- คำนำ
- พระนิพนธ์คำนำในการพิมพ์ครั้งแรก
- ๑. สมุททโฆสชาดก
- ๒. สุธนชาดก
- ๓. สุธนุชาดก
- ๔. รัตนปโชตชาดก
- ๕. สิริวิบุลกิตติชาดก
- ๖. วิบุลราชชาดก
- ๗. สิริจุฑามณิชาดก
- ๘. จันทราชชาดก
- ๙. สุภมิตตชาดก
- ๑๐. สิริธรชาดก
- ๑๑. ทุลกบัณฑิตชาดก
- ๑๒. อาทิตชาดก
- ๑๓. ทุกัมมานิกชาดก
- ๑๔. มหาสุรเสนชาดก
- ๑๕. สุวรรณกุมารชาดก
- ๑๖. กนกวรรณราชชาดก
- ๑๗. วิริยบัณฑิตชาดก
- ๑๘. ธรรมโสณฑกชาดก
- ๑๙. สุทัสนชาดก
- ๒๐. วัฏฏังคุลีราชชาดก
- ๒๑. โบราณกบิลราชชาดก
- ๒๒. ธรรมิกบัณฑิตราชชาดก
- ๒๓. จาคทานชาดก
- ๒๔. ธรรมราชชาดก
- ๒๕. นรชีวชาดก
- ๒๖. สุรูปชาดก
- ๒๗. มหาปทุมชาดก
- ๒๘. ภัณฑาคารชาดก
- ๒๙. พหลาคาวีชาดก
- ๓๐. เสตบัณฑิตชาดก
- ๓๑. ปุปผชาดก
- ๓๒. พาราณสิราชชาดก
- ๓๓. พรหมโฆสราชชาดก
- ๓๔. เทวรุกขกุมารชาดก
- ๓๕. สลภชาดก
- ๓๖. สิทธิสารชาดก
- ๓๗. นรชีวกฐินทานชาดก
- ๓๘. อติเทวราชชาดก
- ๓๙. ปาจิตตกุมารชาดก
- ๔๐. สรรพสิทธิชาดก
- ๔๑. สังขปัตตชาดก
- ๔๒. จันทเสนชาดก
- ๔๓. สุวรรณกัจฉปชาดก
- ๔๔. สิโสรชาดก
- ๔๕. วรวงสชาดก
- ๔๖. อรินทมชาดก
- ๔๗. รถเสนชาดก
- ๔๘. สุวรรณสิรสาชาดก
- ๔๙. วนาวนชาดก
- ๕๐. พากุลชาดก
- ปัญญาสชาดก ปัจฉิมภาค
- ปัญจพุทธพยากรณ์
- ปัญจพุทธศักราชวรรณนา
- อานิสงส์ผ้าบังสุกุล
๒. สุธนชาดก
กุโต นุ อาคจฺฉสิ ลุทฺธกาติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรนฺโต เอกํ อุกฺกณฺิตภิกขุํ อารพฺภ กเถสิ
สตฺถา สมเด็จพระบรมครู เมื่อเสด็จอยู่ ณ พระเชตวันทรงพระปรารภภิกษุผู้กระสันรูปหนึ่ง ให้เป็นมูลเหตุ ได้ตรัสเทศนานี้ มีคำเริ่มว่า กุโต นุ อาคจฺฉสิ ลุทฺธก ดังนี้เป็นต้น อนุสนธิเรื่องปัจจุบันนิทานดังแจ้งต่อไปนี้ว่า
กิร ดังได้สดับมา มีภิกษุรูปหนึ่งเที่ยวไปบิณฑบาต ได้เห็นหญิงรูปงามคนหนึ่งให้นึกรักใคร่ ได้กลับจากบิณฑบาตแล้วจึงเอาบาตรแขวนไว้เลยมิได้ฉันอาหาร ครั้งนั้นภิกษุเพื่อนกันได้เห็นอาการภิกษุนั้นจึงถามว่า ท่านไม่สบายเป็นอย่างไร ฯ ดูกรท่านผู้มีอายุ หาได้เป็นอะไรไม่ วานนี้ข้าพเจ้าไปบิณฑบาตเห็นหญิงคนหนึ่งชอบใจรักใคร่ เพราะฉะนั้นข้าพเจ้ากระสันถึงเขานัก พระภิกษุทั้งหลายได้พาตัวภิกษุนั้นไปเฝ้าพระบรมศาสดา ๆ ตรัสถามถึงความกระสัน ภิกษุนั้นได้ทูลความตามจริง จึงมีพุทธดำรัสว่า ดูกรภิกษุ เธอมีศรัทธาได้บรรพชาอุปสมบทในศาสนาของตถาคต อย่างไรจึงได้อุอำนาจแก่มาตุคาม ๆ ทำความชั่วร้ายยากที่จะละได้ นักปราชญ์แต่ก่อนอาศัยมาตุคามเป็นเหตุ ไม่เอื้อเฟื้อต่อสมบัติและบิดามารดา และไม่คิดต่อชีวิตของตนได้ทำความลำบากยากเข็ญ เพราะเห็นแก่มาตุคามอย่างนี้ ภิกษุทั้งหลายจะใคร่รู้เรื่องราวจึงทูลอาราธนา พระองค์ได้นำอดีตนิทานมาตรัสเทศนา ดังปรากฏต่อไปนี้ว่า
