วันที่ ๑๙

วันที่ ๒ ๓ ค่ำ เมืองไทรโยคนี้ เขียนชื่อสะเปลหลายอย่างกันนัก มีอรรถกถาฎีกาแก้ไปต่าง ๆ ที่เขียนว่าไชยโยคสกดตัว (ค) คิดดังนี้เห็นมีบ่อย ๆ ในหนังสือพงษาวดารบ้าง ในลิลิตเตลงพ่ายบ้าง ลิลิตเตลงพ่ายที่ตีพิมพ์ในคราวนี้เขียนว่าไชยโยก แต่ที่เราได้เห็นลิลิตเตลงพ่ายแต่ก่อน เขียนว่าไชยโยค ในคราวนี้จะเปนพระศรีสุนทรแก้ฤๅคนเรียงพิมพ์จะเรียงผิดก็ไม่รู้ เห็นเขียนไว้ว่า

ร่าย ไทยกระสรรเสียวทรวง ดวงกระมลหม่นหมาง พลางให้ด่วนเดอรพล ลุตำบลไชยโยก พระดับโศกสั่งทัพ ยับยั้งตั้งค่ายคู โดยพยูหสรรเสร็จ บพิตรเสด็จเลออาศน์ พลับพลาราชเรือนศึก……...ดังนี้

มีคำอธิบายไปอิกอย่างหนึ่งว่า ตัว (ค) ที่สกดนั้นมิใช่คอคิด เปนฆอระฆังเขียนว่าไซยโยฆ แยกออกว่าไชยโอฆ อรรถาธิบายอันนี้เห็นจะเถนไป แต่คงความข้างต้นที่ว่าไชยนั้นเข้าใจว่ามีไชยชนะฆ่าข้าศึกที่นี่ แต่เห็นจะเล็งเอาครั้งพระพุทธยอดฟ้าชนะพม่า เมื่อจุลศักราช ๑๑๔๘ ปีมเมียอัฐศก แต่ถ้าหมายดังนี้ผิดไป เมืองไชยโยคนี้มีชื่อมาก่อนแผ่นดินพระพุทธยอดฟ้ามาช้านานแล้ว แต่ถ้าว่าจะว่าเจ้าแผ่นดินแต่ก่อนท่านชนะดอกกระมัง ก็เห็นจะว่าได้ แต่สงไสยอยู่หน่อยหนึ่งที่ทูลกระหม่อมท่านทรงคิดชื่อพระไทรโยคใหม่ ว่าพระนิโครธาภิโยค เปนสำหรับเมืองทีเดียว มีเพื่อนกันหลายเมือง เหมือนเมืองท่าขนุนเปนปนัศดิฐบดี เมืองท่ากระดานเปนผลกดิฐบดี เมืองท่าตะกั่วเปนชินดิฐบดี เมืองท้องผาภูมเปนเสลภูมิบดี ชื่อเหล่านี้ก็เปนพยานให้เห็นว่านิโครธาภิโยคนั้น พระราชประสงค์ก็จะให้ตรงกับชื่อเมืองเปนแน่ ถ้าเปนดังนั้นก็เห็นจะเปนไทรโยคถูก แต่ยังมีผู้สงไสยมาก เรื่องนี้ตัดสินไม่ลงเลย แต่ตัวเราเองเห็นว่าในกระบวนหนังสือไทย แลกระบวนที่ทราบการเก่าๆ ไม่มีใครสู้ทูลกระหม่อมได้ ควรจะต้องใช้ตามอย่างที่ท่านทรงไว้ แต่จะเปนหลับตาเชื่อครูฤๅอย่างไรก็ไม่ทราบ แต่เห็นว่าใช้ในราชการมานานแล้ว ก็ต้องเปนใช้ได้

