๘. สุวรรณวงศชาดก

สกุณี หตปุตฺตาวาติ อิท สตฺถา สาวตฺถิยตวเน วิหรนฺโต สุปฺปพุทฺเธน กตอาฆาฏ อารพฺภ กเถสิ

สตฺถา สมเด็จพระบรมศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ เชตวันใกล้กรุงสาวัตถี ทรงพระปรารภสุปปพุทธสากยราชผูกอาฆาตในพระพุทธองค์เป็นมูลเหตุ ตรัสธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มว่า สกุณี หตปุตฺตาว เป็นอาทิ (มีความพิสดารในนิทานวจนะว่า)

วันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายประชุมกัน ณ โรงธรรมสภา กล่าวโทษสุปปพุทธว่า ดูกรอาวุโสทั้งหลาย สุปปพุทธสากยราชผูกอาฆาตในพระบรมศาสดามาคำนึงไปว่า พระมหาสมณะละทิ้งนางพิมพาธิดาของเราออกมหาภิเนกษกรม ธิดาเราเฝ้าทุกข์ระทมปริเทวนานัก อีกเทวทัตลูกรักของเราก็ไปบรรพชาในศาสนา ซ้ำกลับมาตั้งอยู่ในฐานเป็นเวรกับพระสมณะ ๆ ทำให้แผ่นดินสูบเทวทัตไป เราจักทำอันตรายแก่พระสมณะแก้แค้นให้ได้ คราวหนึ่งจึงสุปปพุทธพาอำมาตย์พวกของตนไปดื่มสุราขวางถนนใหญ่ไว้ เห็นพวกทายกถือยาคูและภัตรมามาก ช่วยกันฉุดกระชากเททิ้งเสียหมด และทำอันตรายแก่พระสุคตมิให้ดำเนินไปได้ พระบรมศาสดาจึงพาภิกษุสงฆ์กลับยังวิหาร แล้วพระองค์ทรงพยากรณ์ไว้ว่า อีก ๗ วันข้างหน้าพสุธาจะสูบสุปปพุทธจมลงไป ณ บันไดปราสาทของตน คนที่อยู่ใกล้ได้ทราบเหตุแล้วนำมาบอกแก่สุปปพุทธ ๆ จึงคิดว่า พระมหาสมณะตรัสพระวาจาจริงไม่แปรผัน เพราะฉะนั้นสุปปพุทธสากยราชจึงหนีขึ้นไปอยู่บนปราสาท ๗ ชั้น สั่งบริวารให้รักษาไว้มั่นคงคอยห้ามไม่ให้ลงจากปราสาท ครั้นถึงวันคำรบ ๗ อัศวราชของสุปปพุทธหลุดออกจากโรงไป คนอื่นนอกจากสุปปพุทธแล้วไม่มีใครจับได้ สุปปพุทธจึงลงไปจับอัศวราชเลยจมแผ่นดินแล้วไปเกิดในมหานรก

สมเด็จพระบรมศาสดาทรงสดับกถาเรื่องนั้นแล้ว จึงเสด็จไปยังโรงธรรมสภา ทรงตรัสถามทราบความแล้วจึงตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย สุปปพุทธได้พยายามฆ่าตถาคตและไม่อาจจะฆ่าได้ เลยจมแผ่นดินไปเกิดในนรกเอง แต่ในปัจจุบันชาตินี้หามิได้ แม้ในกาลปางก่อนตถาคตมีปัญญายังอ่อนอยู่ สุปปพุทธได้เคยทำเหมือนเช่นอย่างนี้มาแล้ว ทรงตรัสเท่านั้นก็นิ่งอยู่ ภิกษุทั้งหลายจะใคร่รู้จึงทูลอาราธนา พระบรมศาสดาทรงนำอดีตนิทานมาอ้าง ดังต่อไปว่า

อตีเต เชยฺยวงฺสนคเร มหาวงฺสราชา รชฺชํ กาเรสิ ในกาลล่วงแล้วนานมา มีพระราชาพระนามว่ามหาวงศ์ ทรงเสวยราชสมบัติ ณ ไชยวงศนครธานี พระมเหสีของมหาวงศราชาพระนามว่าสุวรรณวงศาเทวี พระราชกษิษฐ์ของพระเจ้ามหาวงศ์พระนามว่าจิตตวงศ์ได้ดำรงอยู่ในตำแหน่งพระอุปราช พระมเหสีแห่งอุปราชาจิตตวงศ์พระนามว่าสมุททาเทวี พระสมุททาเทวีมีพระราชธิดานามว่า สุจิตตาเทวี ส่วนพระเจ้ามหาวงศ์นั้นหามีราชโอรสและธิดาไม่ พระนางสุวรรณวงศาเทวีศีลสมาจารเป็นอันดี ถึงวันอุโบสถแล้วทรงสมาทานอุโบสถศีลเป็นนิจ ตั้งจิตจะใครได้พระโอรสสักองค์หนึ่ง

ด้วยอำนาจศีลแห่งพระนางสุวรรณวงศาเทวี พิภพแห่งท้าวโกสีย์ก็แสดงอาการร้อนผิดประหลาด ท้าวสักกเทวราชใคร่ครวญดูทรงรู้ชัดว่า พระนางสุวรรณวงศาเทวีสมาทานศีลมั่นหวังพระหฤทัยจะใคร่ได้โอรส ทรงกำหนดนึกว่าพระนางสุวรรณวงศาเทวีควรจะได้โอรสที่สมควรอย่างดี ท้าวโกสีย์เห็นพระโพธิสัตว์อยู่ ณ ดาวดึงสพิภพจวนจะสิ้นอายุแล้ว จึงไปยังสำนักพระโพธิสัตว์เชื้อเชิญว่า ท่านควรจะลงไปปฏิสนธิในครรภ์แห่งพระนางสุวรรณวงศาเทวี ณ มนุษยโลก ท่านจักได้บำเพ็ญสมดึงสบารมีให้บริบูรณ์แก่กล้าแล้วจักได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ท้าวโกสีย์ให้พระโพธิสัตว์รับอาราธนาแล้วก็เสด็จกลับไป

ครั้นถึงเวลาปัจจุสสมัย พระโพธิสัตว์ก็จุติลงไปถือปฏิสนธิครรภ์แห่งพระสุวรรณวงศาเทวี พระนางสุวรรณวงศาเทวีทราบว่าตนมีครรภ์ จึงนำเหตุนั้นไปกราบทูลพระมหาวงศราชาราชภัสดาให้พระราชาประทานคัพภบริหารไว้เป็นอันดี ครั้นถ้วนกำหนดทศมาสแล้ว พระนางสุวรรณวงศาเทวีก็ประสูติพระโอรสงามปรากฏดังสีสุวรรณ วันเมื่อทำมงคลนามกรพระราชกุมารนั้น พระราชากับประยูรญาติพร้อมกันประทานนามว่า สุวรรณวงศกุมาร

พระสุวรรณวงศกุมารทรงวัฒนาการมีพระชนม์ได้ ๑๖ พรรษา ทรงปรีชารอบรู้สรรพศิลปะทั้งมวล กอร์ปด้วยศีลตั้งอยู่ในธรรมเป็นที่นิยมรักใคร่แห่งมหาชน บำเพ็ญกุศลบริจาคทานแก่สมณพราหมณ์ทุก ๆ วัน สมาทานมั่นซึ่งอุโบสถตามกาลตามสมัย ทรงวินิจฉัยถ้อยความตามธรรมสม่ำเสมอ ครั้นต่อมาพระราชบิดาทิวงคตแล้ว มหาชนมีปุโรหิตามาตย์เป็นต้น ทำการปลงพระศพถวายเพลิงเสร็จแล้ว พร้อมกันจะใคร่อภิเษกพระโพธิสัตว์ ๆ ตรัสห้ามเสียมิได้ยอมรับ กลับแนะนำมหาชนให้พร้อมกันอภิเษกจิตตวงศอุปราชาซึ่งเป็นพระเจ้าอาว์ ให้ได้เสวยราชสมบัติต่อไป พระเจ้าจิตตวงศ์ทรงทราบว่า พระภาคินัยเต็มใจยกราชสมบัติให้ พระองค์ก็ทรงพระโสมนัสจึงประทานตำแหน่งที่อุปราชาให้พระโพธิสัตว์

พระเจ้าจิตตวงศ์หาทรงตั้งอยู่ในยุติธรรมไม่ พระอัธยาศัยกอร์ปไปด้วยอิสสาหาประพฤติบุราณธรรมตามราชประเพณีไม่ ส่วนพระโพธิสัตว์ประพฤติอยู่ในบุราณธรรม และย่อมแนะนำสั่งสอนประชาชนให้รู้จักประโยชน์และใช่ประโยชน์เป็นอันมาก ครั้นอปรภาคกาลต่อมา พระโพธิสัตว์จึงทูลลาพระเจ้าอาว์พามหาชนเที่ยวไปในป่า แสวงหามงคลหัตถี เมื่อยังไม่ได้ก็อยู่ในไพรนั้นสิ้น ๓ เดือน

คราวครั้งนั้น พระราชาทรงพระนามว่ายสกะองค์หนึ่ง เสวยสิริราชสมบัติ ณ อริฏฐมหานครบุรี พระมเหสีของพระเจ้ายสกราชนั้นพระนามว่าสีลวดีเทวี พระนางสีลวดีเทวีนั้นมีพระราชธิดาพระนามว่าปูรณีอยู่องค์หนึ่ง พระเจ้ายสกราชนั้นเสวยสุราบานเป็นนิจกาล เมื่อเสด็จออกประทับ ณ ท่ามกลางหมู่อำมาตย์ ได้ให้พระราชธิดานั่งบนพระเพลาของพระองค์ ทรงอภิรมย์ด้วยพระราชบุตรีประทับวินิจฉัยความ พระราชบุตรีมีชันษาได้สิบห้าสิบหกปี มีผิวพรรณงดงามดังสีสุวรรณ พระราชธิดานั้นอยู่ในสำนักพระราชบิดาจนถึงเวลาดึก ครั้นถึงเวลาปัจจุสสมัยจึงได้กลับไปบรรทมยังปราสาทของเธอ ทรงบรรทมหลับไปจนตะวันสายหาตื่นไม่ พวกทาสีสนมนารีพระพี่เลี้ยงก็พากันนอนหลับไปหมดด้วยกัน

วันนั้นพระราชาเสวยสุราเมานักแล้ว เมื่อไม่เห็นพระราชธิดาขึ้นมาเฝ้าก็กริ้วใหญ่ ฉวยพระแสงดาบได้เสด็จไปถึงปราสาทราชธิดา เปิดทวารเข้าไปทอดพระเนตรพวกสาวใช้ยังหลับอยู่ ตรัสปริภาษพวกทาสีตกใจตื่นขึ้นกลัวพระอาชญาก็พากันหนีไป พระราชธิดาตื่นบรรทมแล้วเห็นพระราชบิดาทรงโกรธา ก็หมอบลงถวายบังคมบาทพระราชบิดา ๆ จึงประหารราชธิดาด้วยฝ่าบาท แล้วบริภาษรับสั่งขับไล่ว่า เจ้าเป็นหญิงชั่วร้ายกาลกรรณี เจ้าไม่ใช่ลูกของเราเจ้าเป็นลูกพวกโจรไพรเจ้าจงไปสู่สำนักพวกโจรเถิด

ฝ่ายนางปูรณีราชธิดาถูกพระราชบิดาประหารและปริภาษขับไล่ เธอก็คิดโทมนัสน้อยพระทัยว่า พระราชบิดาหาสิเนหาเราไม่ ได้โบยตีปริภาษเราถึงเพียงนี้ เราจะทนอยู่ต่อไปทำไมให้อายเขา เราจักไปยังราวป่าตายเสียประเสริฐกว่า ดำริแล้วจึงเก็บเครื่องแต่งองค์และแก้วแหวนห่อเข้าดิบดี จึงหาสรีรอินทรีย์ให้ขมบขมอมปลอมกายาออกไปสู่ป่า แต่เที่ยวซอกซอนไปในพนมวันนับได้ ๓ เดือน แล้วดำเนินไปบรรลุถึงสำนักพระดาบสองค์หนึ่ง เธอก็เข้าไปหาพระดาบสแจ้งความแต่ต้นมาให้ดาบสฟัง แล้วขออาศัยยั้งอยู่ ณ สำนักพระดาบส ๆ ก็รับเลี้ยงไว้ หานานาผลาผลมาให้เสวยมิได้ให้ขัดสน

นางปูรณีราชธิดาอยู่ในสำนักพระดาบสกำหนดได้ปีหนึ่งจึงนึกขึ้นมาว่า เราเป็นมาตุคามย่อมเป็นมลทินแก่บรรพชิต เพราะฉะนั้น เราจักลาพระดาบสไปยังถิ่นที่มีมนุษย์ดีกว่า คิดแล้วก็เข้าไปบอกลาพระดาบส พระดาบสจึงคิดว่านางปูรณีนี้เป็นชาติมาตุคาม มักจักมีความอันตรายมากนัก เราจักให้มนต์จินดามณีกับพระขรรค์ทิพย์แก่เธอไป เพื่อป้องกันอันตรายภายหน้า คิดแล้วก็ให้นางปรณีเรียนมนต์จินดามณีแล้วมอบพระขรรค์ให้ไป

ในที่นี้หากจะมีคำถามว่า พระดาบสได้พระขรรค์ทิพย์ไว้ด้วยอย่างไร พึงวิสัชนาแก้ว่าวิชาธรผู้หนึ่งอยู่คันธมาทนบรรพต พาภรรยาไปเที่ยวยังป่านารีวัน วิชาธรผู้หนึ่งอยู่สุทัสสนบรรพตเหาะไปในเวหา พบวิชาธรกับภรรยานั้นเข้าคิดจักแย่งเอาภรรยาวิชาธรผู้นั้น จึงตรงเข้ารบกันกับคันธมาทนวิชาธร สุทัสสนวิชาธรอ่อนกำลังพลัดตกจากอากาศแพ้ฤทธิ์คันธมาทนวิชาธร สุทัสสนวิชาธรหลบหนีไปอาศัยอยู่สำนักพระดาบส ๆ จึงรักษาด้วยรากไม้ใบยาและน้ำร้อน สุทัสสนวิชาธรนั้นสบายหายโรคแล้วจึงถวายพระขรรค์ทิพย์เล่มนั้นแก่พระดาบส ๆ รับไว้แล้วถามว่า คุณของพระขรรค์เล่มนี้มีอย่างไรบ้าง สุทัสสนวิชาธรแจ้งว่าพระขรรค์เล่มนี้มีคุณมากมาย แม้ผู้ใดโกรธจักทำอันตราย พระผู้เป็นเจ้าจงหยิบพระขรรค์แกว่งไป ผู้นั้นจะล้มลง ณ ปฐพี แล้วหนีไป ก็ผู้ใดพยาบาทมาดร้ายจะใคร่เข่นฆ่าพระผู้เป็นเจ้าๆ จงแกว่งพระขรรค์ไป ผู้นั้นจักถึงความตาย ถ้าหากว่าพระผู้เป็นเจ้าต้องการจะไปนาคพิภพและสวรรค์ หรือใคร่จะไปยังที่ใด ๆ พระผู้เป็นเจ้าจงถือเอาพระขรรค์นี้ไปถึงได้ซึ่งที่นั้นนั้น สุทัสสนวิชาธรชี้แจงดังนี้แล้วก็นมัสการลาดาบสไป

ฝ่ายนางปูรณีราชธิดารับพระขรรค์เล่มนั้นมา จึงนมัสการลาพระดาบส กำหนดทิศทางที่จะไปเมืองของตนแล้วดำเนินไป นางปูรณีราชธิดานั้นเที่ยวซอกซอนไปตามภูเขาและเนาไพร จนไปถึงที่อยู่แห่งหมู่ยักษ์แห่งหนึ่ง นางไม่รู้จักจะไปทางไหนจึงนั่งอยู่ที่โคนไม้ระวางแดนแห่งหมู่ยักษ์

คราวนั้น มียักษ์สองตนพี่น้องเดินไปพบนางปูรณีราชธิดา ยักษ์พี่ชายพูดว่าเราจักจับหญิงนี้ฆ่ากินเสีย ยักษ์น้องชายพูดว่าข้าจักเอาไปเป็นเมีย ยักษ์สองตนรีบร้อนเข้าไปปรารภจะจับนางปรณีราชธิดา ๆ จึงหยิบพระขรรค์ขึ้นแกว่งไปแกว่งมา ยักษ์พี่ชายก็ถึงความตายด้วยอำนาจพระขรรค์ทิพย์ แต่ยักษ์น้องชายนั้นวิ่งหนีไปได้ นางปูรณีราชธิดาพ้นภัยแล้วดำเนินไปในวนาวัน ครั้นล่วงไปได้สามเดือนจึงบรรลุถึงเขตไชยวงศนคร นางจึงเข้าหยุดระงับร้อนนอนหลับอยู่ ณ โคนต้นไทรแห่งหนึ่ง

ในขณะนั้น พฤกษเทวดาเห็นนางปูรณีราชธิดาประกอบด้วยบุญลักษณะแล้วคิดว่า นางกุมาริกาผู้นี้มีบุญหาใช่หญิงเลวทรามไม่ สมควรจะเป็นมเหสีแห่งพระสุวรรณวงศ์ราชกุมารได้ คิดแล้วจึงแปลงเพศเป็นเนื้อทรายทอง วิ่งสะบัดหยัดย่องผ่านพักตร์พระสุวรรณวงศ์ไป พระสุวรรณวงศ์ทรงเห็นแล้วอยากได้โดดขึ้นหลังม้าควบขับตามไปถึงที่นางปูรณีนอนหลับอยู่นั้น เห็นนางปูรณีมีศรีโสภาโชติช่วงดังดวงพระจันทร์อันตกติดอยู่กับปฐพี นึกยินดีรักใคร่ ตรงเข้าไปใกล้เห็นพระขรรค์วางอยู่ข้างองค์นาง จึงหยิบพระขรรค์นั้นมาถือไว้แล้วปลุกนางปูรณี ๆ ตื่นขึ้นเห็นพระสุวรรณวงศ์แล้วเหลียวหาพระขรรค์ไม่เห็นจึงถามว่า เธอเอาพระขรรค์ของข้าไปหรือ เออ พี่เอามาเอง แน่ะนางผู้เจริญ เธอมีภัสดาแล้วหรือยัง ดิฉันหลงทางมาอยู่กลางป่า จะได้ภัสดามาแต่ที่ไหน แน่ะนางผู้เจริญ นี่จะเดินไปไหนต่อไป และมาแต่ที่ไหนเล่า นางปูรณีจึงเล่าความแต่ต้นจนปลายให้พระสุวรรณวงศ์ทรงทราบ พระสุวรรณาวงศ์ทรงทราบแล้วก็โสมนัส จึงรับนางปูรณีราชธิดาให้ขึ้นหลังม้า แล้วพาไปถึงที่พลนิกายตั้งทัพรั้งอยู่นั้น ครั้นแล้วจึงเสด็จกลับยังนคร ทูลความให้พระมารดาทราบ แล้วอภิเษกนางปูรณีตั้งไว้ในที่พระมเหสี

(ต่อนี้ไปจะกล่าวถึงฝ่ายพระราชบิดามารดาของนางปูรณี)

