๕๐. พากุลชาดก

สุนขทาส วจนนฺติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรนฺโต เทวทตฺตํ อารพฺภ กเถสิ

สตฺถา สมเด็จพระบรมศาสดาจารย์ เมื่อเสด็จสำราญพระอิริยาบถอยู่ ณ เชตวัน อารพฺภ ทรงพระปรารภพระเทวทัตให้เป็นเหตุเบื้องต้น กเถสิ จึงทรงแสดงผลคือชาดกนี้ อันพระสังคีติกาจารย์กำหนดด้วยบาทคาถาว่า สุนขาส วจน ดังนี้เป็นอาทิ

ทิวสํ หิ แท้จริง วันหนึ่งภิกษุทั้งหลายนั่งสนทนากันในโรงธรรมสภาว่า ดูกรอาวุโสทั้งหลาย พระเทวทัตทำความเพียรตะเกียกตะกายเพื่อจะฆ่าพระผู้มีพระภาคเจ้า แต่ก็ไม่สามารถที่จะฆ่าพระพุทธองค์ได้ มาบัดนี้พระเทวทัตนั้นก็ถึงความพินาศฉิบหายไปเอง

ในลำดับนั้น สมเด็จพระบรมศาสดาได้ทรงสดับอุปวาทกถาของภิกษุทั้งหลายด้วยทิพย์โสตญาณ จึงเสด็จอุฏฐาการจากอาสน์เสด็จพุทธลิลาศมาทรงประทับ ณ โรงธรรมสภา แล้วมีพระพุทธฎีกาตรัสถามว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายนั่งสนทนาถึงเรื่องอะไรกัน ครั้นภิกษุทั้งหลายทูลความตามที่ได้สนทนานั้นให้ทรงทราบ จึงมีพระพุทธดำรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระเทวทัตจะได้คิดประทุษร้ายตถาคตแล้วและถึงความฉิบหายแต่ในชาตินี้เท่านั้น หามิได้ แม้ถึงในชาติปางก่อน พระเทวทัตก็ได้คิดประทุษร้ายตถาคตแล้ว และถึงความฉิบหายดุจชาตินี้ มีพระพุทธดำรัสดังนี้แล้วก็ทรงดุษณีภาพ พระภิกษุเหล่านั้นจะใคร่ทราบอดีตนิทานจึงทูลอาราธนา พระพุทธองค์ก็ทรงนำเรื่องในอดีตกาลมาตรัสเทศนาดังต่อไปนี้ว่า

อตีเต ภิกฺขเว พาราณสิยํ พฺรหฺมทตฺโต นาม ราชา รชฺชํ กาเรสิ ฯลฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในกาลเป็นอดีตล่วงแล้วพระราชาทรงพระนามว่าพรหมทัต ทรงครองราชสมบัติอยู่ในเมืองพาราณสี ในกาลนั้นมีเศรษฐีผู้มีทรัพย์คนหนึ่งชื่อว่าโภควุฒิ ตั้งบ้านเรือนอยู่ในทิศบูรพาแห่งเมืองพาราณสี เศรษฐีนั้นเป็นผู้บริบูรณ์ด้วยโภคทรัพย์สมบัติ และมีทรัพย์นับประมาณได้ ๗ โกฏิ ทั้งเป็นผู้มีบริวารมากมาย แต่ไร้บุตรคือยังหามีบุตรไม่ ครั้นอยู่นานมาโภคทรัพย์ที่มีอยู่นั้นก็ร่อยหรอไป ยังเหลืออยู่ประมาณสักเล่มเกวียนหนึ่งหย่อน ๆ เศรษฐีนั้นจึงประกอบการทำมาหากินด้วยตนสองคนกับภรรยา

ฝ่ายบิดาของเศรษฐีนั้น ตายไปเกิดเป็นพระอินทร์อยู่ในพิภพดาวดึงส์ ในกาลนั้นพระโพธิสัตว์ของเราทั้งหลาย ก็ขึ้นไปอุบัติอยู่ในชั้นดาวดึงส์เหมือนกัน แต่ถึงคราวที่จะสิ้นอายุจุติแล้ว ขณะนั้นโภควุฒิเศรษฐีมีอายุได้ ๔๐ ปี เป็นผู้ยากจนลงโดยลำดับๆ มาที่นั้น บิดาที่ไปเป็นพระอินทร์จึงนึกขึ้นมาถึงเศรษฐีที่เป็นบุตรว่า บุตรของเราที่อยู่ในมนุษย์โลกเป็นอย่างไรหนอ ครั้นพิจารณาไปก็รู้ว่าบุตรนั้นยากจนลง จึงดำริเห็นว่า บุตรของเราผู้นี้จะดำรงวงศ์ตระกูลไว้ไม่ได้ ตระกูลของเราก็จะเสื่อมสูญเสีย อย่ากระนั้นเลย เราจะต้องปลูกหน่อตระกูลของเราขึ้น ให้สืบต่อประเวณีเชื้อสายของตระกูลต่อไป ครั้นดำริดังนี้แล้วจึงพิจารณาเลือกหาผู้ที่มีบุญญาธิการก็ได้เห็นพระโพธิสัตว์ผู้จะสิ้นอายุสังขารจุติอยู่แล้ว จึงไปสู่สำนักพระโพธิสัตว์นั้น ยืนแทบประตูวิมานแล้วกล่าวว่า ดูกรท่านผู้เนียรทุกข์ตัวท่านจะสิ้นอายุจุติจากภพนี้แล้ว ขอท่านจงได้ไปเกิดในครรภ์ภรรยาของโภควุฒิเศรษฐีนั้น เทอญ

พระโพธิสัตว์นั้น รับคำเชื้อเชิญของท้าวสักกเทวราชแล้ว ครั้นเวลามัชฌิมยามกึ่งราตรี ก็จุติจากดาวดึงสเทวพิภพ ลงไปปฏิสนธิในครรภ์ภรรยาของโภควุฒิเศรษฐี

ในเวลากึ่งแห่งราตรีที่พระโพธิสัตว์ปฏิสนธินั้น ภรรยาของโภควุฒิเศรษฐีได้เห็นสุบินนิมิตว่า มีต้นจำปาต้นหนึ่ง ประดิษฐานเอารากหยั่งลงในอ่างทองทั้งสอง อันตั้งอยู่โดยลำดับกันในท่ามกลางเรือน เมื่อกาลล่วงไปได้ ๑๐ ปี อ่างทองใบที่หนึ่งก็แตกทำลาย ฝ่ายอ่างทองใบที่สองนั้น ครั้นกาลล่วงไปได้ ๑๕ ปีก็แตกทำลายอีก แต่ต้นจำปานั้นทะลึ่งสูงขึ้นไปในอากาศ แล้วกลับลงมาประดิษฐานอยู่ ณ ท่ามกลางพระนคร มีกิ่งและใบวรรณสัณฐานและออกอันงามวิจิตรยิ่งนัก ครั้นนางตื่นขึ้นแต่เช้าตรู่ จึงคิดรำพึงว่าสุบินนิมิตของเราจะดีร้ายอย่างไรหนอ คิดดังนี้แล้ว ก็ไปสู่สำนักพราหมณ์ผู้ทำนายสุบิน จึงเล่าความตามนิมิตฝันนั้นให้ฟัง แล้วถามว่า สุบินนิมิตของข้าพเจ้านี้จะร้ายดีประการใด ขอท่านได้เมตตาพิจารณาตูให้ข้าพเจ้าด้วยเถิด

พราหมณ์ผู้ทำนายสุบินนั้น ก็พิจารณาใคร่ครวญดูตามสุบินนิมิตแล้วทำนายว่า ดูกรนางผู้เจริญ ท่านจักได้บุตรผู้หนึ่งซึ่งมีบุญญาธิการมาก แต่ทว่าเมื่อบุตรนั้นมีอายุได้ ๑๐ ปี ตัวท่านผู้เป็นมารดาก็จักถึงซึ่งตวามตาย ครั้นต่อมาเมื่อบุตรนั้นมีอายุได้ ๑๕ ปี ท่านที่เป็นบิดาก็จักจะทำกาลกิริยาตาย ต่อไปเบื้องหน้าบุตรของท่านนั้นจักได้ครองราชสมบัติเป็นอิสรภาพในเมืองพาราณสีนี้

ภรรยาของโภควุฒิเศรษฐีได้ฟังคำทำนายดังนั้นก็มีความโสมนัสยินดีเป็นอันมาก จึงอำลาพราหมณ์ผู้ทายนิมิตกลับมาเรือนตนแล้วเล่าความที่ได้นิมิตฝัน และเล่าความตามที่พราหมณ์ผู้ทายสุบินได้ทำนายนั้น ให้สามีฟังถี่ถ้วนทุกประการ แต่นั้นมานางก็กระทำคัพภบริหาร คือระวังพิทักษ์รักษาครรภ์ไม่บริโภคของที่เผ็ดร้อนนักเป็นต้น จนครรภ์นั้นถ้วนทศมาส ลมกัมมัชวาตก็บังเกิดจลนาการป่วนปั่น นางก็คลอดบุตรเป็นชายมีผิวพรรณดุจทองคำกรรมชาติมารดาบิดาก็มีจิตพิศวาสยิ่งนัก จึงตั้งชื่อบุตรนั้นว่าพากุลกุมารดังนี้ เพราะถือเอาเหตุที่พราหมณ์ผู้ทายสุบินได้ทำนายไว้ว่า กุมารนี้จะได้เป็นอิสรภาพในตระกูลทั้งสองนั้น เป็นเนมิตกนาม และมารดาบิดานั้นก็มิได้มีความประมาท เพราะเหตุที่รู้ว่าตัวนั้นจักตายเป็นแน่ จึงตั้งหน้าบำเพ็ญทานรักษาศีลห้าและอุโบสถศีล ทั้งประคับประคองเลี้ยงรักษาบุตรนั้นโดยชอบธรรม

เบื้องหน้าแต่นั้น ครั้นพากุลกุมารอายุได้ ๑๐ ปี ฝ่ายมารดาก็ทำกาลกิริยาตาย ขึ้นไปบังเกิดในวิมานทองในดาวดึงสเทวพิภพ ครั้นพากุลกุมารมีอายุได้ ๑๕ ปี เศรษฐีผู้เป็นบิดาก็เกิดพยาธิป่วยไข้ เมื่อได้รับทุกขเวทนาเพราะพยาธิบีบคั้น จึงเรียกบุตรนั้นเข้ามาใกล้แล้วสั่งว่า ดูกรพ่อผู้เป็นลูกรัก บิดานี้เห็นจะตายเป็นแน่ ถ้าบิดาตายแล้วเจ้าอย่าเผาซากศพของบิดาเสียเลย จงนำซากศพของบิดาไปให้นอนหงายอยู่ในป่าช้า แล้วจงตั้งอ่างน้ำไว้ในใกล้ที่ศพนั้น บิดาตั้งใจจะให้เนื้อในสรีระเป็นทานแก่สัตว์ทั้งหลาย ก็เมื่อสัตว์ทั้งปวงกินเนื้อหมดเหลือแต่กระดูกแล้ว เจ้าจงนำเอากระโหลกศีรษะของบิดามารักษาไว้ ถ้าหากว่าเจ้าจะไถนาหว่านข้าวในที่ใด เจ้าจงเอาเชือกผูกกระโหลกศีรษะของบิดาลากไปในที่นั้น ถ้ากระโหลกศีรษะของบิดามิได้ติดข้องอยู่ในที่นั้น เจ้าจงอย่าทำไร่ไถนาในที่นั้นเลย ถ้ากระโหลกศีรษะของบิดาติดข้องอยู่ในที่ตำบลใด เจ้าจงไถนาหว่านข้าวลงในที่ตำบลนั้น ครั้นเศรษฐีสั่งบุตรดังนี้แล้ว ก็กระทำกาลกิริยาตายไปเกิดในดาวดึงสพิภพ

ฝ่ายพากุลกุมารนั้น ครั้นบิดาตายแล้วก็ทำตามคำสั่งของบิดาแล้วเก็บกระโหลกศีรษะของบิดารักษาไว้ จำเติมแต่นั้นมาก็อยู่แต่ผู้เดียวไม่มีญาติและสหายเป็นเพื่อนสอง ครั้นอยู่มาอายุได้ ๑๖ ปี จึงคิดว่าตัวเรานี้เป็นคนผู้เดียวอยู่ครอบครองเรือนอันใหญ่โต มิได้มีผู้ใดเป็นเพื่อนสอง อย่ากระนั้นเลย เราจะไปแสวงหาสัตว์สักตัวหนึ่งมาเลี้ยงไว้เป็นเพื่อนเรา เมื่อเราลากกระโหลกศีรษะบิดาไปข้องอยู่ในที่ใด จะได้ไถนาหว่านข้าวลงในที่นั้น ครั้นคิดดังนี้แล้ว ก็ไปเที่ยวหาสัตว์ที่จะมาเลี้ยงไว้เป็นเพื่อน จึงเดินมาถึงเรือนหญิงหม้ายคนหนึ่ง

ฝ่ายหญิงหม้ายนั้นเลี้ยงนางสุนัขไว้ตัวหนึ่ง นางสุนัขนั้นคลอดลูกออกมาสามตัว ในลูกสุนัขสามตัวนั้น ตัวหนึ่งขาว ตัวหนึ่งเหลือง ตัวหนึ่งแดง