วันนี้ตัวเราอนุญาตให้ตัวเราตื่นสายตามชอบใจ ลองดู เกือบ ๒ โมงจึงได้ตื่น กว่าจะแต่งเนื้อแต่งตัวแล้วเสร็จ ๒ โมงสามส่วน ได้ลงเรือไปคราวนี้จะว่าถึงระยะทางตั้งแต่พลับพลาไปน้ำพุ จะต้องไม่ว่าถึงไกลก่อน ที่หัวพลับพลาของเราเองไม่ห่างนัก ถ้าเรือไม่บังเสียอยู่ที่พลับพาก็จะเห็นถนัดทีเดียว แต่เปนน้ำพุอยู่ริมน้ำ ออกจากศิลาเล็กๆ ไม่ใหญ่นัก ด้วยตลิ่งตรงหัวเลี้ยว ตั้งแต่พลับพลาไปเปนเพิงศิลาเทือกยาวไปประมาณสัก ๙ เส้น ๑๐ เส้น ในระหว่าง ๙ เส้น ๑๐ เส้นนั้นไม่มีดินเลยทีเดียว เปนเพิงชั้นตั้งลงในน้ำ ๆ ที่น่าเพิงก็ฦก ต้นไม้ก็ไม่มี คล้ายกันกับที่เมืองพังงา แต่เมืองพังงาเปนเหมือนรากเขาขาด ที่นี่เปนเพิงเขา จะเทียบว่าอย่างพระฉายสระบุรี ก็ง้ำออกมามากกว่าพระฉายสักหน่อย ที่ตรงกลางเพิงนี่เปนปากข้างนอกกว้างปลายสอบเข้าไป ไม่สู้ฦกนัก แต่เพราะในตาแลเห็นที่ใหญ่เข้าไปหาเล็ก เมื่อเช้านี้พระยาภาศกรวงษ์จอดเรืออยู่ในนั้น เราแจวเรือไปข้างฝั่งซ้าย แลดูเป็นเปนคนเล็กกว่าคนปรกติ ถ้าจะแบ่งตัวคนเปน ๕ ส่วน ลดลงไปสักส่วน ๑ ได้ จนสงไสยว่าคนทำไมจึงได้เล็กไป จำหน้าไม่ได้ว่าใคร ต่อพิเคราะห์มากจึงเห็นว่า พระยาภาสกรวงษ์เล็กผิดตัวทีเดียว เมื่อขากลับมาเราได้แวะเข้าไปดูที่ตรงนั้น เปนน้ำพุไหลออกมาน้อย ๆ ไม่สู้มากนัก ศิลาที่ต่อกับเหมือนหนึ่งรอยตะเข็บที่เพลาะเข้าให้ติดกัน ที่ตรงนั้นมีดินแลต้นผักต้นหญ้างอกที่นั้นงาม เพิงบังเงากว้างออกไปมาก กว้างชั่วยาวลำเรือแหวดของเราสัก ๑๐ วา ในนั้นถ้าเรือจะจอดเรียง ๆ กับลำใหญ่ ๆ เท่าเรือเรา จอดได้สบายทีเดียวเหมือนอยู่ในร่ม เอาแตรเข้าไปลองเป่าดู เสียงก้อง ที่ศิลาน่าผานั้นเปนศิลาลาย พื้นแดงลายขาวเหมือนกับศิลาฝรั่ง พื้นแดงลายขาวเช่นใช้ปูพื้นกันอยู่ทุกวันนี้ ที่ตรงน่าผาเปนที่น้ำล้าง แลเห็นลายกระจ่าง เปนลายโต ๆ ถ้าจะขัดเข้าคงจะงามที่สุด พอสิ้นน่าผาที่ยาว ๒ เส้นนี้แผ้วกลับไปข้างซ้ายมือฝั่งเปนศิลาขวามือเปนดิน ก็เปนเทือกเขาอิก ตลอดจนถึงเขาเล็กยอดหนึ่ง ตามน่าศิลาเหล่านี้ มีหาดแลดูเหมือนหาดทรายสีเหลือง แลครุคระเหมือนอย่างทราย มีที่ต้นไม้ขึ้นแลเปนรอยน้ำซัดอย่างหาดทรายทีเดียว แต่เปนศิลาแขง หาดศิลาอย่างนี้มีบ่อย ๆ ถึงข้างล่างที่น้ำพุเขากินรก็ได้พบมาแล้ว ข้างบนขึ้นไปก็มีบ่อย ๆ แต่เปนหาดหินแล้วไม่กว้างนัก เห็นจะอยู่ใน ๗ ศอก ๘ ศอกเปนอย่างกว้าง แต่ขาว ๆ มาก ที่ฝั่งศิลาแห่งหนึ่งเปนโพรงอยู่ที่ริมน้ำ แลสว่างตลอดขึ้นไปถึงแผ่นดิน ต่อไปที่สุดของฝั่งศิลาข้างซ้ายมือนี้มีเขาเตี้ยมีถ้ำฦกเข้าไปหน่อยหนึ่ง