย่างเช่นเราว่ามาแล้วแต่ก่อน แต่เรื่องเต้นไม้นั้นดูเหมือนยังไม่ได้ว่า มีวิธีอยู่สองอย่าง ๆ หนึ่งเอาไม้ไผ่ ๒ ลำกางลง แล้วมีคนหกคนนั่งอยู่ข้างไม้ไผ่นั้น ข้างละ ๓ คน มีไม้รวกย่อม ๆ คู่ละอันถือทั้ง ๒ มือเรียงกันไป แยกมือเอาไม้รวกกระแทกลงกับไม้ไผ่ ๒ หนแล้ว เอามากระทบกันหน ๑ คนเต้นก็เต้นไปตามหว่างไม้ ที่กระทบกันให้ได้จังหวะไม้นั้นไม่ถูกตีน ถ้าผิดจังหวะไม้นั้นก็งับเอาตีน พอเจ็บ ๆ ได้บ้าง อิกอย่างหนึ่งนั้นยืนเข้าเปนสามมุมถือไม้คนละอัน กระทุ้งข้างนอกเสีย ๒ ที แล้วกระทุ้งรวมกันลงตรงกลางที ๑ คนที่เต้นคอยเอาตีนแหย่เข้าไปในที่ไม้กระทุ้งให้ถูกจังหวะ ถ้าผิดจังหวะก็เจ็บมากทีเดียว วันนี้ผู้หญิงเต้นมีพิณพาทย์กลองคล้าย ๆ เถิดเทิงแลฆ้องตี เแต่ได้ยินเพลงเดียว ไม่เห็นเปลี่ยนเลย ดีร้ายก็จะหมดทุนอยู่เท่านั้น ที่นี่มีที่หากินของชาวบ้านนี้ ในเวลาเรามาอย่างหนึ่ง เห็นจะมีกำไรมาก วันนี้เราแจกเงินฝีพายคนละ ๖ บาท พอเย็นลงก็ได้ข่าวว่าไปซื้อเหล้ากินสิ้น ๓ บาท สงไสยมันกินเข้าไปอย่างไรเปน ๓ บาท ได้ความว่าเล่าที่ขายราคา ๓ บาทนั้นเท่ากับที่กรุงเทพ ฯ สองสลึง เติมน้ำจนมีรศเปรี้ยว คนที่กิน ๓ บาทคนนี้ อยู่บางกอกกินได้ถึงแปดชาม นับถือกันว่ามีกำลังมาก มาที่นี่ ๓ บาทกินจึงแอ่พอสบาย อย่างนี้จึงเห็นว่าจะมีกำไรมาก ค่ำวันนี้เธอมอเมตเตอร ๗๙ อนึ่งได้ลองกินเข้าไร่กะเหรี่ยงที่เอามาให้ให้คุณท้าวแพหุง บอกว่าหุงถึงสามหม้อจึงได้การ แรกหุงอย่างเข้าตามธรรมเนียมเปียกเลอะไป ครั้นลองหุงอย่างเข้าเหนียวสวยเกินไป ต้องหุงอย่างกลาง กินก็เปนเข้าเหนียวกลาย ๆ ยางมากติดกันเปนก้อนไปหมด รศก็ดีอยู่ เคี้ยวหนืด ๆ เปนเข้าอย่างกลางครึ่ง ๆ เข้าเหนียวครึ่งหนึ่งเข้าเจ้าครึ่งหนึ่ง เขาว่าปลูกพร้อมกับทำไร่ทีเดียว เหมือนหนึ่งจะทำไร่แตงก็ทำไร่แตงด้วยโปรยเข้าด้วย พอเกี่ยวเข้าก็ได้ตัดแตง โรยปลูกในกอไผ่ก็เปน แต่ปลูกที่ลุ่มที่น้ำไม่ได้

  1. ๑๑๖. สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงษ์

  2. ๑๑๗. หลวงรัตนาญัปติ (พุ่ม)

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