พากุลกุมารนั้น ครั้นไปถึงเรือนหญิงหม้ายก็ได้เห็นลูกสุนัขทั้งสามนั้น จึงขึ้นไปหาหญิงหม้ายแล้วพูดว่า ข้าแต่แม่ ข้าพเจ้าเป็นคนกำพร้าไม่มีญาติ ตั้งแต่มารดาบิดาตายแล้วข้าพเจ้าก็เป็นคนผู้เดียวแท้ ๆ ไม่มีใครเป็นเพื่อนสองเลย แม่จงขายลูกสุนัขให้ข้าพเจ้าสักตัวหนึ่ง ข้าพเจ้าจะซื้อไปเลี้ยงไว้เป็นเพื่อน

หญิงหม้ายได้ฟังดังนั้นก็มีความสงสารจึงพูดว่า ดูกรพ่อ เราไม่ต้องการที่จะซื้อขายเอามูลค่า พ่อจะต้องการตัวไหนก็จับเอาไปตามปรารถนาเถิด แต่ทว่า ตัวเรานี้ก็เป็นคนผู้เดียวมิได้มีบุตรธิดา เราปรารถนาจะตั้งท่านไว้ในที่เป็นบุตรเรา ท่านจงเป็นบุตรของเราแต่วันนี้ไป พูดดังนี้แล้ว ก็เข้าสวมกอดพากุลกุมารจูบเกล้าแล้ว ก็ให้อาบน้ำชำระกายและให้บริโภคโภชนาหาร จึงเตือนให้เลือกจับลูกสุนัขเอาตามชอบใจ

ในลำดับนั้น พากุลกุมารก็จับเอาลูกสุนัขตัวขาว แล้วลาหญิงหม้ายพาลูกสุนัขนั้นไปเลี้ยงไว้ที่เรือน ครั้นต่อมาถึงฤดูฝน มหาชนจะทำไร่ไถนา ต่างก็เที่ยวซื้อหาโคกระบือเป็นต้น บางคนก็ลงมือไถหว่านในที่นานั้น ๆ

ฝ่ายพากุลกุมารนั้นเอาเชือกผูกกระโหลกศีรษะของบิดาลากไปในที่นาต่าง ๆ ตามคำที่บิดาสั่งไว้ แต่ลากมาลากไปถึง ๓ วันล่วงแล้ว หัวกระโหลกบิดาก็มิได้ติดข้องอยู่ในที่นาใด ๆ พากุลกุมารก็ลากต่อไป จนถึงประเทศที่อันตอนสูงประมาณได้ ๑๐๐ วา หัวกระโหลกศีรษะบิดาก็ข้องอยู่ในที่นั้น พากุลกุมารจึงคิดว่า ประเทศที่นี้เป็นที่ราบสูงเกินประมาณนัก เราไม่ควรจะถากไถทำไร่ข้าวสาลีเลย แต่ทว่าเราจะละทิ้งถ้อยคำของบิดาที่สั่งไว้ก็ไม่เป็นการสมควร เพราะฉะนั้นเราควรจะพากเพียรถากไถที่อันนี้และทำให้เป็นที่นา จนกว่าจะหว่านข้าวสาลีลงให้จงได้ คิดดังนี้แล้วจึงยกกระโหลกศีรษะบิดาขึ้นวางไว้ ณ ที่ข้างหนึ่ง จึงกระทำความเคารพกราบไหว้แล้วกลับมาเรือน ครั้นรุ่งขึ้นก็รีบบริโภคอาหารแต่เช้า จึงเรียกลูกสุนัขด้วยเสียงว่า หุหุ แล้วก็พาลูกสุนัขไปสู่ที่อันดอนสูงนั้น พอไปถึงที่ก็แผ้วถางถากทำที่นั้นสิ้นวันยังค่ำ แล้วก็กลับมาเรือนอาบน้ำบริโภคอาหารแล้วก็เข้าที่นอน รุ่งเช้าก็พาลูกสุนัขไปแผ้วถางที่นั้นอีก เวลาเย็นก็กลับบ้านกระทำอาการโดยนัยนี้อยู่สามวัน

ในกาลนั้น พิภพของท้าวสักกเทวราชก็แสดงความร้อนผิดปรกติ ท้าวสักกเทวราชจึงดำริว่า ผู้ใดที่จะทำเราให้เคลื่อนจากเทวสถานหนอ ครั้นพิจารณาดูแลเห็นพากุลกุมารหน่อพุทธางกูร ซึ่งประกอบการงานอยู่อย่างนั้น จึงพาเทพบริษัทลงไปสู่มนุษยโลกช่วยกันแผ้วถางชำระที่ดอนนั้นให้สำเร็จดีแล้วจึงเขียนหนังสือปักไว้ว่า เราคือท้าวสักกเทวราชได้มาชำระถากถางที่อันนี้ไว้สำหรับให้แก่พากุลกุมารผู้เดียว ปักหนังสือแล้วก็กลับไปยังเทวโลก

นทิวเส ครั้นเวลารุ่งเช้า พากุลกุมารบริโภคอาหารแล้วจึงเรียกสุนัขไปสู่ที่นั้น ครั้นได้เห็นที่อันแผ้วถางเตียนเป็นอันดีก็เสียใจด้วยนึกว่ามีผู้มาชำระชิงครอบครองเสียแล้ว จึงแลดูไปในทิศต่างๆ ก็ได้เห็นหนังสือที่เขียนปักไว้ เข้าไปอ่านดูรู้ว่าท้าวสักกเทวราชมาชำระไว้ให้ ก็มีใจโสมนัสยินดีจึงกลับมาเรือน เมื่อต้นไม้ใบหญ้าที่แผ้วถางไว้นั้นแห้งดีแล้ว ก็เอาไฟไปจุดทำให้เตียนเป็นที่นา จึงหว่านข้าวเปลือกลงในที่นั้น แล้วก็กลับมาเรือนอีก จึงจัดแจงรวบรวมทรัพย์สิ่งของเก็บจำซ่อนฝังดีแล้ว ก็ไปยังที่นานั้นกับลูกสุนัขจึงปลูกเรือนเป็นกระท่อมลงในที่นานั้น แล้วอยู่เฝ้าข้าวเปลือกในนาของตน ครั้นข้าวในนานั้นเกิดผลมีรวงเต็มบริบูรณ์ด้วยอานุภาพแห่งกระโหลกศีรษะของบิดา ก็ทำการเก็บเกี่ยวกองเป็นลอมขึ้นไว้ ภายหลังพากุลกุมารโพธิสัตว์นั้นจะใคร่รักษาอุโบสถศีล จึงจัดแจงอาบน้ำชำระกายแต่เวลาเช้า แล้วสมาทานศีลพร้อมด้วยองค์แปดประการ ครั้นสมาทานถือมั่นแล้ว ก็พิจารณาใคร่ครวญดูศีลที่ตนรักษา เมื่อเห็นว่าศีลของตนบริสุทธิ์บริบูรณ์ดีแล้ว ก็เกิดความปีติโสมนัสจึงคิดว่า เรานี้อนาถาเป็นคนผู้เดียวหาญาติกามิได้ จะมาอยู่กลางทุ่งกลางป่าดังนี้ที่ไหนเราจะได้ภรรยากับเขาบ้าง คิดแล้วก็เกิดความสลดใจจึงปริวิตกต่อไปว่า โอ้ตัวของเรานี้เป็นคนผู้เดียวแท้ๆ มารดาบิดาและญาติสาโลหิตมิตรสหายก็มิได้มีเลย เรานี้มีแต่ลูกสุนัขตัวเดียวอยู่เป็นเพื่อน ถ้าเกิดพยาธิป่วยไข้หรือถูกอันตรายแต่เนื้อร้ายเป็นต้นมาเบียดเบียนก็จักถึงซึ่งความตายโดยแท้ อนึ่งเล่าเราก็ปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้า เพื่อจะได้เปลื้องสัตว์ทั้งปวงออกจากสังสารวัฏ ความปรารถนาของเรานี้จะสำเร็จหรือหนอ รำพึงถึงตัวดังนี้แล้ว ก็เกิดความทุกข์โทมนัสน้ำตาไหล

ในขณะนั้น ด้วยอานุภาพแห่งศึลและความปรารถนาของพากุลกุมารโพธิสัตว์ อาสนะของท้าวสักกเทวราชก็แสดงอาการอันร้อน แท้จริงในกาลก่อนหน้านั้น ท้าวสักกเทวราชได้ให้นางธิดาผู้หนึ่ง ซึ่งจวนจะสิ้นอายุจุติจากเทวโลก ไปบังเกิดในครรภ์ของนางอัครมเหสีของพระยาสัตตกุฏราชแล้ว เพราะฉะนั้นเมื่ออาสนะแสดงความร้อน ท้าวสักกเทวราชจึงพิจารณาดู ก็รู้ความปริวิตกของพากุลกุมารโพธิสัตว์นั้น จึงพิจารณาดูนางเทวธิดาต่อไป ก็รู้ว่านางไปเกิดเป็นธิดาของพระยาสัตตกุฏราช ซึ่งครองราชสมบัติอยู่ในสัตตกุฏนคร

แท้จริงเมืองสัตตกุฏนครนั้น ตั้งอยู่ในทวีปน้อยอันหนึ่งซึ่งเป็นบริวารของชมพูทวีปและเป็นเมืองขึ้นของเมืองพาราณสีด้วย แต่ไกลจากชมพูทวีปถึง ๕๓ โยชน์ โดยยาวและกว้างของเมืองนั้นได้ ๔ โยชน์ และเป็นเมืองดอนสูงกว่าชมพูทวีปถึง ๕๐๐ วา ทั้งเป็นมีสวนอุทยานและแม่น้ำ และสระโบกขรณีทั้งหลายแวดล้อม บริบูรณ์พร้อมไปด้วยไร่นาทั้งหลาย มีไร่เพาะปลูกและไร่นาข้าวสาลีเป็นต้น

พระยาสัตตกุฏราชซึ่งครองเมืองนั้น มีพระมเหสี ๗ คน พระมเหสีทั้ง ๗ นั้นมีธิดาคนละคนๆ รวมเป็นธิดา ๗ คนด้วยกัน แต่ฝ่ายนางเทวธิดาที่จุติจากโลกนั้น มายังเกิดในครรภ์นางอัครมเหสีที่หนึ่ง ครั้นนางเจริญวัยได้ ๑๖ ปี มีรูปทรงสัณฐานผิวพรรณอันงามอุดมอย่างยิ่ง เปรียบประดุจดังว่านางเทพอัปสรในสวรรค์

เมื่อท้าวสักกเทวราชส่องทิพเนตรเห็นนางนั้น จึงเสด็จลงจากเทวโลก แล้วไปสู่สำนักพระยาสัตตกุฏราช ประดิษฐานอยู่ ณ อากาศแสดงรูปสิริให้เห็นปรากฏ แล้วกล่าวสุนทรพจน์ว่า ดูกรพระยามนุษย์เรามาหาท่านบัดนี้เพื่อจะขอธิดาท่านคนหนึ่ง ท่านจงให้ธิดาคนที่เกิดในนางอัครมเหสีที่หนึ่งแก่เราเถิด เราจะพาเอาไปให้แก่มาณพหน่อพุทธางกูรผู้มีบุญญาธิการอันยิ่งใหญ่ ต่อไปมาณพหน่อพุทธางกูรนั้นจะได้ครองราชสมบัติในเมืองพาราณสี จักได้เป็นพระราชามีบุญญาธิการอันล้ำเลิศ ธิดาของท่านนั้นก็จักได้เป็นอัครมเหสี

พระยาสัตตกุฏราชได้ทรงฟัง ก็ประคองอัญชลีมีพระหฤทัยจึงมีพระราชดำรัสตอบเทวโองการว่า ข้าแต่ท้าวมฆวานเทวราช ขอพระองค์จงเป็นที่พึ่งของข้าพเจ้า จงพาธิดาของข้าพเจ้าไปตามพระประสงค์ที่ได้ทรงเห็นชอบ แล้วจงทรงประกอบให้เป็นคุณเป็นประโยชน์นั้นเถิด

ท้าวสักกเทวราชได้รับอนุญาตแล้ว ก็เข้าอุ้มราชธิดานั้นเหาะมาโดยอากาศ ครั้นมาถึงที่นาของพากุลกุมารโพธิสัตว์ จึงนฤมิตไข่ฟองหนึ่งใหญ่ประมาณเท่าผลฝัก มีสัณฐานภายในอ่อนนุ่มดุจปุยนุ่นในภายในของไข่นั้น บริบูรณ์ด้วยอาภรณ์เครื่องประดับและชิ้นเนื้อโภชนาหารต่างๆ อันเป็นทิพย์เป็นต้น เมื่อราชธิดานั้นปรารถนาสิ่งใดก็ได้สิ่งนั้นสมดังปรารถนา ครั้นนฤมิตสำเร็จแล้วจึงให้ราชธิดาเข้าไปอยู่ในภายในไข่นั้น แล้วเอาไข่นั้นไปวางไว้ในที่นาของพากุลกุมาร จึงบันดาลให้ลูกสุนัขไปยืนเห่าไข่นั้นอยู่ แล้วท้าวสักกเทวราชก็เสด็จกลับไปเทวโลก