ศิลาในนั้นแปนที่รูปตุกตาเจ๊ก แต่หัวนั้นเล็กไป พระชลธารเขาว่าเขาไปสร้างพระที่เขาถ้ำผีไว้มีคนบูชามากได้บุญนักแล้ว เขาจะมาสร้างศาลเจ้าขึ้นไว้ให้คนบูชาอิกบ้าง จึงเอาชลอมสรอมหัวนั้นเข้าแล้ว เอากระดาดฟางปิด เขียนหน้าระบายสี่ที่ตัวบ้างเล็กน้อยให้เปนกวนอู เมื่อดูก็เห็นเปนเหมือนของเปนเองจริง แต่สีที่หน้าอยู่ข้างจะสดไปกว่าศิลาสักหน่อย แต่ดูเปนเหมือนมีปีก คนทั้งปวงเขาว่าเปนรูปหลุยจีนจู๊ ก็มีคนตื่นบูชาให้เขาจริงๆด้วย เราไปทางนั้นยังเห็นธูปเทียนติดไฟอยู่หลายเล่ม ข้ามฟากไปข้างฝั้งขวามือเขาถางท่าขึ้นไปถ้ำพระ ตั้งแต่ขึ้นจากเรือไป ๖ วา ๒ ศอกถึงพื้นชั้นหนึ่ง แล้วขึ้นไปอิกชั้นหนึ่ง ๘ วา ขึ้นไปอิกชั้นหนึ่ง ๑๓ วา ขึ้นไปอิกชั้นหนึ่งยาวเส้นหนึ่งกับ ๘ วา เดินขึ้นไปอิกชั้นหนึ่ง ๑๒ วาถึงปากถ้ำ รวมทางตั้งแต่น้ำขึ้นไปจนถึงปากถ้ำ ๓ เส้น ๗ วา ๒ ศอก ปากถ้ำนั้นเปนช่องแคบกว้าง ๓ ศอกสูง ๔ ศอก ที่น่าประตูถ้ำมีก้อนศิลาใหญ่ตั้งรับฟองน้ำที่ย้อยลงมาบังปากถ้ำ เหมือนหนึ่งเปนลับแล ถ้าดูห่าง ๆ ก็พอบังปากถ้ำได้ ที่นอกถ้ำทีเดียวมีก้อนศิลาตั้งอยู่ก้อนหนึ่ง ริมกับเขาที่เปนถ้ำ มีศิลาก้อนหนึ่งโตตกมาแซกอยู่ที่กลาง แลดูในซอกนั้นก็โปร่งเปนเหมือนกับเอาศิลาเข้าไปขัดไว้ก้อนหนึ่ง ถ้าแลดูคิดว่าน่าจะพลัดตกก็คิดได้ ถ้ำนั้นแลดูเปนห้อง ๆ ที่ห้องกลางกว้าง ๙ วา ยาว ๑๓ วา ข้างขวามือมีซอกเดินไปได้อิก ไปทลุออกข้างหนึ่งต้องคลานบ้างต้องก้มบ้าง เปนซอก ๆ แซก ๆ ห้องเล็กห้องน้อยถึง ๖ ห้อง มีห้องกลางนั้นมีฟองน้ำที่น้ำย้อยห้อยไปทุกหนทุกแห่งเปนพวงภู่โต ๆ ก็มี ที่ตกลงมาถูกศิลาเปนชง่อนอยู่ สูงพูนขึ้นไปคอด ๆ กิ่ว ๆ เหมือนรูปพระเจดีย์กลมก็มี เปนรูปต่าง ๆ มีหลายอย่าง ที่ผนังถ้ำนั้นเปนทางน้ำไหลลงมา รูปพรรณสันถานเหมือนน้ำพุ มีรอยน้ำกัดเปนฝาหอยแครงอย่างเช่นน้ำพุใหญ่ ดูเหมือนกับทำน้ำพุเล่นเล็ก ๆ แต่ที่ผนังนั้นไม่ค่อยจะมีเว้นทางน้ำ ตกจับเปนคราบสีเหลือง เหมือนดังน้ำพุเปนแห่ง ๆ ทั่วไป แลกัดเปนฝาหอยไปทั้งถ้ำ คิดว่าถ้าน่าน้ำน่าฝน เห็นจะรั่วซึมไปทั้งนั้นจึงเปนดังนี้ แต่เรามาเดี๋ยวนี้ แห้งทีเดียวไม่มีน้ำเลย เห็นมีพระพุทธรูปอยู่ในนั้น ๓ องค์ พระสาวก ๒ องค์ แต่ตั้งอีเหละเปะปะอยู่ เห็นจะหนีน้ำไม่ใคร่จะพ้น ทองที่ปิดนั้นลอกยับเยินไป ในถ้ำนี้ว่ามีพระธาตุมากหากันนัก ได้กันคนละมาก ๆ คุ้ยตามผนังบ้างตามพื้นบ้างพรอนไป มีเรื่องราวประสมกันกับที่พระแท่นดงรัง ว่าที่นั้นเปนที่พระพุทธเจ้าปรินิพพาน ที่ถ้ำนี้เปนที่พระอรหันต์อยู่ มีธาตุพระอรหันต์มาก. แต่ธาตุพระพุทธเจ้านั้นไม่มี อีกคำหนึ่งว่า ธาตุพระพุทธเจ้ามีอยู่ แต่ไม่ลงมาอยู่ที่พื้น ปนอยู่กับพระธาตุทั้งปวง อยู่บนยอดถ้ำนั้น แลเห็นปาฏิหารแสงสว่าง แต่ผู้ไปเห็นเขาว่า ที่ถ้ำตรงนั้นเฉภาะมีช่อง พอแสงพระอาทิตย์ส่องได้นิดเดียว จึงสมมติว่าเปนธาตุพระพุทธเจ้าปาฏิหาร เห็นจะเปนด้วยเราไปเช้านักจึงไม่ได้เห็นพระธาตุปาฏิหาร แต่ที่จริงพระธาตุที่หา ๆ ได้กันมานั้น งาม ๆ จริง ๆ ดูไม่สู้เก๊มากนัก กรมนเรศร์หาได้องค์หนึ่ง เราเอามาให้พระดูชมว่าดี ให้พระคุณาจาริยวัตรไปเสียแล้ว บอกให้พระขึ้นไปหาเห็นจะได้มามาก กลับจากถ้ำนั้นแล้ว ลงเรือต่อไปจะไปน้ำพุ ต้องข้ามน้ำเชี่ยวอิก ๒ แห่งข้างขวามือ มีเขาริมน้ำฤๅเขาฝั่งนั้นและ แต่ตั้งชันตรงเหมือนกับผนังโบถโบราณ สีศิลาขาวมีคราบน้ำดำ ๆ มีต้นไม้อยู่กับพื้น แลต้นไม้ที่ขึ้นปกคลุมไป เหมือนกับผนังโบถวัดมะเหยงค์ทีเดียว ถ้าเหลือบไปแล้ว นึกว่าของใหญ่โตอะไรสร้างอยู่ที่นั่น ถึงแลดูตรง ๆ ก็ยังแลเห็นเปนโบถอยู่ ที่ตรงนั้นมีน้ำพุอิกแห่ง ๑ แต่ย่อม ๆ ไม่ใหญ่นัก ไหลลงน้ำตามธรรมเนียม วันนี้หยุดดูที่พุที่ ๑ หน่อยหนึ่งแล้วไปอาบน้ำที่พุที่ ๒ แล้วกลับมา ถ้าคิดถึงถ้ำแลพุเหล่านี้ แล้วนึกถึงเรื่องอิเหนา พระพุทธเลิศหล้าท่านทรงแต่งเรื่องอิเหนา เห็นจะได้ทอดพระเนตร เห็นงามของแม่น้ำนี้ไปเปนแน่ เข้าเค้ากันมากนัก ด้วยเปนน้ำพุแลลำธารถ้ำในป่า ท่วงทีถ้ำก็มิดชิดชอบกลมีหลายแห่ง ถ้าจะทำเปนถ้ำอย่างเช่นอิเหนา เห็นจะได้บ้าง ลำธารน้ำพุก็เหมือนกับบทที่ว่า

๏ ครั้นถึงจึงลงในท้องธาร สรงสนานน้ำพุที่เงื้อมผา ย้อยหยัดดังสหัศธารา ไหลออกจากศิลาซ่าเซ็น พร้อย ๆ ต้องกายดังสายฝน เมื่อไรนฤมลจะมาเห็น จะแสนศุขทุกวันไม่วายเว้น ลงเล่นชลธารสำราญใจ ไหนจะชมคณามัจฉาชาติ ล้วนประหลาดว่ายคล่ำในนี้ได้ แล้วจะเก็บกรวดแก้วแววไว จะเที่ยวไปประพาศหาดทรายทอง…………...

