วันที่ ๑๕

วัน ๕ ๑๓ ๒ ค่ำ วันนี้เช้าออกมาพบพระองค์สายได้นกยูงมาตัวหนึ่ง แต่เปนนกยูงหางสั้น เธอให้บ่าวไปยิงในป่าตัวไม่ได้ยิงเอง อิก ๕ มินิตจะโมงเช้าออกเรือไป เธอมอเมตเตอ ๗๖ สองโมง ๓ ส่วนพ้นระยะทางที่เราได้ขึ้นไปแล้วแต่เป็นวานนี้ มีแก่งน้ำตื้นเหมือนแก่งทั้งปวง วันนี้เราพบนกยูงถึง ๒ คราว ได้ยินเสียงร้องบนหาด ครั้นหายเข้าไปขึ้นบก พอย่องเข้าไปจวนจะพ้นต้นตะไคร้น้ำก็บินหนีไป แต่อย่างนี้หลายครั้งหลายคราวมาแล้ว ที่จริงก็สนุกอยู่ แต่ถ้าได้ตัวจะสนุกขี้นมาก วันนี้จับอยู่ที่ต้นไม้ริมแม่น้ำก็ตัวหนึ่งฝีพายเห็นแต่บินหนีไปเสีย ที่เขาหมาฝั่งข้างขวามือมีช่องอยู่ริมน้ำสูงพ้นน้ำขึ้นไปสักศอกเศษ มีช่องกว้างประมาณสักศอกคืบ สูงศอก ๑ เปนโพรงฦกลงไปเปนน้ำพุออกทางนั้นอ่อนไม่สู้แรงนัก ที่ในโพรงนั้นพื้นล่างเปนทราย ที่ปากช่องทางน้ำนั้นจับเปนตะใคร่น้ำหนาอ่อน ๆ เหมือนดิน น้ำนั้นรศกร่อยอุ่น ๆ เหมือนน้ำแม่น้ำในเวลาเช้า เขาหมาที่ตรงนั้นศิลาเปนแท่นทึบเปนหลืบเปนโพรงเหมือนถ้ำมาก ที่ตรงกันข้ามมีมอญตัดไม้ปลูกกระท่อมอยู่ริมน้ำ ถามชื่อตำบลบอกว่าน่าเขาหมาเขากวาง ต่อไปอิกหน่อยหนึ่งก็เห็นเขากวางลงมาริมน้ำเปนเทือกยาว เปนโพรงห้อยย้อยไปบ้างเปนศิลาก้อน ๆ บ้าง ดังเช่นเขาว่ากันว่าเหมือนอ่างปลาเงินอ่างปลาทอง ต่อไปอิกหน่อยหนึ่งมีศิลาอยู่ในน้ำ ก้อนอยู่ข้างจะเขื่อง อยู่ห่างจากฝั่งมีเสาหลักเขียนหนังสือไว้แต่อ่านยากเต็มที ไม่ถูกแกรมมาด้วยเปนมอญพูดไทย แค่พูดเข้าใจความได้โดยอนุมาณว่าเปนที่พรมแดนเมืองท่าตะกั่ว กับเมืองลุ่มสุ่มต่อกัน วันนี้สุนักข์กับกวางไล่กันงาม ๆ หลายคราว ถ้าเขากวางไปอยู่ข้างน่า เขาสุนักข์คงมาอยู่ข้างหลัง เขาสุนักข์อยู่ข้างน่า เขากลางไปอยู่ข้างหลัง ด้วยเขาทั้งสองเทือกนี้ตั้งอยู่ริมน้ำคนละฟาก เขาสุนักข์อยู่ข้างขวามือ เขากวางอยู่ช้างซ้ายมือ แม่น้ำคดไปคดมา เลี้ยวทีหนึ่งก็กลับกันทีหนึ่ง คอยดูจับอยู่เสมอ สนุกแต่เวลาที่เห็นนั้น มีศิลาลงมาริมน้ำทุกคราว แลดูภูเขานั้นก็คงจะเปลี่ยนท่าเปลี่ยนรูปทุกคราวแต่พอสังเกตไต้ แต่ริมน้ำนั้นเปลี่ยนกันทุกคราวไม่เหมือนกันเลย