วันที่ ๑๓

วัน ๓ ๑๑ ๒ ค่ำ ออกจากบ้านกลอนโดเมื่อวานนี้ ลืมบอกระยะบ้านจึงมาไว้น่าเยอแนลวันนี้ ต่อกลอนโดไปนั้นบ้านท่าตะคร้อ อยู่ฝั่งข้างซ้ายมือแล้วบ้านจรเข้มีทั้งสองข้าง แล้วต่อไปท่าโป่งท่าสำเภาอยู่ข้างขวามือทั้งสองบ้าน ต่อขึ้นไปมีบ้านที่คุ้งข้างซ้ายมือแต่ไม่รู้ว่าชื่ออะไร ขึ้นไปอิกข้างซ้ายมือตาลสามต้น บ้านนาหมื่นไชย แลถึงห้วยแมงลัก ในห้วยนั้นเขาว่ามีศิลายอนที่ใช้เข้ายา ข้างซ้ายมือบ้านห้วยแมงลัก แล้วถึงบ้านวังหมึกที่พักเมื่อคืนวานนี้ อนึ่งตรงน่าพลับพบาวังหมึกข้ามนั้น แลเห็นเขาสัพยา ท่านเล็กไปเช้าวันนี้ว่าใกล้ทีเดียว ไม่ถึงวังสราญรมย์เข้ามาในวัง ว่ามีรอยหมูรอยเนื้อมากไก่เถื่อนก็ชุม เราไปยิงไก่ได้ตัวหนึ่ง พอรู้ว่าออกเรือเสีย ก็รีบมา ๆ วันนี้บ้านท่ามะกรูดแล้วบ้านหลวงทิพปักเลนอยู่ฝั่งข้างขวาทั้งสองบ้าน ต่อไปบ้านแก่งไผ่ข้างซ้ายมือแล้ว ๆ ต่อไปท่าปราสาท เมืองสิงห์อยู่ข้างขวามีอ แล้วถึงแก่งแม่กระบานที่นั้นเขาว่ามีศิลาก้อนกลม ๆ อยู่ใต้น้ำ แต่น้ำมากไม่เห็น ต่อไปก็เปนแต่แก่งน้ำตื้นเชี่ยวปร๋อ แล้วถึงแก่งสองพี่น้อง ถึงที่พลับพลาพักเขาสองพี่น้อง เวลาเช้าวันนี้ เราตื่นนอนแต่ย่ำรุ่งเหมือนอย่างเช่นเคย พอสามส่วนได้ลงเรือ แต่วันนี้ไม่หนาวมากนักปรอทเพียง ๗๕ ไปเท่าใดก็ไม่รู้แน่พบหลักก็เลอะเปื้อนไป เมื่อไปได้ ๓๗ มินิตนั้นพบหลัก ๑๕๐๐ ครั้นไปอิกจนเวลา ๒ โมงครึ่งพบหลัก ๑๐๐ ไม่รู้ว่าเรื่องราวเปนกระไรกัน จะกำหนดในเยอแนลด้วยระยะเส้นนั้นเห็นจะเอาแน่ไม่ได้ คนที่จะอ่านเยอแนลแล้วขึ้นมาต่อไป ก็เห็นจะไม่มีใครมาวัดสอบ ถ้าจะว่าก็จะเหลวหนักไป กำหนดเอาแต่เพียงว่าเรือเดินตั้งแต่นั่นถึงนั้นเพียงเท่านั้นโมงก็เห็นจะดีอยู่แล้ว รู้เปนแน่ ผู้ที่จะมาต่อไปคงจะไม่มีใครเดินช้ากว่าที่เรามานี้ เข้าใจได้ว่าเปนอย่างช้าที่สุด มีน้ำเชี่ยวแก่อยู่ในตอนนี้ ๒ แห่ง มีศิลาเปนมอเขาอยู่ริมน้ำเปนตอน ๆ กันไป โมง ๑ กับ ๕๐ มินิตรถึงท่ามะกรูด พบคนลงมาอาบน้ำอยู่ ๖ คน ถามว่าชาวบ้านนี้ฤๅ เขาบอกว่ามาแต่ลาดหญ้าตามทางบก เอาเข้ามาส่งคนทำงาน รยะทางวันเดียวก็ถึง ที่นั้นไม่มีน้ำเชี่ยวมาก มีเกาะอยู่กลางข้างที่เราไปน้ำต่ำ ข้างเกาะอิกข้างหนึ่งนั้น ดูน้ำสูงกว่าข้างที่เราไป ๒ โมงเศษเล็กน้อย ถึงบ้านหลวงทิพปักเลน แต่ถามชาวบ้านร้องบอกว่าบ้านปากกิเลน ที่เรียกว่าปักเลนนั้น เขียนตามแผนที่ มีเรือนหลายหลัง ชาวบ้านมายืนอยู่บ้าง ข้างที่ตีนท่าต่อไปอิกหน่อยหนึ่ง เห็นลำน้ำตันดูเหมือนจะสุดอยู่เพียงเท่านั้นจริง ๆ ข้างหลังมีเขากั้นซ้อนเปนสามชั้น แต่พอจวนจะเลี้ยวจึงเห็นทางต่อไป ด้วยเปนคุ้งหัก จำเภาะมีเขาบังอยู่รอบ ต่อไปอิกเห็นเปนดินปนกับศิลาก้อนใหญ่ ๆ สูง จะว่าเปนเขาก็ไม่ได้ ด้วยข้างบนราบเหมือนตลิ่ง มีดงไม้รวก แลดูโปร่งไปไม่มีต้นไม้ใหญ่เลยจนสุดตา ยาวหลายเส้นอยู่ เวลา ๓ โมง ๒๕ มินิต พบเรือมอญสองลำมีเข้าหลามซ่มลูกเล็ก ๆ กับเข้าโภชขั้ว เรียกมาถามบอกว่าจะขึ้นไปขายที่เมืองสิงห์ที่ประทับร้อน ไปเต่ท่ายางโทนที่เราออกชื่อไว้เมื่อวานนี้แล้ว เราซื้อเข้าหลามมาให้คนเรือ ถามราคาเขาบอกว่ามัดละเฟื้อง มัดหนึ่งมีเข้าหลาม ๔ บอก เราซื้อหมดทั้งลำ ๒๖ มัด เปนเงิน ๓ บาทสลึง แล้วขอให้เขารับขนมปังเค็มแลขนมปังจืดไปลองกินดู มีเด็กอายุ ๓ ขวบ ๔ ขวบนั่งไปในเรือนั้นด้วย ใส่ปากเข้าดูเห็นเคี้ยวสบายไป ๔ โมงถึงทางขึ้นปราสาทเมืองสิงห์ เห็นเรือคุณสุรวงษ์กับศรีวิไลย๑๐๑ จอดอยู่ที่นั่น มาอิก ๕ มินิตถึงปรำประทับร้อน ปลูกไว้ที่หาดเหนือท่าขึ้นไปหน่อยหนึ่ง หยุดอยู่ที่นั่นเรียกเรือทหารเข้าไป ให้เขาอวดเมียแล้วกินเข้าที่นั่น เรือยังไม่มาถึง คอยอยู่ที่นั่น แต่เร็วขึ้นกว่าวันก่อนนี้มาก ด้วยพระยามหามนตรี๑๐๒ คิดเปลี่ยนตำราใหม่ เอาทหารขึ้นผลัดแจว ฝีพายอ่อนให้ทหารแจว ทหารอ่อนให้ฝีพายแจว พอเรือมาถึงนึกสองจิตรสองใจอยู่ ว่าจะขึ้นไปเมืองสิงห์ฤๅไม่ไปดี ด้วยไปเห็นคราวหนึ่งแล้ว พบเรือคุณสุรวงษ์เธอมา บอกว่าเรือศรีวิไลยอยู่ที่นั่น