ฝ่ายพากุลกุมารได้ยินเสียงลูกสุนัขเห่าอยู่มิได้หยุด ก็นึกประหลาดใจยิ่งนัก จึงลงจากเรือนกระท่อมเดินไปดูก็ได้เห็นไข่วางอยู่ที่นั้น จึงหยิบเอาไข่นั้นมาเก็บไว้บนเรือนกระท่อมอันเป็นที่อยู่ ครั้นรุ่งขึ้นเช้าก็ไปทำการงานในที่อันเป็นไร่นา

ส่วนราชธิดาที่อยู่ในไข่นั้น เมื่อพากุลกุมารไปแล้วก็ออกจากไข่จึงทำการชำระล้างถูเก็บกวาด ทำเรือนกระท่อมนั้นให้หมดจดสะอาดเป็นอันดี แล้วก็จัดแจงตกแต่งโภชนาหารพร้อมทั้งคาวหวานตั้งไว้แล้วนางก็กลับเข้าไปอยู่ในไข่ตามเดิม

ฝ่ายพากุลกุมารทำการอยู่ในที่นา พอเย็นลงก็กำหนดในใจว่า เวลานี้เป็นเวลาบริโภคอาหารจึงเดินกลับมาแล้วขึ้นไปบนเรือนกระท่อมก็ได้เห็นโภชนาหารที่นางตกแต่งวางไว้จึงนึกว่า ใครหนอมาจัดแจงโภชนาหารไว้ให้เรา อาหารนี้ล้วนเป็นของดีประกอบด้วยโอชารสเลิศต่างๆ ประดุจดังว่าพระกระยาหารที่เขาตกแต่งถวายพระราชาฉะนั้น อย่ากระนั้นเลย ถ้าวันพรุ่งนี้มีผู้มาตกแต่งไว้อีก เราจึงจะคอยสอดแนมดูต่อไป คิดดังนี้แล้วก็บริโภคโภชนาหารนั้น แล้วเอาโภชนาหารที่เหลือจากบริโภคให้ลูกสุนัขกิน ถูกสุนัขนั้นครั้นได้กินอาหารทิพย์ก็เลยพูดภาษามนุษย์ได้ เพราะอานุภาพอาหารที่เป็นทิพย์นั้น

ครั้นรุ่งขึ้นเช้า พากุลกุมารตื่นขึ้นบ้วนปากล้างหน้าแล้ว ก็มิได้เก็บงำที่นอนหมอนมุ้งและของที่ใช้สอยทั้งปวง เปิดประตูไว้แล้วก็ไปทำการในที่นาของตน

ฝ่ายราชธิดาก็ออกจากไข่ ไปเก็บงำสิ่งของทั้งปวงเรียบร้อยแล้ว ก็ตกแต่งโภชนาหารไว้ดุจกาลก่อน แล้วก็กลับเข้าไปอยู่ในไข่ตามเดิม

ส่วนพากุลกุมารทำการแล้ว ถึงเวลาก็กลับมาเรือน เห็นสิ่งของทั้งปวงเก็บอยู่เรียบร้อย จึงบริโภคอาหารที่นางตกแต่งไว้แล้วคิดในใจว่า เราจะคอยสอดแนมจับให้จงได้ ครั้นรุ่งขึ้นวันที่สามพากุลกุมารตื่นนอนบ้วนปากล้างหน้าแล้ว ก็ทำอาการเหมือนจะไปทำงานดุจวันก่อน จึงไปนั่งซ่อนอยู่ในที่แห่งหนึ่ง เพื่อจะคอยดูว่าใครเป็นผู้มาจัดการบ้านเรือน และตกแต่งอาหารไว้ให้เราบริโภค

ส่วนราชธิดานั้น สำคัญว่าพากุลกุมารไปนาแล้ว จึงออกมาจากฟองไข่ ทำการเก็บกวาด และตกแต่งโภชนาหารดุจกาลก่อน ครั้นรู้ว่าพากุลกุมารออกไปซ่อนอยู่ภายนอก นางจึงคิดว่า เราก็คงเป็นภรรยาของพากุลกุมารโดยแท้ต่อไปภายหน้า พากุลกุมารคงจักได้เป็นพระราชาครองเมืองพาราณสี ตัวเราก็จักได้เป็นอัครมเหสีคู่ราชาภิเษก นางคิดดังนี้แล้วก็มิได้กลับเข้าไปอยู่ในฟองไข่อันเป็นที่อยู่ของตน เลยนั่งเป็นปรกติอยู่บนเรือนนั้น

พากุลกุมารเห็นนางนั่งอยู่เป็นปรกติแล้ว ก็ไปทำการงานที่ควรจะพึงกระทำในที่อันเป็นไร่นา ครั้นถึงเวลาเย็นกลับมาแลขึ้นไปบนเรือนก็ยังเห็นนางนั่งอยู่อย่างนั้น จึงขึ้นไปปิดประตูเรือนแล้วถามว่า ดูกรเจ้าผู้มีพักตร์อันเจริญ เจ้านี้มีนามชื่อไรมาแต่ไหน เจ้าเป็นหญิงมนุษย์หรือเป็นยักขินี หรือเป็นนางเทวธิดาองค์ใด เหตุไฉนจึงได้มาอยู่ในที่นี้ ราชธิดาจึงตอบว่าข้าแต่ท่านผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้านี้เป็นธิดาของพระยาสัตตกุฏราช ท้าวสหัสนัยผู้มีอำนาจพาข้ามาเพื่อจะให้ปฏิบัติท่าน อนึ่งท้าวสักกเทวราชนั้นได้ให้ไข่ฟองนี้ไว้ เพื่อสำหรับได้ซ่อนเร้นหนีภัยอันจะมาถึง เปลือกไข่นี้จะเป็นที่พึ่งของข้าพเจ้าเมื่อเวลาต้องภัยได้ทุกข์ต่าง ๆ พากุลกุมารได้ฟังดังนั้นจึงหยิบเปลือกไข่มาดูแล้วส่งให้แก่นาง นางรับเปลือกไข่แล้วก็เอาไปเก็บไว้ จึงตกแต่งอาหารให้พากุลกุมารบริโภค ครั้นพากุลกุมารบริโภคเสร็จแล้ว นางก็บริโภคต่อภายหลัง แล้วให้โภชนะที่เหลือจากบริโภคแก่ลูกสุนัข

จำเดิมแต่นั้นมา ชนทั้งสองก็อยู่ร่วมสมัครสังวาสเป็นสามีภริยากัน และราชธิดานั้นก็ได้นามชื่อว่า นางสุขุมาอัณฑา เพราะเหตุที่นางได้อาศัยอยู่มาในฟองไข่

ฝ่ายชนชาวบ้านทั้งหลายที่ได้คุ้นเคยกับพากุลกุมารมาแต่ก่อน พากันเที่ยวไปมาอยู่ที่นั้น ครั้นเห็นสองสามีภริยาอยู่กินด้วยกัน ก็พูดซุบซิบกันว่า พากุลกุมารนี้เป็นคนทุคคตะยากจนหาที่พึ่งมิได้กลับมาได้เมียมีรูปร่างงดงามน่าดูน่าชม ดุจนางเทพอัปสรในสวรรค์ พากุลกุมารนี่มีบุญเป็นอัศจรรย์หนอ กิติศัพท์ที่ชาวบ้านพูดกันนั้นก็เลื่องลืออื้ออึงไปตลอดบ้านตำบลนั้น

ฝ่ายคามโภชกขุนส่วย ผู้เก็บส่วยในบ้านตำบลนั้น เมื่อได้ฟังกิติศัพท์แต่ลูกบ้านของตน ก็มีความปรารถนาจะไปดูสองสามีภริยา จึงออกจากบ้านตรงไปยังที่นาของพากุลกุมาร ครั้นเห็นนางมีรูปทรงสัณฐานงามอุดม และประกอบไปด้วยลักษณะสิริวิสาส มีผิวพรรณอันงามบริสุทธิ์สะอาด ดุจดังว่านางเทพอัปสรในสวรรค์ ทั้งบริบูรณ์ไปด้วยสีลาจารวัตรอันดี จึงคิดว่า นางคนนี้มีลักษณะอันงามมิได้สมควรแก่พากุลกุมารอันเป็นคนเลวทรามนั้นเลย เพราะเหตุว่าพากุลกุมารนั้นเป็นยากจนอนาถา อนึ่งนางคนนี้ก็มิได้สมควรแก่อาตมาผู้เป็นคามโภชกชนเหมือนกัน เพราะเหตุว่านางนั้นมีรูปอันงามเลิศยิ่งนัก อย่ากระนั้นเลย เราจะเข้าไปเฝ้าพระราชาในเมืองพาราณสี ทูลให้ทรงทราบว่า พากุลกุมารคนนี้มาได้อิตถีรัตนะเป็นภรรยา แต่นางนั้นมิได้สมควรแก่พากุลกุมารเลย เพราะพากุลกุมารนั้นเป็นคนจนอนาถา ควรจะไปนำอิตถีรัตนะนั้นมาตั้งไว้ให้เป็นอัครมเหสีของพระองค์ ครั้นคามโภชกคิดดังนี้แล้ว จึงเข้าไปเฝ้าพระเจ้าพาราณสีทูลว่า ข้าแต่สมมติเทวดา บัดนี้พากุลกุมารผู้เป็นคนทุคคตะอนาถาได้หญิงแก้วมีนามชื่อว่าสุขุมาอัณฑาเป็นภรรยา ควรพระองค์จะไปนำหญิงแก้วนั้นมาแล้วตั้งไว้ในที่เป็นอัครมเหสีของพระองค์ พระพุทธเจ้าข้า

พระเจ้าพาราณสีได้ทรงฟังดังนั้น จึงตรัสว่า ดูกรคามโภชกท่านอย่ากล่าวอย่างนี้ ถ้อยคำของท่านไม่สมควร เพราะว่าพากุลกุมารนั้นมิได้มีโทษและความผิดอันใดอันหนึ่ง ซึ่งจะให้เราไปชิงเอาภรรยาของเขามานั้น เป็นการมิได้สมควรเลย

คามโภชกจึงกราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทวราช ข้าพระบาทได้บอกกล่าวพากุลกุมารนั้นแล้วว่า ท่านจงไปเฝ้าพระราชาผู้เป็นพระมหากษัตริย์เจ้าขอพระบารมีปกเกล้าเป็นที่พึ่งเถิด เพราะว่าพระราชามหากษัตริย์นั้น พระองค์เป็นที่พึ่งของสรรพสัตว์ทั้งหลายทั่วไปมิได้เลือกหน้า เมื่อข้าพระบาทกล่าวอย่างนี้ พากุลกุมารนั้นก็มิได้มาเฝ้าฝ่าพระบาท พระเจ้าพาราณสีได้ทรงสดับก็ทรงนิ่ง มิได้มีพระดำรัสประการใด คามโภชกจึงกราบทูลต่อไปอีกว่า ข้าแต่สมมติเทวราช ขอพระองค์ได้โปรดส่งคำสั่งไปถึงพากุลกุมารนั้นว่า ให้พากุลกุมารหาไก่ตัวหนึ่งมาชนกับไก่ของหลวง ถ้าว่าไก่ของพากุลกุมารนั้นแพ้ไก่ของหลวงก็ควรจะไปนำเอาภรรยาของพากุลกุมารนั้นมาแทนเงินค่าเดิมพันของไก่ที่แพ้นั้นเถิด พระพุทธเจ้าข้า

พระเจ้าพาราณสีได้ทรงสดับอุบายดังนั้นก็ทรงรับว่าอุบายอันนี้ดี สามารถให้สำเร็จประโยชน์ได้ จึงตรัสบังคับราชบุรุษผู้หนึ่งว่า ดูกรพนายเจ้า จงไปหาพากุลกุมารซึ่งตั้งเคหสถานอยู่ ณ ที่นานั้น แล้วจึงกล่าวว่า ดูกรพากุลกุมาร ท่านจงแสวงหาไก่ชนตัวหนึ่งไปชนกับไก่ของพระราชาในวันพรุ่งนี้ ราชบุรุษรับพระราชโองการแล้วก็ไปหาพากุลกุมาร บอกความตามมีพระราชโองการนั้น

พากุลกุมารได้ฟังดังนั้นจึงเข้าไปบอกภรรยาว่า ดูกรเจ้าผู้มีพักตร์อันเจริญ บัดนี้พระราชามีรับสั่งให้ราชบุรุษมาบอกว่า ให้พี่หาไก่ไปชนกับไก่ของพระราชาในวันพรุ่งนี้ ก็แต่ว่าเมื่อวันวานคามโภชกได้มายังเคหสถานของเรานี้ได้เห็นเจ้าผู้บริบูรณ์ด้วยรูปสิริอันงาม คงจะนำเอาความไปทูลพระราชาให้ทรงทราบเป็นแน่แต่เราทั้งสองจะคิดประการใด

นาวสุขุมาอัณฑาจึงกล่าวตอบว่า ข้าแต่ท่านผู้เป็นสามีท่านอย่าคิดวิตกกลัวไปเลย การที่จะแสวงหาไก่ไปชนนั้นเป็นภารธุระของดิฉันเอง ครั้นนางตอบดังนี้แล้วก็ไปยังที่อันเป็นที่เก็บซึ่งฟองไข่ จึงเอามือล้วงเข้าไปภายในกระเปาะแห่งฟอง จับเอาไก่ตัวหนึ่งมาส่งให้แก่สามี แล้วบอกว่า ข้าแต่ท่านผู้สามีท่านจงนำเอาไก่ตัวนี้ไปชนกับไก่ของพระราชา และข้าให้พรว่า ขอให้ท่านมีชัยชำนะเถิด