อตีเต อุตฺตรปฺจาลนคเร อาทิจฺจวํโส นาม ราชา รชฺชํ กาเรสิ ในกาลที่ล่วงแล้วแต่หลัง ยังมีพระราชาพระนามว่า อาทิจวงศ์ได้ดำรงราชสมบัติ ณ ปัญจาลนคร มีอัครมเหสีพระนามว่า จันทาเทวี ๆ มีสุนทรลักษณ์เลิศยิ่งนารี คราวนั้นพระโพธิสัตว์เจ้าของเรา ได้ถือกำเนิดในครรภ์พระนางจันทรา ถึงกำหนดถ้วนทสมาสแล้วพระนางจันทาเทวีได้ประสูติพระราชโอรส งามปรากฏเหมือนรูปสุวรรณปฏิมา เวลาเมื่อประสูติวันนั้น ขุมทองสี่ขุมเกิดขึ้น ณ มุมปราสาททั้งสี่ทิศ พระราชบิดาทอดพระเนตรแล้วตรัสว่า โอรสของเรามีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ มีอานุภาพดุลท้าวสหัสสนัย ได้ทรงทำมหันตสักการ จึงให้พระนามว่าสุธนกุมารดังนี้
เมื่อพระสุธนกุมาร มีพรรษายุกาลเจริญขึ้นโดยลำดับทรงรูปสิริวิลาสโสภา เป็นที่พึงใจของมหาชนทั่วไป ล่วงเสียซึ่งวิสัยแห่งมนุษย์สามัญ พระสุธนกุมารนั้น ได้ทรงศึกษาศิลปศาสตรเชี่ยวชาญหาผู้อื่นจะเปรียบปานบมิได้
กิร ดังได้สดับฟังมาว่า ในเมืองอุตรปัญจาลด้านข้างทิศปาจีนนั้นมีสระอยู่แห่งหนึ่ง น้ำในสระนั้นใสคล้ายสีแก้วไพฑูริย์บริบูรณ์ด้วยบัวหลวงบัวแดงบัวขาว ที่รอบขอบสระนั้นล้วนต้นไม้มีดอกออกผลต่าง ๆ เป็นที่น่าชมชูใจ นาคราชนามว่าชมพูจิตรได้อาศัยอยู่ในสระนั้นทุกวัน เพราะเหตุนั้นอุตรปัญจาลนครจึงได้บริบูรณ์ด้วยภิกษาหาร มหาชนในเมืองนั้นเคยพากันไปนมัสการบูชานาคราชเสมอทุกปี ๆ ได้วิงวอนขอให้นาคราชนั้น ช่วยทำพระนครนั้นให้มีภิกษาหารบริบูรณ์เสมอไป ด้วยเหตุนั้น อุตรปัญจาลนครจึงได้บริบูรณ์ด้วยภิกษาหาร เพราะอำนาจนาคราชชมพูจิตร
ก็และในเบื้องปัศจิมทิศแต่อุตรปัญจาลนครออกไปนั้น มีนครชื่อมหาปัญจาละตั้งอยู่เมืองหนึ่ง เกิดขัดสนภิกษาหารหายาก พลเมืองได้ความลำบาก พากันอพยพจากเมืองนั้นไปตั้งบ้านเรือนอยู่ ณ เมืองอุตรปัญจาล พลเมืองมหาปัญจาละก็ร่อยหรอหมดไป ๆ ทุกที คราวนั้นพระเจ้านันทราช ผู้ปกครองมหาปัญจาละ ทอดพระเนตรพระนครมีราษฎรน้อยไป ได้ตรัสถามพวกอำมาตย์ว่า ราษฎรของเราพากันไปไหนเกือบหมดเล่า ฯ ข้าแต่พระมหาราชเจ้า เขาพากันไปอยู่เมืองอุตรปัญจาล ฯ เขาพากันไปด้วยเหตุผลอย่างไรเล่า ฯ พระเจ้าข้า เขาพากันไปด้วยเมืองอุตรปัญจาลหาอาหารบริโภคง่าย ฯ ก็เหตุไรเล่าอุตรปัญจาลจึงหาภิกษาหารง่าย ฯ พระเจ้าข้า ชมพูจิตรนาคราชเขาช่วยคุ้มครองรักษา มหาชนได้ความสุขความเจริญเพราะอำนาจนาคราช