ก็หยากจะไปพบสักหน่อยหนึ่ง ด้วยตั้งแต่เขาออกสุกใส เราไม่ได้พบเลยไปกับยาย๑๐๓ แดดร้อนจัดเต็มที ต้องลงเรือแหวดใหญ่ไป พบศรีวิไลยอยู่ในเรือที่ท่า ขึ้นไปบนโน้นพบยาย ศรีวิไลย นั่งอยู่ที่ทางจะขึ้นไป หยุดพูดหน่อยหนึ่งก็เดินขึ้นไป ทางประมาณสัก ๗ เส้น ๘ เส้น ถึงปราสาททิศ ๔ ด้าน ทางที่ไปนั้นเปนต้นไผ่ครึ้ม ไม่สู้รกนักพอเดินไปได้ แต่รอบนอกปราสาทนั้น ไม้ขึ้นรกชิดเดินไม่ได้ เราเข้าทางช่องปรางด้าน ปีนขึ้นไปตามก้อนแลงที่หักพังลงมา ถึงยอดกลางที่ทลายเปนกองอยู่ แล้วเลียบลงไปข้างมุมทิศที่ปราสาทนี้ ให้พระพลลองวัดดูยาวด้านตวันตกไปตวันออก ๒๐ วา เหนือไปใต้ ๑๘ วา มีปรางอยู่กลางยอด ๑ แต่ทลายเสียแล้ว ไม่เห็นว่าเปนอย่างไร ปรางทิศ ๔ ทิศ รูปร่างเห็นจะเหมือนกับปรางใหญ่ชักกำแพงแก้วติดกัน ข้างด้านน่าสามด้าน ด้านหลังทิศต่อปรางทิศกลาง ทั้งสองข้างนั้นมีหลังคายาวเปนที่เรือนจันท์ในร่วมกลางสัก ๔ ศอก ที่ปรางแลกำแพงแก้วเรือนจันท์ทั้งปวงนี้ก่อด้วยแลงแผ่นใหญ่ ๆ แต่พิเคราะห์ดูมิใช่ศิลาแลงอย่างเช่นเคยใช้ในที่อื่น ต่อยออกก็เปนกรวดเม็ดกลม ๆ ดำ ๆ คล้าย ๆ กับกรวดที่ทุ่งนาคราช จะประสมปูนฤๅสิ่งใดตัดเปนแผ่นอิฐสีแดงคร่ำ ๆ เหมือนศิลาแลง ดูเปนอาติฟิเชียล มิใช่ศิลาแลงจริง ถ้าจะประมาณการดูก็เห็นว่าจะเปนของสร้างมาช้านานแล้ว จะเรื่องเดียวกันกับสร้างนครวัดฤๅทีหลังมา เมื่อยังเล่นฝีมือช่างชนิดนี้อยู่ตามแถบนี้ คงจะเปนเมืองใหญ่ ในแผ่นดินสยามครั้งหนึ่งคราวหนึ่ง แต่จะไม่สู้ใหญ่โตบริบูรณ์มากนัก แต่อยากจะไว้เกียรติยศให้เลื่องฦๅต่อสู้ข้างฝ่ายตวันออกเขาบ้าง ครั้นจะสร้างปราสาทขึ้นด้วยศิลาเช่นเขาทำกันทางโน้น อานุภาพผู้คนก็จะไม่บริบูรณ์ทำไปไม่ได้ จึงได้คิดแบ่งเบาทำศิลาปลอมใช้ดังนี้ ดูก็เปนของทน ๆ อยู่ได้นาน ไม่ผุเปื่อยเหมือนกับอิฐตามธรรมเนียม จะทำเปนวัดฤๅเปนวังก็ไม่ทราบ แต่เห็นเล็กนัก ใหญ่อยู่แต่ปรางกลาง ถ้าจะว่าเปนวัดก็ไม่เห็นมีสิ่งสำคัญ เปนพระพุทธรูปฤๅสิ้งไรในที่นั้นเลย