งามไปละคนคนละอย่าง ที่ยอดกวางในเลี้ยวหนึ่ง ดูเหมือนจะพลัดตกลงมาแต่ตั้งอยู่ดี บางทีก็เปนหินก้อนใหญ่ริมน้ำ เปนเพิงบ้างเปนน่าผาตรงบ้างต่าง ๆ กันหลายอย่าง แต่เปนอย่างนี้เห็นจะสัก ๘ เที่ยว ๙ เที่ยว ๔ โมงเช้าแดดร้อนจัดเราขึ้นอาไศรยที่ฉง้อนศิลา เปนที่ลาดไถลบ้าง เปนฉง้อนบ้างพออาไศรยนั่งได้อย่างแคบ ๆ เห็นเขาล้อมเกือบจะรอบ แต่มิใช่เขาอะไร หมากวางนั้นเอง ลองยิงปืน เวสต์ลีรีเชิด เอาใบไม้เปนเป้ากับแผ่นดินยิงข้ามแม่น้ำลองดูหลายนัด เสียงปืนดังตังไปแล้วยังครืน ๆ อยู่นานเหมือนฟ้าร้อง กินเข้าต้มที่ศิลาที่เขาลาด เอียงอยู่ข้างหนึ่ง เขาจัดที่ให้เราขึ้นไปนั่งข้างบน แต่เห็นน้ำคว่ำเปนพระประธานอยู่ไม่มีความศุข จึงได้เกณฑ์ให้กาพย์กับเทวัญขึ้นไปนั่ง เราเปลี่ยนเอาที่กลาง พอเรือมาถึงลงเรือแหวดต่อไป เพราะเยอแนลค้างนัก กลัวจะเปนดินพอกหางหมู ให้เทวัญจดเยอแนลไปตามทาง ออกเรือไปแล้วยังนาน กว่าจะพ้นหมากับกวางไล่กัน ต่อไปอิกเห็นเขาช้างอ่อน เขายุ้งเข้า ถึงพุไพรเที่ยง ๑๕ มินิต ในลำแม่น้ำที่เราเห็น มีต้นละหุ่งเปนดงใหญ่บ่อย ๆ ที่พ้นพุไพรมานี่หน่อยหนึ่งก็มี ทีล่วงมาแล้วหลายแห่ง ต่อขึ้นไปจนกระทั่งถึงพลับพลาก็เห็นมีมาก ถ้ามีผู้ต้องการทำเอาเม็ดไปขาย ก็เห็นจะได้มาก คงจะมีขึ้นอิกตลอดทาง ถามดูเขาว่ามอญเก็บไปบ้างก็มี ว่าราคาถึงเกวียนละ ๗๐ บาท ๘๐ บาท เปนเองไม่ต้องมีใครช่วยเหลืออะไรเลย วันนี้เห็นมีหินสองข้างน้ำบ้างบางแห่ง ปรอทในเรือขึ้น ๙๐ แล้วอยู่ข้างละร้อน เราให้จอดเรือที่วังใหญ่ค่อยร่มหน่อยหนึ่ง วันนี้ตั้งแต่ลงเรือแหวดมา ผ่าแก่งน้ำเชี่ยวมา ๓ แห่ง จอดเรือเที่ยง ๕๖ ที่วังใหญ่นี้ เห็นเปนแม่น้ำกว้างกว่าทุกแห่ง ไม่มีอะไรรกเรี้ยวในกลางน้ำ คอยเรือเหลืองไม่ใคร่จะมาได้ เห็นจะปล้ำตัวมาไม่ค่อยจะไหวที่แก่งน้ำเชี่ยว ๓ แห่ง บ่ายโมงกับ ๔๘ จึงได้ลงเรือเหลือง ปรอทก็ ๙๐ เหมือนกัน แต่เห็นจะเปนด้วยปิดน่าต่างอุดอู้นัก ถึงวังกร่างบ่าย ๒ โมง ๕ มินิต น้ำที่ตรงนั้นตื้นเชี่ยว เรือระกิ่งไม้ข้างขวามือ เรือทหารโรยลูกมะพร้าวลงมาก็ไม่ลงมาถึงเรือ หัวเรือหันกลับแทงลงมา