เรือจอดที่ไหนปลามีเปนกลุ่ม ๆ ทุกแห่ง แล้วก็เปนปลางามด้วย ปสาตะเพียนมีเปนพื้นว่ายน้ำดูหางแดงไปเปนหมู่ น้ำใสแลเห็นตัวสนัดทีเดียว โปรยเข้าลงไปว่ายแข่งกันแห่ง ๑ หลาย ๆ ๑๐ ตัว เรื่องพระพุทธเลิศหล้าโปรดแม่น้ำน้อยนี้มีปรูฟได้ ท่านใหญ่๑๑๘ เล่าว่าเมื่อทูลกระหม่อมเสด็จมากาญจนบุรีคราวก่อน ทรงเล่าว่าเมื่อพระพุทธเลิศหล้า รับสั่งให้ท่านเสด็จมารับครัวมอญที่กาญจนบุรีคราวนั้น ท่านรับสั่งว่าเมืองกาญจนบุรีสนุกนัก ขึ้นไปทางแม่น้ำน้อย ยิ่งไปยิ่งสนุกขึ้นทุกที เมื่อทูลกระหม่อมเล่าเรื่องนี้ เราจะได้ยินด้วยฤๅอย่างไรก็ไม่รู้จำไม่ได้ ต่อพูดกับท่านใหญ่ท่านจึงเล่าให้ฟัง ที่จริงสนุกมาก ถึงจะอยู่นาน ๆ ก็อยู่ได้ วันนี้เราไม่รู้ตัวเลย เสด็จยายท่านถามว่ารักยายฤๅไม่รัก เราทูลตอบท่านว่ารัก ขออะไรสักสิ่งหนึ่งได้ฤๅไม่ได้ เราเสียทีท่านรับว่าได้ ท่านว่าให้ยกเอาเขานี้เข้าไปตั้งในวัง ให้ท่านอาบน้ำให้สบายสักหน่อย ดูท่านโปรดสนุกมากหายประชวรทีเดียว เรากลับมาจากที่น้ำพุ ถึงพลับพลาเที่ยงสามส่วน พบมอญผู้หญิง ๕ คนมาหา มีลูกเล็กด้วยคนหนึ่ง ให้เงินแลผ้าแพรผ้าสาย เขาบอกว่ามีลูกค้าเอาเงินที่รูปอย่างนี้ขึ้นมาบอกว่า ในเงินนี้แลรูปเจ้าชีวิตรของเรา ตัวก็เห็นหมายในตาไว้ ตั้งใจจะคอยดูแน่ฤๅไม่แน่ มาได้เห็นคราวนี้เห็นจะแน่แล้วพอจำเค้าได้ เงินที่ได้ไว้นั้น ไม่ได้ซื้อจ่ายสิ่งใดเลยเก็บไว้ทีเดียว เวลาบ่ายกะเหรี่ยงมาอิกหลายสิบคน แจกเงินแจกเสื้อเหมือนอย่างแต่ก่อน พวกนี้เปนพวกเมืองท้องผาภูม แล้วเดินออกทางหลังพลับพลา ไปขึ้นบนโคกแล้ว ลงข้ามห้วยไปอิกห้วยหนึ่ง ถึงบ้านคนที่อยู่ในเมืองไทรโยค มีบ้านอยู่ ๓ หมู่กับกระท่อมเล็กอัน ๑ ดูรุงรังเต็มที พื้นใช้ไม้ไผ่ผ่าซีก หลังคามุงด้วยใบหวาย พวกนี้เปนพวกตัดไม้มียุ้งเข้าเล็ก ๆ ทุกบ้าน เข้าที่นี่เขาไม่ได้ขายเปนเกวียนเหมือนบางกอก นับกันเปนศอก กว้าง ๔ ศอกยาว ๔ ศอกสูงศอก ๑ เปนเข้า ๑๐๐ ถัง ขายราคา ๕ ตำลึง ตามบ้านนั้นเห็นมีต้นศัปรศเปนดง ต้นไม้ใหญ่ก็มี มะม่วงขนุนหมากมะพร้าวพลูมะงั่วกล้วยมะขาม