แลงที่ก่อนั้นแผ่นใหญ่บ้างเล็กบ้าง ตัดเอาเฉภาะตามที่ ๆ จะต้องการ ที่ทับหลังโค้งแผ่นใหญ่น่าใหญ่ศอก ๘ นิ้ว น่าน้อย ๑๕ นิ้วยาว ๒ ศอก ๔ นิ้ว ปราสาททิศสูงประมาณ ๕ วา เรือนจันท์สูงประมาณสัก ๑๐ ศอก แต่คราวนี้รกดูยาวนัก ไม่เหมือนอย่างมาคราวก่อน ดูเหมือนคราวก่อนได้ไปดูอะไรอิกแห่งหนึ่ง นอกจากปราสาทหมู่นี้ออกไป จำไม่ถนัด ๕ โมงครึ่ง แล้วกลับมาพบยาย ศรีวิไลย เลี้ยงน้ำมะพร้าวซ่มที่ตีนท่า ตลิ่งนั้นสูงสัก ๕ วา ๖ วา ชันโกรกที่เดียวต้องทำทางขึ้นลงทบไปทบมา ได้ออกเรือเวลาเที่ยงมาจากเมืองสิงห์หน่อยหนึ่ง ก็ถึงแก่งแม่กระบาน พระยากาญจนบุรี กับหลวงปลัด๑๐๔ ลงน้ำมายืนคอย ให้คนทิ้งเชือกจะฉุดเรือ ผูกพวนไว้สำหรับลากมีทรายเปนเกาะอยู่กลาง ข้างหนึ่งเชี่ยวกว่าข้างที่เราไป เราไปข้างกว้าง ๔ มินิตจึงพ้นแก่ง เขาว่าที่นี่พื้นเปนกรวดก้อนใหญ่ ถ้าน้ำน้อยจึงจะเห็น มาอิกหน่อยหนึ่งถึงน้ำเชี่ยวอิกคราวหนึ่ง หัวเรือเกือบจะเบนกลับลงไป ต้องเอาคนลงน้ำประคองไป เวลาเที่ยงเธอมอเมตเตอร์ ๘๕ ไม่สู้ร้อนนัก แต่ได้ให้เรือแหวดเก๋งเตี้ยลองดู เวลาบ่ายโมงเศษ เรือจอดขึ้นถึง ๑๐๔ ดิครีเปนอย่างเอกถึงมึน บ่ายโมง ๑ พบคุณสุรวงษ์ลงอวนอยู่กลางทาง บอกว่าพลับพลานั้น ทำไว้ที่สองพี่น้อง ประเดี๋ยวก็จะถึง ไม่ต้องไปถึงลุ่มสุ่ม ต่อมาอิกแห่งน้ำเชี่ยว เรียกว่าแก่งวังยาง แก่งสองพี่น้อง ปล้ำเรือขึ้นมาตามเคย บ่ายโมงครึ่งถึงสองพี่น้อง เรือเดินประมาณ ๒ ชั่วโมง ถึงสองพี่น้อง พอขึ้นบนพลับพลา พบคุณสุรวงษ์มานั่งอยู่ที่นั้น ลงอวนที่หัวหาด เหนือพลับพลา ได้ปลาบ้างในหมู่ปลาเหล่านั้น มีปลากระพากใหญ่ตัวหนึ่งซึ่งเปนปลาสำหรับแม่น้ำนี้ สีเหลืองงาม ให้ไปเยอไปทำรูปไว้ อนึ่งเราเห็นว่า หลวงปลัดเมืองกาญจนบุรีแขงแรงดีแต่ยังเปนหลวงปลัดอยู่ จึงให้เขียนสัญญาบัตร ตั้งให้เปนพระอร่ามคิรีรักษ์ปลัด ได้ให้สัญญาบัตรที่พลับพลานี้ ให้ผ้าม่วงผืนหนึ่ง เสื้อเข้มขาบตัวหนึ่ง บ่าย ๔ โมงครึ่ง ลงเรือเล็กไปเที่ยวตามเคย