กลับน่าเปนท้ายต้องกรานถ่อไว้ จนจับเชือกได้แล้ว จึงค่อยเหนี่ยวขึ้นไปช่วยถ่อกรานขึ้นไปจนหัวเรือตรง ตกลงเบนต้องหมุนเรือเสียรอบหนึ่ง เบ็ดเสร็จด้วยกัน ๖ มินิต จึงได้ไปได้ ไปถึงที่ทับตอง บ่าย ๓ โมง ๑๕ มินิต เกือบจะได้หมุนอิกรอบหนึ่ง แต่น้ำที่นี่ฦกมากเชี่ยวจัด ต้องเอาเรือทหารขึ้นไปจอดไว้ข้างน่า แล้วเอาลูกมะพร้าวผูกเชือกโรยลงมาพอถึงเรือที่เรือจับไว้ แล้วค่อยถ่อขึ้นไป เชือกนั้นเอาคนลงรั้งไว้ข้างน่า พอไม่ให้หัวเรือเบน ถ่อขึ้นไปพอถึงที่เรือโยงเชือก ก็ต้องเอาถ่อกรานเรือรับไว้พอให้อยู่ แล้วเรือทหารลำข้างน่าโรยเชือกมาอิก จับเชือกได้แล้วถ่อพยุงขึ้นไปดังนี้ทุกตอน ๆ ครั้นจะให้เรือทหารจับเชือกติดกันไปทีเดียว ก็พายไมไหว ด้วยเชือกตกท้องช้างลงไปในน้ำหนักนัก แต่เรือทหารเปล่า ๆ ก็เต็มพายอยู่แล้ว แต่ที่วุ่นขลุกขลักดังนี้ มิใช่จะเปนทั่วไป แต่เรือเราลำเดียวด้วยใหญ่เหลือเกิน หนาหนักแจวไม่ค่อยจะขึ้น เรืออื่นเขาสาวพวนบ้าง แจวขึ้นไปเปล่า ๆ บ้าง ถ่อสองสามเล่มบ้างก็ขึ้นไปได้ หยุดคราวหนึ่งหลาย ๆ มินิต กว่าจะส่งเชือกกันได้บางทีก็ถึง ๑๐ มินิต ทางเดินจึงได้ช้าเกินตำราไป ครั้นเราจะไม่มาในเรือเหลืองนี้เล่า เห็นว่าเรือเหลืองจะต้องหยุดเสียแต่หลายวันมาแล้ว ช้าก็ต้องทนเอาเพราะจะหาความศุข เหมือนอย่างกับจากเรือนมาอยู่หลังหนึ่ง ถ้าลงเรือแหวดจะเร็วขึ้นอีกหลายชั่วโมง ที่พันตองนี้ แลเห็นเขาท่าตะกั่วอยู่ข้างน่า น้ำเชี่ยวเปนสองตอน ตอนหลังแต่หยุด ๆ ไป ๆ อยู่ถึง ๔๕ มินิตจึงได้พ้นน้ำเชี่ยว พอพ้นพันตองมาหน่อยหนึ่ง ก็ถึงแก่งสารวัด เฉภาะอยู่ตรงหัวเลี้ยวเปนข้อศอก ที่ฝั่งข้างท้องคุ้งซ้ายมือเปนดินยื่นออกมาจากฝั่ง มีต้นตะไคร้น้ำ ต่อออกมาเปนหินดาดราบเสมอพอพ้นน้ำแล้วมีก้อนหินอยู่ในน้ำ ขวางมาตามแม่น้ำอิกเปนเทือกกัน ที่สูงพ้นน้ำ ๓ ก้อน ก้อนเล็กอยู่ไกล้หินดาดก้อนหนึ่ง ที่กลางเยื้องขึ้นมาหน่อยหนึ่ง อิกก้อนหนึ่งแล้วอยู่ใกล้กับร่องน้ำ ที่เรือเดินอิกก้อนหนึ่ง สูงพ้นน้ำมาก ต่อก้อนใหญ่นั้นออกมา มีก้อนใหญ่อยู่ในน้ำต่ำกว่าหลังน้ำอยู่เห็นจะสักคืบเศษ อยู่ริมร่องทีเดียว