วันที่ ๑๐

วัน ๗ ๒ ค่ำเสด็จยายประทานดอกไม้มาอย่างหนึ่ง กลิ่นเหมือนดอกพุด เปนช่อ ๆ คล้ายดอกเทียนกิ่ง สีเหลืองเจือเขียวใบขนาดกลางเรียกดอกหนามแดง เวลาเช้า ๓ โมงเธอมอเมเตอ ๗๘ วันนี้ลงไปท่าน้ำวันกว่าทุกกัน ด้วยจะไปแต่งเรือขึ้นไปไทรโยค เพราะจะต้องอยู่ในเรือถึง ๙ วัน ๑๐ วัน เขียนหนังสือถึงท่านกลางด้วย ต้องว่าเมลหายไป พอเขียนหนังสือแล้วก็ได้รับหนังสือท่านกลาง ๒ ฉบับ ไม่มีข่าวอะไร มีแต่ว่าไฟไหม้สำเพงคนตายคนหนึ่ง กับว่าไหม้ที่หลังบ้านสัก ๒๐-๓๐ ตับจาก ได้ข่าวเทวาธิราช๙๒ค่อยยังชั่วแล้ว แต่ยังจับอยู่ ต้องเขียนหนังสือตอบอิกฉบับหนึ่ง กับจดหมายให้นายหมิวไปรับลูกหญิงเล็กออกมาราชบุรี ไม่ได้ทำเยอแนลเลยเวลากลางวัน อนึ่งยายบ๊วยญวน เป็นคนมีชื่ออยู่ในเมืองนี้มาหา ได้ให้เสื้อผู้ชายตัวหนึ่ง วันนี้หมอเกาแวนได้ไปที่ทุ่งนาคราช กลับมาบอกว่าเป็นแร่เหล็กทั้งนั้น ที่สีแดงนั้นเป็นด้วยสนิมเหล็ก ถ้าจะทำก็ทำได้ แต่ไม่มีที่ถ่านหินใกล้คงขาดทุนเป็นแน่ บ่าย ๕ โมงเกือบครึ่งลงเรือ ๔ สี่แจวไปเที่ยว ขึ้นที่ท่าวัดเหนือขี่ม้าเจ้าพระยามโนไมยไปตามทางที่เรียกว่าตลาด หนหางกว้างสัก ๑๐ ศอกถึงรั้วทั้งสองข้าง แต่ไม่เหมือนตลาดเมืองอื่น ทั้งสองข้างทางเห็นบ้านกั้นด้วยรั้วไม้รวกสูง ๆ ขายของอยู่ในเรือน มีเจ๊กมีญวนบ่อย ๆ สิ่งที่ขายนั้นเห็นมียาสูบแลเปนอย่างมากกว่าสิ่งอื่น ของเครื่องถ้วยชามหนังมีบ้างเล็กน้อย ของสดพริกนกเป็นพื้น มีศาลเจ้าก่อขึ้นใหม่แห่งหนึ่ง กับร้านขายเครื่องยาเครื่องของจีนทำใหม่ทีเดียวร้านหนึ่ง ไม่เห็นสนุกสิ่งไร ไปสัก ๘-๙ เส้นถึงเมืองเข้าประตูตรงศาลากลาง เห็นบ้านเจ้าเมือง แลศาลากลางตึกดินหลังเมืองกำแพงชำรุดมาก อ้อมไปออกประตูที่จะไปวัดใต้ แต่ไม่เลี้ยวลงไปทางวัดใต้ ด้วยเคยไปคราวก่อนทีหนึ่งแล้ว ครั้งนี้พระยากาญจนบุรีบอกว่าชำรุดรื้อลงทำใหม่ จึงอ้อมกลับมาทางเก่า ทางตั้งแต่ขึ้นไปจากตีนท่า จนถึงที่สุดทางกลับประมาณ ๑๒-๑๓ เส้นเท่านั้น เดินผ่านมาทางน่าป้อมกลางเมืองเห็นเปนเนินสูงกว่าพื้นดินราบมาก แลดูฦกลงไป อนึ่งเมื่อขึ้นมานั้นพบพระกรุงเทพ พวกนี้ ตามมานั่งคอยอยู่ที่ศาลาและพูดด้วยหน่อยหนึ่ง ครั้นกลับมาคราวนี้ แวะเข้าไปดูวัด ๆ นี้สมภารเธอธักษาดีจริง ๆ เตียนตลอดรอบบริเวณ มีต้นไม้เล็กน้อยเหมือนกับสวนฝรั่ง ขี่ม้าไปโดยรอบโบถเห็นโบถชำรุดมาก ได้สั่งให้พระยากาญจนบุรี เอาเงินส่วยในเมืองกาญจนบุรีซ่อมแซม ที่น่าโบถนั้นมีเก๋งยาวมีแต่ประตูไม่มีน่าต่าง ว่าเปนของยายโก๋๙๓ทำ แล้วกลับมาทางน่าโบถ ลงเรือมาหาสมเด็จกรมพระอยุดพูดอยู่กับท่านประมาณสัก ๑๕ มินิต เล่าถึงน้ำเชี่ยวเรื่องขึ้นมาเปนต้น กลับมาพลับพลาย่ำค่ำแล้ว รายวันของเราวันนี้มีน้อย แต่เรื่องเมืองกาญจนบุรียังมีอยู่มาก ในเมืองกาญจนบุรีนี้ เจ้าแผ่นดินในกรุงรัตนโกสินทรได้เสด็จมาทุกพระองค์ ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า จุฬาโลก เมื่อเถลิงถวัลยราชสมบัติแล้ว เสด็จมาถึง ๔ ครั้ง ครั้งพม่ายกทัพมา ๑๐๓๐๐๐ กรมพระราชังเสด็จออกมาตั้งค่ายรับอยู่ที่ลาดหญ้า เสด็จพระราชดำเนิน หนุนออกมาเมื่อจุลศักราช ๑๑๔๗ ปีมเสงสัปตศกครั้งหนึ่ง เสด็จออกมารับทัพพม่าที่เมืองไทรโยค ในปีมเมียอัฐศกจุลศักราช ๑๑๔๘ เสด็จพระราชดำเนินทางชลมารคตามลำแม่น้ำน้อยขึ้นไปถึงเมืองไทรโยค แล้วกลับทางเรือครั้งหนึ่ง ในคราวนี้ได้ทรงพระราชนิพนธ์นิราศไว้ฉบับหนึ่งเราได้อ่านนานมาแล้ว นิราศนั้นไม่เหมือนนิราศทั้งปวง ได้คัดได้ในแอบปินเด็กซที่ เมื่อปีมแมนพศกจุลศักราช ๑๑๔๙ เสด็จไปตีเมืองทวายทางแม่น้ำน้อย เสด็จขึ้นที่เมืองท่าตกั่วครั้งหนึ่ง ครั้งเมื่อจุลศักราช ๑๑๕๔ ปีชวดจัตวาศก เสด็จพระราชดำเนินหนุนทัพกรมพระราชวัง ออกไปเมืองทวายแล้วรับพระองค์เจ้าชี ซึ่งเปนกรมขุนรามินทรสุดา เสด็จพระราชดำเนินทางแม่น้ำน้อยนี้อิกครั้งหนึ่งรวมเปน ๔ ครั้ง พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาไลย แต่ยังเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรอยู่ ได้เป็นยุกรบัตรทัพครั้งไปตีเมืองทวาย แลตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกย์เสมอทุกครั้งทุกคราว คงจะได้เสด็จพระราชดำเนินทางนี้ ๔ คราวเท่ากับพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกย์ ด้วยท่านไม่เคยจากกันเลย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าได้เสด็จออกมาขัดทัพพม่าแต่ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาไลย ตั้งค่ายหลวงอยู่ตำบลลิ้นช้างใต้ค่ายหลวงเดี๋ยวนี้ลงไปหน่อยหนึ่ง ครั้งนั้นจุลศักราช ๑๑๘๒ ปีมโรงโทศก พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อยังเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกเธออยู่ เสด็จออกมารับครัวมอญ พร้อมด้วยกรมหลวงพิทักษ์มนตรี ครั้งนั้นพระชนม์พรรษาได้ ๑๓ ปีชวดอัฐศก จุลศักราช ๑๑๗๘ เสด็จพระราชดำเนินอิกครั้งหนึ่ง เมื่อปีฉลูสัปตศกจุลศักราช ๑๒๒๗ ครั้งนั้นเราอายุได้ ๑๓ ปีตามเสด็จมาด้วย ท่านรับสั่งว่า