ใจความว่า พระเจ้ายสกราชบิดาของนางปูรณีนั้น ครั้นสว่างเมาสุราแล้วระลึกถึงราชธิดาขึ้นมา เสด็จไปหาถึงปราสาทราชธิดา เมื่อมิได้เห็นจึงถามพวกทาสีว่า ธิดาของเราหายไปข้างไหน พวกทาสีจึงกราบทูลพระราชาว่ามิได้เห็น พระราชาจึงพร้อมด้วยมหาชนให้แยกย้ายกันไปเที่ยวค้นหาตามราชนิเวศน์ และประเทศราชอุทยานตลอดทั่วไปภายในสกลนครก็มิได้พบ เที่ยวเวียนตลบหาไปในทิศทั้งสี่ ฝ่ายพระชนนีเสด็จกับอันเตบุริกานารีทรงโสกีเสด็จขึ้นบนปราสาทราชธิดา ทอดพระเนตรนานาสนะแล้วตรัสวิลาปคาถาดังนี้ว่า

สกุณี หตปุตฺตา ว สุฺํ ทิสฺวา กุลาวกํ
จิรํ ทุกฺเขน ฌายิสฺสํ สุฺํ อาคมฺมิมํ ปุรํ
สกุณี หตปุตฺตา ว สุฺํ ทิสฺวา กุลาวกํ
จิรํ ทุกฺเขน ฌายิสฺสํ ราชธีตรํ อปสฺสตี
กุรุรี ว หตจฺฉาปา สุฺํ ทิสฺวา กุลาวกํ
จิรํ ทุกฺเขน ฌายิสฺสํ สุฺํ อาคมฺมิมํ ปุรํ
กุรุรี ว พตจฺฉาปา สุฺํ ทิสฺวา กุลาวกํ
จิรํ ทุกฺเขน ฌายิสฺสํ ราชธีตรํ อปสฺสตี
สา นูน จากวากี ว ปลฺลลสฺมึ อนูทเก
จิรํ ทุกฺเขน ฌายิสฺสํ สุฺํ อาคมฺมิมํ ปุรํ
สา นูน จากวากี ว ปลฺลสฺมึ อนูทเก
จิรํ ทุกฺเขน ฌายิสฺสํ ราชธีตรํ อปสฺสตี
กมฺมารานํ ยถา อุกา อนฺโต ฌายติ โน พหิ
เอวํ ฌายามิ โสเกน ราชธีตรํ อปสฺสตี

ความว่า แม่อยู่ข้างหลังเห็นแต่ราชวังวิเวกสงัด แม่ไม่เห็นหน่อกษัตริย์ราชธิดา แม่ก็ตั้งจะโสกาไม่วายน้ำพระเนตร ตั้งแต่ทนทุกข์เทวษไม่วายโศก ด้วยบุตรวิโยคหากรันทด อุปมาเหมือนแม่นก อันนายพรานเจ้ากรรมนำเอาลูกไป เห็นแต่รังเปล่าเข้าทีไร ก็มีแต่จะร้องไห้นั้นเป็นหัวหน้า ก็มีอุปมาเหมือนอกแม่ โอ้ตั้งแต่นี้แลแม่จะไม่วายทุกข์เลยสักเวลา ไหนชีวิตของมารดาจะรอดอย่าสงสัย เมื่อมารดามาเห็นแต่ราชฐานเปล่า มิได้เห็นราชธิดาเจ้า ก็จะบเาระทมทุกข์ทรมานอยู่นาน เปรียบปานดังแม่นกจากพราก อันติดหลมปราศจากวารี มีแต่ว่าจะสิ้นสูญชีวิตไป อนึ่ง อุปมัยเหมือนเบ้าของช่างทองเขาหลอมสุวรรณ ย่อมรุ่มร้อนละลายคว้า เป็นควันเปลวอัคคี ก็อุปมาเหมือนอกแม่ นับวันแต่จะหมองไหม้ไปด้วยความโศก กว่าจะสิ้นชีพทำลายไป

คราวนั้น บรรดานางสนมกำนัลในแต่สักคนหนึ่งก็มิได้อาจดำรงกายอยู่ได้ พากันร้องไห้ล้มกลิ้งทิ้งกายา อุปมาเหมือนสาลวันอันลมยุคันธวาตหากพัดผันให้ล้มลงฉะนั้น พระเจ้ายสกราชทรงพระโศกาดูรมิได้วาย พาพวกสนมนารีพี่เลี้ยงทั้งหลายข้อนพระทรวงพลางทางเสด็จไปยังเรือนจำคุมขังนักโทษ จึงตรัสโปรดว่าให้ปล่อยนักโทษไปกว่าเราจักได้พบราชธิดาของเรา

(ตอนนี้จะกล่าวถึงพระราชาจิตตวงศ์ต่อไป)

ใจความว่า พระราชาจิตตวงค์พระเจ้าอาว์ของพระโพธิสัตว์ ทรงทราบว่าพระโพธิสัตว์ได้นางรัตนกุมารีมาไว้ ใคร่จะทอดพระเนตรนางรัตนกุมารี รับสั่งให้หาตัวนางปูรณีเทวีมาเฝ้าทอดพระเนตรแล้วทรงปฏิพัทธ อันความกำหนัดเข้ากระตุ้นเตือนพระหฤทัย ทรงดำริหาอุบายจะให้ได้นางปูรณีเทวีว่า เราฆ่าพระสุวรรณวงศ์เสียได้แล้ว ก็จักได้นางปูรณีมิต้องสงสัย ดำริแล้วจึงประทานเครื่องนานาสังการให้นางปูรณีเทวีแล้วรับสั่งให้ส่งนางปูรณีกลับไป นางปูรณีถวายบังคมลากลับมาถึงปราสาทของตนแล้ว จึงทูลเล่าความนั้นถวายพระสุวรรณวงศ์อุปราชา ครั้นพระสุวรรณวงศ์อุปราชาเข้าเฝ้าพระเจ้าจิตตวงศ์ ๆ ทรงตรัสว่า ท่านสุวรรณวงศ์จงให้นางปูรณีเทวีแก่เรา เราจะอภิเษกนางสุจิตตาเทวีธิดาของเราให้แก่ท่าน พระโพธิสัตว์จึงกราบทูลว่า พระมหาราช ซึ่งพระองค์ทรงบริภาษมา ทั้งนี้ยังหาควรไม่ พระเจ้าจิตตวงศ์ก็ทรงนิ่งไป

ครั้นอปรภาคสมัยต่อมา พระจิตตวงศ์ราชาคิดอุบายได้อย่างหนึ่ง จึงรับสั่งให้หาพระโพธิสัตว์มาเฝ้าแล้วตรัสว่า ท่านสุวรรณวงศ์ เทพยดารักษาพระนครโกรธตัวท่านใหญ่ได้ทำนางสุจิตตาเทวีลูกของเราให้เป็นไข้มากแล้วบอกกะเราว่า ที่เมืองพระยานาคมีดอกกมุทมากมาย พระองค์จงใช้พระสุวรรณวงศ์ให้ไปนำดอกกมุทนั้นมาบูชาข้าพเจ้าผู้เทวดาเสีย ถ้าว่าพระสุวรรณวงศ์ นำดอกกะมุทมาบูชาไม่ได้ไซร้ ราชธิดาของพระองค์ก็จักสิ้นพระชนม์ไป เทพยดาบอกแก่เราไว้อย่างนี้ ถ้าว่าธิดาของเราถึงกาลกิริยาแล้วชีวิตของท่านก็จะล่วงไปตามกัน เพราะฉะนั้น ท่านจงไปยังนาคพิภพ นำดอกกมุทมาบูชาเทพยดาเสียให้ได้

พระโพธิสัตว์สดับพระราชดำรัสแล้วก็รู้ชัดว่าพระราชาคิดหาอุบายจักเอาภรรยาของเรา แล้วทูลตอบว่า ขอพระองค์จงรอไว้สัก ๗ เดือนก่อน ข้าพระบาทจะไปนำดอกกมุทมาให้ได้ แล้วพระองค์ก็เสด็จมายังปราสาทของพระองค์ ทรงตรัสบอกความเรื่องนั้นแก่นางปูรณีเทวี ๆ จึงทูลว่า พระมหาราช พระองค์จงถือเอาพระขรรค์เล่มนี้ไปเป็นคู่หัตถ์ แล้วนางจึงทูลบรรยายคุณของพระขรรค์ให้พระโพธิสัตว์ทรงทราบ พระโพธิสัตว์รับพระขรรค์ทิพย์ไว้แล้ว เสด็จไปทูลลาพระราชมารดา ๆ โกรธพระราชายกใหญ่ ได้บริภาษพระราชาแล้วตรัสประพันธ์คาถานี้ว่า

อเร ทุฏฺ กลิราช กสฺมา ปุตฺตํ อเปสยิ
นาคภวนํ กมุทฺทฺจ กุโต อคณฺหสิ ตวฺจ

ความว่า พระราชาผู้โหร้ายกาลี ไฉนนี่มาแล้วใช้ให้ลูกองเราไปยังนาคพิภพเลา พระลูกเจ้าจะไปเอาอกกมุทมาแต่ที่ไหน พระนางทรงรรแสงพลางทางประทานพรแก่พระโพธิสัตว์ พ่อจงไปให้มีความสุขสำราญ ภัยพาลทั้งหลายคือยักษ์และปีศาจทั้งนาคครุฑ จงอย่าประทุษฐ์ทำอันตรายแก่พ่อได้ สรรพสัตว์มีราชสีห์เป็นอาทิ เห็นพ่อแล้วจงแคล้วคลาดปลาดหนีไป ขออย่าได้มากล้กลายประสบพักตร์ลูกรักของแม่เลย ประทานพรแล้วก็ส่งพระโพธิสัตว์ไป

ฝ่ายนางปูรณีเทวีนั้นทรงครรภ์มาได้ ๕ เดือนแล้ว พระโพธิสัตว์จึงทูลฝากพระมารดาว่า ขอพระมารดาจงกรุณารักษานางปูรณีผู้มีครรภ์ด้วยช่วยป้องกันอย่าให้เป็นอันตราย แล้วพระองค์ถวายบังคมลาเสด็จออกนอกพระนคร มุ่งหมายทางหิมวันต์ หมู่อำมาตย์ทั้งหลายนั้นชวนกันตามไปส่งถึงมหาวัน พร้อมกันแวดล้อมพระโพธิสัตว์ด้วยความอาลัย

พระโพธิสัตว์จึงให้พวกอำมาตย์กลับแล้วก็ดำเนินไปแต่พระองค์เดียว เที่ยวไปในพนาวันและซอกภูเขาเนานทีธาร นับประมาณได้เดือนหนึ่ง ถึงเมืองร้างเข้าเมืองหนึ่งจึงแวะเข้าไปตรวจดู เห็นบ้านและร้านตลาดทั้งธัญชาติทิ้งเกลื่อนกลาดอยู่ แต่หามีผู้คนและสัตว์เดียรัจฉานไม่ พระองค์นึกสงสัยว่าน่าอัศจรรย์จริง แล้วเสด็จขึ้นบนราชฐานเปิดประตูห้องเข้าไป เห็นสุวรรณมัญจาแท่นหนึ่งจึงตรวจดู เห็นมีประตูยนต์สำหรับเปิดปิดได้ จึงผลักประตูเข้าไปได้เห็นนางนารีรูปงามมีนามว่า สุวรรณมัญจา จึงรับสั่งเรียกให้ออกมานั่งภายนอกแล้วถามว่า แน่ะนางน้อง เหตุไรน้องจึงมาอยู่ในที่นี้แต่ผู้เดียวเล่า

นางสุวรรณมัญจานารีทำอภิวันทน์แล้วแจ้งว่า ที่เมืองนี้มีผีเสื้อน้ำอยู่ ณ สระโบกขรณีที่ป่ามหาวัน มนุษย์หรือสัตว์เดียรัจฉานเหล่าใดไปดื่มน้ำและเก็บเอาเง่าบัวในสระไปกิน ผีเสื้อน้ำนั้นก็จะจับเอามนุษย์และสัตว์เดียรัจฉานเหล่านั้นกินเสียสิ้น เมื่อสมัยกาลคราวหนึ่ง พระอัยกาของหม่อมฉันท่านดำรงตำแหน่งเป็นพระราชา ณ เมืองนี้ เสด็จไปประพาสป่าเที่ยวล่าเนื้อ ติดตามเนื้อไปแต่องค์เดียว ครั้นถึงเวลาเที่ยงวันถึงสระตำบลนั้นเข้า พระอัยกาเจ้าสรงเสวยวารีและเก็บเล่าบัวฝักบัวเสวยผีเสื้อน้ำนั้นจักจับพระอัยกากินเป็นภักษา พระอัยกาขอชีวิตไว้ รับรองว่าจะส่งมนุษย์ไปให้กินวันละคนทุก ๆ วัน ผีเสื้อน้ำนั้นถือเอาคำมั่นสัญญาแล้วปล่อยพระอัยกามา ต่อแต่นั้นพระอัยกาจึงจัดส่งนักโทษไปให้ผีเสื้อน้ำกินวันละคนจนสิ้นรัชกาลพระอัยกาแล้ว พระชนกของหม่อมฉันท่านได้เป็นพระราชาหาได้ส่งส่วยไปให้แก่ผีเสื้อน้ำไม่ ผีเสื้อน้ำนั้นจึงมาจับเอามนุษย์และสัตว์กินแล้วก็ไปอยู่ในสระโบกขรณี พระราชบิดาของหม่อมฉันถามโหราจารย์ว่า ทำอย่างไรพวกเราจึงจะฆ่าผีเสื้อน้ำได้ โหราจารย์คำนวณคัมภีร์โหราศาสตร์แล้วกราบทูลว่าพระราชธิดาของพระองค์จักได้ภัสดามีฤทธิ์มากผู้หนึ่งจึงจักฆ่าผีเสื้อน้ำนั้นได้ แล้วจักควักเอาแก้วมณีในท้องผีเสื้อน้ำ นำสุคนธวารีมารดกระดูกมนุษย์และสัตว์ผีเสื้อน้ำกินไว้ในห้อง กระดูกทั้งหลายก็จักกลายเป็นมนุษย์และสัตว์ตามสภาพของตน เพราะฉะนั้นพระราชบิดาจึงเอาหม่อมฉันใส่เข้าไว้ในสุวรรณมัญจา แล้วถึงทิวงคตไป มหาชนบางพวกหลบหนีไปนานาทิศรอดชีวิตไปก็มี บางพวกอาศัยอยู่ด้วยที่ไร่นาบ้านเรือนของตนก็พากันม้วยมรณ์เป็นภักษาแห่งผีเสื้อน้ำอย่างนี้

นางสุวรรณมัญจาเล่าความถวายพระโพธิสัตว์ แล้วถามว่าอาจจักฆ่าผีเสื้อน้ำนั้นได้หรือไม่ พระโพธิสัตว์จึงตรัสตอบว่า แน่ะน้องพี่อาจจักฆ่าผีเสื้อน้ำได้ แล้วพระองค์ประโลมนางสุวรรณมัญจาให้ชื่นชอบหฤทัย สองกษัตริย์ก็ได้ถึงโลกราคฤดี ต่างสนทนากันอยู่จนถึงเวลาพลบค่ำ

คราวนั้น ครั้นผีเสื้อน้ำตื่นขึ้นแล้วแสดงรูปกายให้เป็นที่น่าพึงกลัว เที่ยวไปได้เห็นสองกษัตริย์แล้วหมายจะจับกินเสีย นางสุวรรณมัญจาเห็นผีเสื้อน้ำมาก็ตกใจ หลบเข้าไปในสุวรรณมัญจา พระโพธิสัตว์จึงแกว่งพระขรรค์แก้วป้องกันไว้ เสียงพระขรรค์แก้วบันลือสนั่นดุจดังเสียงฟ้าเข้าไปผ่าเอาหัวใจผีเสื้อน้ำ ๆ ทำกาลกิริยาตายไป พระโพธิสัตว์จึงเรียกนางสุวรรณมัญจาให้ออกมาดู นางสุวรรณมัญจาออกมาเห็นผีเสื้อน้ำตายแล้วก็โสมนัส แล้วเตือนให้พระโพธิสัตว์ผ่าท้องผีเสื้อน้ำออกดู พระโพธิสัตว์รับคำนางสุวรรณมัญจาแล้วจึงผ่าท้องผีเสื้อน้ำด้วยพระขรรค์แก้ว พบรัตนมณีมีอยู่ในท้อง แล้วเลือกกระดูกออกมากองเป็นส่วน ๆ จึงเอาแก้วมณีแช่ลงในสุคนธวารี เอาวารีนั้นรดกระดูกทั้งหลาย กระดูกมนุษย์ก็กลายเป็นรูปมนุษย์ กระดูกสัตว์ก็กลายเป็นรูปสัตว์ ดูเป็นที่น่าอัศจรรย์นักหนา

พระราชบิดามารดาของนางสุวรรณมัญจา ได้พระชนม์ชีพคืนมาทรงพระโสมนัส ตรัสสรรเสริญคุณพระโพธิสัตว์แล้วถามว่า ท่านมาแต่ไหน มาแต่เมืองไชยวงศ์ มาถึงที่นี้มีกิจสิ่งไร พระโพธิสัตว์จึงทูลเล่าความแต่ต้นจนอวสานให้ทรงทราบทุกประการ พระราชบิดามารดาของนางสุวรรณมัญจาจึงตรัสว่า เราจะใคร่อภิเษกท่านให้เป็นพระราชาดำรงราชสมบัติต่อไป พระโพธิสัตว์ทูลว่า ข้าแต่พระมหาราช พระองค์อย่าทรงอภิเษกข้าพระบาทเลย ข้าพระบาทจะไปยังนาคพิภพหาดอกกมุทได้แล้วจึงจะกลับมาเฝ้าฝ่าพระบาท แล้วมอบนางสุวรรณมัญจาไว้กับพระราชา ทูลลาออกจากนครสัญจรไปในมหาวัน ดำเนินไปครั้งนั้นได้ประมาณเดือนหนึ่งถึงเมืองร้างหนึ่งเข้า พระโพธิสัตว์เจ้าดำเนินเข้าไปภายในนคร มิได้เห็นมนุษย์นิกรและหมู่สัตว์นึกแปลกหฤทัย แล้วดำเนินขึ้นไปบนปราสาท เห็นสุวรรณเภรีมีประตูยนต์ปิดอยู่ จึงเปิดเข้าไปได้พบนางกุมารีงามโสภานามว่าสุวรรณเภรี แล้วพระองค์ทรงไถ่ถามเหตุทั้งมวลกะนางสุวรรณเภรี ๆ จึงถามนามและสกุลพระโพธิสัตว์แล้วทูลว่า ข้าแต่เทวดา มีนกหัสดีถึงค์ตัวหนึ่งมายังเมืองนี้ เที่ยวไล่จับมนุษย์กินเป็นภักษา มนุษย์บางพวกก็ถึงความตาย บางพวกก็หนีรอดชีวิตไปได้ เพราะฉะนั้นพระราชบิดาของหม่อมฉันได้ถามพวกโหราจารย์ ๆ พยากรณ์ถวายไว้ว่า พระองค์จงทำกลองลูกหนึ่งไว้ แล้วให้พระราชกุมารีเข้าไปอยู่ในกลอง พระราชกุมารีนั้นจักได้ภัสดามีฤทธานุภาพมาก ภัสดาของราชธิดาจักฆ่าสกุณนั้นตาย แล้วจักแหวะเอาแก้วมณีในศีรษะนกนั้นให้ชีวิตแก่พระราชธิดา เพราะฉะนั้น พระราชบิดาของหม่อมฉัน จึงให้หม่อมฉันเข้าซ่อนอยู่ในกลองใบนี้ ข้าแต่พระลูกเจ้า พระองค์จักอาจฆ่านกนั้นได้หรือไม่ พี่อาจฆ่านกนั้นได้ นางสุวรรณเภรีมีความดีฤทัย นางได้ยอมองค์เป็นบาทบริจาริการ่วมภิรมย์ตามโลกธรรมดา