ทำให้น่ากลัวขึ้น ในระหว่างหินก้อนนั้นกับฝั่ง ห่างกันประมาณ ๕ ศอก ๖ ศอก เฉภาะลำเรือขึ้นมา เมื่อเรือเราขึ้นมานั้น ต้องโยงเชือกไว้ที่หัวเรือ ให้คนฉุดเส้นหนึ่ง แล้วก็สาวพวนขึ้นมา มีคนลงยืนในน้ำ คอยประคองเรือ เมื่อเรือเข้ามาถึงระหว่างช่องแก่งนั้น เก๋งข้างขวามือระต้นตะไคร้น้ำ หินข้างซ้ายมือเกือบจะครู่กับฝีข้างเรือทีเดียว ติดจะตูบิค หอมาถึงกลางลำ ฉุดข้างหัวเรือเบนเข้าตลิ่งไปหน่อยหนึ่ง ท้ายเรือเกือบจะฟัดหิน สาวข้างท้ายเรือมาหน่อยหนึ่ง พอให้พ้นหินข้างหลัง น่าเรือจะไปฟัดข้างน่า อยู่ข้างจะลำบากสักหน่อยหนึ่ง แต่ประเดี๋ยวเดียวสัก ๒ มินิต ๓ มินิตก็พ้น น้ำเหนือแก่งใต้แก่งไม่สู้เชี่ยวนัก เชี่ยวอยู่เฉภาะที่ตรงแก่ง เรือเราไม่เห็นน่ากลัวอะไร มีคนคอยพยุงนับสิบนับร้อย แต่เรือทั้งปวงจะลำบากบ้าง แต่ถึงดังนั้น ขาขึ้นดูไม่สู้น่ากลัวนัก ด้วยแลเห็นมาแต่ไกลพอระวังได้ แต่ขาลงถ้ารู้ตัวแล้วก็ไม่เปนไร ถ้าเผลอไม่รู้ว่าแก่งสารวัดอยู่ที่นั่นแล้วคงลงแก่งเปนแน่ เพราะอยู่ตรงหัวเลี้ยว เรือมาไม่แลเห็นแก่งเลย พอแลเห็นก็โดนโป้งทีเดียว แต่เขาว่าว่าร่องริมตลิ่งนี้ พึ่งเปนปีนี้ แต่เดิมเดินร่องกลางว่ามากกว่าเดี๋ยวนี้ บางคนว่าแก่งหลวงน่ากลัวกว่านี้ บางคนว่าแก่งนี้น่ากลัวกว่าแก่งหลวง แต่เราไม่รู้ที่จะตัดสินว่ากระไร ด้วยเคยมาที่แก่งหลวงถึง ๓ หนก็จริงอยู่ แต่ไม่เคยข้ามแก่งทางเรือเลยสักคราวเดียว วันนี้ฝีพายตกน้ำอิก ๓ หน ๆ ที่สุด หลวงอุดมร้องว่ามันไม่หนาวก็ให้หมั่นตกไปเถิด วันนี้ค่อยเชื่องเข้าไปจับถ่อบ้างแต่ไม่ขึ้นกราบเลย ถ่อก็ไม่แขงแรงเหมือนแต่ก่อน แต่เสียงกระเหม่นมาสิพ่อ ๆ ดังขึ้น ถ้าถึงถ่อแล้ว ให้คนถ่อเติมทุกที ท้ายเมืองท่าตะกั่วฝั่งข้างซ้ายมือมีบ้านกะเหรี่ยงแต่ไม่แลเห็นเรือน เห็นจะตั้งลึกเข้าไป เห็นแต่กระเหรี่ยงผู้หญิงผู้ชายเด็กผู้ใหญ่ออกมายืนอยู่ที่ท่าน่าบ้าน ประมาณ ๖ คน ๗ กน ที่ตลิ่งต่ำน่าบ้านนั้นทำไร่ยายาวอยู่ แต่เขาว่าไม่ซื้อขายใคร เปนแต่ทำพอใช้ หั่นเส้นหยาบทีเดียว พอย่ำค่ำตรงแต่ยังสว่างดีอยู่ ถึงน่าเมือง เห็นต้นมะพร้าวหลายต้น ต้นมะขามบ้าง ต้นมะม่วงก็มี