พากุลกุมารรับไก่แล้วก็มีจิตชื่นชมโสมนัส จึงอุ้มไก่นั้นเข้าไปเฝ้าพระราชา ครั้นถึงจึงถวายบังคมแล้วทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นมหาราช ข้าพระบาทได้ทราบเกล้าว่า พระองค์ส่งราชบุรุษไปถึงข้าพระบาท พระพุทธเจ้าข้า จึงมีพระราชดำรัสว่า เออดูกรพากุลกุมาร เราได้ส่งราชบุรุษให้นำข่าวสาสนไปถึงท่าน บัดนี้ท่านได้นำไก่มาชนหรือ ข้าแต่สมมติเทวราชเจ้า ข้าพระบาทได้นำไก่มาแล้ว สุดแท้แต่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ พระพุทธเจ้าข้า

พระเจ้าพาราณสีจึงมีพระราชดำรัสว่า ถ้ากระนั้น เราพากันไปที่หน้าพระลานท้องสนามหลวงเถิด มีพระราชดำรัสดังนี้แล้วก็เสด็จอุฏฐาการไปยังหน้าพระลาน พร้อมกับพากุลกุมารนั้น ครั้นถึงจึงทรงประทับ ณ ราชอาสน์ ตรัสบังคับอำมาตย์ผู้หนึ่งว่า ดูกรพนาย ท่านจงไปนำเอาไก่ที่จะชนนั้นมา

อำมาตย์รับพระบัญชาแล้ว ก็ไปนำไก่ชนขนาดใหญ่มาตัวหนึ่ง ไก่นั้นสูงใหญ่กว่าไก่ของพากุลกุมารในราวสามสองหรือสองเอาหนึ่ง ครั้นมาถึงจึงปล่อยไก่นั้นให้พระราชาทอดพระเนตร

พระเจ้าพาราณสีทอดพระเนตรแล้ว จึงตรัสซ้อมว่า ดูกรพากุลกุมาร ถ้าหากว่าไก่ของท่านแพ้ไก่ของเราไซร้ ท่านจงให้ภรรยาของท่านแก่เรา ตรัสซ้อมดังนี้แล้ว จึงมีรับสั่งให้ปล่อยไก่ทั้งสองลงในสังเวียนเป็นที่ชนไก่ พากุลกุมารจึงปล่อยไก่ของตนลงในสังเวียน ข้างฝ่ายอำมาตย์ก็ปล่อยไก่หลวงลงในสังเวียนพร้อมกัน

ฝ่ายไก่ทิพย์นั้นก็ขันและปรบปีกยืนอยู่ ข้างฝ่ายไก่หลวงมิได้ปรบปีกและมิได้ขันเลย ขณะนั้นไก่ทั้งสองต่างก็เข้าจิกตีกันพัลวันไปมา ข้างไก่ทิพย์จึงลงเดือยแทงลูกตาทั้งสองของไก่หลวง แล้วเลยตีเตะเอาแข้งและปีกทั้งสองของไก่หลวงหักในทันใด ไก่หลวงก็ถึงอัปราชัยพ่ายแพ้ไก่ของพากุลกุมาร

ขณะนั้น มหาชนทั้งหลายมีมหาอำมาตย์เป็นประธาน ต่างก็พูดกันว่า น่าอัศจรรย์จริงหนอ ไม่เคยพบเคยเห็นไม่ควรจะเป็นก็เป็นไปได้ ไก่ตัวเล็กกลับชนะไก่ตัวใหญ่นั้นใหญ่กว่าราวสองเอาหนึ่งกลับอัปราชัย

ฝ่ายพระเจ้าพาราณสีนั้น มีพระหฤทัยประกอบด้วยความโทมนัสทั้งมีความละอายอดสูพวกราชบริษัทและมหาชนทั้งหลาย ทรงซบเซานิ่งอยู่ แล้วทอดพระเนตรดูหน้าคามโภชก ๆ ก็แลดูพระพักตร์พระเจ้าพาราณสี มิรู้ที่ว่าจะทำประการใด

ส่วนพากุลกุมารนั้น ครั้นไก่ชนของตนมีชัยชนะแล้ว ก็กราบถวายบังคมลาพระเจ้าพาราณสี อุ้มไก่กลับมายังเรือนอันเป็นที่อยู่ของตน แล้วบอกความนั้นแก่ภรรยา

พระเจ้าพาราณสีนั้น ครั้นพากุลกุมารกลับไปแล้ว จึงตรัสปรึกษากับคามโภชกว่า ดูกรคามโภชก เราจะคิดอุบายอย่างไรต่อไปอีกเล่า

คามโภชกกราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทวราชเจ้า พากุลกุมารนั้นเป็นคนทุคคตะอนาถา จักได้ม้ามาแต่ไหน โดยเหตุนี้ ขอพระองค์จงส่งราชทูตไปบอกว่า ให้พากุลกุมารหาม้าตัวหนึ่งมาวิ่งแข่งขันกับม้าหลวงในวันพรุ่งนี้ พระพุทธเจ้าข้า

พระเจ้าพาราณสีได้ทรงฟังก็เห็นชอบด้วย จึงมีรับสั่งให้ราชบุรุษผู้หนึ่งไปบอกพากุลกุมาร ตามคำที่คามโภชกกราบทูลแล้วนั้น พากุลกุมารจึงบอกความตามที่ราชบุรุษมาบอกนั้นแก่นางสุขุมาอัณฑา ผู้เป็นภรรยา ๆ จึงไปล้วงเอาม้าตัวหนึ่งมีรูปอันงามดังสินธพชาติอาชาไนยออกจากกระเปาะฟองไข่ของตน แล้วมอบให้แก่พากุลกุมารผู้เป็นสามี

พากุลกุมารก็ขึ้นขี่อาชาไนยตรงไปยังราชตระกูล ครั้นถึงจึงลงจากอาชาเข้าไปเฝ้าพระเจ้าพาราณสี ถวายบังคมแล้วทูลถามว่า ข้าแต่สมมติเทวราช ข้าพระบาทได้ทราบเกล้าว่ามีรับสั่งให้ข้าพระบาทผู้ทุคคตะอนาถา นำอาชามาวิ่งแข่งขันกับม้าหลวงหรือพระพุทธเจ้าข้า

พระเจ้าพาราณสีตรัสว่า เออจริงดังนั้นแหละ มีพระราชดำรัสตอบดังนี้แล้วจึงตรัสบังคับอำมาตย์ผู้หนึ่งว่า ดูกรพนายท่านจงไปนำเอาม้าของเรามาบัดนี้

อำมาตย์นั้นรับพระราชโองการแล้ว ก็ตรงไปยังโรงม้าหลวง เลือกได้อาชาตัวหนึ่งซึ่งพ่วงพีมีกำลังมาก แล้วนำมาถวายพระเจ้าพาราณสี ๆ จึงมีรับสั่งให้นายสารถีขึ้นขี่อาชาตัวนั้น แล้วให้พากุลกุมารขึ้นขี่ม้าที่นำมาจะวิ่งแข่งขัน แท้จริงเมืองพาราณสีนั้นโดยส่วนยาวได้ ๙ โยชน์ โดยส่วนกว้างประมาณ ๗ โยชน์ เพราะเหตุนั้นพระเจ้าพาราณสีจึงตรัสบังคับว่า ท่านทั้งสองจงควบอาชาแข่งกันไปตั้งแต่ต้นกำแพงเมืองข้างนี้ วงไปโดยรอบจนถึงที่สุดกำแพงข้างหน้า แล้วตรัสกำชับพากุลกุมารอีกว่า ถ้าม้าของท่านอัปราชัยท่านจะต้องให้ภรรยาของท่านแก่เรา ตรัสดังนี้แล้ว จึงมีรับสั่งให้ปล่อยม้าทั้งสองพร้อมกัน ม้าทั้งสองนั้นก็วิ่งแข่งเสมอกันไปหน่อยหนึ่ง

ฝ่ายม้าทิพย์เป็นสินธพอาชาไนย มีกำลังอันว่องไวรวดเร็วยิ่งนัก วิ่งไปพักหนึ่งครู่เดียวก็ถึงที่สุดกำแพงข้างหน้า พากุลกุมารโพธิสัตว์จึงลงจากอาชาเข้าไปถวายบังคมพระเจ้าพาราณสี แล้วนั่งอยู่ ณ ที่อันควรข้างหนึ่ง ฝ่ายม้าหลวงนั้นมีฝีเท้าอันช้ายิ่งนัก ต่อเวลาสายัณหสมัยจึงวิ่งไปถึงที่สุดกำแพงข้างหน้า พระเจ้าพาราณสีก็ถึงซึ่งความอัปราชัย มีพระหฤทัยประกอบไปด้วยความละอายและโทมนัส ข้างพากุลกุมารโพธิสัตว์ก็ถวายบังคมลา ขึ้นอาชาไนยกลับไปยังบ้านเรือนของตน

ลำดับนั้น พระเจ้าพาราณสีจึงตรัสปรึกษาคามโภชกอีกว่า ดูกรคามโภชก เราจะคิดอุบายอย่างไรต่อไปอีกเล่า คามโภชกกราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทวราชเจ้า พากุลกุมารนั้นเป็นคนทุคคตะอนาถา จะได้ช้างงามาแต่ที่ไหน ข้าพระบาทเห็นด้วยเกล้าเช่นนี้ ขอพระองค์จงส่งราชบุรุษไป ให้บอกพากุลกุมารหาช้างงามาชนกับช้างหลวงในวันพรุ่งนี้ พระพุทธเจ้าข้า พระเจ้าพาราณสีทรงเห็นชอบด้วย จึงส่งราชบุรุษให้ไปบอกพากุลกุมารเหมือนดังนั้น

พากุลกุมารโพธิสัตว์จึงบอกความนั้นแก่ภรรยา นางสุขุมาอัณฑาจึงไปยังที่เก็บฟองไข่ ตั้งสัตยาธิษฐานแล้วก็นำเอาคชสารตัวหนึ่งออกจากกระเปาะไข่ คชสารนั้นมีอวัยวะทั้งปวงอันขาวล้วนควรเป็นราชพาหนะ ทั้งบริบูรณ์ไปด้วยสรรผลักษณะอันอุดม มีงาทั้งสองอันงอนงามดูช้อยชด และมีเล็บเท้าทั้งหมดอันแดงดุจน้ำครั่ง ทั้งประกอบด้วยกำลังอันแกล้วกล้าสามารถ นางจึงพากุญชรชาตินั้นมา แล้วมอบให้แก่พระโพธิสัตว์ๆ ก็จับงากุญชรนั้นนำไปสู่ราชตระกูล ถวายบังคมพระเจ้าพาราณสีแล้วทูลถามว่า ข้าแต่สมมติเทวราชเจ้า ข้าพระบาทได้ทราบเกล้าว่ามีรับสั่งให้ข้าพระบาทนำช้างงามาชนกับช้างหลวง บัดนี้ข้าพระบาทได้นำมาแล้ว พุทธเจ้าข้า

พระเจ้าพาราณสีมีพระราชดำรัสว่า เออจริงดังนั้นแหละ แล้วบัญชาอำมาตย์ผู้หนึ่งว่า ดูกรพนาย ท่านจงไปนำเอาช้างหลวงมาเชือกหนึ่ง ครั้นอำมาตย์นั้นรับพระราชโองการแล้วก็ไปสู่โรงช้าง จึงนำเอาช้างหลวงตัวหนึ่งทั้งสูงทั้งใหญ่มาถวายให้ทอดพระเนตร จึงมีรับสั่งว่า ท่านทั้งสองจงไปให้ช้างชนกัน ณ สนามหน้าพระลาน ชนทั้งหลายก็กระทำตามพระราชโองการ ปล่อยคชสารทั้งสองออกให้สู้กัน ช้างหลวงนั้นมีรูปร่างอันสูงใหญ่มาก ช้างทิพย์นั้นมีร่างกายอันเล็กกว่า แต่มีกำลังอันแกล้วกล้าสามารถ

ช้างทิพย์นั้น ครั้นแลเห็นช้างหลวงก็กระทำโกญจนาท ดุจเสียงอัสนีบาตฉะนั้น ช้างหลวงได้ฟังเสียงโกญจนาทก็มีความสะดุ้งครั่นคร้ามกลัว จึงยกงวงขึ้นแล้วทำหางแข็งซื่อดุจท่อนไม้ ทำอาการหมุนออกเหมือนจะวิ่งหนี แล้วก็ล้มนอนอยู่ ณ ที่นั้น