พระโพธิสัตว์ตรัสถามว่า เมื่อไรนกหัสดีลึงค์จักมา เมื่อใดเราก่อไฟให้มีควันปรากฏขึ้น เมื่อนั้นนกหัสดีลึงค์เห็นควันไฟแล้วก็จักบินมา ครั้นรุ่งเช้าอีกวันหนึ่ง พระโพธิสัตว์จึงก่อไฟให้มีควันพลุ่งขึ้นมาก นกตัวนั้นเห็นควันไฟพลุ่งขึ้นแล้วก็โผผินบินมาร่อนอยู่บนอากาศ พระโพธิสัตว์เห็นแล้วทรงแกว่งพระขรรค์แก้วตรงต่อนกนั้น พระขรรค์แก้วส่งสำเนียงดังลั่นสนั่นใหญ่ นกตัวนั้นมีหัวใจแตกออกไป ทำกาลกิริยาตายด้วยอานุภาพพระขรรค์แก้ว แล้วพระโพธิสัตว์จึงผ่าศีรษะนกนั้นแล้วควักเอาแก้วมาได้ดวงหนึ่ง จึงผ่าท้องนกเก็บเอากระดูกมหาชนนีพระราชาเป็นต้นมากองไว้ แล้วทำให้มีชีวิตเป็นมนุษย์ขึ้นมาดังเก่า

มหาชนมีพระราชาเป็นต้นกลับได้ชีวิตเป็นขึ้นแล้ว พากันสรรเสริญคุณพระโพธิสัตว์ ใคร่จะให้ครองราชสมบัติอยู่เมืองนั้น พระมหากษัตริย์จึงตรัสถามว่า ท่านมาแต่ธานีบุรีใด และจะไปไหนต่อไป พระโพธิสัตว์เมื่อจะทูลความทั้งปวงถวายพระราชาจึงทูลว่า ข้าแต่มหาราช พระเจ้าอาว์ของข้าพระบาทเสวยราชสมบัติ ณ เมืองไชยวงศ์บุรี รับสั่งใช้ให้ข้าพระบาทไปเอาดอกกมุทที่นาคพิภพไปบูชาเทวดารักษาพระนคร เพราะฉะนั้น ข้าพระบาทจึงสัญจรมาถึงเมืองนี้พระเจ้าข้า

พระโพธิสัตว์จึงทูลลาพระราชาออกจากนคร สัญจรไปในป่ามหาวันนับได้อีกเดือนหนึ่ง บรรลุถึงสระโบกขรณีแห่งหนึ่ง จึงแวะเข้านั่งพักอยู่โคนต้นไทรใกล้ขอบสระ ทรงเก็บนานามูลผลาเสวยตามสบายพระทัย คราวนั้น พระยาวรุณนาคราชมีหมู่นางนาคมาณวิกาแวดล้อม ออกจากนาคพิภพพากันเล่นน้ำในสระนั้นตั้งแต่เวลาเช้าจนถึงเวลาเย็น คราวนั้นมีพระยาครุฑตัวหนึ่งบินมาทางอากาศ เห็นฝูงนาคทั้งหลายหมายจะโฉบเอาไปกินเป็นภักษา ฝูงนาคมาณวิกาเห็นแล้วก็ตกใจ พากันด้นแผ่นดินหนีไปยังนาคพิภพ ท้าววรุณนาคราชยังมิทันเห็นพระยาครุฑจึงหาหนีไปไม่ พระยาครุฑจึงทำเสียงปีกโผมาปรารภจะจับพระยาวรุณนาคราช พระโพธิสัตว์เห็นดังนั้นจึงแกว่งพระขรรค์แก้ว ทำให้เป็นแสงแวววาว และให้บันลือเสียงดัง พระยาครุฑได้ฟังเสียงลั่นสนั่นผันหน้าแลไป แสงแก้วบาดนัยน์ตาพระยาครุฑก็พลัดตกลงจากอากาศ มีความโกรธผูกอาฆาตหมายมาดจะประหารพระโพธิสัตว์ ๆ ก็แกว่งพระขรรค์ให้แสงสัมผัสพระยาครุฑ ๆ ก็ล้มกลิ้งขาดใจตายลงในที่นั้น

ท้าววรุณนาคราชเลื่อมใสในพระโพธิสัตว์แล้วดำริว่า มนุษย์ผู้นี้ช่วยชีวิตเราไว้ เราควรจะตอบแทนมนุษย์ผู้นี้บ้าง ดำริแล้วจึงจำแลงแปลงกายเป็นดรุณมาณพ เข้าไปทำความเคารพพระโพธิสัตว์ แล้วถามว่า ท่านมหาบุรุษ ท่านจะไปข้างไหนหรือ พระโพธิสัตว์ตรัสว่า ท่านนาคราช เราจักไปนาคพิกพ จักไปหาดอกกมุท ได้แล้วจะนำไปถวายพระเจ้าอาว์ของเรา ถ้ากระนั้นท่านมาไปกับข้าพเจ้าจะพาไป ท้าววรุณนาคราชจึงพาพระโพธิสัตว์ไปถึงนาคพิภพ แล้วจึงยกนางสุวรรณนาคีธิดาของตนให้เป็นบาทบริจาริกา แล้วให้ทิพย์วัตถาลังการแก่พระโพธิสัตว์ ๆ อยู่ในนาคบาดาลประมาณเดือนหนึ่งจึงทูลลาท้าววรุณนาคราชว่า ข้าพเจ้าจักขอลาไปยังไชยวงศ์นครธานี ท่านจงให้ดอกทิพย์กมุทแก่ข้าพเจ้าเถิด ท้าววรุณราชจึงให้ดอกทิพย์กมุทแก่พระโพธิสัตว์แล้วถามว่าท่านจักพานางสุวรรณนาคีบาทบริจาริกาไปด้วยหรือไม่ ข้าแต่นาคราช นางสุวรรณนาคีพอใจจะไปก็จงไป ถ้าและไม่เต็มใจไปก็จงอย่าไปเลย ท้าววรุณนาคราชจึงถามนางสุวรรณนาคีว่า เจ้าจักเต็มใจไปด้วยภัสดาหรือไม่ หม่อมฉันจักไปด้วยราชภัสดา ท้าววรุณนาคราชจึงยอมอนุญาตให้นางสุวรรณนาคีไปกับพระโพธิสัตว์ ๆ กับนางสุวรรณนาคีทูลลาพระบิดามารดาแล้วถือเอาแก้วต่าง ๆ ขึ้นจากนาคพิภพมาถึงแดนมนุษย์ จึงหยุดพักเล่นน้ำในสระโบกขรณี ครั้นถึงเวลาสายัณห์ จึงพร้อมกันไสยาสน์อยู่ใต้ร่มพฤกษา แล้วปรึกษากันว่าเราจักพากันไปยังป่าหิมวันต์ เที่ยวชมนานาบรรพตและสัตว์จตุบาททวิบาทนานารุกขชาติเสียก่อนแล้งจึงค่อยไป ครั้นรุ่งเช้าอีกวันหนึ่ง พระโพธิสัตว์จึงพานางสุวรรณนาคี เสด็จไปยังหิมวันต์ ทอดพระเนตรภูเขาและสระน้ำ และสรรพสัตว์ต่าง ๆ ตามความสำราญหฤทัย

แท้จริง หิมวันตบรรพตนั้นสูงได้ห้าร้อยโยชน์ กว้างและยาวได้สามพันโยชน์ ประดับไปด้วยยอดแปดหมื่นสี่พัน มีสุทัศศนกูฏ เป็นต้น บนหิมวันตบรรพตนั้นมีสระใหญ่เจ็ดสระ มีสระอโนดาตเป็นอาทิ กว้างและลึก มีปริมณฑลได้ร้อยยี่สิบห้าโยชน์ สระอโนตดาตนั้นมีภูเขาห้าลูกคือ สุทัศศนภูฏ ๑ จิตตกูฏ ๑ กาลากูฏ ๑ คันธมาทนกูฏ ๑ เกลาสกูฏิ ๑ ล้อมโอบรอบอยู่ชั้นนอก สุทัสสนกูฏนั้น เป็นที่เกิดแห่งทองคำ จิตตกูฎนั้นเป็นที่เกิดแห่งแก้วเจ็ดอย่าง กาลกูฏนั้นเป็นที่เกิดแห่งแก้วสีดอกอัญชันและแก้วอินทนิล คันธมาทนกูฏนั้นเป็นที่เกิดแห่งแก้วลาย และมีต้นไม้หอมวิเศษสิบประการ ไม้บางต้นหอมราก บางต้นหอมแก่นหอมกระพี้ ไม้บางต้นหอมปุ่มสะเก็ด และหอมรสยาง ไม้บางต้นหอมใบหอมดอกหอมผล ไม้บางต้นมีกลิ่นหอมพร้อมทุกอย่าง แลดูสล้างด้วยต้นยามีนานัปการ ที่ภูเขานั้นล้วนศิลาลายโชตช่วงดุจดวงอาทิตย์ส่องแสงในราตรีแห่งกาฬปักขอุโบสถฉะนั้น

ที่ภูเขาคันธมาทน์นั้นมีเงื้อมเขานามว่านันทมูลกเป็นที่อาศัยอยู่ของหมู่ปัจเจกพุทธเจ้า ที่เงื้อมเขานันทมูลกนั้นมีถ้ำอยู่สามแห่งคือ ถ้ำทอง ๑ ถ้ำแก้ว ๑ ถ้ำเงิน ๑ ที่ปากถ้ำแก้วนั้นมีต้นไม้ต้นหนึ่ง เรียกว่ามัญชุสัก (น่าจะแปลว่าไม้สักงาม) มียอดและสาขาแผ่ไปได้โยชน์หนึ่ง ข้างหน้าต้นมัญชุสักออกไปนั้นมีเรือนแก้วอยู่หลังหนึ่ง ที่บริเวณรัตนมาลกนั้นมีลมกองหนึ่งพัดกวาดเอาหยากเยื่อไปทิ้งเสีย ลมกองหนึ่งพัดเอาทรายเงินมารายไว้ให้เสมอดุจหน้ากลอง ลมกองหนึ่ง จึงหอบเอาน้ำแต่สระอโนดาตมารดทรายเงินให้ชุ่มชื้นทั่วไป ลมกองหนึ่งพัดพาเอาของหอมมาโรยไว้ที่เรือนแก้ว แล้วลมกองหนึ่งจึงพัดเลือกเก็บเอาดอกไม้มากองไว้ ลมกองหนึ่งจึงลำดับเรียบเรียงดอกไม้นั้นไว้เป็นอันดี และมีปัญญัตตาสนะตั้งอยู่ ณ รัตนมาลกะนั้นเป็นที่รโหฐานยิ่งหนักหนา พระโพธิสัตว์กับพระชายาพากันเที่ยวชมนกชมไม้แล้ว ได้อาศัยพักนั่งและไสยาสน์ในมาลกะปัญญัตตาสนะนั้น

ส่วนว่าภูเขาไกรลาสรชตมัยนั้น เป็นที่อยู่ของหมู่กินนรทั้งหลาย ภูเขาห้าลูกซึ่งล้อมสระอโนดาตนั้น เป็นที่อยู่ของหมู่เทวดาและท้าวกุมภัณฑ์ พวกนิกรและมหาภูตทั้งหลาย ที่สระอโนดาตนั้น มีบันไดเงินสำหรับขึ้นลงประจำท่าน้ำทุก ๆ ท่า ที่ท่าน้ำตบแต่งทำเรียบร้อยดี มีอุทกวารีอันเย็นใสดังสีแก้วผลึก ท่าน้ำแห่งหนึ่ง สำหรับพระปัจเจกพุทธและพระขีณาสพและดาบสลงอาบ ท่าน้ำแห่งหนึ่งสำหรับพวกยักษ์และท้าวกุมภัณฑ์และภูตลงอาบเล่น ท่าน้ำแห่งหนึ่งสำหรับภูมเทวดารุกขเทวดาอากาสเทวดาลงอาบ ท่าน้ำแห่งหนึ่งสำหรับจาตุมหาราชลงอาบ ท่าน้ำแห่งหนึ่งสำหรับฉกามาวจรเทวดาลงอาบ

สี่ด้านแห่งสระอโนดาตนั้น มีแม่น้ำอันไหลออกจากปากสีหราชแห่ง ๑ ไหลออกจากปากคชสารแห่ง ๑ ไหลออกจากปากม้าแห่ง ๑ ไหลออกจากปากอุสุภราชแห่ง ๑ ฝั่งฟากนทีที่ไหลออกปากสีหราชมีราชสีห์อยู่มากมาย ฝั่งฟากนทีที่ไหลออกจากปากคชสารมีช้างอยู่เกลื่อนกล่น ฝั่งฟากนทีที่ไหลออกจากปากม้านั้น มีฝูงม้าอยู่มากมาย ฝั่งฟากนทีที่ไหลออกจากปากอุสุภราชนั้น มีฝูงโคอยู่มากมาย นทีธารอันไหลออกจากทิศทั้งสี่แล้วปทักษิณสระอโนดาต จึงไหลไปสู่ทางมนุษย์และอมนุษย์แล้วไหลไปสู่มหาสมุทร พระมหาบุรุษกับพระชายา เสด็จเที่ยวชมนานาสถานเล่นตามสำราญหฤทัย แล้วดำเนินไปสู่ฉันทันตสระ

ก็ในท่ามกลางฉัททันตสระนั้น กว้างยาวประมาณสิบโยชน์ จะได้มีสาหร่ายและแหนหาบมิได้ น้ำใสสะอาดดุจดังสีแก้วมณี ระหว่างฉัททันตสระนั้นออกไป มีสุทธกาลหารวันอยู่ ๑ ต่อนั้นไปมีป่าอุบลเขียว ๑ ป่าอุบลแดง ๑ ต่อนั้นไปมีป่าประทุมแดง ๑ ป่าประทุมขาว ๑ ต่อนั้นไปมีป่ากมุทแดง ๑ ป่ากมุทขาว ๑ ต่อนั้นไปมีโอมิสกวันแห่ง ๑ มีรัตตสาลิวัน ๑ ต่อนั้นไปมีป่าไม้กอเล็ก ๆ อาเกียรณ์ไปด้วยโกสุม มีสีเขียวเหลืองแดงขาวกลิ่นหอมฟุ้งขจร ๑ ป่าไม้มีดอกสิบประการเหล่านี้ กว้างได้โยชน์หนึ่ง ๆ ล้อมฉัททันตสระอยู่รอบนอก

ริมรอบของสระฉัททันต์นั้น มีดงถั่วขาวเล็กและถั่วขาวใหญ่ ต่อนั้นไปถึงดงแตงกวาและน้ำเต้าและเถาฟักเขียวฟักทอง ต่อนั้นไปถึงป่าอ้อยลำโตเท่าต้นหมาก ต่อนั้นไปถึงดงกล้วยมีผลใหญ่เท่างาช้าง ถัดนั้นไปถึงป่าสาลวัน ต่อแต่นั้นถึงป่าไม้ขนุนมีผลโตเท่าตุ่มใหญ่ ๆ ต่อนั้นไปถึงป่าไม้มะม่วงมีรสหวาน และถึงป่ามะขามรสโอชามีฝักใหญ่เท่าดุมรถ ถัดนั้นไปถึงป่าไม้มะขวิดและป่าโอมิสกวัน ต่อแต่นั้นไปถึงป่าไม้ไผ่มีหมู่งูพิษประจำอยู่มากมาย ป่าไม้ทั้งหลายเหล่านี้ล้อมสระฉัททันต์อยู่รอบนอกเป็นหลั่นชั้นกันไป ด้วยประการฉะนี้

ต่อแต่วันสถานออกไปมีภูเขาเจ็ดลูกล้อมอยู่ภายนอก คือจุลกาลบรรพตที่หนึ่ง อยู่ระหว่างภูเขาหกลูก แล้วถึงมหากาลบรรพตที่สองแล้วถึงอุทกปัสสบรรพตที่สาม ถึงจันทปัสสบรรพตที่สี่ ถึงสุริยปัสสบรรพตที่ห้า แล้วถึงมณิปัสสบรรพตที่หก ถึงสุวรรณปัสสบรรพตที่เจ็ด ที่สระฉัททันต์นั้น มีไม้ไทรใหญ่อยู่ต้นหนึ่ง ลำต้นนั้นโตกลมได้ห้าโยชน์ สูงแต่เรือนพุ่มขึ้นไปได้ร้อยโยชน์ สูงแต่รากถึงเรือนพุ่มได้สามโยชน์ สาขาที่ยื่นออกไปในสี่ทิศยาวกิ่งละหกโยชน์ กิ่งยอดที่ตั้งตรงขึ้นไปก็อีกหกโยชน์ ร่วมเรือนแห่งกิ่งโดยรอบนับได้สิบสองโยชน์ ประดับด้วยย่านแปดพัน ห้อยย้อยดูงามงดดุจดังมณีบรรพต พระสุวรรณวงศ์โพธิสัตว์กับพระชายา พากันดำเนินไปชมวันพฤกษาในนานาทิศแล้ว ต่อถึงเวลาพลบค่ำก็มาประทับบรรทมอยู่ในสุวรรณคูหานั้น

ก็ในสมัยกาลคราวนั้น มีวิชาธนตนหนึ่งมาโดยอากาศลงอาบน้ำสระฉัททันต์นั้น ครั้นอาบแล้วจึงเข้าไปในสุวรรณคูหา เห็นพระโพธิสัตว์กับพระชายานิทราหลับอยู่ มองไปดูเห็นพระขรรค์แก้วแล้วก็ลักเอาไปเสีย พระโพธิสัตว์กับพระชายาตื่นจากนิทราไม่เห็นพระขรรค์แก้วแล้วปริเทวนาว่า พระขรรค์ของเราหายเสียแล้ว ที่นี้เราจักคิดทำอย่างไร นางสุวรรณนาคีเทวีกลิ้งเกลือกที่บาทราชสามีพลางทางก็กล่าวคาถาว่า

สามี มยํ กหํ คตา ทิสาทิสา น ชานาม
โก โน มคฺคํ กเถสฺสติ กถํ จรามิ วเน จ
พาลมิเคหิ เสวิเต นิสฺสยํ มริสฺสาม
สาปิ ปุพฺเพหฺ สุขิตา ปาสาเท วเสยฺยํ สทา
กถฺจ กนฺตารมคฺคํ พาเลหิ ยุตฺตํ จเรม
มุทุตลา ปาทหตฺถา กถํ คจฺฉนฺติ ปติตฺกา
พหุยกฺขา ปิสาจาปิ เสวนฺติ มหาวเนปิ
ยํ ปุพฺพกมฺมํ เม กตํ อกฺโกสนฺตา สีลธรํ
เตน มยฺหํ อาคูทานิ ปสฺสวนฺตี พหุทุกฺขนฺติ

ข้าแต่พระราชสามี เราทั้งสองนี้ไม่รู้จักทิศทางว่าเจะไปข้างไหน ใครเล่าเขาจักบอกหนหางให้แก่เรา เรามิต้องเที่ยวด้นดั้นอยู่ในไพรสณฑ์ อันพาลมฤคเสพอาศัยอยู่เนืองนอง เราทั้งสองจักวอดวายเป็นมั่นคงในดงดอน

พระคุณเจ้าเอ๋ย แต่ก่อนสิเราเคยนั่งนอนในปราสาทแสนสุขสำราญ ไฉนเล่าเรามาต้องเที่ยวทุเรศแรมทางกันดาร อันกอร์ปด้วยภัยพาลอันร้ายกาจ อนึ่ง ฝ่าพระบาทและหัตถาก็อ่อนดังเนื้อนุ่ม ที่ใดเป็นหลุมลุ่มดอนเราจักเดินไปได้หรือไร อนึ่ง ในป่าพนมวันสารพันภูตยักษ์ปีศาจ เข้าสิงเสพอาศัยอยู่ดูก็น่าเสียวสยอง เออเราทั้งสองแต่ก่อนได้ทำกรรมสิ่งไรไว้ หรือได้พลั้งพลาดบริภาษด่าว่าท่านผู้ทรงศีลมั่นด้วยผลกรรมอันนั้น จึงซัดให้ได้มาเสวยมหันตทุกข์ถึงเพียงนี้