ไปหน่อยหนึ่งเห็นนกยูง บินผ่านหน้าไปตัว ๑ แล้วเห็นมีวัวอยู่ริมตลิ่งหลายตัว ทำนองเจ้าฝีพายจะว่าเปนวัวป่า พอแลเห็นบ้านคนมีหลายเรือน มีไม้ไผ่แลเสากองอยู่มาก ไปจนพบหลัก ๔๐๐ แล้วกลับเรือมาเวลาย่ำค่ำ พอทุ่มหนึ่งก็ถึงพลับพลา พระยากาญจนบุรีนำกะเหรี่ยงนายกองบ้านยางโทน เปนที่ขุนพิทักษ์ไพรวัน๑๐๕ มาหา กับพวกพ้องอิก ๓ คน มีขนมแคกงา ซึ่งเป็นที่นับถือของกะเหรี่ยงมาให้ ๔ อัน ขนมนี้ถ้าเวลาเขามีงานไหว้ผี ฤๅอะไรใหญ่ ๆ ก็เลี้ยงกันทุกคราว ทำด้วยแป้งเข้าเหนียว นึ่งพอสุกแล้วเอาลงครก ตำผสมงาแลเกลือเปนอย่างอร่อยของพวกกะเหรี่ยง ดูเหมือนชาวบางกอกเขาก็ทำขายกันบ้าง เราให้เงินสลึงเงินเฟื้องคนละ ๓ บาทคนละกึ่งตำลึงทุกคน แต่ขุนพิทักษ์ไพรวันนั้น ให้เงิน ๕ ตำลึงกับเสื้อตัวหนึ่งด้วย อนึ่งพระยากาญจนบุรี ได้เงินโบราณตราช้าง ขนาดเงินสลึงพดด้วง กับแร่กันงูอันหนึ่ง มาให้ ได้แจกเสื้อพระสิงห์๑๐๖ แลกรมการผู้ทำพลับพลา พลับพลานี้หันน่าไปตวันออกตรง ด้วยอยู่ฝั่งข้างซ้ายมือ ข้างขวามือตรงน่าพลับพลาข้ามนั้น เขาสองพี่น้องเปนก้อนหินใหญ่ลงอยู่ในน้ำ ๒ ก้อนดูงาม วันนี้พระสัจจาเอาเนื้อมาให้ แล้วบรรทุกพรานมาทั้งลำเรือ ได้เรียกตาครูเฒ่าชื่อปาน เปนขุนสกัดนิกร๑๐๗ มาไล่เลียงดู ตัวตาพรานนี้เปนขุนหมื่นกองด่านพระพลอยู่บ้านหนองไผ่ อวดว่าได้ยิงเสือมาสัก ๓๐ ตัวแล้ว ปืนนั้นใช้คาบศิลาอย่างเรียกกันว่าสุตัน ยิงมาจนลำกล้องบางเต็มที จนปากบอกเจียนอะไรได้ไม่กลัวแตก ใช้ดินเต็มสัดยาวทีเดียว ดินนั้นก็ต้องตำเอง กระสุนปินก็ไม่ใช้หล่อว่าเบาไปไม่แน่น ต้องใช้ทุบ ปืนนั้นประจุทิ้งไว้เท่าไร ๆ กี่เดือนก็ได้ ยิงสัตวได้ถึง ๑๒ ตัว ๑๓ ตัว จึงชำระปืนทีหนึ่ง ถ้าจะชำระต้องเส้นเหล้าเป็ดไก่ทุกคราว มีนิทานที่ยิงเสือนั้นหลายเรือง แต่จะจดลงในเยอแนลก็จะมากนักไป จะว่าแต่เรื่องเดียวเถิด เดิมตาปานกับพวกไปล้อมช้าง ไปด้วยกันประมาณสัก ๓๐ คน หยุดนอนอยู่กลางป่า เวลากลางคืนที่ทับตะโก ชื่อม่วงคนหนึ่งนอนอยู่ใกล้กับตาปาน