วันที่ ๑๖

วัน ๖ ๑๔ ๒ ค่ำเช้าเธอมอเมตเตอร ๗๔ หนาวกว่าวานนี้หน่อยหนึ่ง วันนี้ออกเรือสายกว่าทุกวัน โมง ๑ ด้วยเมื่อคืนนี้นอนดึก แลเห็นว่าระยะทางใกล้ ด้วยรู้เปนแน่ว่าจะไปพักที่น้ำพุ ไปพ้นพลับพลาหน่อยหนึ่ง พบน้ำไหลสูงครึ่งแม่น้ำ ต่ำครึ่งแม่น้ำ ๆ ไหลแทงสายน้ำตะแคงมาข้าง ๆ แต่ไม่สู้เชี่ยวนัก มีเกาะเล็ก ๆ อยู่ในน้ำ ๓ เกาะ ต่อไปถึงแก่งตาเพอน้อย มีหินในน้ำ ๓ ก้อนที่ฝั่งข้างซ้ายมือ น้ำไม่สู้เชี่ยวนัก ต่อไปถึงแก่งตาเพอใหญ่ มีศิลาลาดลงมาในน้ำแผ่นใหญ่ เหมือนแก่งสารวัด อยู่ฝั่งข้างซ้ายมือ แต่ทางร่องน้ำกว้าง น้ำก็ไม่สู้เชี่ยวนัก ที่น้ำเชี่ยวมีบ่อย ๆ เมื่อ ๒ โมง ๒๐ มินิตมาถึงแก่งน้ำตื้น เปนหาดยื่นออกมาจากฝั่งทั้งสองข้าง เกาะตั้งอยู่กลาง แต่หาดที่ยื่นทั้งสองฝั่งนั้นเยื้องกัน เฉภาะเกาะอยู่กลางเหมือนลับแล เรือต้องอ้อมเกาะนั้นออกมา ๒ โมงครึ่ง เรือตรงน่าเขาดักงาอยู่ข้างซ้ายมือ มาตามทางวันนี้ไม่เห็นมีสัตวสิ่งใด เสียงไก่ริมตลิ่งก็เงียบไป นกก็น้อย ได้ยินเสียงนกยูงร้องครั้งหนึ่งเมื่อมาถึงท้ายหาด ครั้นขึ้นไปดูบนหาดก็ไม่เห็นอะไรย่องเก้อไปเปล่า ๆ ครั้นพบพระชลธาร๑๑๒ เขาแปลว่าที่แถบนี้มีธารน้ำบนบกมาก สัตวจึงไม่ลงกิน ไปจนกระทั่งสระสี่มุม พ้นนั้นขึ้นไปจึงมีสัตวต่าง ๆ วันนี้เห็นแต่หอยกาบมีมาก ถ้าน้ำตื้น นอนกลิ้งอยู่กับกรวดระกะไป หอยนี้มิใช่โตเปล่า เขาว่ากินอร่อยด้วย เนื้อเหมือนกับเต่า มีคนกินกันมาก เก็บฝากกันไปถึงบางกอกก็มี พอเลี้ยวแหลมก็เห็นเขาพุน้ำร้อนก่อน เราได้เห็นแผนที่แลรูปเขียน สมเด็จเจ้าพระยาทำใหญ่ พอแลเห็นวาบเดียวก็ทักได้แต่ไกล ท่านเล็กลงเรืออยากจะเห็นเร็วๆ หายไปหน่อยหนึ่ง พอ ๓ โมงก็ถึงเขตรเขาน้ำพุ ฝั่งข้างซ้ายมือเปนศิลาก้อนใหญ่ ๆ ทิ้งเปนกองขึ้นไปไม่เปนรูปเขา แต่ข้างขวามือนั้นเปนศิลาแท่งใหญ่ เปนน่าผาเพิงงามมาก ที่ตรงกลางทางจะเข้าไป มีเกาะเล็กอยู่กลางน้ำเกาะหนึ่ง ต่อนั้นไปก็เปนที่น้ำพุ แต่ข้างซ้ายมือนั้น แลเห็นก็เปนหินกอง ๆ อยู่ดังนั้น ไม่แลเห็นว่าเปนอย่างไร ไปก็ไม่ใคร่จะได้เหลียวข้างซ้าย อยากแต่จะเหลียวขวาเสียมาก พอเข้าไปอีกหน่อยหนึ่ง เปนน่าผาชันเหมือนกับศิลาพังลงมาในน้ำ ที่ข้างล่างริมน้ำเปนก้อนใหญ่บ้างเล็กบ้าง เหมือนที่มอซ้อนกันลงมาจนถึงน้ำ มีดินบ้างแต่น้อยแห่ง ที่น่าผาชันตรงนั้นไม่มีต้นไม้เลย มีแต่บนหลังที่ราบยอดเขา แลที่ิมอข้างล่างเขานั้น