เมื่อสองกษัตริย์ทรงพิลาปพลางทางก็ดำเนินจากที่นั้น เที่ยวด้นดั้นไปยังภูเขาและเนาไพร ได้หยุดพักอาคัยอยู่ใต้ร่มรุกขมูลแห่งหนึ่ง ในกาลครั้งนั้น มีพระยาสุบรรณตัวหนึ่งบินมาทางอากาศ นางสุวรรณนาคีเห็นแล้วก็ตกใจแทรกแผ่นดินหนีไปยังนาคพิภพ พระโพธิสัตว์มิได้เห็นนางสุวรรณนาคี ความโศกก็ทวีมากขึ้น ทรงกรรแสงพลางก็ดำเนินไปในนานาทิศแต่พระองค์เดียว

คราวนั้น ด้วยอำนาจบุญของพระโพธิสัตว์เจ้า พิภพแห่งท้าวสักกเทวราชก็แสดงอาการร้อนขึ้นให้ปรากฏ ท้าวเทวราชใคร่ครวญดูก็รู้ชัดว่า พระสุวรรณวงศ์พุทธังกูรอนาถอยู่ผู้เดียวเที่ยวอยู่ในป่า วิชาธรได้ลักเอาพระขรรค์แก้วไปเสีย และนางสุวรรณนาคีเห็นพระยาครุฑบินมา นางก็หนีไป ท้าวสหัสสนัยจึงดำริว่า เราจักไปนำเอาพระขรรค์แก้วมาให้พระโพธิสัตว์ ดำริแล้วจึงไปสู่สำนักวิชาธรบริภาษแล้วบังคับให้ส่งพระขรรค์แก้วแก่พระองค์ จึงเสด็จกลับมายังสำนักพระโพธิสัตว์ ส่งพระขรรค์แก้วให้พระโพธิสัตว์แล้วก็กลับยังสถานของตน พระโพธิสัตว์รับพระขรรค์แก้วแล้วอภิวาทท้าวเทวราช ทรงดำเนินไปในวนาวันและบรรพต ครั้นถึงวันอุโบสถวันหนึ่ง พระองค์จึงสมาทานกอุโบสถศีลรำงับสติการมณ์เป็นอันดี

ด้วยอำนาจศีลบารมีแห่งพระโพธิสัตว์เจ้า พิภพของท้าวเทวราชก็แสดงอาการร้อนให้บังเกิดมี ท้าวโกสีย์ใคร่ครวญดูก็รู้เหตุนั้นแจ้งชัด จึงดำริว่า พระสุวรรณวงศ์พุทธังกูรอนาถาอยู่ผู้เดียว เราจักแปลงเพศเป็นพาชี ลงไปให้พระสุวรรณวงศ์ทรงแสดงธรรม แล้วจักนำวิมานแก้วมาให้ แล้วจักให้ได้เทวธิดาเป็นบริจาริกา ดำริแล้วก็กลับกลายเป็นพาชีเข้าไปยืนอยู่ตรงพระพักตรพระโพธิสัตว์ แล้วตรัสถามว่า มหาบุรุษท่านมาแต่ไหนและจะไปไหนต่อ แน่ะพี่พาชี เรานี้หลงหนทางมา และจักไปยังไชยวงศ์ธานี ท่านมาอยู่ที่นี่ด้วยเหตุไรเล่า พระโพธิสัตว์เจ้าจึงเล่าความแต่ต้นมาให้พาชีทราบทุกประการ ท้าวโกสีย์พาชีแปลงจึงถามว่า ท่านรู้ธรรมบ้างหรือไม่ ถ้าหากว่าท่านรู้ธรรมไซร้ จงกรุณาแสดงให้ข้าพเจ้าฟัง ข้าพเจ้าฟังธรรมแล้วจะให้ท่านได้เสวยทิพยสุข แน่ะพี่พาชี เรานี้รู้ธรรมจริง ๆ ถ้ากระนั้นท่านจงแสดงให้ข้าพเจ้าฟัง ท้าวโกสีย์พาชีแปลงจึงไปสู่ป่านำนานาบุปผามาบูชาพระโพธิสัตว์ ๆ เมื่อจะแสดงธรรมให้ท้าวโกสีย์พาชีแปลงฟัง จึงกล่าวประพันธ์คาถานี้ว่า

จตุพฺพิธฺเจว กมฺมํ ปาปํ อกุสลฺจ
อติภาริยํ ผลํ เทติ อปายทุกฺขํ สํเวเทติ
กตมฺจ จตุพฺพิธํ ครุกํ พหุลกมฺมํ
อาสนฺนกมฺมํ กตตฺตา อิติ จตฺตาโร ปาปกาติ

บาปกรรมอกุศลให้ผลเผ็ดร้อนหนักเกิน และย่อมทำผู้กระทำนั้นให้เสวยความทุกข์ในอบาย มีประเภทเป็น ๔ สถาน ก็อกุศลกรรม ๔ ประการนั้นเป็นอย่างไร อกุศลกรรมที่เป็นบาป ๔ อย่างนั้นคือ ครุกรรม ๑ พหุลกรรม ๑ อาสันนกรรม ๑ กตัตตากรรม ๑ เป็น ๔ ประการ ฉะนี้

อธิบายความว่า กรรมอันใดมีโทษมากเหลือเกิน (คือ ปัญจานันตริยกรรม) อันกุศถกรรมอย่างอื่นไม่อาจห้ามและกลบเกลื่อนเสียได้ กรรมอันนั้นเรียกว่า ครุกรรม คือ กรรมมีน้ำหนักมาก ๑ อกุศลกรรมอันใดมีน้ำหนักเบา อันบุคคลทำแล้วคราวเดียวหรือส้องเสพทำแล้วบ่อย ๆ ก็ดี อกุศลกรรมอันนั้นเรียกว่า พหุลกรรม คือกรรมอย่างเบา ๑ บุคคลทำอกุศลกรรมสิ่งใดไว้แล้วและระลึกขึ้นในกาลเมื่อใกล้จะตายก็ดี กรรมนั้นเรียกว่า อาสันนกรรม ๑ อกุศลกรรมอันใดที่มิได้ระบุชื่อกรรม มีครุกรรมเป็นต้น บุคคลทำโดยไม่มีเจตนา อกุศลกรรมนั้นเรียกว่า กตัตตากรรม ๑

ครุกรรม พหุลกรรม อาสันนกรรม กตัตตากรรม ๔ อย่างนี้ที่เป็นส่วนอกุศล บุคคลผู้ใดทำไว้แล้ว บุคคลผู้นั้นย่อมจะไปตกในนรกขุมใหญ่ก่อนเสวยทุกขเวทนามาก ครั้นพ้นจากมหานิรยสถานแล้วย่อมจะไปตกในอุสุทนรกเสวยทุกขเวทนาอยู่เนื่อง ๆ สรรพสัตว์ทั้งหลายที่ไปเสวยมหันตทุกข์อยู่ในนรกบ่อย ๆ ก็เพราะมีอกุศลจิตสิบสองดวง กล่าวคือโลภะโทสะโมหะเป็นมูลเหตุ เพราะฉะนั้น สภาวธรรมทั้งหลายหาใช่สัตว์ใช่บุคคล เป็นอกุศลกอร์ปด้วยโทษมากมีทุกขวิบากเป็นลักษณะอย่างนี้

พระโพธิสัตว์เจ้าแสดงวิบากแห่งอกุศลแล้ว เมื่อจักแสดงผลแห่งบุญกุศล จึงตรัสนิพนธ์คาถานี้ว่า

สีเลน สุคตึ ยนฺติ สีเลน โภคสมฺปทา
สีเลน นิพฺพุตึ ยนฺติ ตสฺมา สีลํ วิโสธเย
สีลํ สคฺคสฺส โสปาณํ สีลํ โมกฺขปทํ วรํ
สีลํ อปายสฺฉนฺนํ สีลํ นิพฺพานปาปุณนฺติ

บุคคลจะไปสู่สุคติได้ก็เพราะศีล ความที่เพียบพูนไปด้วยโภคทรัพย์ก็เพราะศีล บุคคลจะไปสู่พระนิพพานได้ก็ต้องอาศัยศีล เพราะฉะนั้น การที่บุคคลพึงชำระศีลของตนให้บริสุทธิ์ผุดผ่อง ศีลย่อมเป็นบันไดสำหรับขึ้นไปยังสวรรค์ ศีลนั้นเป็นอุบายจะให้ข้ามพ้นจากโอฆสงสาร ศีลเป็นเครื่องปกปิดเสียซึ่งอบาย ศีลเป็นอุบายจะให้ถึงซึ่งพระนิพพาน

นรชนเหล่าใดงดเว้นจากปาณาติบาต นรชนเหล่านั้นย่อมจะได้อานิสงส์คุณไม่ต่ำกว่ายี่สิบประการ คือจะมีทรวดทรงสัณฐานงดงาม กอร์ปด้วยกำลังวังชาว่องไว มีอายุยืนนาน มีวาจาอ่อนหวาน เป็นที่กระหยิ่มใจของมนุษย์และเทพดา และจะมีอาพาธน้อย จะไม่พลัดพรากจากของรักเจริญใจ และมากไปด้วยบริวารไม่รานร้าวแตกกัน สรรพไพรีก็จะไม่มีมารบกวน แม้ถึงจะตายก็จะมิตายด้วยผู้อื่นเพียรทำให้ตาย จะมีบริวารทั้งหลายช่วยป้องกันรักษา

นรชนคนใดเว้นจากอทินนาทาน นรชนคนนั้นจะได้อานิสงส์คุณไม่ต่ำกว่ายี่สิบประการคือ ผู้นั้นจะมีทรัพย์และธัญญาหารมาก จะมีโภคสมบัติมาก ทรัพย์ที่ยังไม่เกิดก็จะเกิดขึ้น ที่เกิดแล้วก็จะถาวรตั้งมั่นไม่เสื่อมถอย จะปรารถนารูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพธรรมารมณ์สิ่งใดก็จะได้สิ่งนั้น ๆ สมประสงค์ทุกอย่าง จะปราศจากราชภัยโจรภัยและพยาธิภัยอันไม่เป็นที่รัก ไฟก็จักไม่ไหม้โภคสมบัติ จักมีความสุขสวัสดิ์ปราศจากอุปัทวันตราย ผู้นั้นจะได้อานิสงส์ทั้งหลายนี้ในอัตตภาพเป็นมนุษย์และเทพดา

นรชนคนใดเว้นจากกามมิจฉาจาร นรชนคนนั้นจะได้อานิสงส์คุณไม่ต่ำกว่ายี่สิบประการคือ จะไม่มีข้าศึกศัตรูปองร้าย จะเป็นที่รักแก่ชนทั้งหลายทั่วโลก จะบริบูรณ์ด้วยข้าวน้ำทั้งผ้าและอาภรณ์ที่นั่งที่นอนทั้งหลาย จะยืนเดินนั่งนอนก็เป็นสุขสบายทุกอิริยาบถ จะปลดเปลื้องอบายภัยเสียได้ และจะไม่มีความโศกเศร้า เวรภัยแต่ที่ไหน ๆ ก็จะมิได้มี จะเป็นที่เปรมปรีดิ์ด้วยญาติและมิตรทั้งอันโตชนและพาหิรชน จะมีสกลกายบริบูรณ์ด้วยศุภลักษณ์ จักเป็นผู้ไร้โรคาพาธ เป็นบุรุษอันวิเศษ จักไม่เป็นเพศสตรีและกะเทย ปรารถนาจะเสวยความสุขใด ๆ ผู้นั้นก็จักได้ตามประสงค์ทุกสิ่งสรรพ์ ผู้นั้นย่อมได้อานิสงส์อย่างนี้แล

นรชนคนใดเว้นจากมุสาวาท นรชนคนนั้นย่อมจะได้อานิสงส์คุณไม่ต่ำกว่ายี่สิบประการคือ ผู้นั้นจะมีสกลกายไพบูลย์ด้วยจักษุโสต ฆานชิวหากายมนะไม่บกพร่อง จะพูดจาถ้อยคำสำเนียงก็ไพเราะจับใจ จะเป็นผู้สำรวมกายวาจาใจเรียบร้อยดี จะมีกายินทรีย์ไม่อ้วนไม่ผอมไม่ยาวไม่สั้นเกินไป จะพูดจาคำใดล้วนเป็นสุภาษิตกลิ่นปากก็หอมตระหลบอบอวน มหาชนชวนกันสรรเสริญเชื่อถ้อยคำ เป็นผู้ฉลาดในธรรมอัตถพยัญชนะ มีความดำริคิดอ่านไม่ย่อหย่อน ผู้นั้นย่อมเสวยอานิสงส์ทั้งหลาย ในอัตตภาพเป็นมนุษย์และเทพดาอย่างนี้

นรชนคนใดเว้นจากสุราบาน นรชนคนนั้นย่อมจะได้อานิสงส์คุณไม่น้อยกว่าสามสิบหกประการคือ จะเป็นปัจจัยไม่ให้ผู้นั้นอยากดื่มน้ำเมาในกาลทั้งสามคืออดีตอนาคตปัจจุบัน เป็นเหตุให้ผู้นั้นรอบรู้ศิลปะทั้งปวงโดยรวดเร็วและผู้นั้นจะเป็นผู้มีสติไม่ฟั่นเฟือนไม่เป็นบ้า จะมีปัญญาหลักแหลมไม่มัวเมาหลงไหล จะไม่เป็นใบ้บ้าน้ำลาย จะไม่พูดเลอะเทอะเหลวไหล จะไม่พูดส่อเสียดและคำหยาบคาย จะไม่ประสบสิ่งอนัตถพินาศ จะเป็นผู้มั่นคงดำรงอยู่ในกตัญญูกตเวทิตาทุกทิวาราตรี จะเป็นผู้ไม่ตระหนี่มีศีลเป็นนิตย์ มีจิตกอร์ปด้วยขันตี มีวิสารทปัญญาแกล้วกล้ากอร์ปด้วยหิริโอตัปปะธรรม เป็นผู้องอาจไม่ครั่นคร้าม มีความรู้เป็นพหูสูต และเป็นสัจจาทีชนกอร์ปไปด้วยยศและความสุขอันไพศาล นรชนคนนั้นย่อมจะได้อานิสงส์อย่างนี้ ในอัตตภาพเป็นมนุษย์และเทพดา

พระโพธิสัตว์เจ้า แสดงธรรมแก่ท้าวโกสีย์พาชีแปลงแล้วจึงตรัสว่า แน่ะพี่พาชี พี่จงกรุณาช่วยพาน้องไปส่งให้ถึงถิ่นฐานมนุษย์ด้วยเถิด ท้าวโกสีย์พาชีแปลงจึงน้อมหลังลงให้พระโพธิสัตว์ขึ้นประทับแล้ว พระโพธิสัตว์จึงสั่งกำชับว่า พี่ม้าจงพาน้องไปส่งยังนครของน้อง ท้าวโกสีย์พาชีแปลงก็พาพระโพธิสัตว์เหาะไปยังเวหา ล่วงมรรคาไปได้สามร้อยโยชน์ สิ้นวันหนึ่งบรรถุถึงรัตนวิมานแห่งหนึ่ง ซึ่งว่างเปล่าหามีเทวดาอยู่รักษาไม่ ท้าวสหัสนัยพาชีแปลงจึงวางพระโพธิสัตว์ไว้ในรัตนวิมานนั้นแล้วก็กลับไป

ในราตรีวันนั้น นางเทพอัปสรองค์หนึ่งจุติจากดาวดึงสพิภพ ลอยมาเกิดอยู่ในรัตนวิมานนั้น นางเทพอัปสรกัลยานั้นรูปร่างสวยงามเพริศพริ้งดุจดังหญิงอายุสิบหกปี พระโพธิสัตว์ทอดพระเนตรแล้วถามว่า แน่ะแม่จำเริญ แม่มาแต่ไหน ข้าแต่มหาราช หม่อมฉันจุติจากดาวดึงส์มาเกิดในวิมานนี้ ข้าแต่มหาราช เหตุไรพระองค์เสด็จมาในที่นี้แต่พระองค์เดียวเล่า พระโพธิสัตว์จึงเล่าความแต่ต้นให้นางอัปสรนั้นฟัง พระโพธิสัตว์กับนางเทพอัปสรต่างปราศรัยให้เกิดความรักใคร่ ได้ร่วมสมัครสังวาสต่อกันเสวยทิพย์สมบัติอยู่ที่รัตนวิมานนั้น

จะกล่าวถึงนางนาคมาณวิกาสุวรรณนาคี เมื่อไปยังนาคพิภพแล้ว จึงเข้าไปเฝ้าพระบิดา อภิวาทแล้วนั่งอยู่ นาคราชาจึงถามนางสุวรรณนาคีว่า สามีของเจ้าไปไหน เหตุไรเจ้าจึงมาเสียในที่นี้เล่า ข้าแต่พระบิตุราช หม่อมฉันไปกับสามีถึงมนุษยโลกแล้ว ไปถึงป่าหิมพานต์ก่อน พากันจรเที่ยวชมภูเขาและพนมวัน ชวนกันไสยาสน์อยู่ในสุวรรณคูหา พระขรรค์แก้วของภัสดาได้หายไป หม่อมฉันกับภัสดาพากันเดินเซซังต่อไป หม่อมฉันได้เห็นครุฑตัวหนึ่งบินมา มีความกลัวมรณภัยจึงหนีภัสดามาในนาคพิภพนี้

นาคราชสดับทราบความแล้วก็โกรธายกใหญ่ บริภาษแล้วขับไล่นางสุวรรณนาคีว่า เจ้าคนชั่วถ่อย ไฉนจึงหนีภัสดาเขามาเสียเล่า เจ้าจงรีบกลับไปตามผัวเจ้า ถ้าว่าเจ้าไปตามผัวไม่พบผัวของเจ้าไซร้ เจ้าอย่าได้กลับมาที่นี้อีกเลย นางสุวรรณนาคีถูกนาคราชาบริภาษขับไล่ จึงทูลลาออกจากนาคพิภพ ตามไปถึงป่าหิมพานต์ ปริเทวนาการเที่ยวค้นหาพระโพธิสัตว์ไปจนบรรลุถึงรัตนวิมานที่พระโพธิสัตว์อยู่นั้น

พระโพธิสัตว์กับรัตนวิมานเทวีสถิตอยู่ริมรัตนวิมาน ทอดพระเนตรเห็นนางสุวรรณนาคีดำเนินมาก็จำได้ จึงเรียกว่า แม่สุวรรณนาคีจงมานี่ นางสุวรรณนาคีได้ยินเสียงร้องเรียกดังนั้นนิ่งนึกในใจว่าใครเรียก จึงเหลียวหน้ายืนแลดูรัตนวิมานอยู่ พระโพธิสัตว์จึงเผยสีหบัญชรแสดงให้เห็นพระวรกายครึ่งหนึ่ง จึงตรัสเรียกว่า แม่สุวรรณนาคีจงมาหาพี่ตรงนี้ นางสุวรรณนาคีเห็นแล้วก็จำได้ ดีใจยิ่งนัก จึงตรงเข้าวันทนาแล้วกอดรัดบาทยุคลพระโพธิสัตว์ แล้วทรงโศกา จำเดิมแต่วันนั้นมา พระชายาทั้งสองก็ได้ปรองดองบำรุงพระโพธิสัตว์มิให้เคืองขัดพระหฤทัย