พระเจ้ามหาปัญจาลนันทราช คิดปรารถนาจะฆ่าชมพูจิตรนาคราชได้ปรึกษากับราษฎรทั้งหลายว่า เราจักฆ่านาคราชนั้นได้ด้วยอุบายอย่างไร ฯ พระเจ้าข้า มนุษย์สามัญด้วยกันแล้ว ไม่อาจฆ่านาคราชนั้นได้ ถ้าหากว่ามีพราหมณ์ผู้ร่ายมนตร์ นั่นและอาจผจญเข่นฆ่าพระยานาคได้
พระเจ้านันทราช จึงได้ประกาศหาพวกพราหมณ์มาประชุมพร้อมกันห้าร้อยคนเลือกได้พราหมณ์ผู้รู้มนตร์คนหนึ่งจึงรับสั่งว่า แน่ะพราหมณ์ เจ้าจะจับนาคราชมาทั้งเป็น หรือจะเข่นฆ่าให้ตาย นำมาให้เราเราจักแบ่งราชสมบัติให้กึ่งหนึ่ง ฯ พระเจ้าข้าดีแล้ว ข้าพระพุทธเจ้าจะนำพระยานาคมาถวายให้ได้ ฯ ดูกรพราหมณ์ จงรีบไปเร็วอย่าได้ช้า พราหมณ์ผู้นั้นถวายบังคมลาไปยังสระน้ำนั้น คิดว่าจักพักค้างอยู่ก่อนต่อรุ่งเช้าเราจักทำพิธีจับนาค ในเวลาเย็นวันนั้น ได้ทดลองทำพิธีดูเพื่อจะให้รู้อำนาจมนตร์ จึงบ้วนปากแล้วนุ่งห่มผ้าขาว มือซ้ายถือหญ้าคาเหยียดมือขวาออกยืนเป่ามนตร์อยู่ริมขอบสระนั้น
ด้วยอำนาจมนตร์ที่พราหมณ์เป่าไป น้ำใสก็กลับกลายขุ่นเป็นควันขึ้นทันใด พราหมณ์ดีใจได้หยุดเป่ามนตร์แล้วพักนอนอยู่ที่นั่น ครั้นรุ่งขึ้นเช้า พราหมณ์นั้นไปเที่ยวหายาที่ในป่า พระยานาคราชได้ขึ้นมาแปลงเพศเป็นพราหมณ์ ยืนแอบดูอยู่ที่ขอบสระ ขณะนั้นนายพรานชื่อปุณฑริก เดินไปถึงประเทศตำบลนั้นด้วยกิจธุระของตนอันใดอันหนึ่ง จึงพบนาคพราหมณ์แปลง ๆ เมื่อจะถามข้อความกับนายพรานปุณฑริก จึงกล่าวคาถานี้ว่า
กุโต นุ ตฺวํ อาคจฺฉสิ | ลุทฺธก พฺราหฺมณสฺสาหํ |
มนฺตุชหตฺลมาคโต | สิงฺฆํ ตุวํ เม วจนํ |
สุโณหิ มํ กึกรณตฺถาย | อิธ ตุวํ อาคโตสิ |
ความว่า ดูกรพ่อพราน ท่านมาแต่ไหนเล่า ตัวเราได้มาคอยดูพราหมณ์เขาจะเสกมนตร์ ท่านจงฟังคำเราถาม ตัวท่านมาด้วยกิจสิ่งใดในที่นี้ด้วยเล่า ฯ
แน่ะพ่อผู้เจริญข้าพเจ้าเป็นพรานไพร ไม่มีกิจสิ่งใดนอกจากจะหาเนื้อกิน เพราะฉะนั้น ฉันมาที่นี่ก็เพราะจะดักเนื้อ ฯ ดูกรพ่อพราน ท่านเป็นคนชาวเมืองอุตรปัญจาล หรือว่าเป็นคนชาวเมืองอื่น ฯ ข้าพเจ้าเป็นคนชาวเมืองอุตรปัญจาล ฯ ก็เมืองอุตรปัญจาลนั้น ภิกษาหารหากินง่ายหรือยาก ฯ ดูกรพราหมณ์ เมืองอุตรปัญจาลหาภิกษาหารกินง่าย ฯ แน่ะนายพราน ภิกษาหารหากินง่าย