ที่ริมน้ำนั้นต้นละหุ่งเปนดงใหญ่ ไม่แลเห็นอะไร เขาว่ามีเรือนอยู่ ๔ หลัง ๕ หลัง เหนือเมืองมาหน่อยหนึ่ง ฝั่งข้างขวามือนั้นเอง มีทุ่นไม้ไผ่ หมายศิลามีอยู่ในน้ำ เรือมาตามฝั่งซ้าย ถึงพลับพลาเหนือค่าย ถ่ายเสบียงตรงแก่งอีแจะ เวลาค่ำแล้วสามส่วน วันนี้ไม่ต้องเวิกอะไรในการที่จะเอาเรือเข้าจอดได้เร็ว วันนิี้ทางไกลเบ็ดเสร็จด้วยกันมาอยู่ในเกือบ ๑๒ ชั่วโมง ทั้งหยุดทั้งพักออกไปนั่งอยู่น่าพลับพลา คุณสุรวงษ์เอาปลามาให้ดู ว่าไปลงอวนที่วังสดึง ได้ปลาอีชุบตัวหนึ่ง วัดดูยาว ๓ ศอก กว้างศอกหนึ่งเปนปลาหนังหนาไม่มีเกล็ด เปนปลาใหญ่ในแม่น้ำนี้ ต้องกะเกณฑ์ให้มิศเตอร์ไปเยอสตฟ์ ไปไว้มิวเซียม ต้องทำอยู่ ๗ ทุ่มจึงได้แล้ว ได้ปลาลึงค์อิก ๕๐ ตัว ยาวศอกคืบ ๖ นิ้ว กว้างคืบ ๑ คุณสุรวงษ์แจกทั่วกัน เธอว่ามาคราวก่อน เธอลงไม่ได้ปลาใหญ่เลย ได้แต่ปลาเล็ก ๆ คราวนี้เปนคราวดีทีเดียว ได้ปลาใหญ่ ๆ มาก พระยากาญจนบุรีพากะเหรี่ยงนายกอง หลวงพิทักษ์บรรพต๑๑๐ แลพวกกระเหรี่ยงอิกหลายคนมาหา ให้เสือเหมือนหลวงพิทักษ์ไพรวันนายกองคนก่อน พวกที่มาด้วยนั้น ก็ให้เงินเฟื้องเงินสลึง กระเหรี่ยงพวกนี้ เดิมมาแต่บ้านมองที้ทางวันหนึ่ง กับเห็นพระยากาญจนบุรี พระพลเขาเหนื่อยมาก ต้องเพิ่มของให้อิก พระยากาญจนบุรี เสื้อเข้มขาบริ้วดี ผ้าม่วงอย่างดีผืนหนึ่ง พระพลเสื้ออัตลัดดอกลาย ผ้าม่วงอย่างกลางผืนหนึ่ง แลพระท่าตะกั่ว๑๑๑ กรมการ ที่ทำพลับพลาก็แจกเสื้อเหมือนทุกคน แล้วดูกะเหรี่ยงรำแลเป่าแพน ร้องเพลงดูก็ไม่ผิดกันกับพอกแพนแลเป่าแพนนัก รำอย่างป่า ๆ ใครก็รำได้ ไม่ต้องมีครูหัด แต่พวกเขาเองรำได้บางคน ถ้าเปนคนไม่เคยรำ ก็รำไม่เปนเลย ปล้ำมวยด้วยอิก ๒ คู่ ตาหลวงถูกกาพย์ยอออกรำเอง ขยับจะปล้ำมวยเสียอิกแต่ห้ามไว้ ให้รางวัลพอสมควร ๕ ทุ่มครึ่งแล้ว ตูเล็ดหาวนอนเต็มที พลับพลาหันหน้าระหว่างเหนือ แลตวันตกเฉียงเหนือ เวลา ๕ ทุ่มครึ่งปรอท ๗๙ เข้านอน.

  1. ๑๑๐. หลวงพิทักษ์บรรพต (กะเหรี่ยงนายกอง)

  2. ๑๑๑. พระชินดิฐบดี ผู้ว่าราชการเมืองท่าตะกั่ว

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