จะกล่าวถึงราชาจิตตวงศ์ เมื่อส่งพระโพธิสัตว์ให้ไปหาดอกกมุทแล้วนั้น ครั้นนานมาพระราชจิตตวงศ์ประสงค์จะใคร่ได้นางเอกปูรณีจึงดำริว่า บัดนี้พระสุวรรณวงศ์กุมารไปนานได้ห้าเดือนแล้ว เห็นจักตายเสียในกลางป่าแน่ทีเดียว ครั้นรุ่งขึ้นวันหนึ่ง จึงรับสั่งใช้นางสนมให้พาตัวนางเอกปูรณีชายาพระสุวรรณวงศ์ขึ้นมาเฝ้า นางเอกปูรณีทราบความจากนางสนมนารีแล้วดำริว่า พระราชาองค์นี้เป็นอธรรมสันดานมากด้วยบาป แกล้งใช้ให้ภัสดาเราไปยังนาคพิภพ บัดนี้รับสั่งให้เราไปเฝ้า เราไปเฝ้าแล้วก็จักข่มเหงเรา คิดแล้วจึงบอกกะนางสนมว่า บัดนี้เรามีครรภ์แก่ ไม่อาจไปเฝ้าได้ ท่านทั้งหลายจงรับอภิวาทน์ของเราไปกราบทูลแก่พระราชาด้วยเถิด พวกนางสนมทั้งหลายรับถ้อยคำของนางเอกบูรณี แล้วกลับมากราบทูลให้ทรงทราบตามถ้อยคำของนางเอกปูรณีนั้น พระราชาทรงฟังแล้วก็นิ่งอยู่หาตรัสประภาษอย่างใดไม่

ฝ่ายนางเอกปูรณีส่งนางสนมนารีกลับไปแล้วจึงดำริว่า พระราชาองค์นี้มีความอิจฉาและโกรธาจักทำโทษเรา ถ้ากระไรเราจักหลบหนีไปอยู่ป่า ถ้าว่าภัสดาของเรามีชีวิตดำรงอยู่กลับมาแล้วไซร้ เราจึงจักมาหาต่อภายหลัง ถ้าว่าภัสดาของเราทำกาลกิริยาเสียแล้วไซร้ เราจักไม่กลับมาเลย บวชอยู่ในป่ามหาวัน นางคิดแล้วจึงเขียนอักษรไว้ในแผ่นทองมีเนื้อความว่า ถ้าภัสดากลับมามิได้เห็นหม่อมฉันแล้วไซร้ ขอเชิญเสด็จตามไปในปัจฉิมทิศ ถ้าว่าพระองค์ ไม่ทรงอาลัยก็อย่าเสด็จตามไปเลย แล้วนางก็เอาสุวรรณบัตรจารึกอักษรวางไว้ ณ รัตนมัญจาสนะ จึงเก็บเอารัตนะล้วนราคามากได้แล้ว ดำเนินจากพระนครสัญจรมุ่งไปยังปัจฉิมทิศ ตราบเท่าถึงฝั่งมหานที นางได้หยุดพักอาศัยอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่แห่งหนึ่ง

นางเอกปูรณีนั้นมีครรภ์แก่ ครบกำหนดสิบเดือนแล้วก็บังเกิดลมกรรมมัชวาตผัดผัน นางจึงผินหลังเข้าพิงโคนไม้ ได้คลอดบุตรงามดุจทอง โดยแคล่วคล่องสะดวกดาย หามีทุกข์อุปัทวันตรายไม่ ขณะเมื่อนางคลอดบุตรแล้ว มียักขินีสี่ตนเที่ยวแสวงหาอาหารมาถึงที่นางเอกปูรณีคลอดบุตร เห็นแล้วก็พากันดีใจ จะใคร่กินนางเอกปูรณีกับบุตร แสดงนานาการกรูเข้าไปใกล้นางเอกปูรณี ๆ เห็นยักขินีแล้วก็ตกใจตัวสั่นหวั่นไหว นางตั้งใจระลึกถึงคุณมารดาบิดาและสามีกับทั้งพระฤษี น้อมเศียรกราบไหว้ไป ณ ทิศทั้งสี่ แล้วร่ายมนต์มณีจินดาซึ่งพระดาบสให้มา แล้วอธิษฐานว่าด้วยอานุภาพคุณแห่งมารดาบิดาเป็นต้นเหล่านั้น ขออย่าให้ยักขินีทั้งหลายทำอันตรายข้าพเจ้าและบุตรได้เลย ขอให้เหล่ายักขินีมีเมตตาจิตปกปักรักษาข้าพเจ้าและบุตรของข้าพเจ้าไว้ด้วยเถิด

ครั้นเสร็จคำอธิษฐานดังนี้แล้ว ยักขินีตนหนึ่งจึงรับเอาบุตรนั้นไปชำระกายที่ท่าน้ำ ยักขินีตนหนึ่งจึงช่วยตกแต่งปูที่นั่งที่นอนให้ ยักขินีตนหนึ่งจึงไปตักน้ำมาให้นางเอกปูรณีอาบ ยักขินีตนหนึ่งจึงช่วยปรนนิบัติต้มน้ำร้อนให้ ต่อแต่นั้นมา ยักขินีสี่ตนผัดเปลี่ยนกันทำกิจต่าง ๆ บำรุงเลี้ยงนางเอกปูรณีและบุตรมิให้อนาทรร้อนใจ นางเอกปูรณีก็อุตส่าห์ระมัดระวังกายประคับประคองเลี้ยงบุตรของตนอยู่ในป่านับเวลาล่วงมาแล้วได้เดือนหนึ่ง

ก็และเมื่อนางเอกปูรณีหนีมาวันนั้น พระโพธิสัตว์ไสยาสน์อยู่ณรัตนวิมานนิมิตฝันไปว่า มีกาตัวหนึ่งอยู่ที่ราชมนเทียร มาที่ปราสาทนางเอกปูรณีแล้วคาบเอานางไป นางเอกปูรณีตกใจดิ้นหลุดจากปากกาได้แล้วหนีลงปราสาทไป พระโพธิสัตว์ตื่นขึ้นแล้วพิจารณาดูความฝัน ก็ทราบชัดว่าพระเจ้าอาว์ของเราจักทำอันตรายแก่นางเอกปูรณี แล้วทรงดำริว่า เราจะนิ่งอยู่ช้าไม่ได้ จำเราจะต้องรีบไปหานางเอกปูรณีจงได้

ในระหว่างที่พระโพธิสัตว์ดำริอยู่นั้น ท้าวสักกเทวราชทรงทราบวาระน้ำจิตของพระโพธิสัตว์แล้ว จึงทรงถือพิณทิพย์ลงมากระซิบบอกแก่พระโพธิสัตว์ว่า แน่ะท่านสุวรรณวงศ์กุมาร ท่านจงรับพิณอันนี้ไว้ ท่านดีดสายที่ ๑ ก่อน รัตนวิมานก็จะลอยขึ้นไปบนอากาศ ท่านดีดสายที่ ๒ รัตนวิมานก็จะแล่นไปถึงที่ ๆ ท่านปรารถนา แม้ว่าท่านดีดสายพิณที่ ๓ รัตนวิมานก็จะเลื่อนลงประดิษฐาน ณ ปฐพี ท้าวโกสีย์สั่งเสร็จก็เสด็จกลับไปยังสวรรค์

พระโพธิสัตว์นั้นรับเอาพิณทิพย์ไว้แล้ว จึงดีดสายพิณที่ ๑ พื้นรัตนวิมานก็หลุดลอยขึ้นบนอากาศ เมื่อดีดสายพิณที่ ๒ ขึ้น ปรารถนาจะไปยังสุวรรณเภรีนคร รัตนวิมานก็เลื่อนลอยไปถึงเมืองสุวรรณเภรี เมื่อดีดสายพิณที่ ๓ ขึ้น รัตนวิมานก็เลื่อนลงมาประดิษฐาน ณ พื้นปฐพี พระโพธิสัตว์ลงจากรัตนวิมานไปถวายบังคมพระราชา ขอรับนางรัตนมัญจาเทวีให้ขึ้นยังรัตนวิมานๆ ก็ลอยไปถึงเมืองไชยวงศ์ ประดิษฐานอยู่บนอากาศท่ามกลางพระนคร

ชาวพระนครทั้งหลาย และเศรษฐีคหบดี มีอำมาตย์เป็นต้น เห็นรัตนวิมานลอยอยู่บนอากาศนึกประหลาดใจ ประชุมชวนกันพูดว่า โอน่าอัศจรรย์จริง แต่ก่อนไม่เคยเห็นรัตนวิมานมาลอยอยู่อย่างนี้เลย พระโพธิสัตว์โผล่พระองค์กึ่งหนึ่งแต่สิงหบัญชรให้มหาชนเห็นแล้วตรัสว่า ดูกรท่านผู้เจริญทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงเอาบันไดพาดขึ้นมารับเราด้วย มหาชนเห็นแล้วก็จำได้พากันดีใจแล้วพูดว่า โอรัตนวิมานนี้เป็นของพระราชาพวกเรา อำมาตย์ทั้งหลายเห็นอุปราชาแล้วก็จำได้ พากันไปกราบทูลพระราชาจิตตวงศ์ว่า ข้าแต่เทวดา พระอุปราชาเสด็จมาแล้ว มีหมู่สุรกัญญารูปงามแวดวงทรงอยู่ ณ รัตนวิมานอันลอยอยู่บนอากาศ พระเจ้าจิตตวงศราชทรงสดับแล้วใคร่จะทอดพระเนตรพระโพธิสัตว์ จึงเสด็จขึ้นไปยังรัตนวิมาน ทัศนาการเห็นนางสุรกัญญานารีรูปร่างสวยดีงามมีความอยากได้แล้วดำริว่า ทำไฉนเราจักฆ่าอุปราชานี้เสียได้เล่า แต่พอดำริเท่านั้น ก็พลัดตกวิมานลงมานอนนิ่งเหนือปฐพี แล้วจมลงไปในแผ่นดิน สิ้นพระชนม์แล้วไปเกิดในมหานรกใหญ่ ด้วยประการฉะนี้

พระโพธิสัตว์ทอดพระเนตรแล้วก็สลดรันหดพระทัย เกิดโลมชาติชูชัน จึงเสด็จลงจากวิมานพร้อมด้วยนารีสี่เหล่า กับทั้งเสนามาตย์และนางนาฏกิตถีอันเตปุริกนารี เสด็จเข้าไปยังท่ามกลางพระนครองอาจดังพระราชาจักรพรรดิ ขึ้นสู่ปราสาทราชมารดาอภิวาทแล้วทูลถามว่า นางเอกปูรณีมีครรภ์แก่คลอดบุตรแล้วหรือยัง พระราชมารดาจึงตรัสบอกว่านางเอกปูรณีมีครรภ์แก่แล้ว พระราชาจิตตวงศ์รับสั่งหาตัวนางเอกปูรณี ๆ ได้หนีไปเสียแล้ว มารดาให้คนเที่ยวตามไปทั่วทุกทิศานุทิศก็มิได้เห็น มารดาไม่รู้ว่านางเอกปูรณีจักไปทางไหน ตรัสแล้วทรงกรรแสงไห้ ตรงเข้าสวมกอดพระโอรส

พระโพธิสัตว์สดับแล้วก็สลดพระทัย เหมือนดังคนมาเด็ดเอาดวงหฤทัยไปฉะนั้น ทรงรำพันแล้วเสด็จไปยังปราสาทนางเอกปูรณีเทวี ทอดพระเนตรภูษาและสยนาสนะแล้วกรรแสงไห้ และได้ทอดพระเนตรเห็นสุวรรณบัตรอันจารึกอักษรไว้ ทรงอ่านทราบความว่านางเอกปูรณีหนีไปเพราะกลัวพระเจ้าอาว์จะรังแก พระองค์หาทรงบอกให้ผู้อื่นรู้ไม่ ฉวยได้พระขรรค์ไชยเล่มหนึ่งแล้วเสด็จลงจากปราสาทดำเนินแต่พระนครไป บ่ายพระพักตร์มุ่งสู่ทางปัจฉิมทิศ ดำเนินไปได้หนึ่งวันสองวันสามวันก็ยังมิได้พบประสบนางเอกปูรณี เสด็จตามต่อไปอีกสี่ห้าวันจึงบรรลุถึงมหานที เสด็จเลียบไปตามฝั่งมหานทีธาร ได้พบบุรุษจับสัตว์น้ำคนหนึ่งแล้วตรัสถามว่า ท่านได้เห็นหญิงท้องแก่มาทางนี้บ้างหรือไม่ บุรุษจับสัตว์น้ำหารู้จักอุปราชาไม่จึงตอบว่า ข้าแต่นาย เมื่อวันวานข้าพเจ้าเห็นหญิงคนหนึ่งอุ้มลูกอ่อนเดินลงมาอาบน้ำที่ท่าน้ำตรงโน้น ดูกรท่านเกวัฏ แต่ที่นี่ไปถึงที่ท่านเห็นหญิงลูกอ่อนนั้นไกลใกล้ประมาณสักเท่าไร ข้าแต่นาย แต่ที่นี่ไปถึงที่ข้าพเจ้าพบหญิงลูกอ่อนนั้นประมาณได้สักห้าโยชน์

พระโพธิสัตว์ทรงสดับแล้วมีความโสมนัส จึงประทานธำมรงค์วงหนึ่งแก่นายเกวัฏ แล้วเสด็จกลับแต่ที่นั้นเที่ยวค้นหาต่อไปจนเวลาอัสดงคต จึงบรรลุถึงที่ที่นางเอกปรณีอาศัยอยู่นั้น พระโพธิสัตว์จึงดำริว่า ถ้าหากเราจะเที่ยวค้นไปในราตรีก็จักหาพบนางเอกปูรณีไม่ เราจักอาศัยนอนอยู่ ณ ที่นี้ก่อน ดำริแล้วก็บรรทมอยู่ใต้โคนต้นไม้ริมฝั่งนที เมื่อตื่นขึ้นได้ยินเสียงกุมารร้องไห้ จึงดำเนินไปตามทางเสียงกุมารนั้นร้อง ได้เห็นพระเทวีแล้วจำไม่ได้ และหาได้สดับสำเนียงแห่งพระเทวีไม่ พระองค์ประทับใคร่ครวญดูอยู่ ต่อเวลาอรุณขึ้นมาแล้วเห็นพระเทวีถนัดชัดเจนก็จำได้ จึงเสด็จเข้าไปสู่สำนักนางเอกปูรณีเทวี

นางเอกปูรณีเห็นพระโพธิสัตว์ก็จำได้ วางโอรสไว้แล้วก็แล่นไปกอดบาททั้งสองแล้วร่ำไห้ ทูลพระราชสามีว่า พระเจ้าอาว์ของพระองค์ทรงทำข่มเหงหม่อมฉัน เพราะฉะนั้นหม่อมฉันจึงหนีมาอยู่ที่นี้แต่ผู้เดียว พระสุวรรณวงศ์อุปราชาจึงตรัสว่า ดูกรแม่น้องผู้จำเริญใจ ตัวพี่ได้อยู่ในรัตนวิมาน ณ ท่ามกลางพระนคร พร้อมด้วยสนมนารีสี่เหล่า ฝ่ายพระเจ้าจิตตวงศราชาเสด็จมาขึ้นรัตนวิมานของพี่ พลัดตกรัตนวิมานถึงทิวงคตเสียแล้ว เชิญแม่น้องมาไปยังพระนครกับพี่เถิด ตรัสดังนี้แล้วพระองค์อุ้มพระโอรสขึ้นบนพระเพลาแล้วเอาพระธำมรงค์ฝังเพชรหนี่งวงผูกพระหัตถ์พระโอรส ทำมิ่งสิ่งขวัญให้ด้วยพระทัยกรุณา นางเอกปูรณีจึงนำนานามูลผลาผลไม้ของป่ามาถวายพระโพธิสัตว์ให้เสวย สองกษัตริย์ก็ประทับแรมอยู่ที่นั้นคืนหนึ่ง

ครั้นรุ่งขึ้นอีกวันหนึ่ง จึงนางเอกปูรณีอุ้มราชโอรส แล้วใคร่จะตามพระราชสามีไปยังพระนคร สัญจรไปตามฝั่งมหานที ครั้นถึงเวลาเที่ยงวัน จึงชวนกันประทับระงับร้อน ณ รุกขมูล ครั้นเวลาเย็นเป็นเวลาแดดร่ม สองกษัตริย์จึงผลัดกันอุ้มโอรสบทจรไปตามฝั่งนที คราวนั้น มีนางผีเสื้อน้ำตนหนึ่งเห็นพระโพธิสัตว์ให้นึกรักใคร่อยากจะได้มาเป็นสามี จึงนฤมิตตนให้เป็นรูปหญิงมนุษย์คนแก่ นั่งท้ายเรือลำหนึ่งพายมา พระโพธิสัตว์เห็นแล้วสำคัญว่าเป็นหญิงมนุษย์จึงร้องเรียกว่า แน่ะแม่แก่ ข้าพเจ้าทั้งสองคนกับบุตรอ่อนจักขอโดยสารเรือไปด้วย เพราะภรรยาของข้าพเจ้าลูกอ่อนไม่สามารถจะเดินไปได้ แม่แก่จงกรุณารับข้าพเจ้าไปด้วยเถิด นางผีเสื้อน้ำจึงแวะเรือเข้ามารับ ให้พระโพธิสัตว์นั่งอยู่กลางเรือ แล้วก็พยายามพายเรือต่อไป

ในขณะนั้น มีลมและมหาเมฆใหญ่มืดมาแต่สี่ทิศ เสียงลมและมหาเมฆดังครื้นครั่นหวั่นไหว ยักขินีเห็นได้ทีจึงจับพระราชเทวีโยนน้ำไปเสีย แล้วแปลงตัวให้เหมือนเทวีทูลพระโพธิสัตว์ว่า ข้าแต่มหาราช ยายแก่นั้นตกน้ำตายเสียแล้ว พระเจ้าข้า พระโพธิสัตว์คลำดูพระโอรสเห็นอยู่แล้วก็นิ่งไป ฝ่ายเทวดารักษาสมุทรเห็นพระราชเทวีตกน้ำลอยไปจึงกรุณารับพระราชเทวีขึ้นไปวางไว้ที่ฝั่งนที พระราชเทวีหาเป็นอันตรายไม่ ทรงกรรแสงไห้ถึงพระราชสามีและโอรสอยู่สถานที่นั้น

พระโพธิสัตว์ไปถึงพระนครของพระองค์แล้ว หาสงสัยว่านางยักขินีแปลงเป็นพระราชเทวีไม่ พระองค์พานางยักขินีแปลงกับโอรสไปถวายบังคมพระราชมารดา ๆ ทอดพระเนตรนางยักขินีแปลงแล้วตรัสว่า ดูกรแม่เอกปูรณี เมื่อเธอจะไปเหตุไรจึงไม่บอกให้มารดารู้ นางยักขินีแปลงทูลว่า หม่อมฉันกำลังตกใจหาได้ทูลให้พระมารดาทรงทราบไม่ พระราชมารดาทรงอุ้มราชกุมารและกอดรัดแล้วจึงประทานราชกุมารคืนให้นางยักขินีแปลง พระราชกุมารแต่พอถูกมือนางยักขินีแปลงก็ร้องไห้ ครั้นพระอัยกีรับเอามาก็หายร้องไห้ เพราะเหตุดังนั้นพระอัยกีท่านจึงรับเลี้ยงราชกุมารนั้นต่อมา