พระเจ้าพาราณสีทอดพระเนตรเห็นดังนั้น ก็มีพระหฤทัยโหมนัสยิ่งนัก ทั้งประกอบไปด้วยความละอายอดสูแก่หมู่ราชบริพาร ทั้งพวกมหาชนทั้งปวงก็ซ้องสาธุการให้พรแก่พากุลกุมารโพธิสัตว์ๆ ก็กราบถวายบังคมลาพระเจ้าพาราณสี พาทิพย์หัตถีกลับมายังที่นาของตน ในลำดับนั้น พระเจ้าพาราณสีจึงมีรับสั่งให้หาคามโภชกชนเข้ามาเฝ้า แล้วตรัสปรึกษาว่า ดูกรคามโภชก พากุลกุมารนั้นได้หัตถีมีอวัยวะอันขาวล้วน มีงาอันงอนงามและมีเล็บเท้าอันแดง มาชนกับช้างหลวงของเรา ช้างของพากุลกุมารนั้นมีกำลังแกล้วกล้าและมีมหิทธิฤทธิยิ่งนัก ทำให้ช้างหลวงของเราพ่ายแพ้ เพราะเหตุนี้ท่านจะคิดอุบายอย่างไรต่อไปอีก

คามโภชกกราบทูลว่าข้าแต่สมมติเทวราชเจ้าขอพระองค์อย่าทรงพระปริวิตกเลย ข้าพระบาทเห็นด้วยเกล้าว่า ควรให้ต้มน้ำให้ร้อนเดือดพล่านใส่ลงในอ่าง แล้วบังคับให้พากุลกุมารเอามือจุ่มลงในอ่างน้ำร้อนนั้น ถ้าพากุลกุมารขัดรับสั่งไม่ทำตาม ก็จะต้องรับราชทัณฑ์อันสาหัส เพราะเหตุนี้ ความปรารถนาของพระองค์ก็จะสำเร็จดังพระราชประสงค์ พระพุทธเจ้าข้า

พระเจ้าพาราณสีทรงเห็นด้วย จึงทำตามคำแนะนำของคามโภชก แล้วสั่งราชทูตให้ไปบอกพากุลกุมารมาเฝ้า ราชทูตจึงไปบอกพากุลกุมารว่า ดูกรพากุลกุมาร บัดนี้พระราชามีรับสั่งให้ท่านเข้าไปเฝ้า พากุลกุมารได้ฟังดังนั้นจึงบอกแก่ภรรยา นางสุขุมาอัณฑาจึงไปยังที่เก็บซึ่งฟองไข่ตั้งสัตยาธิษฐานแล้ว นำเอาผลหมากผลหนึ่งออกจากฟองไข่มาส่งให้พระโพธิสัตว์ แล้วบอกว่า ข้าแต่ท่านผู้เป็นสามี ท่านจงถือเอาผลหมากนี้ไปเฝ้าพระราชา ถ้าหากพระราชาทรงบังคับให้ทำกิจการอันใด จงใส่ผลหมากนี้เข้าไปในปากก่อน แล้วจึงกระทำซึ่งกิจการอันนั้น ท่านอย่าสะดุ้งกลัวภัยอันหนึ่งอันใดเลย พระโพธิสัตว์ได้ฟังดังนั้น จึงถือเอาผลหมากนั้นเข้าไปเฝ้าพระราชา ถวายบังคมแล้วนั่งอยู่ ณ ที่ควรข้างหนึ่ง

ในกาลนั้น ราชบุรุษทั้งหลายต้มน้ำไว้ให้เดือดพล่านแล้วใส่ลงในอ่าง เพราะฉะนั้น พระเจ้าพาราณสีตรัสบังคับพระโพธิสัตว์ว่า ดูกรพากุลกุมาร ท่านจงเอามือจุ่มลงในอ่างน้ำนั้น ถ้าท่านไม่ทำตามคำเรา เราจะให้ลงอาญาท่านถึงสาหัส

ในขณะนั้น พระโพธิสัตว์พากุลกุมารจึงใส่ผลหมากเข้าในปาก ตั้งสัตยาธิษฐานในใจว่า ถ้าต่อไปในอนาคตภายหน้าข้าพเจ้าจะได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าไซร้ น้ำร้อนที่เดือดพล่านนี้จงกลับเป็นน้ำเย็น ตั้งสัตยาธิษฐานดังนี้แล้ว จึงเอามือจุ่มลงไปในอ่างน้ำร้อนนั้น ครั้นรู้ว่าน้ำร้อนนั้นเป็นน้ำเย็น จึงลงไปในอ่างอาบน้ำดำเกล้า แล้วจึงขึ้นจากอ่างมาถวายบังคมพระราชานั่งอยู่ พระเจ้าพาราณสีเห็นดังนั้น ก็มีความพิศวงประหลาดพระทัยยิ่งนัก ฝ่ายพระโพธิสัตว์ก็ถวายบังคมลากลับมายังที่นาของตน

ในลำดับนั้น พระเจ้าพาราณสีจึงทรงปรึกษากับคามโภชกว่า ดูกรคามโภชก ทีนี้เราจะทำอย่างไรต่อไป คามโภชกกราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทวดาข้าพระบาทเห็นด้วยเกล้าว่า ควรให้ราชบุรุษคนหนึ่งเข้าไปอยู่ในกลองใหญ่ แล้วให้นำเอากลองนั้นไปวางไว้ ณ ที่เรือนของพากุลกุมาร ผัวเมียทั้งสองเห็นกลองนั้น ก็จะพูดปรึกษาหารือกันอย่างใดอย่างหนึ่ง ราชบุรุษที่อยู่ในกลองได้ยินผัวเมียพูดกันอย่างไร ก็คงจะมาบอกตามคำที่พูดกันนั้น เมื่อได้ฟังคำพูดของผัวเมียทั้งสองก่อนแล้วจึงค่อยคิดอุบายต่อภายหลัง พระเจ้าพาราณสีได้ทรงฟังเห็นชอบด้วย จึงรับสั่งให้ราชบุรุษคนหนึ่งเข้าไปอยู่ในกลองใหญ่ แล้วตรัสบังคับอำมาตย์ผู้หนึ่งว่า ดูกรพนายท่านจงนำเอากลองใหญ่นี้ไปตั้งไว้ ณ เรือนของพากุลกุมาร อำมาตย์นั้นรับพระราชโองการแล้ว จึงให้คน ๘ คนยกเอากลองใหญ่ไปยังนาของพากุลกุมาร แล้วพูดว่า ดูกรพากุลกุมาร ถ้ากลองนันทเภรีใบนี้ตั้งอยู่ในเรือนของผู้ใด มาทว่าสักคืนเดียวเท่านั้น ผู้เจ้าของเรือนนั้นจักบริบูรณ์ด้วยบุตรและธิดา บัดนี้พระราชาทรงพระเมตตาท่าน มีรับสั่งให้เรานำเอากลองนี้มาตั้งไว้ในเรือนท่าน

พากุลกุมารได้ฟังดังนั้น จึงรับว่าเป็นการดีแล้ว ท่านจงให้ตั้งไว้ภายในเรือนของเราเถิด อำมาตย์ราชบุรุษก็ยกกลองขึ้นตั้งไว้ในเรือนของพากุลกุมาร แล้วก็พากันกลับยังบ้านเรือนของตนๆ

ฝ่ายสามีภรรยาทั้งสองนั้น มิทันที่จะได้พิจารณาดูกลองให้ถ้วนถี่ ครั้นเวลามัชฌิมยามก็ลุกขึ้นสนทนากัน นางสุขุมาอัณฑานั้นจึงพูดขึ้นก่อนว่า ข้าแต่สามี ถ้าหากว่าท่านบริโภคฟองไข่ของสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงไซร้ ข้าพเจ้าก็จักมีความเร่าร้อน ไม่สามารถที่จะยืนจะนั่งนอนได้ เมื่อเป็นดังนี้ข้าพเจ้าก็จะต้องลาท่านไปบ้านเมืองของข้าพเจ้า ถ้าหากว่าท่านไม่บริโภคฟองไข่ของสัตว์ทั้งหลายมีไก่เป็นต้นไซร้ เราทั้งสองก็จะได้อยู่กินด้วยกันมีความสุขต่อไป เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจักขอพรอันนี้แต่ท่าน คือจำเดิมแต่นี้ไป ท่านจงอย่าได้บริโภคฟองไข่ทั้งปวงเลยเป็นอันขาด ครั้นผัวเมียทั้งสองสนทนากันดังนี้แล้วก็พากันเข้าที่นอนหลับไป

ส่วนราชบุรุษที่อยู่ภายในกลอง เมื่อได้ฟังถ้อยคำผัวเมียทั้งสองสนทนากัน ก็กำหนดจดจำไว้มั่นคงแล้วก็นอนอยู่ในกลองนั้น ครั้นรุ่งเช้าราชบุรุษทั้งหลาย ก็มานำเอากลองนั้นไปถวายพระราชา ๆ จึงตรัสถามราชบุรุษที่อยู่ในกลองว่า ผัวเมียทั้งสองนั้นมันพูดกันว่ากระไรบ้าง ราชบุรุษที่อยู่ในกลองก็ทูลความตามที่ได้ฟังนั้นให้ทรงทราบ คามโภชกได้ฟังดังนั้นจึงทูลว่า ข้าแต่สมมติเทวราช ข้าพระบาทเห็นด้วยเกล้าว่าเมื่อไม่ได้ภรรยาของพากุลกุมารแล้ว ก็ควรจะกระทำให้ภรรยาของพากุลกุมารนั้นหนีไปเสีย หรือกระทำให้สองผัวเมียพลัดพรากจากกันไป พระพุทธเจ้าข้า

พระเจ้าพาราณสีจึงตรัสถามว่า ดูกรคามโภชก ท่านจะกระทำประการใด จึงจะให้นางนั้นหนีไปได้ และจะกระทำอย่างไรจึงจะให้สามีภริยาทั้งสองมันพลัดพรากจากกันได้

คามโภชกกราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทวราช ข้าพระบาทเห็นด้วยเกล้าว่าควรให้ตกแต่งภัตตาหารอันหมดจดสะอาดด้วย ควรให้ตกแต่งชาทนิยโภชนิยาหารอันเจือด้วยฟองไข่ด้วยแล้วจึงเชิญอำมาตย์ทั้งหลาย มีเสนาบดีเป็นต้นด้วย เขิญคฤหบดีทั้งหลาย มีเศรษฐีเป็นต้นด้วย ให้มาบริโภคพร้อมกันกับพากุลกุมาร พากุลกุมารนั้นก็จักบริโภคชาหนิยโภชนิยาหารอันเจือด้วยฟองไข่ ครั้นบริโภคแล้ว ภริยาของพากุลกุมารก็จักเกิดความเดือดร้อนหนีไป เมื่อเป็นดังนี้ ผัวเมียทั้งสองนั้นก็ต้องพลัดพรากจากกันเป็นธรรมดา เพราะฉะนั้นไม่ควรจะให้เนิ่นช้า ขอพระองค์จงมีรับสั่งให้กระทำพิธีดังข้าพระบาทกราบทูลนี้เถิด พระพุทธเจ้าข้า

พระเจ้าพาราณสีจึงมีรับสั่งให้พ่อครัวแต่งชาหนิยโภชนิยาหารอันเจือด้วยฟองไข่ แล้วให้เชิญอิสรชนทั้งหลายมีเสนาบดีและเศรษฐีเป็นต้น มาบริโภคพร้อมกันทั้งพากุลกุมารโพธิสัตว์ ตามคำของคามโภชกซึ่งกราบทูลแนะนำนั้น

ฝ่ายพากุลกุมารโพธิสัตว์ มิได้รู้ว่าโภชนาหารนั้นเจือไปด้วยฟองไข่ ก็บริโภคโภชนาหารตามความปรารถนา เมื่อบริโภคแล้ว นางสุขุมาอัณฑาก็ให้มีกายและจิตใจอันหวั่นไหวเร่าร้อน ไม่สามารถที่จะนั่งนอนให้เป็นสุขอยู่ได้ จึงเดินเที่ยวไปตลอดที่นาทั้งสิ้น แล้วเรียกสุนัขนั้นเข้ามาใกล้ เมื่อจะสั่งความให้บอกแก่สามี จึงกล่าวคาถาว่า

สุนขทาส วจนํ มม สามิกํ วทตุ
มยฺหํ หทยปริฬาหา อิธ วสิตุํ นาสกฺขึ
สเจ มํ อนุพนฺธิตุํ อิมาย ปจฺฉิมาทิสาย
ตํ อุชุมคฺคํ คจฺฉตุ  

ความว่า ดูกรสุนัขทาส เจ้าจงบอกถ้อยคำของเรากะสามีของเราว่า เรามีหทัยอันเร่าร้อนกระวนกระวายยิ่งนัก ไม่สามารถที่จะอยู่นที่นี้ได้ ถ้าหากว่าสามีของเราจะไปตามเราไซร จงไปโดยหนางอันตรงในทิศประจิมนี้

เมื่อนางสุขุมาอัณฑาสั่งความถึงสามีดังนี้แล้ว จึงส่งแหวนหัว ๓ วงให้แก่ลูกสุนัขขาว แล้วบอกว่าเราจะขอลาไปบ้านเมืองของเรา ถ้าแม้ว่าสามีของเราปรารถนาจะไปตามเรา ก็จงไปตามที่เมืองเรานั้นเถิด แต่ในระหว่างทางที่ไปนั้น มีแม่น้ำใหญ่แห่งหนึ่งกว้างประมาณ ๑๐ โยชน์ขวางทางอยู่ ตั้งแต่เมืองพาราณสีนี้ไปถึงแม่น้ำนั้น ไกลประมาณสองแสนแปดสิบวา ตั้งแต่แม่น้ำนั้นไปถึงเมืองที่อยู่ของเรา ไกลประมาณ ๒๘ โยชน์ นางบอกดังนี้แล้วก็ไปโดยอานุภาพของเทวดา โดยปราศจากสรรพโรคาพาธทุกข์ มีแต่ความผาสุกสำราญนิราศภัยในมรรคา จนตราบเท่าถึงเมืองอันเป็นแคว้นของบิดาแห่งตน