เปนยอดสูงน้ำประมาณ ๑๑ วา ๑๒ วา ตามที่น่าผาชันกับมอล่างต่อกัน มีน้ำพุออกมาเปนช่อง ๆ ช่องเดียวไหลลงทางหนึ่งก็มี ลงต่างช่องแต่มารวมกันลงน้ำสายเดียวก็มี ที่ลงต่างช่องต่างสายมารวมกันแต่ที่ลงน้ำก็มี แต่น้ำไม่ตกลงมาจากที่สูงนัก อยู่ริมๆ กับมอดังนี้มีอยู่ถึง ๖ แห่ง ต่อไปอิกริมกับพุใหญ่คนละเหลี่ยม ช่องน้ำตกสูงขึ้นไปเกือบจะถึงครึ่งเขา มีศิลาที่กระทบน้ำกระจายเปนฝอย สายน้ำโตงามสักหน่อยหนึ่ง อาบได้สบาย มีอยู่อีกแห่งหนึ่งพอเลี้ยวแหลมเขานั้นหน่อยหนึ่ง พวกเราที่ไปในเรือตกใจหมด ไม่รู้ว่าจะงามถึงเพียงนี้เลย คิดว่าพุที่ว่าเมื่อตะกี้นี้ ก็ดีอยู่บ้างแล้ว ครั้นมาเห็นตรงน่าพุนี้เข้า กลับงามกว่ารูปที่เขียนไปเสียอิก ท่วงทีที่น้ำตกนั้น จะพรรณายากนัก จอดเรือชมอยู่ตรงน่านั้นสักครู่หนึ่ง เห็นสมกับนิราศ ที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าท่านทรงว่า

๏ มาพลางทางแสนคนึงหา ไนยนาแลลับไพรสณฑ์ ยิ่งแดดาลร่านร้อนทุรนทน จึงลุดลเข้าห้องไอยรารมย์ เปนช่องชั้นเชิงผาศิลาลาศ รุกขชาติรื่นรวยสวยสม ไพจิตรพิศพรรณอยู่น่าชม ลมพัดพากลิ่นสุมาลย์มา มีท่อธารน้ำพุดุดั้น ตลอดหลั่งไหลลงแต่ยอดผา เปนโปร่งปล่องช่องชั้นบรรพตา เซนซ่าดังสายสุหร่ายริน บ้างเปนท่อแถวทางหว่างบรรพต เลี้ยวลดไหลมาไม่รู้สิ้น น้ำใสไหลซอกศีขรินทร์ แสนถวิลถึงสวาสดิ์ไม่คลาศคลา เกษมศุขศุขสานต์สำราญเริง บรรเทิงจิตรพิศวงหรรษา ชลอได้คิดจะใคร่ชลอมา ให้เปนที่ผาสุขทุกนางใน คิดเคยเมื่อเคยไปสรงสนาน สุคนธ์ธารทิพรศสดใส อันหอมหวลอวลอบสุมาไลย มาร้างไร้สุคนธกำจร เจ้าเคยถวายภูษาสุธาสรง อันบรรจงทิพรศเกสร เคยไพบูลย์ด้วยดรุณนิกร ทีนี้มากำจรอยู่เอกา ฯ

นึกว่าจะไปที่อื่นเสียก่อนแล้วจะรีบมาอาบน้ำ จะได้ให้เสด็จยายท่านสรงทันแดดไม่ร้อน แลเวลาอาบน้ำแล้วจะได้ลงเรือทีเดียว ถ้าจะอาบเสียก่อนแล้วจึงไปเที่ยวอื่น ๆ ก็จะต้องพาเหงื่อลงเรือไปด้วย เวลาเช้าวันนี้เย็นสักหน่อยหนึ่ง เข็ดน้ำพุลำธารที่เมืองจันทบุรีไปจะหนาว จึงไปเสียที่ทางขึ้นบนยอดเขาก่อน จอดที่ตะพานเปนแพลูกบวบลอยเขาตัดทางใหม่ห่างจากน้ำพุไปข้างเหนือน้ำประมาณสัก ๓๐ วา ตลิ่งที่ตรงนั้นสูงสัก ๑๔ วา ๑๕ วาเปนคั่นเวียนขึ้นไป ถึงหลังเปนดินราบเสมอพื้นตลิ่งทั้งปวงในที่นั้น เขาว่าเดินตลอดมาได้ จนถึงสระ ๔ มุม เดินทางไปข้างขวามือ ได้ร่มไผ่แลต้นไม้อื่นๆ บ้าง ทางประมาณสัก ๑๐ เส้น เปน ๓ แยก ๆ หนึ่งขึ้นไปดูที่ต้นน้ำตกไม่ไกลนัก มีทางน้ำออกจากศิลา ๓ แห่ง แต่ไม่เปนลำธารน้ำไหลนองไป เปนแต่ทางน้ำไหลลงไปจนถึงที่พุ ที่ท่วมเปนห้วงๆ อยู่ตามพื้นก็มี ตามทางน้ำไหลไปนั้น กว้าง ๕ ศอกบ้าง ๖ ศอกบ้าง ๗ ศอกบ้างหลายแยกกันไปหลายทาง ไปลงที่น้ำตกใหญ่นี้ เปนทางใหญ่หน่อยหนึ่งมีรากไม้อยู่ตามรางน้ำเต็มไปทั้งนั้น สีเขียวๆ ขาวๆ แดงๆ เหมือนอย่างกับรากต้นไม้ที่แช่ไว้ในขวดน้ำ ดึงมาเล่นง่าย ๆ ข้างนั้นมีปรำเปนที่พักตรงกลางทางสามเพร่ง มีต้นมเดื่อดิน ๓ ต้น มีลูกอยู่ริมโคนต้นบ้างตามลำต้นบ้าง หยุดเก็บอยู่หน่อยหนึ่ง กินกาแฟไปพลาง เดินลงไปดูหมายว่า จะไปให้ถึงหลังน้ำพุก็ไปไม่ได้ ทำนองไปขี้เกียจลุยทางตั้งแต่น้ำออกจากศิลาข้างบนไปถึงที่ตรง เปนน้ำพุสัก ๙ เส้น ๑๐ เส้น ไม่มีศีลาเปนเขาเปนห้วยสิ่งไร เปนพื้นแผ่นดินราบน้ำพุนั้นก็เปนศิลาอยู่ริมตลิ่งเท่านั้น เดินกลับมาลงเรือไปดูบ่อน้ำร้อน แรกขึ้นไปเห็นมีบ่อในระหว่างก้อนหิน มีไม้ไผ่พาดอยู่ลำหนึ่ง มีตะพานไปถึง เข้าใจว่าเปนบ่อน้ำร้อนแน่ วางไปที่นั่นลองดู น้ำนั้นไม่เห็นร้อน เหมือนกับน้ำตามทำเนียม นึกว่าน้ำจะไม่ร้อนจริง เดินกลับมาเสียทีหนึ่ง พอเขาบอกว่ามิใช่บ่อน้ำร้อน บ่อน้ำร้อนนั้นอยู่ข้างหลังพลับพลา ออกไปดูเห็นน้ำนั้นร้อน แต่เปนบ่ออยู่กับดินเล็กไม่น่าดู ผู้ที่ทำพลับพลาเขาบอกว่า ที่นี่มิใช่บ่อใหญ่บ่อใหญ่มีอยู่อิกแต่ทางกันดาร เราเข้าใจว่าจะเปนทางในป่าเข้าไปอิก ถามว่าไกลสักกี่มากน้อย บอกว่าทางเลียบหินไปอิกสัก ๒๗ วา เราว่าไม่ขัดเสบียงออกพอไปได้ ก็ต่ายไปตามศิลา ท่าทางอยู่ข้างจะซนสักหน่อย ไปถึงที่นั่น เปนบ่อน้ำอยู่ในระหว่างก้อนหิน มีทางน้ำไหลมาจากศิลา ๒ ทาง ก้อนหินตั้งอยู่กลาง ที่ตรงน้ำไหลมานั้นมีคราบน้ำ เปนหินฤๅหินดินสอ ฤๅที่เรียกว่าจ๊อก จับกรังอยู่กับกิ่งไม้ปลิดได้ง่าย น้ำที่ไหลมาจากปากช่องนั้นร้อนจัด แล้วมาตกลงในบ่อศิลา กว้างประมาณสี่ศอกเศษ ยาวสักสี่วาสองศอกถึงแม่น้ำ ๆ ในบ่อนี้ก็ร้อนเหมือนกัน แต่ไม่ถึงที่ไหลมาใหม่ ๆ น้ำเย็นไหลเจือเข้ามาได้ น้ำร้อนนั้นประมาณกันว่าร้อนสัก ๑๔๐ ดิครี ๑๕๐ ดิครี ไปนั่งอยู่ที่ก้อนหินกลางบ่อ ร้อนเหงื่อเปียกเหมือนกับเข้ากระโจม ลองต้มไข่ดูว่าจะสุกฤๅไม่สุกก็ไม่แน่ ด้วยไข่เรามีไปบังเอินเสียทั้ง ๒ ใบ แต่แช่ชาแดงเปนแน่ ว่ากันต่าง ๆ ว่าเปนน้ำสิ่งนั้นบ้างสิ่งนี้บ้าง แต่ไม่มึกลิ่นกำมะถัน