คราวนั้น พระราชเทวีสี่องค์ของพระโพธิสัตว์ เสด็จมาวันทนาพระโพธิสัตว์แล้ว ได้เห็นนางยักขินีแปลงก็หาทำวันทนายักขินีนั้นไม่ เพราะเหตุไรพระราชเทวีทั้งหลายจึงรู้ว่าเป็นยักขินีผีเสื้อน้ำ เพราะเหตุว่า ในหมู่พระราชเทวีสี่นางนั้น พระราชเทวีองค์หนึ่งเป็นนางนาคมาณวิกา นามว่าสุวรรณนาคี เธอเห็นแล้วก็รู้ว่าเป็นยักขินีผีเสื้อน้ำ นางสุวรรณนาคีนั้นบอกเล่าแก่พระราชเทวีสามองค์ แต่นางไม่กล้าทูลให้ทรงทราบ ด้วยเกรงพระราชสามีจะไม่ทรงเชื่อ เพราะเหตุดังนั้น พระราชเทวีทั้งสี่มิได้อภิวาทนางยักขินีแปลง

พระสุวรรณวงศ์อุปราชา ทอดพระเนตรเห็นอาการของพระราชเทวีทั้งสี่นั้นแล้ว ทรงกริ่งพระทัยไม่อาจจะต่อว่าพระราชเทวีด้วยกลัวแต่ความครหาจะมีแด่พระราชเทวี จึงทรงนิ่งไว้ในหฤทัย คอยพิจารณากิริยาของนางเอกปูรณียักขินีแปลงต่อไป ครั้นถึงสมัยเที่ยงแห่งราตรี มีเทวดารักษามหาสมุทรมายังปราสาทพระอุปราชาแล้วกระซิบทูลที่พระกรรณว่า ข้าแต่มหาราช เทวีผู้นี้หาใช่นางเอกปูรณีไม่ เป็นยักขินีผีเสื้อน้ำแท้ๆ ก็และเมื่อวันนั้นนางผีเสื้อน้ำจำแลงกายเป็นยายแก่ นั่งท้ายเรือพายมาตรงพระพักตร์พระองค์ เมื่อพระองค์กับพระเทวีและบุตรเสด็จโดยสารเรือมาแล้วเผลอไป ผีเสื้อน้ำนั้นจับพระเทวีเอกปูรณีโยนน้ำเสีย แล้วแปลงกายให้เหมือนพระเทวีเอกปูรณี แล้วทูลว่า ยายแก่พลัดตกเรือไปแล้ว เพราะฉะนั้น พระองค์จงจับนางยักขินีแปลง บังคับให้มันบอกความจริงแล้วฆ่ามันเสีย สมุทรรักขิตเทวดากระซิบทูลดังนี้แล้วก็อันตรธานหายไป

ครั้นรุ่งขึ้นอีกวันหนึ่ง พระโพธิสัตว์จึงรับสั่งเรียกอำมาตย์ทั้งหลายมาแล้วตรัสว่า ให้พวกอำมาตย์ช่วยกันจับนางเอกปูรณีเทวีจำจองด้วยเครื่องจำห้าประการ แล้วเอาใส่ไว้ในเรือลำใหญ่ เสร็จแล้วจึงมาบอกแก่เรา อำมาตย์ทั้งหลายได้ทำตามรับสั่ง เสร็จแล้วกลับมากราบทูล พระราชา ๆ ทรงเหน็บพระขรรค์เสร็จเสด็จลงมหานาวา แล่นเรือไปทางอุตรทิศได้สามวันจึงบรรลุถึงที่นางเอกปูรณีอาศัยอยู่นั้น ทรงรับนางเอกปูรณีลงเรือแล้วฆ่านางผีเสื้อน้ำนั้นเสีย จึงแล่นเรือกลับมายังพระนครของพระองค์ ทรงอภิวาทพระราชมารดาแล้วทูลความให้ทรงทราบ ฝ่ายพระเทวีเอกปูรณีเห็นราชโอรสของพระองค์ ทรงอุ้มจุมพิตแล้วให้ดื่มถันธารา ทรงพระโศกาโดยนานัปปการ

ฝ่ายพระราชเทวีสี่นางก็พากันมายังสำนักพระเทวีเอกปูรณี ต่างทำอภิวาทไต่ถามเหตุผลทั้งปวงแก่นางเอกปูรณีเทวี พระราชมารดาพระมหาสัตว์ตรัสถามพระราชเทวีทั้งสี่นางว่า เหตุใดท่านทั้งหลายจึงไม่ไหว้นางผีเสื้อน้ำ ท่านทั้งหลายรู้จักนางผีเสื้อน้ำด้วยอาการอย่างไร นางสมุทรชาสุวรรณนาคีจึงทูลว่า หม่อมฉันรู้ว่าเป็นยักขินีผีเสื้อน้ำด้วยอาการอย่างนี้ คือ ในนัยน์ตาไม่หลับอย่างหนึ่ง นัยน์ตาแดงจัดอย่างหนึ่ง ไม่ทำอัสสาสะปัสสาสะเหมือนอย่างมนุษย์หนึ่ง พระราชมารดาพระมหาสัตว์ทรงโสมนัสตรัสชมปัญญานางสมุทรชาเทวี ตั้งแต่นั้นมา พระราชเทวีทั้งห้านางต่างสมัครสโมสรพร้อมเพรียง หาวิวาทบาดหมางกันประการใดไม่

ประชาชนทั้งหลาย มีอำมาตย์และราชปุโรหิตเป็นต้น คิดปรึกษากันว่า เวลานี้พระอุปราชาทรงผาสุกสำราญแล้ว พวกเราควรจะพร้อมกันอภิเษกพระอุปราชาขึ้นเป็นพระราชาเถิด คิดกันแล้วจึงนำความกราบทูลพระอุปราชา ๆ รับสั่งว่า เดิมพระเจ้าอาว์ได้ประทานนางสุจิตราเทวีราชธิดาให้แก่เราไว้ เพราะฉะนั้นท่านทั้งหลายจงนำนางสุจิตราเทวีมาอภิเษกกับเรา อำมาตย์และราชปุโรหิตทั้งหลายจึงพร้อมกันจัดการอภิเษกพระโพธิสัตว์กับนางสุจิตราเทวี พระโพธิสัตว์ได้พระนามบัญญัติว่า พระสุวรรณวงศ์ราชาด้วยประการฉะนี้ ตทา เอกสตราชาโน คราวนั้นพระราชาร้อยเอ็ดทราบคุณสมบัติแห่งพระขรรค์และมณีรัตนะของพระสุวรรณวงศ์ราชา พากันเกรงเดชานุภาพแล้วนำราชบรรณาการมาถวายพระสุวรรณวงศ์ราชายอมตนเป็นบาทมูลิกาทุก ๆ พระองค์

ครั้นเมื่อวันจะทำมงคลนามกรแห่งพระราชกุมาร หมู่ประยูรญาติทั้งหลายมีพระราชมารดาเป็นประธาน พร้อมกันทำมงคลพิธีสมโภชพระราชกุมารแล้ว จึงถือเอาพระนามฝ่ายพระราชมารดาและบิดา ถวายพระนามว่าปูรณวงศ์กุมาร เมื่อพระปูรณวงศ์กุมารทรงเจริญวัยได้ห้าพรรษา มีพระอัธยาศัยกอร์ปไปด้วยธรรม ดำรงคยู่ในศีลห้าและอุโบสถศีล ทรงยินดีบำเพ็ญทานทุก ๆ วันและทรงเคารพต่อท่านผู้วุฑฒบุคคล ทำสักการบูชาแก่สมณพราหมณ์ เป็นที่อิ่มเอิบหฤทัยของพระราชมารดาบิดา

ครั้นกาลต่อมา พระนางเอกปูรณีเทวีมีความระลึกถึงพระชนกชนนีขึ้นมาจึงดำริว่า บัดนี้พระราชบิดาจักยังกริ้วโกรธแก่เราอยู่หรือว่าจักทรงพระเมตตากรุณาในเรา ถ้ากระไรเราจักไปเฝ้าเยี่ยมดู ครั้นรุ่งขึ้นอีกวันหนึ่ง จึงเข้าไปเฝ้าพระราชา ถวายบังคมแล้วทูลว่า ข้าแต่พระมหาราช หม่อมฉันระลึกนึกถึงพระราชบิดามารดา จักถวายบังคมลาไปเฝ้าเยี่ยมสักครั้ง พระราชาทรงฟังแล้วรับสั่งว่าพี่จักไปด้วย ก็การที่จะไปนั้นเราจักไปทางอากาศด้วยวิมานดีหรือ หรือว่าจักไปทางสถลมารคด้วยพลโยธาดี พระราชเทวีจึงกราบทูลว่า หม่อมฉันไม่ทราบพระราชหฤทัยพระราชบิดาว่า ยังทรงกริ้วอยู่หรือหายกริ้วแล้วประการใต พระองค์จงเสด็จไปพร้อมด้วยพลโยธาดีกว่า พระองค์จงทำเป็นเหมือนข้าศึก ให้พลโยธาทำที่ประหนึ่งว่าจะย่ำยีนครให้ทำลายไป ฝ่ายหม่อมฉันจะแปลงตนเป็นหญิงเข็ญใจเข้าไปทดลองดูให้รู้วาระน้ำจิตพระราชบิดาว่าจะเป็นอย่างไร พระราชาทรงเห็นชอบด้วยพระราชเทวี จึงดำรัสเรียกเสนาบดีมา สั่งให้เกณฑ์พลโยธาให้พร้อมกัน แล้วพระองค์เมื่อจะทรงตรวจพลโยธา จึงตรัสพระคาถานี้ว่า

ตโต สุวณฺณวงฺสราชา เสนาโย อชฺฌาภาสถ
หตฺถิ อสฺสา รถา ปติ เสนา สนฺนาหยนฺตุ มํ
เนคมา จ มํ อนฺเวนฺตุ พราหฺมณา จ ปุโรหิตา
ตโต สตสหสฺสานิ โยธิโน จารุทสฺสนา
ขิปฺปมายนฺตุ สนฺนทฺธา นานาวณฺเณหิลงฺกตา
นีลวตฺถธราเนเก ปิตาเนเก นิวาสิตา
อฺเ โลหิตอุณฺหีสา สุทฺธาเนเก นิวาสิตา
ขิปฺปมายนฺตุ สนฺนทฺธา นานาวตฺเถหิลงฺกตา
นาคสตสหสฺสานิ โยชยนฺตุ จตุทฺทส
สุวณฺณกจฺเฉ มาตงฺเค เหมกปฺปนิวาสเส
อารุฬฺเห คามณีเยภิ โตมรํ กุสปาณิภิ
ขิปฺปมายนฺตุ สนฺนทฺธา หตฺถิกฺขนฺเธหิ ทสฺสิตา
สตอสฺสสหสฺสานิ โยชยนฺตุ จตุทฺทส
อาชานิเย จ ชาติเย สินฺธเว สีฆวาหเน
อารุฬฺเห คามณีเยภิ อินฺทิยาจาปธาริภิ
ขิปฺปมายนฺตุ สนฺนทฺธา อสฺสปิฏฺเ อลงฺกตา
สตรถสหสฺสานิ โยชยนฺตุ จตุทฺทส
อโยสุกตเนมิโย สุวณฺณจิตฺรโปกฺขเร
อาโรเปนฺตุ ธเช ตตฺถ จมฺมานิ กวจานิ จ
วิปฺผาเลนฺตุ จ จาปานิ ทฬฺหธมฺมา ปหาริโน
ขิปฺปมายนฺตุ สนฺนทฺธา รเถสุ รถชีวิโนติ

ในลำดับนั้น พระสุวรรณวงศ์ราชามีพระกมลหฤทัยเบิกบานหรรษา จึงผินพักตร์มาสั่งจาตุรงคเสนาทั้งสี่เหล่าว่า ดูกรโยธา กรมช้างกรมม้าและเสนารถบทจรเดินเท้า พรุ่งนี้เช้าเจ้าจงเร่งรัดเตรียมตัว ประชุมให้พร้อมกัน อีกเจ็ดวันเป็นกำหนด เราจะยกไปยังนครอริฏฐบุรี บอกกันให้พร้อมทั้งชาวนิคมพราหมณ์ปุโรหิตให้เร่งรัดตามติดเราไปพร้อมกัน เสนาพลเดินเท้านั้น ให้จัดเอาพวกโยธาให้ได้แสนหนึ่ง โยธาเหล่านี้ได้ประดับประดานุ่งผ้าห่มผ้าให้มีสีต่างกัน คือให้นุ่งห่มผ้าสีเขียวพวกหนึ่ง สีเหลืองพวกหนึ่ง สีแดงพวกหนึ่ง สีขาวพวกหนึ่ง เสนาพวกนี้แต่งตัวให้งามน่าใคร่ดูใคร่ชม เครื่องประดับจงประดับให้แปลก ๆ กัน

ต่อพลเสนาเดินเท้าไปนั้น จึงถึงพวกเสนาช้าง ให้กรมช้างเร่งผูกช้างให้ครบจำนวนถ้วนถึงแสน ให้ผูกสายตะพดรัดประคนทอง ผ้าปกกระพองทองรัดงา มีหมอและควาญขึ้นขี่ประจำ เลือกเอาแต่คนที่ดี ๆ ถือหอกขึ้นขี่ขับ

ต่อขนัดกระบวนช้างไปนั้น จึงถึงพวกกระบวนม้า ให้กรมม้าจงเร่งรัดจัดเตรียมพลม้าให้ครบแสนหนึ่ง จงเลือกสรรกลั่นเอาแต่ชาติอาชาไนย ล้วนเป็นสินธพพาหนะอันว่องไว นายสารถีผู้จะขึ้นขี่นั้น ให้ถือทั้งธนูศรเกาทัณฑ์ทุก ๆ คน

ต่อขนัดกระบวนม้าไปนั้น จึงถึงกระบวนเสนารถ ให้กรมพาหนะเร่งรัดจัดเตรียมพลรถให้ครบแสนหนึ่ง ให้เลือกสรรกลั่นเอาแต่รถที่มั่นคง มีกำกงอันหุ้มไปด้วยเหล็ก มีเรือนรถอันวิจิตร คือปิดทองทึบทั่วไปทั้งเรือน ให้นายขมังธนูฝีมือแม่นใส่เกราะนวมให้แน่นแล้วขึ้นขี่ขับ แล้วก็ให้มีช่างรถกำกับไปด้วยทุกๆ เล่ม พวกจาตุรงคเสนาจงเร่งรัดจัดไว้อย่าได้ช้า อีกเจ็ดทิวาเราจะยกออกไปด้วยประการฉะนี้

พระเจ้าสุวรรณวงศ์ราชา รับสั่งให้จัดเตรียมพลโยธาสิบหกอักโขเภนีแล้ว เมื่อจะทรงบังคับให้พนักงานจัดเสบียงอาหารต่อไป จึงตรัสพระคาถานี้ว่า

คาเม คาเม สตํ ภุมฺภา เมรยสฺส สุราย จ
มคฺคมฺหิ ปติตา นฺตุ เยน มคฺเคน คจฺเฉยฺยํ
มํสา ปุวา จ สงฺกุลฺยา กุมฺมาสา มจฺฉสํยุตฺตา
มคฺคมหิ ปติตา นฺตุ เยน มคฺเคน คจฺเฉยฺยํ
สปฺปิ เตลํ ทธิ ขีรํ กงฺกุปิฏฺา พหู สุรา
มคฺคมฺหิ ปติตา นฺตุ เยน มคฺเคน คจฺเฉยฺยนฺติ

พระสุวรรณวงศ์ราชามีรับสั่งให้ตั้งไว้ซึ่งตุ่มใหญ่ อันเต็มไปด้วยสุราและเมรัยทุกหน้าบ้าน อีกทั้งขนมและของกินและมัจฉมังสา ให้มีโรงวิเสทรายทางสำหรับเลี้ยงขุนนางและบ่าวไพร่ ให้มีพร้อมทั้งเนยใสและน้ำมันนมส้มและนมสด อีกสุราอันทำด้วยแป้งข้าวฟ่างเรียงรายไว้ให้มากมายตามทางที่เราจะพึงไป

อำมาตย์ทั้งหลายเรียกจตุรงคเสนีสี่เหล่าให้มาประชุมตั้งกระบวนทัพณหน้าพระลานหลวง เสร็จแล้วจึงกราบทูลพระราชให้ทรงทราบ พระสุวรรณวงศ์ราชาเสด็จไปทูลลาพระราชมารดาแล้วพาอัครมเหสีและสนมนารีแสนหนึ่งกับพระราชกุมาร ให้ยกพยุหยาตราแต่พระนครเข้าไปยังมหาวัน กระบวนทัพนำเสด็จไปครั้งนั้นนับได้สามเดือนจึงถึงอริฏฐบุรี รับสั่งให้หยุดจตุรงคเสนีตั้งกองทัพเสร็จแล้วจึงแต่งราชทูตให้นำราชสาส์นไปถวายพระเจ้ายสกราช สำเนาราชสาส์นนั้นมีความว่า แน่ะ ท้าวยสกราช เรานามว่าสุวรรณวงศ์ ยกพลนิกายมาถึงสิบหกอักโขเภนี พระองค์จะใคร่รบก็เชิญยกพลนิกายออกมารบกับเรา ถ้าจะไม่รบจงยกราชสมบัติให้เราเสียโดยดี

คราวนั้น พระเจ้ายสกราชและเสนามาตย์ชาวพระนครเป็นต้นได้ทราบความแล้วก็พากันตระหนกตกใจกลัว โจษกันอื้ออึงคะนึงไป ฝ่ายพระนางเอกปูรณีจึงทูลพระสุวรรณวงศ์ราชสามีว่า หม่อมฉันจักไปสอบสวนวาระน้ำจิตของพระราชบิดาดูก่อน ครั้นพระสุวรรณวงศ์ราชาทรงอนุญาตแล้ว พระนางเธอก็แปลงเพศเป็นสตรีเข็ญใจ เข้าไปภายในนครประดิษฐานอยู่ชานชาลาหลวง

ฝ่ายอันเตปุริกนารีและทาสีทั้งปวง เห็นนางเอกปูรณีก็จำได้ พากันตรงเข้าสวมกอดบาทยุคลแล้วร้องไห้ บางพวกก็รีบไปกราบทูลพระราชาว่า ข้าแต่สมมติเทวดา พระนางเอกปูรณีเทวีเสด็จกลับมาแล้ว เออ เดี๋ยวนี้ลูกเราอยู่ไหน เสด็จอยู่ที่ชานชาลาหลวง พระราชาสดับแล้วทรงพระโสมนัส จึงเสด็จไปหานางเอกปูรณีเทวี ทรงกอดรัดและจุมพิต แล้วพาเสด็จไปยังปราสาทแล้วตรัสถามว่า แม่เอกปูรณีหนีบิดาไปแล้วไปอยู่ที่ไหน ข้าแต่พระบิดา พระองค์ประหารขับไล่หม่อมฉันแล้ว หม่อมฉันหาที่พึ่งมิได้ เที่ยวซัดเซไปอาศัยอยู่ในปัจจันตคาม จะหาอาหารเลี้ยงท้องก็ทั้งยาก ต้องลำบากด้วยการทำนาบ้าง ค้าขายกินบ้างและทำการอื่น ๆ เลี้ยงชีวิตบ้าง ภายหลังหม่อมฉันได้พรานป่าคนจนเป็นสามี บัดนี้หม่อมฉันทราบว่าข้าศึกมาติดเมือง หม่อมฉันกลัวเหลือเกินจึงรีบมาเฝ้าพระราชบิดา เดี๋ยวนี้สามีของลูกอยู่ที่ไหน สามีของหม่อมฉันเป็นพรานป่าเงอะงะไม่กล้าเข้ามาเมืองนี้ บัดนี้เขาทิ้งหม่อมฉันเสียแล้วหนีเข้าป่าไป หม่อมฉันผู้เดียวจึงเซซังมา ณ เมืองนี้ แน่ะแม่เอกปูรณี สามีของลูกเป็นผู้ชำนาญศิลปยิงธนูแม่นดีนัก ลูกรักจงรีบไปติดตามรับเข้ามา บิดาจะให้รบกับพวกข้าศึกคราวนี้ ข้าแต่พระบิดา ถ้ากระนั้นขอพระองค์จงให้หมู่มหาชนไปกับหม่อมฉันเดี๋ยวนี้