ฝ่ายพากุลกุมารโพธิสัตว์นั้น บริโภคโภชนาหารมีรสอันเลิศต่างๆ แล้ว ครั้นเวลาเย็นก็กลับมายังที่นาของตน เมื่อไม่เห็นนางสุขุมาอัณฑาอันเป็นภรรยา ก็ประดุจดังว่ามีหทัยอันแตกได้ ๗ ภาค จึงถามลูกสุนัขขาวๆ นั้นก็บอกความตามที่นางสั่งไว้แล้ว คาบเอาแหวนหัว ๓ วง มาส่งให้แก่พระโพธิสัตว์ ๆ ได้ฟังดังนั้นก็รับเอาแหวนหัวแล้วเข้าไปในเรือนกระท่อม เมื่อระลึกถึงนางขึ้นมาก็ร้องไห้รำพันพิลาป มีหน้าอันอาบไปด้วยน้ำตา จึงกล่าวคาถาทั้งหลายว่า

สเจ สา จ นาภวิสฺส โก จ มม ตาโณ โหติ
อิทานิ ปาโป ราชา จ มม คนตฺวา ตาณา จ กา
ปุพฺเพปิ กุกฺกุฏยุชฺโฌ อสฺสอภิธาวนโต จ
หตฺถิยุทธา มยฺหํ ตาณา อุณฺโหทโกตารณฺจ
ตุยฺหานุภาเวน เจว ปุฺสฺสานุภาเวน จ
ปาปโก ราชา น มม ปสยฺหํ กาตุํ สกฺโกติ
อิโต จ มยฺหํ ตาโน โก อนาถาหํ จ เอกโก
น สหาโย จ าติโก น มาตาปิตุอุปฏฺโ
กา จ อมฺเหหิ สทฺธึว นิสินฺโน วา สยโน วา
กา อมฺเหหิ สลฺลปนฺตา ภุฺชนฺตาหํ เกหิ สทฺธึ
โภชนํ กา สมฺปาเทฺนฺตา อโห อนาถาหํ เอโก
อฺโ สทฺธึ โส น มยฺหํ มม หทยํ ผลิสฺสติ

ความว่า ถ้านางสุขุมาอัณฑามิได้อยู่กับเราแล้ว ใครเล่าจะเป็นที่พึ่งของเรา อนึ่ง บัดนี้พระราชาก็เป็นผู้ลามกมักมาก เมื่อนางมาไปเสียจากเราแล้ว ใครเล่าเขาจะเป็นที่พึ่งแก่เราได้ แต่กาลก่อนนั้นพระราชาบังคับให้หาไก่ไปชน และให้หาม้าไปวิงแข่งขัน และให้หาช้างไปนกันกับช้างหลวง และบังคับให้เอามือล้วงลงไปในอ่างน้ำอันเดือดพล่าน นางก็ได้เป็นที่พึ่งต้านทานเราไว้ พระราชาผู้ามกไม่สามารถจะข่มแหงข่มขี่เราได้ ก็ด้วยอานุภาพของนางและบุญญานุภาพของนางนั้น แต่นี้ไใครเล่าจะเป็นที่พึ่งต้านทานเรา อนึ่งเล่า เราก็เป็นคนผู้เดียวเปล่าเปลี่ยวอนาถาหาที่พึ่งมิได้ ทั้งสหายและาติกามารดาบิดาก็มิได้มี เรานี้จะนังนอนเจรจาปราศรัยกับใครเล่า ใครจะหาสำรับกันข้าวให้เราบริโภค และเราจะบริโภคโภชนาหารกับใคร โอ้ตัวเรานี้อนาถาหาที่พึ่งมิได้ เป็นคนผู้เดียวแท้ ๆ มีแต่สุนัขเป็นเพื่อนสอง ผู้อื่นที่จะเป็นที่พึ่งปกครองเป็ที่อาศัยของเรามิได้มี หทัยของเรานี้น่าที่จะแตกทำลาย

เมื่อพระโพธิสัตว์ร่ำร้องไห้รำพันพิลาปอยู่อย่างนี้ จนสิ้นกำลังหยั่งลงสู่ความหลับ ครั้นรุ่งเช้าตื่นขึ้น ก็เก็บงำสรรพทรัพย์ของตนบรรดามี แล้วปิดประตูเรือนผูกทำให้มั่นคงเป็นอันดี จึงไปหามารดาเลี้ยงผู้ที่ให้ลูกสุนัข กับด้วยสุนัขซึ่งเป็นสหายของตน แล้วเล่าเหตุการณ์ตั้งแต่เบื้องต้นให้ฟังทุกประการ มารดาเลี้ยงได้ฟังก็สลดใจมีความสงสาร ร้องไห้พลางทางหาอาหารให้พระโพธิสัตว์บริโภค แล้วให้พักอยู่ในเรือนนั้นคืนหนึ่ง ครั้นรุ่งขึ้นเช้า พระโพธิสัตว์ก็อำลามารดาเลี้ยง จึงเอาแหวน ๓ วงนั้นผูกขอดชายผ้าแล้ว มีสุนัขเป็นเพื่อนสอง ผันหน้าเฉพาะทิศประจิมตรงไป ครั้นถึงแม่น้ำใหญ่ก็พาสุนัขข้ามแม่น้ำไปด้วยกัน

แท้จริง แม่น้ำนั้นใหญ่กว้างประมาณ ๑๐ โยชน์ แต่เป็นแม่น้ำอันตื้น บางแห่งก็ยืนพอเท้าถึงดิน บางแห่งก็ลึกยืนหยั่งเท้าไม่ถึง เพราะเหตุนั้น แม่น้ำนั้นจึงมีนามชื่อว่าอุตตานา เป็นแม่น้ำตื้นพอจะข้ามได้ แต่พระโพธิสัตว์ข้ามแม่น้ำนั้นไป ประมาณสามคืนสามวันจึงถึงฝั่ง

ฝ่ายสุนัขนั้นพยายามตามเจ้าของ มิได้หยุดยั้งยืนอยู่ในที่แห่งใดแห่งหนึ่ง ก็มีกายอันเหน็ดเหนื่อยทุพลภาพสิ้นกำลัง พอถึงฝั่งก็มีหทัยอันเที่ยวแห้งตายอยู่ ณ ที่นั้น

พระโพธิสัตว์เห็นสุนัขทำกาลกิริยาตาย ก็ไม่สามารถที่จะอดกลั้นความโศกไว้ได้ ก็ร้องไห้ปริเทวนาการรำพันด้วยวาจา จึงกล่าววิลาปคาถาทั้งหลายว่า

อโห ทุกฺขํ โพ วตาหํ อยํ สหาโย มมฺจ
อิทานิ โก สหาโย จ กถํ โข เอโกว คจฺฉติ
สุนข มม สหาย กุหึ เอกโก คโตสิ
อิทานาหํ คมิสฺสามิ เกน มคฺเคน วิจรนฺโต
หทย ปริฬาโหหํ กถํ หทยํ วูปสเม

ความว่า โอเรานี้ประกอบไปด้วยความทุกข์จริงหนอ สุนัขตัวนี้เป็นเพื่อนของเราด้วย ที่นี้ใครเล่าจะเป็นเพื่อนของเรา เราจะได้เป็นเพื่อนเดินทางในกลางมรรคา เราผู้เดียวเท่านั้นจะไปตามนางสุขุมาอัณฑาอย่างไรได้ ดูกรสุนัขผู้เป็นสหายของเรา เจ้ามาทิ้งเราไว้ไปแต่ผู้เดียวเจ้าไปอยู่ ณ ที่ไหน บัดนี้เราจะเที่ยวไปโดยหนทางอะไรเล่า เรานี้มีหทัยอันเร่าร้อนเหลือที่จะทนทาน ใครจะพงระงับความกระวนกระวายของเราได้ เราเป็นคนอนาถาแท้ ๆ เที่ยวอยู่แต่ผู้เดียว ไม่มีใครเป็นเพื่อนในหนทางอันเปลี่ยวเลย

ฝ่ายหมู่ญาติทั้งหลายของพากุลกุมารโพธิสัตว์ ซึ่งตายไปอุบัติบังเกิดในดาวดึงสพิภพนั้นมีอยู่ เพราะเหตุฉะนั้น เทวบุตรผู้เป็นญาติองค์หนึ่ง เห็นพากุลกุมารร่ำปริเทวนาการอยู่อย่างนั้น ก็มีจิตอันประถอบไปด้วยความกรุณา จึงลงมาจากเทวโลก นฤมิตอัตตภาพเป็นแร้งบินไปสู่สำนักพากุลกุมาร ประดิษฐานอยู่ ณ ที่เฉพาะหน้าแล้วกล่าวพระคาถาว่า

มหาปุริส นิราหาโร สุนขสฺส มํสํ ยาจามิ
ตุวํ เม เทหิ อาหารํ อหํ เต มคฺคํ เทสฺสามิ ฯ

ความว่า ดูกรมหาบุรุ เราเป็นผู้อดอาหารมีความหิวกระหายยิงนักจักมาขอเนื้อสุนัขท่านกิน ท่านจงให้เนื้อสุนัขนั้นเป็นอาหารแก่เราเถิด เราจะชี้บอกหนางที่ท่านจะไปให้แก่ท่าน

พากุลกุมารโพธิสัตว์นั้น ก็อนุญาตเนื้อสุนัขให้เป็นอาหารแร้งเทวบุตรก็กระทำอาการเหมือนบริโภค แล้วก็พาพระโพธิสัตว์ไปสิ้นระยะทางได้ ๗ โยชน์ จึงกระทำอาการประหนึ่งว่าตายอยู่ในทางนั้น

ในลำดับนั้นเทวบุตรผู้เป็นญาติอีกองค์หนึ่ง จึงลงมาจากเทวโลก นฤมิตกายเป็นกาเข้าไปหาพระโพธิสัตว์ แล้วขอแร้งที่ตายนั้นว่า ดูกรมหาบุรุษ ท่านจงให้แร้งที่ตายนั้นแก่เราเถิด เราจะบอกหนทางที่จะไปให้แก่ท่าน พระโพธิสัตว์ก็อนุญาตแร้งตายนั้นให้กาเทวบุตรนั้นก็พาพระโพธิสัตว์ไปสิ้นระยะทางอีก ๗ โยชน์ ก็ทำประหนึ่งว่าตายอยู่ในที่นั้น

ในลำดับนั้น เทวบุตรผู้เป็นญาติอีกองค์หนึ่ง ลงมานฤมิตเป็นแมลงวันทอง เข้าไปขอกาที่ตายนั้นแก่พระโพธิสัตว์ๆ ก็อนุญาตให้ แมลงวันเทวบุตรนั้นก็พาพระโพธิสัตว์ไปสิ้นระยะทางได้ ๗ โยชน์ ก็ทำประหนึ่งว่าตายอยู่ ณ ที่นั้น

แต่พากุลกุมารโพธิสัตว์เดินทางไปโดยอานุภาพของเทวดาที่แปลงเพศมาดังกล่าวแล้วนั้น สิ้นระยะทางอันไกลได้ ๒๑ โยชน์เป็นประมาณ

ในลำดับนั้น ท้าวมัฆวานสักกเทวราชจึงลงมาจากสวรรค์นฤมิตทิพกายให้มีรัศมีพร้อยพรายประหนึ่งว่าหิ่งห้อย ไปสู่สำนักพระโพธิสัตว์ยืนอยู่ แล้วกล่าวคาถาว่า

มหาปุริส ตุมฺหฺจ ภริยา มม อวทา
ตุวํ มคฺค วทตฺถาย สตฺตกุฏํ คมิสฺสามิ

ความว่า ดูกรมหาบุรุษ ภรรยาของท่านเขาได้สังเราไว้เพื่อให้บอกหนทางแก่ท่าน บัดนี้เราจักไปยังเมืองสัตตกุฏนคร

ท้าวสักกเทวราชกล่าวคาถาดังนี้แล้ว จึงพาพระโพธิสัตว์ไปสิ้นระยะทางได้ ๗ โยชน์ ก็ถึงฝั่งสระโบกขรณีสระหนึ่ง ในสระโบกขรณีนั้นดาระดาษไปด้วยดอกประทุมและดอกกมุทและดอกอุบลทั้งหลาย ที่บริเวณสระนั้นประดับไปด้วยต้นไม้ทั้งหลาย อันมีดอกและผลต่าง ๆ กัน น้ำในสระนั้นมีกลิ่นอันหอมฟุ้งด้วยสุคนธชาติควรเป็นราชบริโภคและเทวบริโภค บุคคลอื่นที่เป็นสามัญไม่ควรบริโภคที่ขอบสระนั้นแวดล้อมไปด้วยต้นอโศกพฤกษ์ทั้งปวง และมีเรือนหลวงเป็นตำหนักตั้งอยู่หลังหนึ่ง เพราะเหตุนั้น เมื่อท้าวสักกเทวราชพาพระโพธิสัตว์พากุลกุมารไปถึง จึงให้พระโพธิสัตว์เข้าไปพักอยู่ ณ ตำหนักหลวงนั้น แล้วจึงกล่าวคาถาว่า