ชิมดูรศกร่อยเหมือนหนึ่งกับน้ำถูกปูน ฤๅดินสอที่ทำให้น้ำเดือดได้ แต่จะว่าเดือดด้วยดินสอด้วยปูนก็ไม่แน่ เราไม่เข้าใจในเรื่องทดลองเหล่านี้ แต่คนที่เข้าใจคิมิสตรีอยู่บ้าง ก็ไม่เห็นว่าเดือดด้วยกำมะถัน ในบ่อนั้นมีปลาตัวเล็กว่ายอยู่ ๒ ตัว ชาวบ้านเขาเรียกว่าปลาสร้อย แต่มิใช่ปลาเกิดในนั้นเอง เปนปลาแม่น้ำว่ายเข้าไปได้ตามซอกศิลา เล่ากันว่าเมื่ออยู่ข้างนอก หางไม่แดงมาก เปนแต่สายแดง ๆ น้อย ๆ เมื่อเข้าไปในที่นั้นถูกร้อน หางแดงเหมือนปลากัด อิกตัวหนึ่งนั้นเรียกว่าปลารากกล้วย อยู่ข้างนอกสีเหลือง เข้าไปในนั้นเปนลายขึ้น จะจริงฤๅไม่จริงก็ไม่ทราบ ปลานั้นจะว่ายกลับออกมาได้ ฤๅจะอยู่ในนั้นจนตายก็ไม่ทราบ แต่ดูน้ำร้อนจัด เปนอายเหมือนหนึ่งน้ำต้ม นั่งอยู่ที่นี่นานสักครึ่งชั่วโมง คนเหงื่อโทรมงตัว จึงต่ายกลับมาลงเรือข้ามไปอาบน้ำพุใหญ่ มีบันใดพาดขึ้นไปถึงอ่างใหญ่ ที่ตรงกลางน้ำนั้นตกลงมาเปนหลายทาง ๆ หนึ่งนั้นตกลงมาในอ่าง กระทบกันเปนชั้นๆ หลายอ่าง ดูเหมือนหนึ่งเขียนฤๅที่ไทย ๆ แกล้งทำแต่ก่อน ยากที่จะพรรณาให้เห็นจริง ข้างซ้ายมือเปนศิลาน่าผาชัน ยอดข้างบนเสมอพื้น น้ำตกรอบเขาลงมาถึงอ่างใหญ่ ที่มีบันใดขึ้นไป เหมือนหนึ่งกับกรอบแก้ว ที่น่าผานั้นมีต้นไผ่แลต้นใบแฉกเล็ก ๆ ขึ้นเต็มทั้งน่าผา เหมือนหนึ่งกับเอาพรมฤๅกระดาษปิดผนัง ฤๅดอกไม้ร้อยแบบขึ้นไปปะไว้ เขียวสดๆ เวลาน้ำตกข้างนอก ต้นไม้ที่น่าผานั้นอยู่ข้างในงามแท้ทีเดียว ที่ทางน้ำตกเล็ก ๆ ลงไปอิกนั้น ตกลงมาเปนคั่นบันใดกระทบกันเปนชั้น ๆ ชั้นหนึ่งก็มีอ่างๆหนึ่งตกลงมาถึงอ่างแล้วก็ตกลงมาเปนน้ำราดปากอ่างลงมาอิกเปนชั้น ๆ กระทบศิลาเปนฝอยขาวเสียงดังงามนัก ที่ปากอ่างมีต้นไผ่จีนเล็ก ๆ ขึ้นเปนหย่อม ๆ เหมือนหนึ่งไผ่จีนที่ปลูกเขามอเล่น แลเฉภาะที่ที่ควรจะปลูกด้วย ที่เปนก้อนศิลาน้ำตกข้างบนทุก ๆ แห่ง มีต้นแฉกแซมไปตามซอกศิลาที่ไม่ถูกทางน้ำราดไปราย ๆ เปนแต่น้ำซึมพอถูกใบเขียวสดชื่นอยู่เสมอ ถ้านักเลงเขามอฤๅช่างแล้ว ควรจะดูจริง ๆ ทีเดียวไม่เห็นว่าน้ำพุที่ไหนจะงามเท่าที่นี่เลย ไม่เปนของใหญ่เกินในตาที่จะแลดู แลเกินกำลังที่จะทำเอาอย่างถ้าเราได้เห็นช่างก่อภูเขาแลดูน้ำพุอย่างนี้ขึ้นในบางกอก ก่อนที่ได้มาเห็นภูเขานี้ คงจะคิดว่าช่างนั้นแกล้งทำให้งาม เกินกว่าที่จะเปนเองได้ แก่ก่อนมาเห็นรูปเขียนบ้าง ช่างทำภูเขาบ้างยังไม่งามถึงที่นี่ เรายังนึกว่าช่างเห็นจะไม่ได้เห็นอะไร เปนแต่ทำเอาตามชอบใจ แต่มาเห็นที่นี่พาให้เชื่อไปว่าครูช่างเขาเห็นจะได้ตามเสด็จ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมาทางปีหลายเที่ยว เขาจึงทำตัวอย่างให้เขียนต่อ ๆ มา จะพูดให้ถูกไม่ได้ต้องดูรูป เราได้สั่งให้ถ่ายรูปไว้แล้ว ที่น้ำพุนั้นปีนขึ้นไปได้ง่าย ด้วยอ่างเปนชั้น ๆ ขึ้นไปเหมือนหนึ่งคั่นบันใด แต่ปีนขึ้นไปเปนชั้น นับได้ถึง ๗ ชั้น แต่ที่อ่างใหญ่นั้น น้ำฦกมากถึง ๔ ศอก อ่างเล็กก็อยู่ในศอกเศษ ๒ ศอกเศษบ้าง ปากอ่างนั้นเปนโคลนตะกอนน้ำอ่อน ๆ ที่จะเปนศิลาสีขาวเหลืองอ่อน ๆ เจือแดงบ้าง ก็จับกับกิ่งไม้คดเคี้ยวไปตามรูปกิ่งไม้ที่จะเปนไปได้ ที่แขงเปนหินแล้วก็มี ที่ยังอ่อนก็มี บางทีก็ขาวทีเดียวเหมือนกับฟองน้ำ หักออกข้างในมีกิ่งไม้บ้างมีใบไม้บ้าง เราขึ้นไปถึงชั้นกลาง พบศิลาเปนใหม่ รูปร่างเหมือนกับกระบอกไม้ แกะลวดลายสำหรับปักธูปอย่างจีน สองกระบอกติดกัน มีต้นไผ่แลหญ้า ตะไคร้น้ำขึ้นไปนั้นช่วยกันกับท่านเล็กเอาขวานฟัน มานำเขามอเล่น น้ำที่ตกมาจากเพิงผาสูงนั้น ถ้าเอาหลังเข้าไปรองอาบ ทนไม่ค่อยจะไหว เจ็บเหมือนอไรแทะปราบ ๆ ไปทั้งตัว น้ำนั้นใสบริสุทธิแต่ไม่สู้เย็นเหมือนอย่างเช่นเราคิดกลัวแต่ก่อน อาบได้นานไม่หนาวเหมือนที่จันทบุรี แต่น้ำชิมดูกร่อย ๆ ฝาด ๆ รศไม่สนิทกินไม่ได้ จะเปนด้วยใบไม้ใบไล่แลน้ำเดิมไม่สู้ดีด้วย อาบเล่นอยู่นานเพลินไปชั่วโมง ๑ สนุกอย่างยิ่ง แล้วกลับลงมาอาบน้ำตีนท่าอิก กลัวว่าจะไม่สบาย เลื่อนเรือไปกินเข้าเช้าที่ท่าขึ้นต้นธาร ล่วงไปถึง ๕ โมงไม่รู้สึกหิวเลย ที่บนฝั่งนั้น เขาว่ามีเครื่องยาหลายอย่าง แต่เราไม่ได้ไปเที่ยวหา ปักธงให้เขาชักรูปแล้ว ออกเรือเที่ยงสามส่วน มาอิกหน่อยหนึ่งมีน้ำพุ่งออกมาจากศิลา ริมน้ำสูงกว่าแม่น้ำสักศอก ๑ แห่ง ๑ อิกแห่งหนึ่งสูงขึ้นไปสักสองศอก น้ำมากกว่าที่ว่าแรกนั้นสักหน่อยหนึ่ง ไม่ประหลาดสิ่งไร ต่อมาอิกหน่อยหนึ่ง เปนเขาใหญ่ลงอยู่ริมน้ำน่าผาชัน ๆ เปนหลืบเปนมอต่าง ๆ เหมือนอย่างเช่นมีมาแล้ว มีมอศิลายื่นออกมาในน้ำ เหมือนหนึ่งเปนกับนเขาออกมาก้อนหนึ่ง แต่รากไม่มี สูงขึ้นไปพ้นน้ำสักศอกเศษ มีน้ำหยดเปนเม็ด ๆ ถี่มากทั่วไปทั้งรากเขาถูกน้ำกระจายเปนฝอยเหมือนหนึ่งฝนตกลงในน้ำ ที่เขาถ้ำผึ้งเปน ๒ ยอดติดกันสูงกว่าเขาที่เปนเพิงแต่ก่อน ที่น่าเขานั้นลงมา มีศิลาอยู่ในน้ำก้อนหนึ่ง