เป็นด้วยเหตุไร ฯ ข้าแต่นาย บ้านเมืองของข้าพเจ้ามีข้าวปลาอาหารหากินง่ายนั้น เป็นเหตุด้วยอำนาจพระยาชมพูจิตรนาคช่วยบำรุงรักษา ฯ เออ เมื่อเป็นเช่นนั้นเดี๋ยวนี้ถ้าจะมีผู้ทำอันตรายแก่พระยาชมพูจิตรนาค ตัวท่านจะพึงทำอะไรกับเขาเล่า ฯ ข้าพเจ้าก็จักตัดศีรษะผู้ทำอันตรายพระยานาคนั้นเสีย ฯ นายพรานพูดจริงหรือ ฯ ข้าพเจ้าพูดจริงสิหนะ
พระยาชมพูจิตรนาคราช ได้บอกความจริงแก่พรานบุณฑริกว่า ตัวข้าพเจ้านี้คือนาคราช บัดนี้มีพราหมณ์คนหนึ่งมาทำอันตรายข้าพเจ้า ท่านจงช่วยฆ่าพราหมณ์คนนั้นด้วย ถ้าท่านไม่ช่วยป้องกัน ชีวิตข้าพเจ้าจักบรรลัยด้วยมือพราหมณ์ และพระยานาคจึงแจ้งความว่า ท่านจงไปซุ่มอยู่ชายป่า เมื่อพราหมณ์ได้มาร่ายมนตร์และพ่นยาที่ขอบสระแล้ว ท่านเห็นน้ำขุ่นเป็นควันพลุ่งมาในขณะใด ท่านจงยิงไปให้ถูกพราหมณ์แต่อย่าให้ตาย แล้วท่านจงรีบออกจากระหว่างพุ่มไม้ไป กระชากศีรษะมาเงื้อดาบทำท่าจะฟัน ท่านจงขู่ว่า ดูกรพราหมณ์ผู้ใจร้าย จงคลายมนตร์เสียเดี๋ยวนี้ ถ้าเจ้าไม่คลายมนตร์ เราจักฆ่าให้ตายเดี๋ยวนี้ ฯ ข้าแต่นาคราชพราหมณ์เขาคลายมนตร์แล้ว ข้าพเจ้าจะรู้ด้วยอาการอย่างไร ฯ
แน่ะพรานไพร ท่านจงสังเกตไว้ กาลเมื่อใดน้ำนั้นหยุดนิ่งเป็นปรกติแล้ว กาลเมื่อนั้นท่านพึงรู้เถิดว่าพราหมณ์เขาคลายมนตร์แล้ว ท่านจงตัดศีรษะพราหมณ์คนนั้นเสียด้วยประการดังนี้ พระยานาคราชบอกอุบายให้แล้วก็ไปยังพิภพของตน
ในลำดับนั้น พราหมณ์ได้นำเครื่องพลีมาแล้ว จึงร่ายมนตร์และพ่นยาลงไปในสระ ขณะนั้นน้ำก็เกิดเป็นควันลุกเป็นเปลวไฟ พรานบุณฑริกซึ่งแอบซุ่มที่พุ่มไม้ ได้เห็นแล้วจึงยิงลูกธนูไปถูกพราหมณ์ ๆ ได้ล้มลง จึงวิ่งตรงเข้าจิกศีรษะพราหมณ์ไว้เงื้อดาบทำท่าจะฟันได้ขู่ว่า ดูกรพราหมณ์คนชั่วถ่อย พระยาชมพูจิตรนาคราชผู้นี้เป็นเทวดาของเรา เจ้ามาประทุษร้ายทำไม จงรีบคลายมนตร์เสียโดยเร็วไว หาไม่เราจักตัดศีรษะด้วยดาบเล่มนี้ ทุฏฐพราหมณ์กลัวความตาย ได้คลายมนตร์ออกทันใด พรานบุณทริกเห็นน้ำใสหยุดนิ่งโดยสภาวะปรกติ แล้วจึงตัดศีรษะด้วยดาบพราหมณ์ขาดใจตาย ชมพูจิตรนาคราชมีกายอันเบา ขึ้นมาหาพรานบุณฑริกพาไปยังนาคพิภพ ได้ทำการเคารพบูชาสักการะครบเจ็ดวัน เมื่อจะพาขึ้นมาส่งนั้นได้ให้แก้วที่มีราคามากแก่พรานบุณฑริก แล้วพามาหยุดที่ขอบสระ สั่งไว้ว่า ถ้ามีเหตุอันใดท่านต้องการพบเรา จงมาหานาคที่เฝ้าประตู ๆ เขาจักพาไปหาเรา เมื่อนาคราชจะส่งพรานบุณฑริกให้ไปนั้น จึงกล่าวคาถาประพันธ์ดังนี้ว่า