เรามาเมืองกาญจนบุรีอายุคราวเดียวกับพระชนมพรรษาเมื่อท่านได้เสด็จมา แล้วเรามาอิก ๒ ครั้งทั้งครั้งนี้รวมเปน ๓ ครั้งด้วยกัน ควรนับว่าเมืองกาญจนบุรีนี้เปนเมืองไชยภูมมงคลดี พระเจ้าแผ่นดินได้เสด็จมาทุกพระองค์ก็ประหลาดอยู่ ยกเสียแต่กรุงเก่ากับปากน้ำแล้วไม่มีเมืองอื่นจะเหมือน แต่เมืองซึ่งตั้งอยู่ที่ตำบลปากแพรกเดี๋ยวนี้ ไม่เปนทางพม่าข้าศึกเข้ามาเลย ถ้าโดยจะเดินกองทัพมา คงข้ามที่เขาชนไก่เมืองเดิม ตัดไปสุพรรณเข้ากรุงทีเดียว ถ้าจะลงทางล่างก็คงเข้าราชบุรี ไปเล่นสวนบางช้างสมุทสงคราม แต่ที่ปากแพรกนี้ เปนที่ค้าท่าขาย ด้วยเขาชนไก่เมืองเดิมนั้นขึ้นไปตั้งเหนือมาก มีแก่งถึงสองแก่งลูกค้าจะไปมาลำบาก จึงลงมาตั้งอยู่เสียที่ปากแพรกนี้ เปนทางไปมาแต่เมืองราชบุรีง่าย เมืองที่ตั้งก่อกำแพงไว้นี้อยู่ที่แม่น้ำสามแยกตรงทางแม่น้ำน้อย เหมือนหนึ่งจะคิดรับทางเรือ แต่กองทัพพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวยกมาครั้งนั้น ต้องส่งทัพน่าขึ้นไปตั้งอยู่ลาดหญ้ารับทางพม่าข้าศึก ทัพหลวงจึ่งตั้งอยู่ลิ้นช้างกาญจนบุรี เมืองกาญจนบุรีนี้แต่ก่อนมาก็เปนระเนียดไม้ ตลอดมาจนถึงพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จออกมาขัดทัพก็ยังเปนระเนียดไม้อยู่ ได้ให้มิศเตอร์ไปเยอ ไปวัดทำแผนที่มาดูมีสันถานเมืองนั้นรีโดยกว้าง ๕ เส้นยาว ๑๐ เส้น ๑๘ วา มีป้อมมุม ๔ ป้อม ป้อมย่านกลางด้านยาวตรงน่าเมืองทิศตวันตกเฉียงใต้มีป้อมใหญ่อยู่ตรงเนิน ด้านหลังมีป้อมเล็กตรงกันกับป้อมใหญ่ข้าม ๑ ป้อม ในป้อมเหล่านี้มีปืนบ้างไม่มีปืนบ้าง แต่ป้อมใหญ่นั้นมีครบที่ มีประตูใหญ่ด้านสกัดข้างละประตู ประตูด้านยาวข้างละ ๒ ประตู เปน ๖ ประตู ประตูลักช่องกุฏ ให้ป้อมสูญกลางลงไปด้านหน้าประตูหนึ่ง ด้านหลังประตู ๑ รวมเปนประตู ๘ ประตู กำแพงสูง ๘ ศอก ใบเสมาป้อมเชิงข้างในถมด้วยดิน ลาดสูง ๒ ศอก ซุ้มประตูหอรบ แต่พระยากาญจนบุรีบอกว่าเมืองนี้สร้างเร็วนัก ไม่มั่นคง อิฐที่ก่อกำแพงเผาไม่สุกโดยมาก เดี๋ยวนี้ก็ชำรุดหักพัง ประตูใหญ่ทลายประตูหนึ่งว่าถูกน้ำท่วมปีนี้ ราษฎรไม่ใครจะเข้าไปอยู่ในเมืองมากด้วยดอนนัก มีอยู่แต่ข้างกำแพงริมน้ำบ้าง นอกนั้นก็มีแต่เจ้าเมืองปลัดกรมการเข้าไปอยู่ในเมือง ถ้าคนอยู่เมืองกินน้ำบ่อก็สู้น้ำแม่น้ำไม่ได้ ต้องมาตักน้ำแม่น้ำกินทั้งนั้น เมืองกาญจนบุรีนี้ แต่เดิมเมื่อกรุงเก่าขึ้นกรมมหาดไทย ภายหลังมาจึงได้ยกมาขึ้นกระลาโหม เมื่อมีอาณเาเขตรทางตวันออกเขตรแดนเมืองราชบุรีใหม่ ทางพระแท่นดงรังเพียงห้วยขานางต่อแขวงสุพรรณที่เขาหลอกลวง ข้างเหนือคือเมืองศรีสวัสดิ์แลเมืองอุไทยธานี ข้างใต้ต่อแขวงเมืองราชบุรีคนละฝั่งกันกับคลองสำารอง ด่านที่มีสำคัญมีชื่ออยู่ด่านหนองไผ่ ตรงกับด่านโรงเข้เมืองราชบุรีมีขุนหมื่นสองคน ด่านมะขามเตี้ยขุนหมื่น ๔ ด่านลำเภาไพร่ ๖ ด่านช่องเขาหนีบไพร่ ๖ ด่านลำทรายขุนหมื่น ๔ ด่านโป่งสแกขุนหมื่นไพร่ ๒๖ ที่ด่านไม่สำคัญมีอิกหลาย อยู่ในบังคับพระพลสงคราม๙๔ทั้งสิ้น มีบ้านคนอยู่มาก มีชื่อบ้านหนองขาวบ้านทุ่งสมอ บ้านห้วยตะพาน บ้านหนองแดง บ้านพวน บ้านน้อย บ้านดอนกระดี เปนบ้านไทยมาก บ้านลาดหญ้า บ้านหนองบัว บ้านเกาะกร่าง บ้านศีศะหิน บ่านท่ามะขาม บ้านอำเภอเมือง บ้านเขาตก บ้านท่าพ่อ บ้านเขาถ้ำ บ้านสีโละ บ้านใหม่ บ้านสำรอง บ้านเหล่านี้มีจีนมาก ทำไร่ยาบุหรี่ บ้านหนองหญ้า บ้านแก่งหลวง บ้านยางเกาะ บ้านกลอนโด บ้านท่าตะคร้อ บ้านจรเข้เผือก บ้านห้วยแมงลัก ในบ้านเหล่านี้มีคนไทยมาก เมืองขึ้นในลำแม่น้ำแควใหญ่ มีเมืองศรีสวัสดิ์เปนเมืองใหญ่ มีละว้ากะเหรี่ยงแลมีข่าสอูดอิกพวกหนึ่ง พูดภาษาหนี่งต่างหาก ประพฤติตัวเหมือนกะเหรี่ยงแต่ไม่โพกผ้า เมืองขึ้นที่เปนมอญ ๗ เมือง แต่เจ้าเมืองไม่ได้อยู่ มีแต่กองด่านขึ้นไปลาดตระเวน ตัวเจ้าเมืองกรมการลงไปอยู่ที่โพธารามแขวงเมืองราชบุรี คือเมืองสมิงคลบุรี เรียกว่า เมืองสิงห์ เมืองลุ่มสุ่ม เมืองท่าตะกั่ว เมืองไทรโยค เมืองท่าขนุน เมืองท้องผาภูม ที่เมืองท้องผาภูมนี้เปนด่านชั้นนอก เมือง ๖ เมืองนี้เปนเมืองอยู่ในลำแม่น้ำน้อย เมืองท่ากระดานอยู่ในแควใหญ่ อิกเมืองหนึ่งเปน ๗ เมือง กะเหรี่ยงนั้นมีเปนกองตั้งอยู่เปนตำบล ๆ ที่วังกะตำบล ๑ นาสวนตำบล ๑ ที่อื่น ๆ อิกหลายตำบล ในที่นาสวนนั้นจีนเขยสู่อยู่มาก จีนเขยสู่เหล่านี้ สักข้อมือเสียส่วยปีละ ๖ บาท คนเลขคงเมืองกาญจนบุรีอยู่ใน ๓๕๐ เศษ มีกองส่วนผึ้งส่วยเงินขึ้นพระยาสุรเสนา ๓๐๐ เศษ ส่วยน้ำรักขึ้นกรมพระกระลาโหมเล็กน้อย ละว้าข่าสอูดเมืองศรีสวัสดิ์ประมาณ ๑๒๐๐ คน มอญ ๗ เมืองอยู่ใน ๓๕๐ เศษ ส่วยทอง ๗ กอง คนอยู่ใน ๗๐ เศษ ส่วยวังน่ามีบ้านเล็กน้อย คนพลเมืองพระยากาญจนบุรีเขาประมาณว่าสักหมื่นเศษ ในเมืองกาญจนบุรีนี้แต่ก่อนเปนเมืองน่าศึก ด้วยเขตรแตนข้างตวันตกนั้นต่อกันกับเขตรแดนเมืองมฤททวาย พม่ายกเข้าตีอยู่เสมอ เมืองราชบุรีเมืองกาญจนบุรีนี้ แต่เดิมไม่มีคนอยู่ข้างฝั่งตวันตกเลย ด้วยพม่ามักมาลาดตระเวนทีละ ๒๐ คน ๓๐ คน ถ้าไทยพลัดมาข้างฝ่ายตวันตกน้อยคนพม่าก็จับไป