แต่ยังมีอิก ๒ ต้น เปนศัตรูของชาวบ้านนี้ คือต้นมะเฟืองกับต้นพุดทรา เขาว่าฆ่าคนเสียหลายคนนักแล้ว ถ้าใครจับไข้เผอิญจะให้หยากมะเฟืองกับพุดทรานี้ร่ำไป กินเข้าไปก็เลยเปนไข้พิษตาย แต่หมอสายว่าไข้นั้น เห็นจะเปนไข้พิษเดิมแล้ว เปนแผลอยู่ในลำคอลำไส้กระทบเข้าจึงได้เปนพิษมากขึ้นมาตาย พลูที่ไทรโยคในคราวนี้ ขายดีราวกับเหล้าที่ขายฝีพายเมื่อวานนี้ พวกผู้หญิงเสียเงินด้วยพลูมาก เมื่อแรกขึ้นมาขายกันอยู่ ๕ ใบอัฐ ครั้นอยู่มาอิกหน่อยหนึ่ง ขึ้นราคาถึง ๒๐ ใบต่อเฟื้อง จวนหมดเข้าหนักเหลืออยู่อิก ๑๕ ใบต่อเฟื้อง ก็พอหมดต้นพลูที่นี้ไปใหญ่ ใช้กินใบละ ๒ คำได้ ว่าเหนียวแลเคี้ยวคล้าย ๆ กับพลูบางช้าง แลพลูค้างทองหลางมีคนชอบกิน หมากก็น่าดี ๆ เปนน่าหวานลูกโต ๆ จะลืมเสียไม่ได้ว่าถึงพลับพลาที่นี่ ตั้งอยู่ที่หาดน่าเมืองไทรโยคตรงทิศเหนือฝั่งข้างขวามือ เปนสามหลังเหมือนดังพลับพลาแรก ๆ แต่รยะห่างออกไปหน่อยหนึ่ง มีปรำสำหรับจอดเรือกว้างกว่าแต่ก่อน ยาวตลอดถึงกันทั้ง ๓ พลับพลา มีกรงสำหรับลูกอาบน้ำอยู่ที่ท้ายพลับพลาข้างน่า แปลกขึ้นแต่มีพลับพลาที่นอนอิกหลังหนึ่ง ยกพื้นสูงกว่าหลังนอก โตเล็กเท่ากัน กั้นฝาแผง แต่เราไม่ขึ้นนอนบนบกอยู่เรือสบายกว่า พลับพลาที่ล่วง ๆ มาแล้วมุงด้วยแฝก แต่ที่นี่มุงด้วยใบหวายเย็บเหมือนจาก สมเด็จเจ้าพระยาท่านว่าเสียเวลาที่เย็บมากทีเดียว คราวนี้น่าบันไดเรามีสวนขึ้นหน่อยหนึ่งดูสดชื่นขึ้น พระยาอภัยรณฤทธิ์ช่วยทำ ปลูกต้นไผ่แลเขามอที่ได้มาจากน้ำพุที่ท้องช้าง อยู่ข้างจะเย็นตา ที่พลับพลานี้มีโต๊ะเก้าอี้กินเข้าของสมเด็จเจ้าพระยา เอาขึ้นมาทุก ๆ พลับพลานั้น เหลือหาบเหลือหาม แต่ไม่เปนไรนักเรื่องโต๊ะเรื่องเก้าอี้ เราเคยนั่งกินกับพื้นนานกว่านั่งกินกับโต๊ะกับเก้าอี้ ถึงจะไม่มีก็ไม่ร้อนอะไร ค่ำวันนี้ดูเย็น ๆ อยู่ ตรวจดูเทอมอเมตเตอรเคราะห์ดีลดลงไปได้ ๗๓ พรุ่งนี้จะเลยหนาวไปได้บ้างดอกกระมัง

  1. ๑๑๘. หม่อมยิ่ง

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