อุชุํ คจฺฉ อิโต สมฺม | ยตฺุถ ยตฺถ นิเวสเน |
ตํ มคฺคํ ปฏิปนฺโนสิ | ชีวนฺโต สห าติภิ |
ความว่า แน่ะสหาย ท่านจงเดินตรงไปตามทางนี้ ที่อยู่ของท่านมีในหนทางใด ท่านจงไต่ไปตามวิถีทางนั้น ก็จะได้ประสบพบบุตรภรรยาพร้อมด้วยญาติมิตร จงเลี้ยงชีวิตอยู่เป็นสุขสำราญเถิด
พรานบุณฑริกนั้น ได้กลับจากป่ามาถึงบ้านเรือนของตนโดยสวัสดี
เอกทิวสํ อยู่มากาลวันหนึ่ง นายพรานบุณฑริกนั้นเที่ยวแสวงหาเนื้อในป่า ได้ไปพบอาศรมบทพระกัสสปฤาษี ได้ปลดธนูศรวางไว้เข้าไปกราบไหว้พระดาบส ๆ เมื่อจะถามซึ่งเหตุที่พรานมาหาได้กล่าวพระคาถานี้ว่า
อติทูราคโตสิ ตฺวํ | อสหาโย วเน อิธ |
เอโก อรฺเ วิจโร | เกน อิธมาคโตสิ |
ความว่า ท่านได้มาไกลไม่มีเพื่อน มาแต่ผู้เดียวเที่ยวมาถึงป่านี้ ด้วยกิจธุระประสงค์สิ่งใดหรือ
พรานบุณฑริกจึงแจ้งความว่า ข้าแต่พระฤาษีผู้เจริญ ข้าพเจ้ามิได้ครั้นคร้ามขามขยาด องอาจดุจราชสีห์เที่ยวมาหาเนื้อไนไพรสัณฑ์คนเดียวเท่านี้ นายพรานนมัสการแล้วก็ไปเที่ยวหาเนื้อต่อไป ได้เห็นสวนตำบลหนึ่งเป็นที่รัมณิยสถาน อันตระการด้วยร่มรุกข์ล้วนไม้แคฝอยงามวิจิตร ในท่ามกลางสวนนั้นมีสระสี่เหลี่ยมเปี่ยมด้วยวารีใสสะอาด ดาดาษด้วยเบ็ญจปทุมวรรณ์ ริมรอบขอบสระนั้นดื่นไปด้วยบุปผาชาติมีจำปาและมะลิเป็นต้น พรานบุณฑริกจึงกลับมาหาพระฤาษี เมื่อจะถามถึงสวนศรีได้กล่าวคาถานี้ว่า
ตํ ตํ หิ อุยฺยานวรํ | ตสฺส มชฺเฌ มโนรมฺมํ |
เอกํ ฏลากํ ทิสฺวาน | จมฺปกลงฺกตํ กินฺฺตํ |
ฏลากํ ปุจฺฉามิ สิงฺฆํ | ภณสิ ตฺวํ อิสิ |
ความว่า ข้าแต่พระฤาษี ที่ตรงนั้นเป็นสวนศรี สระโบกขรณีมีอยู่ท่ามกลางสวน เป็นที่ยียวนใจประดับไปด้วยรุกขชาติมีจำปาเป็นต้น ข้าพเจ้าได้เห็นแล้วคิดฉงนว่า จะเป็นมนุษย์หรือเทวดามาสร้างไว้ ข้าพเจ้าขอถามพระผู้เป็นเจ้า ๆ ได้โปรดเล่าให้ข้าพเจ้าฟัง ณ กาลบัดนี้
พระกัสสปฤๅษีจึงบอกว่า ดูกรพราน สวนนั้นใครจะสร้างไว้เราไม่รู้ เห็นมีอย่างนี้ก่อนเรามาอยู่ หมู่กินรีเคยมีมาเล่นน้ำในสระนั้นท่านอยากดูจงไปยืนแอบอยู่ริมสระ ก็จักได้เห็นชมเล่นเป็นขวัญตา นายบุณฑริกพรานไพรดีใจไปแอบซุ่ม ณ พุ่มไม้ริมขอบสระศรี วันนั้นเป็นวันบุรณมีอุโบสถขึ้นสิบห้าค่ำ ฝูงกินรีทั้งหลายเคยมาเล่นน้ำที่สระสวนอุทยาน