ถ้าพม่าน้อยไทยก็จับมา แต่เปนดังนี้จนตลอดเมืองมฤทเมืองทวายเสียแก่อังกฤษ จึงได้ขาดข้าศึกแก่กันแลกัน ไทยจึงได้ข้ามมาอยู่ฝั่งตวันตกได้ แต่ถึงดังนั้นในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาไลย แลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พม่าตองซู่ยังเข้ามาในอาณาเขตรเราใม่ได้ ถ้าพลัดเข้ามา ๔-๕ คนก็คงคะจับขังคุกเสียสิ้น ถือว่าเปนคนสอดแนม ตกมาจนแผ่นดินทูลกระหม่อมทำหนังสือสัญญากับอังกฤษแล้ว พวกตองซู่จึงได้มีมาค้าขาย แต่ยังไม่ดกมากเหมือนแผ่นดินปัจจุบันนี้ ในแผ่นดินปัจจุบันนี้ ไม่แต่พม่าเปนสัปเยคต์อังกฤษ ถึงพม่าอยู่ในบังคับพม่าแท้ ๆ แลพวกเงี้ยวยางแดง ก็ปลอมเข้ามาเปนสัปเยคต์อังกฤษมาก เดี๋ยวนี้แทบจะทั่วไปทั้งหัวเมืองเหนือ แลตวันตกตวันออกแล้ว ถึงในกรุงเราไม่ได้ออกจากวังพันพบตองซู่เลย คนพวกนี้มักจะเปนคนชั่วโดยมาก ใจดุร้ายเปนยิบซี่ของเมืองไทย วานซืนนี้ฆ่าคนเสียที่เมืองสุพรรณเสีย ๖คนเจ็บ ๓ คน ที่เมืองเพชรบุรีเสียคน ๑ สองคน ไม่เห็นคนจะชั่วโกงเหมือนหนึ่งคนพวกนี้เลย พระพลสงครามบอกว่าในแม่น้ำน้อยนี้ เราขึ้นไปคงจะพบตองซู่ล่องลงมาบ้างเปนแน่ เขาว่าเดินบกมาถึงเมืองไทรโยค แล้วตัดแพล่องลงมาขึ้นที่เมืองกาญจนบุรี เขาได้ขึ้นมาสองสามเที่ยวแล้วพบมากไม่ได้ขาดเลย ตั้งแต่ตั้งโรงโปลิศที่เชิงเขาแดนขึ้นแล้ว พวกตองซู่ที่ทำร้ายคนในเมืองกาญจนบุรีนั้นน้อยลง อนึ่งเราได้ผัดไว้แต่ก่อนว่าจะสืบเรี่องฝาง ท่าที่ฝางลงนั้น มักจะลงทางหนองบัวท่ามะขามมากกว่าที่อื่น เปนที่ถูกค้าไปรับซื้อกันที่นั่น ที่ท่าบ้านยื่นแฉเมืองศรีสวัสดิ์แลหัวเมืองมอญ ๗ เมืองมีพวกมอญ ละว้าข่าสอูดตัดฝางบรรทุกแพล่องลงมาขายเมืองกาญจนบุรีบ้าง ล่องลงไปขายถึงเมืองราชบุรีบ้าง ราคาฝาง ๓ ดุ้นหนักหาบ ๑ เปนฝางขนาดใหญ่ราคา ๑๖ ตำลึง ฝาง ๔ ดุ้นหนักหาบ ๑ เปนอย่างกลางราคา ๙ ตำลึง ฝาง ๕ ดุ้น ๖ ดุ้นหนักหาบหนึ่ง ร้อยดุ้นเปนราคา ๖ ตำลึง ยังฝางย่อมดุ้นเล็กน้อยไม่ได้นับเปนดุ้นขาย ขายกันหาบละบาท ราคานี้เปนราคากลาง ปี ๑ ฝางออกเมืองกาญจนบุรีใหญ่เล็กประมาณสองแสนดุ้นเศษเสมอเปนธรรมดา ถ้าเวลาราคาฝางแพงก็ออกมากขึ้น ถ้าถูกก็ออกน้อยลง ค่ำวันนี้ไม่สู้สบายนอนหัวค่ำกว่าทุกวัน พอ ๔ ทุ่มเศษเข้าที่นอน เห็นปรอทยังอยู่ ๘๐

  1. ๙๒. พระยาไชยบุรินทร์ (เทวหนึ่ง)

  2. ๙๓. ยายโก๋ เปนชาวเมืองกาญจนบุรี

  3. ๙๔. พระพลสงคราม

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