พระเจ้ายสกราชจึงให้หาเสนาบดีมาสั่งว่า ให้รีบจัดพลโยธาให้มาก ไปพร้อมกับลูกของเรา ออกไปรับสามีของเขาเข้ามาหาเราที่นี้ เสนาบดีรับพระราชดำรัสแล้ว จึงให้จัดจตุรงคเสนีสี่เหล่าคือ เสนาช้าง เสนาม้า เสนารถ เสนาบทจรเดินเท้า พร้อมเสร็จแล้วจึงกราบทูลให้ทราบ พระราชาเชิญพระราชธิดาให้สรงและให้ทรงเครื่องสำอาง ให้เสวยพระกระยาหารนานารส เสร็จแล้วรับสั่งให้สนมนารีและวรรณทาสีตามเสด็จนางเอกปูรณี ให้ประทับ ณ มงคครถส่งไปพร้อมกับโยธาทั้งหลาย

พระนางเอกปูรณีเทวี เสด็จไปถึงสำนักพระราชสามีแล้วจึงทูลสภาพที่พระราชบิดามีพระหฤทัยดีแล้วให้ทรงทราบ แล้วทูลว่า บัดนี้พระราชบิดาจัดพลโยธาให้มารับพระองค์เข้าไปเฝ้า และพระนางก็จัดการเลี้ยงพวกโยธาบรรดาที่มากับพระนาง และพวกโยธาบรรดาที่มากับพระราชสามี ให้อิ่มหนำด้วยข้าวน้ำมัจฉมังสาและสุราบาน เสร็จจึงเชิญเสด็จพระราชสามีให้เข้าไปเฝ้าพระเจ้ายสกราชบิดา พระสุวรรณวงศ์ราชาพร้อมด้วยมเหสีหกนางกับพระเจ้าปูรณวงศ์โอรส ขึ้นประทับมงคลคชาเสด็จโดยพระเกียรติยศ สง่างามปรากฏดังท้าวสักกเทวราช อันสะพรึบพร้อมล้อมด้วยนางเทพอัปสรฉะนั้น ครั้นเสด็จถึงประตูราชนิเวศน์แล้ว จึงเสด็จลงจากหลังคชาดำเนินเข้าไปเฝ้าถวายอภิวาท พระเจ้ายสกราชและอัครมเหสีสีลวดีเทวี พระราชมเหสีหกนางของพระสุวรรณวงศ์กับพระปูรณวงศ์โอรส ก็พากันประณตน้อมเคียรถวายบังคมพระเจ้ายสกราชและพระสีลวดีเทวี

พระเจ้ายสกราชและพระสีลวดีทรงอุ้มพระราชนัดดาแล้วประทานพรว่า พระนัดดาจงอย่ามีโรคาพาธและขอให้พ่อจงมีอายุยืนเถิด แล้วทรงดำรัสถามพระนางเอกปูรณีว่า แม่เอกปูรณี ไฉนแม่จึงได้อัครราชสามีและได้ที่อัครมเหสีเล่า พระนางเอกปูรณีจึงทูลความตามลำดับแต่ต้นมาว่า ข้าแต่พระราชบิดา หม่อมฉันรับราชอาญาของพระราชบิดาแล้ว พลัดพรากจากพระราชบิดามารดาอนาถาแต่ผู้เดียว เที่ยวไปยังมหาวัน นับได้สามเดือนจึงบรรลุถึงป่าหิมพานต์ หม่อมฉันได้อาศัยอยู่ในสำนักพระดาบสได้ปีหนึ่ง จึงพระดาบสท่านกรุณาให้เรียนมนต์มณีจินดา และให้พระขรรค์แก้วเล่มหนึ่ง ครั้นอยู่ต่อมา หม่อมฉันระลึกถึงพระชนกชนนีจึงลาพระฤษีจรลีไปยังวนาวัน ไปถึงภูเขาใหญ่แห่งหนึ่งจึงเข้านั่งพักร่่มไม้พอเย็นใจ มียักษ์สองตนรูปร่างน่ากลัวจะจับหม่อมฉัน ๆ จึงจับพระขรรค์ขึ้นกวัดแกว่งป้องกันไว้ด้วยอำนาจพระขรรค์คุ้มครอง ยักษ์ทั้งสองก็พากันหลบหนีไป ต่อแต่นั้นหม่อมฉันจรไปยังนานาวัน หลงทางไปถึงแดนเมืองไชยวงศ์บุรี นอนหลับอยู่ที่ใต้ต้นไทร พระราชสามีองค์นี้พร้อมด้วยมหาโยธา เสด็จมาตั้งกองทัพหยุดอยู่นอกเมือง ทรงม้ามาแต่องค์เดียวเที่ยวประพาสไป ได้พบหม่อมฉันแล้วพาไป ตั้งหม่อมฉันไว้ในที่อัครมเหสี คราวนี้หม่อมฉันก็มีความสุข

คราวนั้น พระราชาจิตตวงศ์พระเจ้าอาว์ของพระราชสามีประทานสรรพาภรณ์ให้หม่อมฉัน ทรงขอตัวหม่อมฉันให้เป็นสิทธิของพระองค์ พระราชสามีไม่ยอมอนุญาตให้ ภายหลังคิดกลอุบายใช้ให้พระราชสามีไปยังนาคพิภพ เพื่อให้ไปเอาดอกกมุท พระราชสามีทิ้งหม่อมฉันไว้แล้วไปยังนาคพิภพ กลับไปได้นารีสี่นางมาอีก คือ นางสุวรรณมัญจา ๑ นางสุวรรณเภรี ๑ นางสุวรรณนาคี ๑ นางรัตนวิมานเทวี ๑ เมื่อพระราชสามีไปยังมิได้กลับ พระราชาจิตตวงศ์รับสั่งหาตัวหม่อมฉันให้ไปเฝ้า หม่อมฉันกลัวแต่ชาติสัมเภท จึงหนีจากนิเวศน์อนาถามาแต่ผู้เดียวเที่ยวไปยังมหาวัน หม่อมฉันอาศัยประสูติโอรสอยู่ริมฝั่งมหานที มียักขินีสี่ตนมาพบเข้าจะจับหม่อมฉันกับโอรสกิน หม่อมฉันระลึกถึงคุณพระชนกชนนีและคุณพระฤษีและร่ายมนต์มณีจินดา ยักขินีสี่ตนก็กลับมีจิตกรุณาช่วยพิทักษ์รักษาผลัดเปลี่ยนกันบำรุงเลี้ยงหม่อมฉันกับโอรสต่อมาอีกเดือนครึ่ง

ทีนั้นพระราชสามีตามมาพบหม่อมฉัน ทรงรับหม่อมฉันกับโอรสดำเนินกลับแต่ที่นั้น มาพบยายแก่นั่งพายเรือมา พระราชภัสดาขอโดยสารเรือยายแก่มาพร้อมกับโอรสและหม่อมฉัน ครั้นถึงเวลาราตรีมืดจัดนักแล้ว ยายแก่นั้นผลักหม่อมฉันให้พลัดจากเรือลอยน้ำไป สมุทรเทวดารักษาหม่อมฉันไว้ ช่วยพาขึ้นไปวางไว้ยังฝั่งนที ในระวางนี้หารู้ว่ายายแก่เป็นยักขินีไม่ ครั้นต่อมา อีกเจ็ดแปดวัน พระราชสามีจับมัดยักขินี (คือยายแก่นั้น) พาไปถึงที่หม่อมฉันพักอยู่จึงรู้ว่ายายแก่นั้นเป็นยักขินี พระราชสามีฆ่ายักขินีเสียแล้วรับหม่อมฉันกลับยังพระนครจึงตั้งหม่อมฉันไว้ในที่มเหสี

พระราชบิดามารดาและข้าราชการฝ่ายหน้าฝ่ายใน ทราบความแล้วพากันสลดรันทดปริเทวนาร่ำไห้ และพากันเบิกบานหรรษาได้ให้จัดการเลี้ยงพลโยธา และประทานปราสาท ให้กษัตริย์ประทับทรงทำมหันตสักการยิ่งใหญ่ กษัตริย์ทั้งหลายประทับแรมอยู่ ณ อริฏฐบุรีได้ปีหนึ่งจึงทูลลาพระราชบิดามารดากลับไป พระเจ้ายสกราชจึงรับสั่งแก่นางเอกปูรณีราชธิดาว่า เธอจงกรุณาให้ปูรณวงศ์กุมารแก่บิดา พ่อปูรณวงศ์จงอยู่ ณ สำนักอัยกีอัยกาเถิด นางเอกปูรณีจึงกราบทูลว่า ข้าแต่พระราชบิดา พ่อปูรณวงศ์นั้นยังเด็กเล็กมากนัก จงให้อยู่กับหม่อมฉันไปก่อน ต่อเมื่อเธอมีชันษาเติบโตแล้วหม่อมฉันจักส่งมาถวาย ขอได้ทรงพระกรุณาโปรดเถิดพระเจ้าข้า

เมื่อนางเอกปูรณีกราบทูลฉะนี้แล้ว กษัตริย์ทั้งหลายมีพระสุวรรณวงศ์เป็นอาทิ พร้อมกันถวายบังคมลาเสด็จจากอริฏฐบุรีไปยังพระนครของพระองค์ ตั้งแต่นั้นมาชาวพระนครทั้งสองก็ปรองดองสามัคคีหามีวิวาทบาดหมางกันไม่ ได้ไปมาค้าขายติดต่อกันมิได้มีภยันตราย อยู่เย็นเป็นผาสุกสบายทั่วกัน ฝ่ายพระเจ้ายสกราชและเภริยราชทั้งสองนั้น ได้แต่งราชบรรณาการส่งไปถวายพระสุวรรณวงศ์ราชาโพธิสัตว์เสมอทุกๆ ปี

ครั้นอปรภาคสมัยต่อมา พระนางสุวรรณมัญจาเทวี และพระนางสุรรรณเภรีเทวี ได้ประสูติราชโอรสนางละองค์ เมื่อพระราชกมุารเติบใหญ่แล้ว พระราชบิดามารดาก็ได้ส่งพระราชโอรสไปยังสำนักพระอัยกา ฝ่ายพระนางสุวรรณนาคีเทวีและพระนางรัตนวิมานเทวีก็ได้ประสูติพระราชโอรสและธิดา ส่วนพระนางปูรณีก็ได้พระราชโอรสอีกองค์หนึ่ง จึงประทานพระนามว่าบูรณสุวรรณ พระเจ้าสุวรรณวงศ์จึงจัดส่งพระปูรณวงศ์โอรสองค์ใหญ่ไปยังสำนักพระอัยกาอัยกี ณ พระนครอริฏฐบุรี ฝ่ายพระนางสุจิตราเทวีได้ประสูติพระราชธิดาองค์หนึ่ง จึงประทานพระนามว่าสุวรรณจิตรา นางสุวรรณจิตรานั้นรูปร่างสวยงามเปรียบดังนางเทพอัปสรสวรรค์

จำเดิมแต่พระเจ้าสุวรรณวงศ์โพธิสัตว์ ได้ดำรงสิริราชสมบัติมาแล้วนั้น พระองค์ทรงบำเพ็ญมหาทานแก่สมณพราหมณ์และวณิพกยาจก บริจาคพระราชทรัพย์บำเพ็ญทานวันละหกแสนทุกวัน ครั้นภายหลังทอดพระเนตรพระสกขาวแล้ว จึงมอบราชสมบัติให้แก่พระราชโอรสปูรณสุวรรณ ส่วนพระองค์นั้นทรงผนวชเป็นฤษี บำเพ็ญฌานาภิญญาให้เกิดเต็มที่มิได้เสื่อม ครั้นสิ้นพระชนมายุแล้ว ก็ได้เสด็จไปสู่พรหมโลกวิมานสวรรค์

ฝ่ายว่าพระราชโอรสปูรณวงศ์นั้น เมื่อเสด็จอยู่กับพระอัยกา มีพระชนม์พรรษาได้สิบหกปีแล้วทรงดำริว่า เรายังมิได้ศึกษาศิลปะให้เชี่ยวชาญแล้วจะครองราชสมบัติหาควรไม่ เราจักทูลลาพระอัยกาไปสู่ป่า เสาะหาพระดาบสขอเรียนศิลปะจึงจะดี ดำริแล้วจึงไปทูลความดำรินั้นให้พระอัยกาทรงทราบ พระอัยกาทรงอนุญาตแล้ว พระปูรณวงศ์ก็ถวายบังคมลา ทรงพระขรรค์แก้ว แล้วก็เสด็จไปแต่พระองค์เดียว บรรลุถึงบริเวณอาศรมพระดาบสองค์หนึ่ง

แท้จริง พระดาบสนั้นอยู่ ณ อาศรมริมสระโบกขรณี วันหนึ่งพระดาบสนั้นได้เห็นดอกเกตดอกหนึ่งแปลกตา จึงเก็บเอามายังอาศรมพบนางกุมาริกาอยู่ในดอกเกตนั้นคนหนึ่ง ก็ดีใจจึงเลี้ยงนางกุมาริกานั้นไว้ ได้เอานิ้วมือใส่ในปากนางกุมาริกาขีรธาราก็บังเกิดมีขึ้น นางกุมาริกาก็เป็นอยู่ด้วยองคุลิธารา พระดาบสให้ชื่อนางกุมาริกานั้นว่าสุวรรณเกตกา นางสุวรรณเกตกามีอายุได้สิบหกปี ได้ไปเก็บนานาบุปผาในป่ามาร้อยเป็นพวงมาลา ห้อยไว้ ณ ยอดไม้บ้าง ตามกิ่งไม้บ้าง นางได้ทำดังนี้ด้วยมาคิดว่า มาตุคามมาอยู่กับฤษีหาควรไม่ ถ้าว่าบุรุษคนไรมาถึงที่นี้แล้ว เห็นพวงมาลาที่ห้อยไว้ รู้ได้ว่าสตรีจักมีอยู่แน่แล้ว จักไปหาพระดาบส ขอเราได้พาไปเถิด

เมื่อพระปูรณวงศ์เสด็จไปถึงที่นั้นแล้ว ทอดพระเนตรเห็นพวงมาลาแล้วดำริว่าสตรีแก้วจักมีอยู่แถวนี้ ทรงดำเนินไปตามทางจนถึงอาศรมพระดาบส ครั้นถึงเวลาเย็นพระดาบสกลับจากป่ามานั่งพักอยู่หน้าชานอาศรม พระราชกุมารก็คลานเข้าไปใกล้ยกหัตถ์กราบไหว้พระฤษี ๆ จึงถามว่า พ่อหนุ่มน้อยมาแต่ไหน ข้าพเจ้ามาแต่อริฏฐบุรี จะมาขอเรียนศิลปะในสำนักพระมุนี ได้แล้วก็จักกลับไปเมืองนั้นอีก พระดาบสก็รับพระราชกุมารนั้นไว้ ให้อยู่ศึกษาศิลปะจนสำเร็จตลอดถึงที่สุดจบหมดหาเศษบมิได้

ก็คราวนั้น มีนางม้าตัวหนึ่งมาทางอากาศ นำเอาลูกม้าตัวหนึ่งมาปล่อยไว้ใกล้อาศรมพระดาบส แล้วกลับไปยังหิมพานต์ที่ตนเคยอยู่มิได้กลับมา ลูกม้าตัวนั้นก็ได้เล่นด้วยกันกับพระราชกุมารเลยเป็นคู่ร่วมชีวิตกันต่อไป พระราชกุมารทรงศึกษาศิลปะได้เสร็จแล้วจึงอำลาพระดาบสว่าจะกลับไปยังนครของพระองค์ พระดาบสจึงให้นางสุวรรณเกตกาเทวี ๑ ลูกม้าตัวหนึ่ง พระขรรค์เล่มหนึ่งแก่พระราชกุมารไป

พระปูรณวงศ์ราชกุมารนั้น นมัสการลาพระดาบสแล้วเชิญนางสุวรรณเกตกาขึ้นประทับหลังม้าพร้อมกับพระองค์ อัศดรก็พาเหาะไป ณ อากาศ เมื่อพระราชกุมารเสด็จไปครั้งนั้นสิ้นวันยังค่ำ ทรงลำบากอ่อนเพลียลงมาก ทอดพระเนตรเห็นมหานิโคธรต้นหนึ่งเป็นที่ร่มเย็น จึงตรัสแก่ม้าว่า พี่ม้า พี่จงพาน้องหยุดที่ใต้ต้นไทรนี้ ข้าแต่พระมหาราช ที่ตรงนี้เป็นที่ใกล้ชิดติดต่อเขตแดนของกาฬยักษ์ พระองค์อย่าได้หยุดพักเลย พระเจ้าข้า พี่ม้า น้องหากลัวยักษ์ไม่ ม้านั้นจึงลงจากอากาศ แล้วให้พระราชกุมารและพระเทวีหยุดพักตามประสงค์ พระปูรณวงศ์กับพระเทวีทรงประทับเสวยนานาหาร แล้วบรรทมหลับอยู่ ณ ที่นั้น ม้านั้นก็เที่ยวไปหาอาหารยังหาทันที่ว่าจะกลับมาไม่

คราวนั้น ท้าวกาฬยักษ์เสวยสมบัติอยู่ ณ ยักขนครริมภูเขากาลกูฏบรรพต ราชธิดาของท้าวกาฬยักษ์นั้นนามว่าสุวรรณคิรี มีรูปสวยงามเปรียบนางอัปสร ณ คืนวันนั้นกาฬยักขราชไปป่าหิมพานต์กับยักขเสนา เวลาใกล้สว่างจึงกลับมาถึงต้นนิโครธนั้น ได้เห็นสองกษัตริย์บรรทมหลับอยู่ใต้ต้นไทร นึกในใจว่าดรุณมนุษย์เหล่านี้มาแต่ไหน จึงมานอนหลับอยู่ที่นี้ คิดแล้วก็เข้าไปใกล้ได้เห็นนางสุวรรณเกตกาเทวีมีจิตรักใคร่ จึงเป่ามนต์พ่นยาให้ต้องกายาเทวี เห็นว่าหลับสนิทดีจึงอุ้มนางสุวรรณเกตกาเทวี พาเหาะไปยังกาลกูฏบรรพต วางนางลงไว้ในปราสาทของตน

ครั้นรุ่งสางสว่างแล้วดี พาชีนั้นกลับมาถึงจึงเห็นพระปูรณวงศ์ทรงหลับอยู่องค์เดียว มิได้เห็นนางสุวรรณเกตกาเทวีก็ตกใจ จึงปลุกให้พระราชกุมารตื่นจากนิทรา พระราชกุมารมิได้เห็นนางสุวรรณเกตกาเทวีจึงตรัสถามพาชีว่า แม่สุวรรณเกตกาหายไปไหน หม่อมฉันไม่รู้ เออถ้าเช่นนั้นเรามาช่วยกันตามให้พบ ตรัสดังนี้แล้วพระราชกุมารกับพาชีเที่ยวตะโกนเรียกหาไปก็หาได้ฟังคำขานรับไม่ เธอจึงปรึกษากันว่า ชะรอยกาฬยักษ์จะลักเอาไปแน่ พาชีจึงทูลว่า หม่อมฉันจะขอรับอาสาตามไปพบจักรบกับยักษ์ แล้วนำนางเทวีมาถวายให้จงได้