คราวนั้น เจ็ดนางกินรีเป็นธิดาของท้าวทุมราชอยู่ที่ภูเขาไกรลาส ได้พาบริวารพันหนึ่งบินมาโดยอากาศ ครั้นถึงสระสวนได้ชวนกันลงเล่นน้ำ บ้างว่ายบ้างดำบ้างรำและขับร้องตามสบาย ครั้นเวลาบ่ายชวนกันผันผายบินกลับไป พรานบุณฑริกก็ได้เห็นแล้วเกิดความพิศวงด้วยตนยังไม่เคยเห็นแต่ก่อนจึงคิดว่า นางกินรีเหล่านี้งามนักหนา ทำไฉนเราจะได้ไปถวายเป็นอัครชายาพระสุธนกุมาร คิดแล้วก็นิวัตนาการกลับมาหาพระดาบส เมื่อจะถามความนั้นกะพระฤาษี ได้กล่าวพระคาถานี้ว่า
ทิสฺวา ตหีึ อิสิวร | กินฺนริโย คณา พหู |
ตุวํ เว พฺรูหิ มหาเสฏ | กถํ ลทฺธามิ กินฺนรี |
ความว่า ข้าแต่พระวรฤาษีผู้มีศีลอันประเสริฐ ข้าพเจ้าได้ไปเห็นฝูงกินรีลงเล่นน้ำในสระนั้นเป็นอันมาก เกิดความอยากได้ ทำไฉนจะได้เล่า ขอพระผู้เป็นเจ้าได้โปรดบอกอุบายให้ข้าพเจ้า ณ บัดนี้
พระกัสสปฤๅษี เมื่อจะแนะนำวิธีจับนางกินรีให้ ได้กล่าวพระคาถานี้ว่า
สุโณหิ ตุวํ เม วจนํ | อุปายํ จินฺติตํ มยา |
นาคปาสํ ลภิตฺวาน | ลภิตา กินฺนรี ตยา |
ตุวํ วินา นาคปาเสน | กินฺนรินฺนาภิปตฺถเย |
ยถา จนฺทํภิปตฺถยา | ตถา ตฺวํ อภิปตฺถเย |
ความว่า ท่านจงฟังคำเราจะบอกให้ อุบายเราได้คิดไว้ ท่านได้นาคบาศมาคล้องจึงจะได้นางกินรี ท่านจะทำพิธีอย่างอื่นนอกจากนาคบาศแล้วอย่าหวังเลยว่าจะได้ อุปมัยเหมือนผู้มุ่งหมายเอาดวงพระจันทร์ ไม่มีวันได้เหนื่อยกายเปล่า
พรานบุณฑริกจึงถามพระดาบสว่า พระเจ้าข้า ทำไฉนเล่าข้าพเจ้าจึงจะรู้ว่านาคบาศมีอยู่ที่ไหน จะได้นาคบาศมาด้วยอาการอย่างไร พระผู้เป็นเจ้าได้บอกให้ข้าพเจ้าทราบ ณ บัดนี้ พระฤาษีจึงบอกให้ว่า นาคบาศนั้นเฉพาะมีที่นาคโลก ท่านอาจไปเอามาได้แล้ว นางกินรีที่ขอบใจก็เป็นอันได้สมประสงค์ พรานไพรได้ฟังดังนั้น มีใจเกษมสานต์ยิ่งนักหนา จึงกราบลาพระฤาษีตรงไปสู่สระใหญ่ ตั้งใจระลึกถึงพระยาชมพูจิตรนาคราช นายประตูรู้วาระน้ำจิตนายพรานไพร ได้นำพรานไปหานาคราช ๆ เมื่อจะถามเหตุที่พรานมาหา ได้กล่าวคาถานี้ว่า
กึ การณํ หิ ลุทฺธก | อาคโต มม สนฺติเก |
เกนตฺเถนสิ ตฺวํ พฺรูหิ | ปูเรสฺสามิ มโนรถํ |
ความว่า แน่ะพราน มีเหตุการณ์อะไรท่านจึงได้มาหาข้าพเจ้า จะธุระประสงค์สิ่งใดหรือจงบอกข้าพเจ้า ๆ จะจัดการให้ตามความประสงค์
พรานบุณฑริกจึงแจ้งว่า ข้าแต่นาคราชผู้เรืองฤทธิ ข้าพเจ้ามาหาปรารถนาจะขอนาคบาศ ฯ ดูกรสหาย ท่านจงขอสิ่งอื่นๆเราจะให้ นาคบาศนี้เป็นของคู่ชีวิต กาลใดพระยาครุฑมาจะจับเรา ในกาลนั้นเราถือนาคบาศไว้ พระยาครุฑไม่กาจเข้าใกล้แล้วหนีไป เหตุนี้เราให้ไม่ได้ ฯ ข้าแต่นาคราช ขอท่านได้กรุณาให้เถิดแล้วจะเอามาส่ง ฯ นาคราชจึงคิดว่า พรานผู้นี้ได้มีคุณกับเรา เขาได้ช่วยชีวิตเราไว้ เราจะมีชีวิตอยู่หรือตายก็ตาม ซึ่งเราจะไม่ให้หาควรไม่ คิดแล้วก็ส่งนาคบาศให้พรานไป พรานดีใจได้สรรเสริญนาคราชา ๆ จึงพาพรานมาส่งยังมนุษย์วิถี ได้กล่าวคาถานี้ว่า