อิธ วสตุ กุมาร สฺเว ตโย ทาสี อาคมฺม
อุทกฺจ อาหริตุํ ตฺวํ ตโย ปุจฺฉสฺสุ การณํ

ความว่า ดูกรพากุลกุมาร ท่านจงอยู่ในตำหนักนี้ วันพรุ่งนี้าสีสามคนจักพากันมาตักน้ำในสระนี้ ท่านจถามเหตุผลกะทาสีสามคนนั้นเถิด ท้าวสักกเทวราชสังดังนี้แล้ว ก็อันตรธานหายไปจากที่นั้น

เมื่อสมเด็จพระบรมโลกนาถ จะประกาศความนั้นให้แจ้งชัดจึงมีพระพุทธดำรัสเป็นพระคาถาว่า

เทวราชา สุชมฺปติ สกฺโก ปุรินฺทโท พฺรวิ
อิติ โส วตฺวา พากุล สคฺคกายํ อปกฺกมิ

ความว่า ท้าวสุชัมบดีสักกเทวราชนั้น ครั้นบอกพากุมารโพธิสัตว์ดังนี้แล้ว ก็หลีกไปสู่สัคเทวโลกอมรพิมาน

ฝ่านนางสุขุมาอัณฑานั้น เมื่อคมนาการไปด้วยอานุภาพแห่งเทพดา ครั้นถึงเมืองสัตตกุฏนครก็ไปเฝ้าพระราชบิดามารดา ถวายบังคมสองกษัตริย์แล้วนั่งอยู่

ในกาลนั้น พระเจ้าสัตตกุฏราชทอดพระเนตรเห็นพระราชธิดา จึงตรัสถามว่า ดูกรแม่ เจ้าไปอยู่กินกับสามีของเจ้าแล้ว เหตุไฉนเจ้าจึงกลับมาหาบิดาเล่า หรือตัวเจ้ามีทุกข์ร้อนเป็นประการใด จึงให้มาหาบิดาในกาลนี้

นางสุขุมาอัณฑาเทวีจึงทูลว่า ข้าแต่สมเด็จพระราชบิดาพากุลกุมารผู้เป็นสามีของหม่อมฉันนั้น เป็นบุรุษประกอบด้วยลักษณะและบุญญาธิการแต่บังเกิดในตระกูลมหาศาลอันก่อนเก่า บิดามารดาและญาติสักคนหนึ่งเล่าก็มิได้มีเลย เป็นผู้อนาถาทำนาเลี้ยงชีพอยู่แต่ผู้เดียว เพราะเหตุที่เป็นคนยากจนนั้นแหละ พระเจ้าพาราณสีผู้มีจิตบาปจึงทำการเบียดเบียนมีประการต่างๆ หม่อมฉันไม่สามารถจะอยู่กับสามีของหม่อมฉันได้ จึงหนีมาเฝ้าพระราชบิดาในกาลนี้ แล้วนางก็ทูลเล่าประพฤติเหตุทั้งปวง ให้พระราชบิดาทรงทราบถี่ถ้วนทุกประการ เมื่อนางสุขุมาอัณฑามาถึงสัตตกุฏนครได้สองสามวัน พากุลกุมารโพธิสัตว์นั้นก็มาถึงสระโบกขรณี

พระเจ้าสัตตกุฏราชได้ทรงฟังประพฤติเหตุทั้งปวง ก็มิได้ตรัสประการใดมีพระหฤทัยปรารถนาจะให้มีการสมโภชทำขวัญ ทั้งปรารถนาจะให้พระราชธิดานั้นสระพระเศียร จึงมีพระราชดำรัสสั่งทาสีสามคนว่า เจ้าทั้งสามจงไปนำเอาน้ำในสระโบกขรณีมาให้ธิดาเราอาบ เราจะมีการสมโภชทำขวัญธิดาของเรา ทาสีทั้งสามรับพระราชอาณัติแล้วก็พากันไปยังสระโบกขรณีปรารถนาจะตักน้ำในสระนั้น

ฝ่ายพากุลกุมารโพธิสัตว์ แลเห็นพวกทาสีจึงเดินเข้าไปใกล้ เมื่อจะไต่ถามทาสีทั้งสามนั้นจึงกล่าวคาถาว่า

ภคินีโย ตรุณรูปา อุทกภาชนหตฺถา
อาคตา หริตุทกํ กิสฺสตฺถาย เม อาจิกฺขถ

ความว่า ดูกรน้องหญิงทั้งหลายผู้แรกรุ่น ผู้มีมือถือภาชนะสำหรับตักน้ำ ท่านทั้งหลายพากันมาตักน้ำเพื่อประโยชน์อะไร จงบอกให้เราทราบในกาลนี้

นางทาสีทั้งสามได้ฟังคำถามดังนั้น จึงบอกว่า ข้าแต่ท่านผู้เป็นสัตบุรุษ พระราชธิดาผู้เป็นเจ้านายของเรากลับมา พระเจ้าสัตตกุฏราชผู้เป็นพระราชบิดาปรารถนาจะทำการสมโภช จึงมีพระราชดำรัสให้ข้าพเจ้าทั้งหลายมาตักน้ำ เพื่อจะให้พระราชธิดานั้นสรงสนานและสระพระเศียร

พากุลกุมารโพธิสัตว์ได้ฟังดังนั้น ก็มีความโสมนัส จึงดำริว่า ทำไฉนราชธิดานั้นจึงจะรู้ว่าเรามาอยู่ที่นี้ อย่ากระนั้นเลย เราควรจะตั้งสัตย์เสี่ยงบารมี ดำริดังนี้แล้วจึงตั้งสัตยาธิษฐานว่า ถ้าในอนาคตกาลภายหน้า ข้าพเจ้าจะได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าไซร้ ขออย่าให้ทาสีทั้งสามยกหม้อน้ำขึ้นได้

ในกาลนั้น ทาสีทั้งสามก็ไม่สามารถจะยกหม้อน้ำขึ้นได้ จึงพากันยกมือไหว้พระโพธิสัตว์แล้วบอกว่า ข้าแต่ท่านผู้เป็นสัตบุรุษ ท่านจงช่วยยกหม้อน้ำให้ข้าพเจ้าด้วยเถิด เมื่อพระโพธิสัตว์จะเข้าไปช่วยยกหม้อน้ำ จึงเอาแหวนหัววงหนึ่งใส่ลงในหม้อน้ำแล้วยกส่งให้ทาสีเหล่านั้นก็นำเอานำไปไห้พระราชธิดาสรงสนาน

ในขณะพระราชธิดาสรงสนานอยู่ แหวนหัวก็ตกลงจากหม้อน้ำสวมนิ้วพระหัตถ์ พระราชธิดาพิจารณาดูแหวนหัวนั้น ก็รู้ชัดว่าสามีของเราตามมาถึงแล้ว จึงถามทาสีทั้งสามว่า ดูกรแม่ทั้งหลายนี่แหวนหัวของใคร ทาสีทั้งสามจึงตอบว่า ข้าแต่พระแม่เจ้า ข้าพเจ้าทั้งหลายมิได้ทราบเลย แต่ทว่าที่ใกล้สระโบกขรณีนั้น มีมาณพหนุ่มน้อยคนหนึ่ง มีรูปร่างผิวพรรณอันงามยิ่งนัก มาช่วยยกหม้อน้ำส่งพวกข้าพเจ้าๆ จึงได้นำน้ำนี้มาถวาย

พระราชธิดาได้ฟังดังนั้น จึงรีบไปเฝ้าพระราชบิดาถวายบังคมแล้วทูลว่า ข้าแต่สมมติเทวราชเจ้า สามีของหม่อมฉันตามมาถึงเมืองนี้แล้ว บัดนี้พักอยู่ที่ตำหนักหลวงอันใกล้สระโบกขรณี ขอพระราชบิดาได้โปรดพระราชทานผ้าสาฎกไปสักคู่หนึ่งในกาลนี้

พระเจ้าสัตตกุฏราชได้ทรงฟัง จึงพระราชทานคู่ผ้าสาฎกในมืออำมาตย์ผู้หนึ่ง แล้วตรัสว่า ดูกรพนาย ท่านจงนำผ้าสาฎกคู่นี้ไปที่สระโบกขรณี แล้วจงให้แก่บุรุษผู้หนึ่งซึ่งอยู่ในตำหนักหลวงให้บุรุษนั้นนุ่งห่มผ้าคู่นี้แล้วจงนำมาหาเรา

อำมาตย์นั้นรับพระราชโองการแล้ว ก็ถือเอาคู่ผ้าสาฎกไปให้พระโพธิสัตว์นุ่งห่ม แล้วนำมาเฝ้าพระเจ้าสัตตกุฏราชๆ ได้ทอดพระเนตรเห็นพระโพธิสัตว์ก็บังเกิดความพิศวง จึงทรงพระราชดำริว่า ด้วยเราชมเชย บุรุษผู้นี้มีรูปร่างผิวพรรณงามยิ่งนัก บุรุษในพื้นปฐพีที่จะมีรูปร่างผิวพรรณอันงามเหมือนบุรุษผู้นี้ เรายังมิเคยเห็นเลย ทรงพระดำริดังนี้แล้ว เมื่อจะตรัสเชิญพระโพธิสัตว์ให้นั่ง ณ อาสนะจึงตรัสว่า ดูกรพ่อพากุลกุมาร ท่านจงนั่ง ณ อาสนะอันนี้แล้วจงบริโภคสุธาหารตามสบายเถิด

พระโพธิสัตว์ได้ฟังพระราชดำรัสดังนั้น ก็มีพระหฤทัยโสมนัสยินดีเป็นที่ยิ่ง จึงถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่อันควรข้างหนึ่ง แล้วบริโภคโภชนาหารมีรสอันเลิศต่าง ๆ ครั้นพระโพธิสัตว์บริโภคเสร็จแล้ว พระเจ้าสัตตกุฏราชปรารถนาจะใคร่ทดลองให้รู้ว่า บุรุษผู้นี้จักบริบูรณ์ด้วยกำลังอิทธิฤทธิ์หรือไม่ จึงมีรับสั่งให้อำมาตย์ไปนำเอาสหัสสถามธนู (ธนูที่ต้องใช้กำลังบุรุษพันคนจึงจะยกหรือโก่งขึ้นได้) คู่เมืองมา อำมาตย์นั้นจึงพาบุรุษทั้งหลายพันคน ไปนำเอาสหัสสถามธนูมาวางลงหน้าที่นั่ง

ในกาลนั้น พระเจ้าสัตตกุฏราช จึงมีรับสั่งแก่พระโพธิสัตว์ว่า ดูกรพากุลกุมาร เจ้าอาจยกสหัสสถามธนูนี้ขึ้นได้หรือไม่ ถ้าเจ้ามีกำลังสามารถอาจยกธนูนี้ขึ้นได้ ก็จงยกขึ้นให้เราเห็นประจักษ์ในกาลนี้

พระโพธิสัตว์จึงทูลว่า ข้าแต่สมมติเทวราช ข้าพระองค์สามารถจะยกขึ้นถวายให้ทอดพระเนตรได้ ทูลดังนี้แล้วก็ถวายบังคมพระเจ้าสัตตกุฏราช จึงลุกขึ้นจากอาสน์ไปยกสหัสสถามธนูขึ้นดีดสายเสียงสนั่น เสียงสายธนูที่พระโพธิสัตว์ดีดนั้น ประดุจดังว่าเสียงอัสนีอันบันลือลั่นไปในอากาศ แล้วพระโพธิสัตว์ก็เอาลูกธนูขึ้นพาดยิงไป ลูกธนูนั้นแล่นไปตลอดจักรวาฬ แล้วก็กลับเข้ามาสู่แหล่ง

พระเจ้าสัตตกุฏราชทอดพระเนตรเห็นดังนั้น ก็มีพระทัยโสมนัสเป็นอย่างยิ่ง และมีพระราชประสงค์จะทดลองบุญญานุภาพของพระโพธิสัตว์อีก จึงมีรับสั่งให้อำมาตย์นำเอาเกวียนมาสองเล่ม แล้วให้เอาเมล็ดงามาบรรทุกลงในเกวียนเล่มหนึ่งให้เต็ม เกวียนอีกเล่มหนึ่งนั้นทำให้ว่างเปล่า แล้วมีพระราชดำรัสแก่พระโพธิสัตว์ว่า ดูกรพากุลกุมาร เจ้าจงนำเอาเมล็ดงาออกจากเกวียนเล่มนี้ แล้วบรรทุกลงในเกวียนเล่มที่ว่างเปล่าในกาลนี้

พระโพธิสัตว์ทูลฉลองพระราชโองการว่า ข้าพระองค์จะฉลองพระเดชพระคุณตามความสามารถ แล้วตั้งสัตยาธิษฐานในใจว่า ถ้าข้าพเจ้าจะได้ตรัสเป็นพระพุทธสัพพัญญูในอนาคตกาลภายหน้าไซร้ ขอให้เทพยดาทั้งหลายลงมาช่วยข้าพเจ้าในกาลนี้

ขณะนั้น ท้าวโกสีย์สักกเทวราชได้ทราบคำสัตยาธิษฐานด้วยทิพยโสต จึงพาเทพดาทั้งหลายลงมาจากดาวดึงสพิภพช่วยกันนำเอาเมล็ดงาออกจากเล่มเกวียนที่บรรทุก แล้วใส่ลงในเล่มเกวียนที่ว่างเปล่าให้เต็มในทันใด มิให้ชนทั้งหลายได้แลเห็นกายปรากฏ