พระปูรณวงศ์กุมารจึงขึ้นประทับ ณ หลังพาชี เหาะไปถึงกาลกูฏบรรพตเมืองยักษ์ ประดิษฐานอยู่บนอากาศแล้วประกาศแก่กาฬยักษ์ว่า แน่ะท่านกาฬยักษ์ ทำไมท่านไปลักเอาเมียของเรามา ท่านจงรีบส่งเมียของเราให้เสียโดยดี ถ้าท่านไม่ส่งเมียของเรามาให้แล้วไซร้ ชีวิตของท่านจักบรรลัยลง ณ กาลบัดนี้ กาฬยักษ์สดับคำปกาสิตดังนั้นจึงตอบว่า ท่านบังอาจเข้ามาในเขตแดนของเรา หาได้บอกแก่เราผู้เจ้าของเขตแดนไม่ เราไม่ฆ่าท่านเสียนั้นดีนักหนา กล่าวดังนี้แล้วก็หยิบกล้องทองเดินออกปราสาทไป

ฝ่ายนางสุวรรณเกตกาเทวี ได้ยินเสียงพระราชสามีก็ตกใจ ตื่นขึ้นรู้สึกตนว่าเรามาอยู่ในอำนาจของยักษ์ นางจึงสวมแหวนก้อยเข้ากับองคุลีเหาะไปสู่สำนักพระราชสามี แท้จริงแหวนก้อยวงนั้นเป็นของเกิดกับสำหรับนางสุวรรณเกตกา มีคุณานุภาพมาก ถ้าหากนางสุวรรณเกตกาปรารถนาจะเหาะไปยังอากาศไซร้ นางสวมใส่เข้าแล้วต้องการจะไปที่ไหน แหวนก้อยนั้นก็พาไปให้ถึงที่นั้น ถ้าหากว่าข้าศึกเหล่าใดยกมารบไซร้ นางต้องการจะรบกับข้าศึกเหล่านั้น ปรารถนาจะให้ตายหรือจะมิให้ตาย ก็ใช้ให้แหวนนั้นไปรบตามประสงค์ได้ทุกอย่าง ถ้าหากว่านางต้องประสงค์เงินทองเป็นต้นไซร้ ถ้าเอาน้ำหอมรดแหวนนั้นแล้ว เงินและทองเป็นต้นก็เกิดมีขึ้นให้ได้สมประสงค์ เพราะเหตุดังนั้นนางสุวรรณเกตกานึกว่าเราจักขว้างแหวนไปให้ฆ่ายักษ์ เกรงว่าพระราชสามีจะลำบาก ด้วยกำลังยักษ์พัวพันกันอยู่กับพระราชสามี นางคิดดังนี้จึงงดรอช้าอยู่ด้วยประการฉะนี้

ขณะนั้น พาชีจึงเชิญให้พระราชกุมารเสด็จลงจากหลังของตนแล้ว เผ่นเข้าทำยุทธกับยักษ์ตัวต่อตัว ตรงเข้าถีบยักษ์ด้วยเท้าหน้า ยักษ์คว้าตะบองเหล็กตีพาชี ถ้อยทีต่างรบรับกันหาแพ้และชนะกันไม่ พระปูรณวงศ์กุมารนึกว่า ถ้าหากยักษ์จับบังเหียนม้าได้ไซร้ ม้าของเราก็จักพ่ายแพ้ยักษ์ ทันใดนั้นยักษ์ก็จับบังเหียนม้าไว้ได้ดังพระทัยนึก พระราชกุมารจึงสะอึกออกแผลงศรไปให้เฉพาะถูกกาฬยักษ์ ลูกศรถูกกายซีกซ้ายทะอุออกทางข้างขวา โลหิตยักษ์ไหลอาบนองไปแต่ยักษ์หาปล่อยบังเหียนม้าไม่ พระราชกุมารตรัสกับพระเทวีว่า เธอจงช่วยมัดยักษ์นั้นด้วยนาคบาศ ณ กาลบัดนี้

นางสุวรรณเกตกาเทวีจึงอธิษฐานขว้างแหวนไปว่า แหวนของเราจงกลายเป็นนาคบาศจับยักษ์มัดเสีย ณ บัดนี้ แหวนนั้นกลายเป็นนาคบาศจับยักษ์มัดไว้ แต่ยักษ์ยังหาปล่อยบังเหียนม้าไม่ จนยักษ์ถึงความเวทนามากอ่อนกำลังลง เมื่อจะอ้อนวอนขอชีวิตไว้จึงพูดว่า ข้าแต่พ่อ พ่อจงให้ชีวิตแก่ข้าพเจ้าเถิด อย่าได้ฆ่าข้าพเจ้าเสียเลย ข้าพเจ้าจักยอมยกนางสุวรรณคิรีธิดาของข้าพเจ้าให้แก่ท่าน พระปูรณวงศ์กุมารสดับคำยักษ์วิงวอนขอโทษดังนั้น ก็มีพระหฤทัยกรุณาตรัสแก่พระราชเทวีว่า เธอจงให้ชีวิตแก่ยักษ์เถิด นางสุวรรณเกตกาเทวีจึงตรัสเรียกให้แหวนก้อยนั้นกลับมา อังคุลิมุทธิกาก็กลับมาสวมนิ้วหัตถาพระเทวี กาฬยักษ์พ้นจากชีวิตอันตราย

กาฬยักขราชาจึงเชิญพระราชกุมารกับพระเทวีให้ขึ้นประทับ ณ ยักขราชบัลลังก์ พระราชกุมารตรัสสั่งพาชีว่า พี่พาชี พี่จงไปหาอาหารกินตามสบายก่อนแล้วจึงกลับมา พาชีนั้นก็ลาไปยังที่มีหญ้าและน้ำตามผาสุกของตน ฝ่ายกาฬยักขราชาจึงให้หาตัวนางสุวรรณคิรีธิดามาแล้วให้อภิวาทพระราชกุมาร อภิเษกให้เป็นชายาของพระราชกุมารแล้ว ยกราชสมบัติกึ่งหนึ่งถวายพระราชกุมาร แล้วมอบยักขกุมารีห้าร้อย กับทิพย์ปราสาทถวายแก่นางสุวรรณเกตกาเทวี พระปูรณวงศ์กุมารกับพระราชเทวีเสวยทิพย์สุขอยู่ที่เมืองกาฬยักษ์สิ้นสามเดือน

ก็คราวนั้น พาชีเที่ยวไปป่าหิมพานต์เพลิดเพลินไป ครั้นระลึกถึงพระราชกุมารีจึงกลับมาเฝ้าแล้วทูลเตือนว่า ข้าแต่สมมติเทวา พระองค์เสวยทิพย์สุขอยู่เมืองยักษ์นี้นานแล้ว พระอัยกีอัยกาน่าจะระลึกถึงพระองค์ พระปูรณวงค์จึงตรัสว่า ฉันก็คิดถึงพระอัยกีพระอัยกา แต่หากรอคอยท่าพี่พาชีอยู่ว่ามาเมื่อไรก็จะพากันกลับไป ตรัสแล้วก็เสด็จไปยังสำนักกาฬยักษ์ราชจึงทูลว่า ข้าแต่เทวราช บัดนี้หม่อมฉันระลึกถึงพระอัยกีพระอัยกา ไม่ทราบว่าความสุขทุกข์ของท่านจะเป็นอย่างไร หม่อมฉันจักทูลลาไปเยี่ยมพระอัยกีพระอัยกา พระยากาฬยักษ์จึงตอบว่า ดูกรพ่อ พ่อจงพาพลโยธา และบริจาริกาทั้งหลายไปโดยทางปฐพี แล้วดำรัสสั่งยักขเสนาบดี ให้เกณฑ์พลนิกายแสนหนึ่งให้มาประชุมพร้อมกัน ณ ที่สมาคม ยักขเสนาบดีจึงรีบรัดจัดพลนิกายตามบัญชาพระยายักษ์ ให้มาประชุมพร้อมกัน ณ ยักขสมาคม เสร็จแล้วพระยากาฬยักษ์จึงประกาศสั่งพลโยธามียักขเสนาบดีเป็นต้นว่า ดูกรท่านผู้เจริญทั้งหลาย พวกท่านทั้งหลายไปกับพระเจ้าลูกเราคราวนี้ ขออย่าได้แสดงรูปกายและกิริยาอาการเป็นยักษ์เลย จงพากันแปลงกายให้ละม้ายเหมือนเทวดา จงประดับกายาด้วยนานาภรณวิภูสิต จงทำให้เหมือนเทวดาอันย่างออกจากดาวดึงส์พิภพฉะนั้น ยักขโยธาทั้งหลายคำนับรับทำตามบัญชาพระยากาฬยักษ์ทุกประการ

ฝ่ายปูรณวงศ์กุมาร อภิวาทพระยากาฬยักษ์เสร็จ จึงเสด็จพร้อมด้วยนางสุวรรณเกตกาเทวี มีหมู่ยักขเสนาและยักขบริจาริกานาฏกิตถีและยักขวรรณทาสีแวดล้อมเป็นบริวาร คมนาการจากยักขนคร พระองค์ทรงประทับ ณ หลังอัสดรเสด็จไปเบื้องหน้า สองพระมเหสีขึ้นประทับ ณ กุฏาคารร่วมหลังเดียวกัน เสด็จไป ณ เบื้องหลัง สามกษัตริย์เสด็จไปครั้งนั้นสิ้นสามราตรีจึงบรรลุถึงกรุงอริฏฐบุรี พระปูรณวงศ์จึงตรัสสั่งให้หยุดตั้งกองพลโยธายักษ์อยู่ ณ ภายนอกนคร พระองค์ทรงพามเหสีทั้งสองกับยักขนาฏกิตถี เสด็จเข้าไปบุรีจนกระทั่งถึงพระลานหลวง ชาวพระนครทั้งปวงเห็นรูปหญิงงามเพริศพริ้งดุจดังเทวธิดา ต่างก็พากันตามมาพรั่งพรูดูไม่อิ่มตาเลย พระปูรณวงศ์ทรงพาสองมเหสีเสด็จขึ้นยังปราสาทพระอัยการาช ถวายอภิวาทแล้วประทับอยู่ จึงให้สองพระมเหสีถวายอัญชลีพระอัยกาอัยกี แล้วทูลว่าข้าแต่สมมติเทวดา นางที่ถวายบังคมองค์นี้มีนามว่าสุวรรณเกตกา นางที่ถวายบังคมบาทองค์นี้นามว่าสุวรรณคีรี

ฝ่ายพระอัยกีทรงปรามาสปฤษฎางค์นางเทวีทั้งสององค์แล้วดำรัสว่า พระนัดดาสองราอุตสาหะติดตามราชสามีมาถึงนี่ดีนักหนา แล้วประทานพรแก่สองนัดดา ส่วนพระอัยกาจึงดำรัสถามพระปูรณวงศ์ว่า ดูกรหลานรักสองเทวีนี้เป็นบุตรีของใคร หลานทำอย่างไรจึงได้พามา ณ บัดนี้ พระปูรณวงศ์จึงกราบทูลพระอัยกาว่า นางสุวรรณเกตกานี้พระดาบสมุนีท่านเลี้ยงไว้ ท่านยกให้หม่อมฉัน นางสุวรรณคิรีองค์นี้เป็นราชธิดาพระยากาฬยักษ์ ๆ ประทานให้เป็นชายา หม่อมฉันจึงพามาถวายบังคมบาทยุคลพระอัยกา

พระเจ้ามหาวงศ์อัยกาจึงตรัสว่า อัยกาจะอภิเษกหลานและตั้งสองเทวีไว้ในที่มเหสี มอบราชสมบัติให้แก่หลาน แล้วตรัสสั่งเสนาบดีว่าให้เสนาบดีจัดสร้างโรงราชาภิเษกมาลก เราจะทำการราชาภิเษกพระเจ้าหลานของเรา เสนาบดีรับพระราชดำรัสรีบให้จัดราชาภิเษกมาลกแล้วเสร็จตามพระราชประสงค์ ฝ่ายพระเจ้ามหาวงศ์จึงตรัสถามพระปูรณวงศ์ว่ายักขเสนาตามหลานมาบ้างหรือไม่ ข้าแต่พระมหาราช พวกยักขเสนาตามหม่อมฉันมามากมาย หม่อมฉันให้พวกยักขเสนาทั้งหลายพักอยู่นอกเมือง ถ้ากระนั้น เราควรจักจัดที่ให้เขาพักแล้วบำรุงเลี้ยงเขาให้อิ่มหนำสำราญ ด้วยอันนปานาหารและมัจฉมังสทั้งสุราบาน ข้าแต่พระมหาราช พวกยักขเสนาหาบริโภคอาหารของมนุษย์ไม่ เพราะฉะนั้น ฝ่ายเราไม่ต้องเลี้ยงพวกยักขเสนาเลย

พระนางสุวรรณเกตกาเทวีจึงทูลพระราชสามีว่า เหตุไรพระองค์จึงทูลดังนี้ พวกยักขเสนาเขาจะพากันติเตียนได้ว่า พวกเราไปถึงอริฏฐบุรี หาได้บริโภคอะไรแต่สักสิ่งหนึ่งไม่ เพราะฉะนั้น พระองค์จงตรัสสั่งให้ปลูกปานมาลกสักหลังหนึ่งไว้ การเลี้ยงดูอาหารพวกยักขเสนา จงเป็นภาระธุระของหม่อมฉัน ๆ จะจัดการให้เรียบร้อย มิให้พวกยักขเสนานินทาติเตียนได้

พระเจ้ามหาวงศ์ทรงดำริว่า นางสุวรรณเกตกาเจรจานี้ถูกต้องสมควรนักหนา จึงตรัสสั่งอำมาตย์ทั้งหลายให้ระดมกันปลูกโรงปานมาลกขึ้นหลังกว้างใหญ่ ให้แวดวงด้วยม่านลายต่าง ๆ ให้ปูลาดด้วยนานาปัจถรณะ และให้จัดแจงนานาบรรณาการเสร็จแล้ว รับสั่งให้ยักขเสนามานั่งประชุมพร้อมกันในโรงปานมาลก คราวนั้นนางสุวรรณเกตกาเทวีจึงถอดธำมรงค์จากองคุลีประพรมด้วยน้ำหอมแล้ว นางจะนึกเอาสิ่งใดสิ่งที่นึกนั้นก็ปรากฏมีขึ้นทุกสิ่ง สิ่งของเครื่องบริโภคเป็นต้นก็เพียงพอแก่พวกยักขเสนามนุษย์เสนาและยักขบริษัทมนุษย์บริษัทมิได้ขัดข้องเลย บริษัททั้งหลายมียักขเสนาเป็นต้น พากันอยู่เย็นเป็นผาสุก ตั้งใจระวังรักษาพระราชกุมารและพระเทวีมิให้อนาทรร้อนพระหฤทัย พระอัยกาจึงอภิเษกพระปูรณวงศ์พร้อมด้วยสองเทวีแล้วทรงมอบราชสมบัติแก่พระปูรณวงศ์ ๆ ทรงพระนามปรากฏว่า ปูรณวงศ์ราชาตั้งแต่นั้นมา

พระปูรณวงศ์ราชาทรงอนุสาสน์มหาชน ให้บำเพ็ญทานและให้ตั้งอยู่ในศีล ภายหลังจึงส่งยักขเสนาและยักขินีให้กลับไปยังกาลกูฏบรรพตาบุรี ส่วนพระองค์ทรงระลึกถึงพระชนกชนนีแล้วทูลลาพระอัยกีอัยกาพาสองราชมเหสีกลับไปยังไชยวงศ์นคร จึงพร้อมด้วยสองมเหสีถวายบังคมพระราชชนกชนนี รับมาตุปิตุราโชวาทแล้วทูลลาพาสองมเหสีกลับยังอริฏฐบุรี เสวยราชสมบัติโดยธรรมโดยเสมอ และทรงบำเพ็ญทานสมาทานศีลเป็นพลเหตุแรงกล้า เมื่อสิ้นพระชนมายุแล้ว ก็มีสวรรค์เป็นที่ไปภายหน้า

----------------------------

สตฺถา อิม ธมฺมเทสน อาหริตฺวา สมเด็จพระบรมศาสดาทรงนำธรรมเทศนานี้มาแล้วจึงตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลายสุปปพุทธราชาใคร่จะฆ่าตถาคต แต่ไม่อาจจะฆ่าตถาคตได้หาใช่แต่ชาตินี้ไม่ แม้ในชาติก่อนก็ใคร่จะฆ่าตถาคต แต่ไม่อาจจะฆ่าได้ดังนี้ แล้วพระองค์จึงประกาศอริยสัจสี่ เมื่อจบอริยสัจแล้วบริษัทมีภิกษุเป็นต้น ได้เกิดธรรมจักษุลุมรรคผลมีพระโสดาปัตติผลเป็นต้น สมเด็จพระทศพลจึงประชุมชาดกว่า พระเจ้าจิตตวงศราชาในกาลนั้นมาเป็นสุปปพุทธราชา นางสุจิตราเทวีในกาลนั้นได้มาเป็นนางชนบทกัลยาณี นางสุวรรณมัญจาเทวีในกาลนั้นได้มาเป็นนางรูปนันทาเทวี พระราชบิดาของนางสุวรรณมัญจาเทวีในกาลนั้น ได้มาเป็นพระเจ้าอมิโตทนะ นางสุวรรณเภรีเทวีในกาลนั้นได้มาเป็นนางสิริมา พระราชบิดาของนางสุวรรณเภรีในกาลนั้นได้มาเป็นพระเจ้าสุโกทนะ นางสุวรรณนาคีเทวีในกาลนั้น ได้มาเป็นนางสุมนาเทวี วรุณนาคราชาในกาลนั้นได้มาเป็นกาลุทายี พระยาครุฑในกาลนั้นได้มาเป็นภิกษุเทวทัต วิชาธรมในกาลนั้นได้มาเป็นโกกาลิกภิกษุ รัตนวิมานเทวีในกาลนั้น ได้มาเป็นนางวิสาขา ยสกราชาในกาลนั้นได้มาเป็นท้าวมหานาม สีลวดีเทวีในกาลนั้น ได้มาเป็นมหาปชาบดีโคตมี ปูรณวงศ์ราชาในกาลนั้น ได้มาเป็นมหาโมคคัลลานะ พระดาบสผู้เลี้ยงนางเอกปูรณีในกาลนั้น ได้มาเป็นพระสารีบุตร นางสุวรรณเกตกาเทวีในกาลนั้นได้มาเป็นนางอุบลวรรณา พระดาบสผู้เลี้ยงนางสุวรรณเกตกาในกาลนั้น ได้มาเป็นพระมหากัสสปเถระ กาฬยักขราชาในกาลนั้น ได้มาเป็นพระมหากัจจายนะ นางสุวรรณคิรีเทวีในกาลนั้น ได้มาเป็นนางสุปปวาสา นางผีเสื้อน้ำในกาลนั้น กลับมาเป็นนางจิญจมาณวิกา พระโอรสของสุวรรณมัญจาเทวีในกาลนั้น ได้มาเป็นพระอานนทเถระ พระโอรสของนางสุวรรณเภรีเทวีในกาลนั้น ได้มาเป็นพระอุปนนท์ ปูรณวงศ์ราชาในกาลนั้น ได้มาเป็นพระราหุล ห้าวสักกเทวราชในกาลนั้น ได้มาเป็นพระอนุรุทธเถระ นางเอกปูรณีเทวีในกาลนั้น ได้มาเป็นมารดาพระราหุล พระราชมารดาบิดาในกาลนั้น ได้มาเป็นพุทธมารดาบิดา บริษัทนอกจากนั้น ได้มาเป็นพุทธบริษัท พระสุวรรณวงศ์ราชาในกาลนั้น ได้มาเป็นเราตถาคต มีพุทธพจน์ให้จบลงด้วยประการฉะนี้

จบสุวรรณวงศ์ชาดก

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