แต่เจ้าม่วงนั้นอยู่กลางทีเดียว เวลากลางคืนเสือชะเง้อขึ้นไปบนแคร่ ลากเอาตัวอ้ายม่วงไป คนร้องเกรียวกราวเอะอะกันขึ้น ได้ยินเสียงอ้ายเฒ่าม่วงนั้นสองหนก็เงียบไป ครั้นจะติดตามไปก็เปนเวลากลางคืนมืดนัก รอกันอยู่จนรุ่งสว่าง ตาปานก็ออกตามไปคนเดียว พบรอยเลือดเปนทางไป พบกางเกงแลผ้าที่อ้ายเฒ่าม่วงนุ่ง ไปหน่อยหนึ่งก็พบขาข้างหนึ่ง ตาปานก็เอาขานั้นไปด้วย แล้วไปพบตัวกัดกินเสียเพียงบั้นเอวแล้ว ตาปานจึงเอาตัวนั้นผูกเข้ากับไม้ให้แน่นแล้ว ขัดห้างขึ้นอยู่บนต้นไม้สักครู่หนึ่ง เสือก็มากินที่ศพ ดึงเชือก มัดอยู่แน่นไม่หลุด ตาปานยิงถูกไหล่รวบตัดหัวใจ เพื่อนที่ไปด้วยกันอิกคนหนึ่ง ยิงข้างท้ายตลอดขึ้นมาถึงหัวไหล่ โดดโผเข้ามาที่ศพ ตกลงมาตายอยู่กับศพ แต่ยังนั้นยังไม่ไว้ใจซ้ำเสียอีกคนละนัด เห็นว่าตายแน่แล้ว จึงลงมาวัดดู เสือนั้นยาวถึง ๖ ศอกเศษเกือบ ๗ ศอก สมเด็จเจ้าพระยายังเอาหนังไปทำรูปไว้เล่นจนทุกวันนี้ ตัวแกเองถูกอีเก้งขวิด เพราะสุนักข์ในไล่อีเก้งวิ่งเข้ามาที่ตัวแก ๆ จับเขาสองข้างฟัดลง อีเก้งตาย แต่เมื่อเวลาขวิดนั้นยังไม่รู้ตัว ต่อเพื่อนทักเข้าแลดูที่แผลฦกเข้าไปเกือบ ๒ องคุลีจึงได้ล้มผางลง ตาครูคนนี้ตั้งพรานถอดพรานได้ ถ้าพรานคนใดเสือกัดได้ ต้องถอดเสียจากพราน เพราะสัตวทำอันตรายได้ ไม่สู้สัตวได้ ผู้ที่ถูกถอดนั้น คือน้องของตัวเองถูกเสือกัด ลูกศิษย์คนหนึ่งหมูป่าขวิด ต้องถอดทั้งสองคน วันนี้ ๔ ทุ่มแล้ว เธอมอเมตเตอ ๘๑ ยังร้อนอยู่ ต้องอาบน้ำอิกคราวหนึ่งจึงไปนอน

  1. ๑๐๑. พระเจ้าพี่นางเธอ กรมขุนสุพรรณภควดี

  2. ๑๐๒. พระยาพิไชยสงคราม (อ่ำ)

  3. ๑๐๓. ท่านผู้หญิงอิ่ม ภรรยาเจ้าพระยาสุรวงษ์ไวยวัฒน์ (วร)

  4. ๑๐๔. พระอร่ามคิรีรักษ์

  5. ๑๐๕. ขุนพิทักษ์ไพรวัน (กะเหรี่ยงนายกอง)

  6. ๑๐๖. พระสมิงสิงหบุรินทร์ ผู้ว่าราชการเมืองสิงค์

  7. ๑๐๗. ขุนสกัดนิกร (ปาน, เปนพราน)

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