ในกาลนั้น มหาชนทั้งหลายมีพระราชาเป็นประธาน ก็มีจิตเบิกบานโสมนัส พระเจ้าสัตตกุฏราชจึงมีพระราชดำรัสถามพระโพธิสัตว์ว่า ดูกรพากุลกุมาร เจ้ารู้จักภรรยาของเจ้าหรือไม่ ครั้นพระโพธิสัตว์ทูลว่าข้าพระองค์รู้จักพระพุทธเจ้าข้า จึงมีรับสั่งให้ราชธิดาทั้งหลาย ๗ พระองค์ประดับกายมานั่งอยู่ภายในม่าน แล้วให้ยื่นนิ้วมือออกไปจากม่านทีละองค์ ๆ ตามลำดับกัน

ในขณะนั้น ท้าวสักกเทวราช จึงกล่าวกระซิบที่หูพระโพธิสัตว์ว่า เราจะเป็นแมลงวันทอง ถ้าเราไปจับอยู่ที่นิ้วมือที่ยื่นออกมานิ้วใด ท่านจงจับนิ้วมือนิ้วนั้น ครั้นกระซิบบอกแล้ว ก็แปลงเป็นแมลงวันไปจับอยู่ที่นิ้วมือของนางสุขุมาอัณฑาซึ่งยื่นออกมานั้น

พระโพธิสัตว์เห็นแมลงวันทองเป็นสำคัญ จึงจับนิ้วมือที่ยื่นออกมานั้นแล้วร้องว่า นิ้วนี้เป็นนิ้วมือภรรยาของข้าพระองค์ ฝ่ายนางสุขุมาอัณฑาก็คลานออกมาจากม่าน กราบลงแทบเท้าของพระโพธิสัตว์แล้วนั่งอยู่ ครั้นวันรุ่งขึ้นพระเจ้าสัตตกุฏราชก็อภิเษกชนทั้งสองให้ปกครองราชสมบัติ เป็นกษัตริย์สืบสันตติวงศ์ในสัตตกุฏนครนั้น

ฝ่ายพากุลกุมารโพธิสัตว์เสวยราชสมบัติได้ ๓ วัน ระลึกขึ้นมาถึงพระราชาในเมืองพาราณสี ก็มีพระหฤทัยโสมนัสยิ่งนัก จึงทรงดำริว่า เราจักไปเมืองพาราณสี จักไปดูหน้าพระราชาผู้ลามกมักมากในกาลนี้ ดำริดังนี้แล้ว จึงปรึกษากับนางสุขุมาอัณฑาผู้เป็นอัครมเหสี ๆ จึงทูลว่า ที่ทรงพระดำรินี้ดีแล้ว หม่อมฉันจักขอตามเสด็จไปด้วย กษัตริย์ทั้งสองปรึกษากันแล้ว ครั้นรุ่งขึ้นเช้า จึงพากันไปเฝ้าพระราชบิดา ทูลเหตุที่จะไปนั้นให้ทรงทราบ

กษัตริย์ทั้งสองได้รับอนุญาตก็มีความยินดี จึงพร้อมกันถวายอภิวาทพระราชบิดามารดา แล้วพากันลงจากปรางค์ปราสาท จึงให้นำอัศวราชซึ่งมีกำลังกล้าหาญมาตัวหนึ่ง แล้วพากันขึ้นนั่งบนหลังอัศวราชอาชาไนย ขับอาชาไนยตรงไปยังเมืองพาราณสีสิ้นมรรคาวิถีประมาณ ๒๗ โยชน์ ก็ถึงเรือนกระท่อมในที่นาซึ่งเคยอยู่มาแต่ก่อน

แท้จริง พระยาอัสดรที่เป็นพาหนะนั้น ประกอบด้วยกำลังอันสามารถอาจไปสิ้นระยะทางได้ ๑๐๐ โยชน์ เพราะเหตุนั้น พอเพลาสายัณหสมัย จึงได้พาสองกษัตริย์ไปยังเมืองพาราณสี

ฝ่ายคามโภชกคนพาล เมื่อได้เห็นพากุลกุมารโพธิสัตว์อันมาในที่นั้น จึงนำความไปกราบทูลพระเจ้าพาราณสีว่า ข้าแต่สมมติเทวราช บัดนี้พากุลกุมารไปได้เครื่องอลังการแต่พระราชาองค์ใดองค์หนึ่งมา ประดับกายกับทั้งภรรยาพากันขึ้นอาชามาในเมืองนี้ ถ้าละทิ้งไว้ให้เนิ่นช้าพลนิกายของพระราชานั้น ก็จะยกมาแวดล้อมเมืองพาราณสีเป็นมั่นคง ขอพระองค์ทรงรีบไปจับพากุลกุมารฆ่าเสีย เอาเมียมาตั้งให้เป็นนางอัครมเหสี เมื่อทำได้ดังนี้ พลนิกายของพระราชานั้นก็จักไม่มาถึงเมืองนี้

พระเจ้าพาราณสีได้ทรงฟังก็ทรงเชื่อถือ จึงมีพระราชโองการให้ประชุมโยธาหาญอันประกอบด้วยองค์ ๔ ครั้นเหล่าจตุรงคเสนีโยธาหาญ ผูกสอดอาวุธยุทธภัณฑ์ประชุมกันพร้อมแล้ว พระเจ้าพาราณสีก็ทรงเครื่องอลังการวิภูสิตเสร็จสรรพ เสด็จขึ้นประทับ ณ คอคชสารพระที่นั่งต้นแวดล้อมไปด้วยหมู่พหลพลนิกร ยาตราทัพออกจากพระนครพาราณสี ส่วนคามโภชกก็ขึ้นขี่คอช้างตัวหนึ่งนำเสด็จไปในเบื้องหน้า ครั้นถึงที่นาของพากุลกุมาร พระเจ้าพาราณสีทอดทัศนาการเห็นพระโพธิสัตว์ อันยืนม้าอยู่ ณ ที่นานั้นจึงชี้พระหัตถ์ตรัสว่า ดูกรอ้ายพากุลกุมาร มึงได้เครื่องอลังการมาแต่กษัตริย์องค์ใด แล้วพากษัตริย์องค์นั้นมาล้อมเมืองกูหรือ กูจะไม่ไว้ชีวิตมึงละ จะจับมึงฆ่าเสียในวันนี้ แล้วจะริบเอาภรรยาของมึงเสียด้วย

พากุลกุมารโพธิสัตว์ได้ฟังดังนั้น จึงกล่าวตอบว่า ดูกรพระยาอันธพาล ท่านได้คามโชกเป็นที่ปรึกษา ปรารถนาจะใคร่ได้ภรรยาเรา แล้วกระทำความข่มเหงข่มขี่เราด้วยอุบายต่างๆ บัดนี้ท่านปรารถนาจะมาฆ่าเราอีก เพราะเหตุนี้แหละ เราจะไม่ไว้ชีวิตท่านละ เราจะปลงชีวิตท่านเสียด้วยธนูนี้ พูดดังนี้แล้วก็ยกสหัสสถามธนูขึ้นเหนี่ยวสายดีดไป เสียงสายธนูที่พระโพธิสัตว์ดีดนั้น ก็ดังประดุจดังว่าเสียงอัสนีอันลั่นไปร้อยครั้ง

ด้วยอานุภาพแห่งเสียงสายธนูนั้น พระเจ้าพาราณสีและคามโภชกก็ตกจากหลังคชสาร กระทำกาลกิริยาตายอยู่ ณ พื้นปฐพีดล บรรดาพวกหมู่พหลพลโยธาหาญบางพวกก็ตกจากหลังคชสารและหลังอาชา บางพวกก็ตกจากรถจากยานพาหนะต่าง ๆ พลโยธาพวกใดที่ตั้งใจจะฆ่าพากุลกุมารโพธิสัตว์ พลโยธาจำพวกนั้นก็วิบัติถึงชีวิตอันตราย พวกโยธาทั้งหลายที่มีชีวิตอยู่ ต่างก็มีความสะดุ้งกลัวต่อมรณภัย พากันทิ้งศัสตราวุธแล้วประคองอัญชลีทูลว่า ข้าแต่สมมติเทวราช พระองค์จงโปรดพระราชทานชีวิตแก่ข้าพระบาททั้งปวงเถิด ข้าพระบาททั้งหลายขอถวายสิริราชสมบัติแก่พระองค์

ในกาลนั้นหมู่พหลจตุรงค์ราชโยธีอีกทั้งชาวพระนครพาราณสีสิ้นทั้งปวงก็พร้อมใจกัน อัญเชิญพระโพธิสัตว์และพระราชเทวีให้ขึ้นประทับ ณ หลังคชาธาร แล้วแห่ห้อมกษัตริย์ทั้งสองเข้าไปในเมืองพาราณสี ตั้งพิธีราชาภิเษกให้กษัตริย์ทั้งสองครองราชอาณาจักร แล้วถวายพระนามว่าพระเจ้าพากุลราช

จำเดิมแต่นั้นมา พระเจ้าพากุลราชก็ดำรงราชสมบัติโดยทศพิธราชธรรม เมื่อถึงวันอัฏฐมีอุโบสถ และจาตุทสีอุโบสถและปัญจทสีอุโบสถ ก็มีรับสั่งให้มหาชนทั้งหลายมาประชุมกัน แล้วพระราชทานโอวาทสั่งสอนแนะนำและแสดงธรรมเทศนา มหาชนทั้งหลายทั้งปวงก็ตั้งอยู่ในศีล ๕ พากันกระทำบุญมีบริจาคทานเป็นต้น ครั้นสิ้นอายุก็กระทำกาลกิริยาตายไปเกิดในสวรรค์

ฝ่ายพระราชาโพธิสัตว์นั้น ตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรมจรรยาและทรงสงเคราะห์มหาชนด้วยสังคหวัตถุ ๔ ประการ แล้วให้สร้างโรงทาน ๖ แห่ง ทรงบริจาคพระราชทรัพย์วันละ ๖ แสนสำหรับโรงทาน มีพระหฤทัยโสมนัสเบิกบานในมหาทานบริจาค พร้อมด้วยพระราชเทวีสุขุมาอัณฑา ครั้นสิ้นพระชนม์ชีพก็ขึ้นไปบังเกิดในดาวดึงสพิภพ

สตฺถา อิม ธมฺมเทสน อาหริตฺวา สมเด็จพระบรมนราสภผู้ศาสดาจารย์ทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาตรัสประทานเทศนาแล้ว จึงมีพระพุทธดำรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระเทวทัตนั้นได้พยายามที่จะฆ่าพระตถาคตแต่ในกาลนี้เท่านั้นหามิได้ แม้ถึงในชาติปางก่อน ก็ได้พยายามในกาลที่จะฆ่าพระตถาคตดังแสดงมาแล้วนี้ มีพระพุทธดำรัสดังนี้แล้ว จึงทรงประชุมชาดกว่า คามโภชกในกาลครั้งนั้น กลับชาติมาคือพระเทวทัตในกาลนี้ พระยาพาราณสีในกาลครั้งนั้น กลับชาติมาคือสุปปพุทธสักยราชในกาลนี้ บิดามารดาพากุลกุมารโพธิสัตว์ในกาลครั้งนั้น กลับชาติมาคือพุทธบิดาพุทธมารดาในกาลนี้ มารดาเลี้ยงของพากุลกุมารโพธิสัตว์ในกาลครั้งนั้น กลับชาติมาคือพระนางโคตมีในกาลนี้ ลูกสุนัขขาวในกาลครั้งนั้น กลับชาติมาคือราหุลกุมารพุทธชิโนรสในกาลนี้ เทพยดาที่เป็นแร้งในกาลครั้งนั้น กลับชาติมาคืออานนท์พุทธอุปัฏฐากในกาลนี้ เทพยดาที่เป็นกาในกาลครั้งนั้น กลับชาติมาคือพระโมคคัลลานะในกาลนี้ เทพยดาที่เป็นแมลงวันในกาลครั้งนั้น กลับชาติมาคือกาฬุทายีภิกษุในกาลนี้ ท้าวสักกเทวราชในกาลครั้งนั้น กลับชาติมาคือพระอนุรุทธสักยราชในกาลนี้ พระยาสัตตกุฏราชในกาลครั้งนั้น กลับชาติมาคือพระสาริบุตรในกาลนี้ ราชธิดาหกคนในกาลนั้น กลับชาติมาคือ นางอุบลวรรณาเถรี ๑ นางวิสาขามหาอุบาสิกา ๑ นางเขมาภิกษุณี ๑ นางชนบทกัลยาณี ๑ นางสามาวดี ๑ นางชุชชุตตรา ๑ รวม ๖ คนในกาลนี้ นางสุขุมาอัณฑาในกาลนั้น กลับชาติมาคือพิมพายโสธรามารดาราหุลกุมารในกาลนี้ ฝ่ายพากุลกุมารโพธิสัตว์ในกาลครั้งนั้น สืบขันธประวัติมาคือพระตถาคต ผู้เป็นอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าในกาลนี้ ท่านทั้งหลายจงจำทรงชาดกไว้โดยนัยที่ตถาคตแสดงมานี้แล

จบพากุลกุมารชาดก

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