ยงฺกิฺจิ การณํ อตฺถิ | เม สนฺติกํ อิธาคโต |
ตฺวิ มมํ สรสิ สมฺม | ยงฺกิฺจิ ตว การณํ |
ความว่า ดูกรสหาย ท่านมีกิจสิ่งใดจงมาหาเราที่ตรงสระนี้ จงระลึกถึงเรา ๆ จักมาทำกิจของท่านให้สำเร็จไป
พรานบุณฑริกดีใจ รีบคลาไคลมาหาพระฤาษี แล้วไปแอบซุ่มอยู่ที่พุ่มไม้ใกล้สระโบกขรณี คอยดูทางนางกินรีจะบินมา
คราวนั้น ธิดาวิชาธรเจ็ดนางสวมปีกหางแต่งกายาพร้อมด้วยบริวารบินทะยานจากไกรลาสมาทางอากาศถึงสระโบกขรณี จึงเปลื้องเครื่องประดับกับปีกหางลงวางไว้ ได้พากันลงไปเล่นน้ำในสระ ณ ขณะนั้นพรานบุณฑริก ค่อย ๆ ย่องออกไปจากพุ่มไม้ ขว้างนาคบาศไปกลางฝูงกินรี บ่วงนั้นเฉพาะคล้องหัตถ์นางมโนราห์ นางกินรีทั้งหลายได้เห็นพรานป่ามีความกลัวรีบขึ้นมาแต่งตัวบินหนีไปในเวหา ได้ร้องไห้พิไรร่ำรำพันว่า แต่ก่อนไรได้เคยมาเล่นน้ำที่สระสวนนี้ จะได้มีภัยสิ่งไรก็หาไม่ ครั้งนี้มามีภัยขึ้นด้วยเหตุไรเล่า จำพวกเราจักทูลพระราชาว่า พรานป่าจับราชธิดาไว้ดังนี้ พระเทวีผู้มารดาจักทรงโศการ่ำไร คงจักตามมาตายกับพระธิดาที่นี่
เหล่าพวกกินรี ได้บินมาถึงภูเขาไกรลาส พากันสยายผมเปลื้องอาภรณ์หมอบลงแทบบาทวิชาธรทุมราช พากันร้องไห้กราบทูลว่าเกิดความพินาศใหญ่ นางมโนราห์เทวีมีพราหมณ์คนหนึ่งมาจับไว้เหมือนเสือจับเนื้อในป่าก็ปานกัน เทวีผู้มารดาได้ฟังดังนั้น ยกหัตถ์ทั้งสองค่อนพระทรวงพลางทางทรงโศกี ได้ตรัสพระคาถานี้ว่า
หาหา ธิตา มยา มยฺหํ | น ปสฺสามิปิ เต มุขํ |
อนุสฺสรามิ ลุทฺเธน | วิทฺธาหํ วิย สตฺติยา |
มโนหรํ น ปสฺสามิ | มรณํ เม วรํ สิยา |
กึ ชีวิตํ วินา ธิตา | นิยตํ เหสฺสามี ชีวิตํ |
ความว่า โอโอ้มโนห์ราลูกรักของแม่ แม่ไม่ได้เห็นหน้าเจ้า เฝ้าแต่รำลึกถึง ปิ่มประหนึ่งว่าจะขาดใจ อุปมัยดังพรานไพรแทงด้วยหอกฉะนั้น แม่ไม่ได้เห็นมโนราห์ตายเสียดีกว่ามีชีวิตอยู่ ถึงมีชีวิตอยู่ต่อไปแต่ได้พรากจากลูกรักนี้ไม่มีประโยชน์อันโด แม่จักต้องตายเสียเป็นมั่นคง
ณ ครั้งนี้ พระเทวีจึงทูลพระภัสดาว่า ข้าพระบาทจะขอลาไปตามมโนราห์ ฯ แน่ะพระเทวีดีแล้วเธอรีบไปเถิด พระเทวีผู้มารดาพร้อมด้วยบริวารบินทะยานไปยังอากาศ เที่ยวเสาะหานางมโนราห์ในกาลนั้น