เมื่อนับแลเห็นเขาลูกกระวานแลเขาถ้ำผีอยู่ข้างน่า ต่อไปอิกถึงแก่งละว้า มีคลองละว้าอยู่ฝั่งข้างซ้าย น้ำเชี่ยวนักพื้นแก่งเปนศิลาก้อนโต ๆ เขาละว้าอยู่ข้างซ้ายมือ ร่องน้ำไปข้างริมผาใหญ่ แต่ถ่อกรานกันอยู่กว่าจะพ้นถึง ๒๕ มินิต พอไปพ้นแก่งนั้นแลดูไปรอบข้าง เห็นเปนเขาล้อมรอบบังแดดร่มมาก ดูงามนัก ได้ยินเสียงน้ำพุจะมีข้างน่าที่น้ำพุนั้นอยู่ เขากินรใหญ่กว่า ๒ แห่งที่พ้นมาแล้วหน่อยหนึ่ง แต่ไม่งดงามสิ่งไรไหลออกมาตรง ๆ ตัวเขากินรเองนั้นเปนเขางามนัก ตั้งอยู่ริมน้ำยาวตลอดไปหลายคุ้ง ห่างบ้างชิดบ้าง ที่เปนศิลาแท่งทึบใหญ่หยั่งลงมาถึงน้ำ ไม่มีต้นไม้ข้างล่างเลย มีแต่บนยอดก็มี แลกลับไปข้างน่า เห็นยอดเขาถ้ำผีที่จะถึงตั้งอยู่ริมน้ำข้างน่าต่อไปเปนยอดสูงซ้อนกันหลายชั้น แล้วเทือกเขานั้นตั้งอยู่ข้างซ้ายมือ ยังอยู่ในเขานั้นน้ำเชี่ยวอิกแห่งหนึ่ง แต่ยังไม่เท่าแก่งละว้า ที่ริมน้ำมีศิลาโค้งขึ้นไปเหมือนรูปนกแก้ว เขาควายมีพื้นศิลาพอปริ่ม ๆ กับน้ำอยู่ใต้นั้นดูชอบกลจริง ๆ เหลียวมาข้างขวามือเขากินรยังไม่หมด แต่เปลี่ยนอย่างทุกคราวที่เหลียวมา บางแห่งยอดเขาตัดเปนคั่น ๓ คั่นลดลงมาเปนลำดับ ยอดเสมอดูเหมือนหนึ่งทำเปนหลังถนน ฤๅหลังเชิงเทินกำแพงบนยอดเขาสูงต้องแหงน ดูประหนึ่งว่าถ้าจะขี่รถฤๅม้า ก็ดูเหมือนหนึ่งไปในถนนบนยอดเขาราวกับคนทำไว้ ดูต่อไปอิกก็เปลี่ยนอย่างไปใหม่ บ้างก็เปนศิลาย้อยลงมาแต่ยอดเขาเหมือนที่น้ำราด บางทีก็เปนน่าใหญ่เปนศิลาแท่งทึบเหมือนดังกำแพง แหงนขึ้นไปจนฅอตั้งบ่าจึงเห็นต้นไม้ ที่ตามน่าผาที่เหมือนหนึ่งกำแพงนั้น บางทีเปนหลืบเข้าไป มีรอยฟองน้ำเหมือนหนึ่งที่น้ำตกห้อยย้อยลงมา บางแห่งก็เปนที่ใต้ยอดเขาลงมาหน่อยหนึ่ง ฉง้อนศิลายื่นออกจากยอดเขามีทางน้ำหยดที่เรียกกันว่าฟองน้ำเหมือนถ้ำเขาหลวงเมืองเพ็ชรบุรี ห้อยรายกันไปเหมือนระบายยาวบ้างสั้นบ้าง เขาว่าเวลาน่าน้ำ ๆ ตกจากยอดเขานั้นลงมาทางภู่ศิลาฟองน้ำที่ห้อยอยู่นั้นเห็นจะจริงเปนแน่ ด้วยพยานสำคัญทางน้ำแลเห็นเปนคราบตลอดน่าผา แลภู่ฟองน้ำก็ยังติดอยู่มาก ถ้าได้เห็นเวลานั้นจะงามสักเพียงใด ด้วยน้ำราดตกลงมาสูงถึง ๓ เส้น ๔ เส้นยาวหลายสิบวา เห็นจะสูงใหญ่กว่าน้ำพุที่คิดว่าจะทำที่เอกซิหิบิชันปารีส ปีนี้มาก เขากินรได้ชื่อเพราะน่าผ่าเหล่านี้ ด้วยตามน่าผานั้นเปนหลืบเปนเพิงศิลาข่อง ๆ ไปมากหลายแห่ง เขาคิดเอาว่าเปนรังที่กินรมาอาไศรย แห่งหนึ่งเปนเหมือนหนึ่งคูหาวิชาเยนร์ทีเดียว ฦกเข้าไปหน่อยหนึ่งที่ตรงน่านั้นเฉภาะมีแผ่นศิลาจะเปนอะไรรองก็ไม่รู้ แลดูเหมือนกับเตียงตั้งอยู่พอเต็มคูหา เขาว่าเปนแท่นของนางกินรมานั่ง ที่เปนคูหาเล็ก ๆ น้อย ๆ อิกมากหลายคูหา ที่ใหญ่ก็มีหลายแห่ง บางทีดูเหมือนหนึ่งเปนโพรงฦกเข้าไปบ้าง ถ้ากินรจะมาอยู่ที่นี่จริง คนเห็นจะสิ้นวิชาที่จะปีนฤๅจะคิดอ่านเกี้ยวพาราสีได้ เหมือนอย่างอุนรุธ แลพระสุทนต์ ด้วยน่าผาชันนักแล้วก็ไม่มีพื้นดินเลย ตั้งอยู่กับน้ำทีเดียว ถ้าจะจับให้ง่ายก็เห็นจะได้แต่ยิงด้วยปืน เขานี้งามนักจะพรรณนาก็ไม่ชัดเจนได้เหมือนตาเห็น ในเขากินรนั้นเองมีน้ำพุอิกแห่งหนึ่ง เราไปถึงบ่าย ๒ โมง ๕๕ เกือบ ๓ โมงแล้ว ขึ้นที่ถ้ำแพบวบไปดูที่ต้นน้ำจะมา เห็นเปนก้อนศิลาใหญ่ น่าเพล่เปนเพิงอยู่ ที่ใต้เพิงนั้นมีศิลาก้อนย่อม ๆ ตั้งเรียงรายเปนที่พอขังน้ำได้ฦกศอกเศษ น้ำพุออกมาแต่ใต้น่าผาพลุ่งขึ้นสูงแล้วมากระทบศิลาข้างน่า น้ำพุขึ้นมานั้นแรงนักเสียงดังมาก ตามรอบๆที่ขังน้ำเปนศิลาก้อนใหญ่บ้างเล็กบ้าง ที่อยู่บนฝั่งข้างขวามือเวลาขึ้นไป ตั้งหมิ่นน่ากลัวจะพลัดตก น้ำนั้นไหลตามลำธารศิลาก้อน ๆ ซ้อนกันบ้างบังกันบ้าง แต่แยกเปนสองทาง ๆ หนึ่งไหลลงไปในถ้ำ ใต้มอมีศิลาแล้วไปพุขึ้นนอกถ้ำ ข้างแม่น้ำทางหนึ่งไหลลงไปตามธารตรง ๆ ไปร่วมกับทางน้ำที่ออกจากถ้ำ ที่ตรงที่ร่วมนั้น เปนศิลาลดพื้นลงไปเปนแอ่งกลางน้ำ เฉภาะไปลงร่วมกัน ที่นั่นไหลแรง นั่งอาบในอ่างนั้นได้สัก ๔ คน ๕ คน นั่งพับเพียบน้ำเพียงราวนม ลำธารนั้นกว้าง ๕ ศอกบ้าง ๖ ศอกบ้าง เสียงน้ำกระทบศิลาดัง ที่น้ำพุนี้ตั้งอยู่ใกล้น้ำขึ้นไปเพียง ๖ วา ๗ วา ก็ถึงบ่อที่น้ำเกิด น้ำที่นั่นกร่อยเหมือนดังที่พ้นมาแล้ว แต่เย็นกว่าสักหน่อย เราอาบน้ำแล้วกลับลงเรือบ่าย ๓ โมง ๒๕ มินิต มาหน่อยหนึ่งน้ำเชี่ยวมีหาดกรวดกลางน้ำ สัก ๑๐ มินิตถึงตรงน่าถ้ำผี ตัวเขาถ้ำผีเองนั้น เปนเขาสูงยอดแหลม ได้ออกชื่อมาแต่ก่อนนั้นแล้ว แตที่ถ้ำนี้อยู่ไม่ถึงกึ่งกลางเขา หนทางชันเต็มทีเกือบจะตรง แต่พอคนปีนขึ้นไปได้ ได้ลองวัดดูตั้งแต่ปากถ้ำลงมาถึงน้ำ ๑๗ วา พระชลธารได้เคยขึ้นไปบนนั้น บอกว่ากว้างยาวประมาณ ๑๐ วา ถ้านี้ฦๅกันมานานแล้วว่ามีเรืออยู่บนนั้น เปนเรือดั้งเรือกันของโบราณ สมเด็จเจ้าพระยาให้พระชลธารขึ้นไปดู เห็นมีเปนรางยาวประมาณสัก ๓ ศอกกว้างศอกหนึ่ง ที่หัวรางนั้นเปนไม้หยักไว้ เหมือนหนึ่งรางย้อมผ้าทำด้วยไม้ประดู่แต่เก่ามาก สีเหลือง มีอยู่ ๔ รางด้วยกัน แต่สามรางนั้นมีตัวอะไรกัดผุเสียบ้าง อิกรางหนึ่งนั้นยังบริบูรณ์ดีอยู่ พระชลธารเอาตั้งขึ้นเมล็ดไว้ข้างบน แลดูเหมือนดังพระพุทธรูปยืนตั้งอยู่ในนั้นคนมาไหว้มากด้วยกัน แล้วต่างคนต่างสืบถามกันจอกแจกมากวันนี้ อิก ๖ มินิตจะ ๔ โมงออกเรือจากถ้ำผีมาถึงพลับพลาหาดตาเหล็กบ่าย ๔ โมงตรง จอดเรือได้ง่าย พอถึงพระสัจจาเอากวางมาตัว ๑ โตใหญ่นักเห็นจะเปนกวางแก่กำลังตกมัน เขาวัดกันว่าสูงถึง ๒ ศอก ที่น่าพลับพลามีน้ำพุอิกแห่งหนึ่ง เราลงเรือไปดูเห็นที่นั่นมีก้อนเขาบัง แลดูที่ตรงน่าพลับพลาไม่แลเห็น แต่เยื้องขึ้นไปข้างเหนือหน่อยหนึ่งจึงเห็น แลดูเปนช่องกว้างประมาณสัก ๒ ศอก เหมือนหนึ่งกับท่อน้ำ ๆ ไหลลงมาแรง กระทบศิลาที่ปากช่องเปนฝอยขาวลงมาจนถึงน้ำ สูงแต่น้ำขึ้นไปถึงปากปล่องสัก ๘ ศอก ๙ ศอก แม่น้ำที่ตรงนี้แคบ ที่น่าพลับพลาเปนเขาถึงน้ำชันคนขึ้นไม่ได้ ถ้าจะแลดูไปข้างหลังแลข้าง ๆ เห็นเปนเขาล้อมอยู่เกือบจะรอบ เหมือนหนึ่งเมื่อไปอยู่เมืองพังงา เว้นแต่ด้านตวันตกเปนป่าไม้บัง เมื่อพลับพลาตั้งอยู่ใกล้ ๆ ต้นไผ่นั้นก็ไม่แลเห็นเขา แต่ถ้าออกห่างน่าพลับพลามาหน่อยหนึ่ง เห็นเปนเขาล้อมรอบทีเดียว น่าพลับพลาหันไปตรงทิศตวันออกอยู่ฝั่งข้างซ้ายมือ ในแม่น้ำนี้รู้สึกว่ามีน้ำขึ้นน้ำลงเปนเวลา แต่เห็นจะไม่เกิน ๔ นิ้ว ๕ นิ้ว แต่ท่าน่าน้ำ ๆ เห็นจะมากนัก ดูที่เขาคราบน้ำขึ้นไป ๓ วา ๓ วาเศษ บ่าย ๕ โมงลงเรือไปเที่ยวเล่นเย็น ๆ แต่ไม่มีสิ่งใด ในวันนี้ตั้งแต่ลงเรือเช้ามา ไม่เห็นมีสัตวสิ่งใดลงมาริมน้ำ แต่ชั้นนกก็ไม่ค่อยจะมี เสียงก็ไม่ค่อยจะได้ยิน เขาว่าที่นี่มีน้ำลำธารบนฝั่งมาก สัตวไม่ใคร่จะลงมากินน้ำแม่น้ำ อาไศรยลำธารบนบกเสียพอสบายแล้ว สองข้างทางมาวันนี้มีเขามาก เปนอย่างต่าง ๆ กัน เปนงามกว่าทุกอันที่ได้มาแล้วแต่ก่อน เรากลับมาพลับพลา ๕ โมงสามส่วน ลมในแม่น้ำพัดสบายดีกว่าที่พลับพลาหลายส่วน บ่ายแล้วเธอมอเมตเตอรยังอยู่ถึง ๘๘ เวลาสักทุ่ม ๑ มีฟ้าร้องฟ้าแลบฝนตกลงเม็ดราย ๆ น้อย ๆ ประมาณสักครึ่งโมงจึงหายไม่ทันเปียกอะไร ค่ำพระศรีสวัสดิกรมการมาหา ให้ผ้าม่วงกับเสื้อเข้มขาบเขา เพราะเขาทำการพลับพลา เวลาค่ำสัก ๔ ทุ่ม ๕ ทุ่มเธอมอเมตเตอรอยู่ ๘๒

  1. ๑๑๒. พระชลธารพินิจจัย (ฉุน)

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