(ทีนี้จะกล่าวถึงพรานบุณฑริกต่อไป) พรานบุณฑริกเห็นนาคบาศคล้องหัตถ์มโนราห์ รีบสาวเท้ามาหวังจะจับหัตถ์มโนราห์ ๆ ร้องห้ามว่า ท่านอย่าได้ถูกต้องชีวิตน้องจะตายลง ท่านจงปลดบ่วงออกให้ ตัวข้าจะไปกับท่าน พรานบุณฑริกได้ปลดนาคบาศจากหัตถาแล้วพูดว่า นางเทวีจงเปลื้องเครื่องคลุมคือปีกหางให้ข้าพเจ้า นางมโนราห์ได้เปลื้องปีกหางส่งให้นายพรานถือไว้ นางได้คุกเข่าลงกับพสุธาผันหน้าต่อทิศอุดร นมัสการพระบิดามารดาด้วยถ้อยคำว่า ทีนี้เป็นที่สุดแล้ว ลูกแก้วมิได้กลับมายังสระศรีนี้อีกต่อไป ข้าแต่พระบิดามารดาเจ้าข้า ได้โปรดประทานโทษแก่ลูกด้วย จำเป็นจำใจต้องไปกับพรานป่า ข้าแต่พระบิดามารดาจักทำอย่างไร ลูกได้เคลิ้มหลงไหลได้ตกไปในอำนาจของผู้อื่นแล้วฉะนี้
เมื่อนางมโนราห์เทวี คร่ำครวญไปกับนายพรานถึงช่องภูผา นางหันหลังกลับมานั่งลงเปลื้องสังวาลแก้วมณีออกฝังฝากกับพระยาเขาหิมพานต์ว่า ถ้าพระมารดาเจ้าได้ตามมาถึงนี่ ขอพระยาเขาได้โปรดให้สังวาลมณีนี้แก่พระมารดาไปด้วยและช่วยบอกว่าพรานป่าพาไปทางนี้ นางโศกีร่ำไห้ได้กล่าวคาถานี้ว่า
ปาเท หตฺเถ น ปสฺสามิ | เมปิ สรณํ มาตรํ |
อิมํ ปจฺฉิมํ น ปสฺสามิ | ทุลฺลภํ ภเว ทสฺสนํ |
สภาโว สพฺพโลกานํ | อนิจฺจํ อธุวํ สทา |
สงฺโยคฺจ วิโยคฺจ | สพฺเพว ปริณามิกา |
วโย จ อตฺถิ โลกสฺมึ | นิจฺจํ วิโยคเมว จ |
สพฺเพ ปุตฺตา ปิยายนฺติ | อนฺเต จ ปริณามิกา |
ความว่า หม่อมฉันได้เคยเฝ้าพระแม่เจ้าทุกเช้าเย็น บัดนี้มิได้เห็นพระบาทและหัตถาพระชนนี พระมารดานี้เคยเป็นที่พึ่งของลูกแก้วแต่นี้ต่อไปแล้วนับวันจะไม่ได้เห็นพระมารดา ถึงจะเที่ยวดั้นด้นค้นหาก็ยากที่จะได้เห็น จะตายหรือจะเป็นไม่รู้ที่ อนึ่งคิดขึ้นมาถึงธรรมดาของสรรพโลกย่อมไม่เที่ยงถาวรความพอพร้อมและความพลัดพรากทั้งสองนี้ ย่อมมีทั่วไปในโลก สรรพสัตว์ทั้งหลายที่เกิดมามีความแปรไปเป็นธรรมดา ความเป็นหนุ่มสาวย่อมมีในโลก ความวิโยคก็ย่อมมีอยู่เป็นนิตย์ ธรรมดาลูกมารดาจะผูกความรักสักเท่าใด ในที่สุดมีความแปรผันจืดจางห่างลงทุกวันเป็นธรรมดา
เมื่อนางมโนราห์พิลาปร่ำไรดังนี้ แล้วจรลีไปกับนายพราน ๆ จะได้คิดนึกเพียงจะจับหัตถ์นางมโนราห์ก็ไม่ ด้วยเหตุใดด้วยเหตุตนเป็นคนกาฬกิณณี มิได้สมควรแก่สิริ เพราะฉะนั้นนายพรานจึงไม่อาจจะอภิรมย์ร่วมกับนางมโนราห์นั้นได้ เผอิญให้คิดไปว่าเราจักพานางกินรีผู้นี้ไปถวายให้เป็นบาทบริจาริกาแต่พระสุธนกุมาร ในที่นี้มีคำรับเข้ามาว่าหญิงใดมีบุญสมควรเป็นใหญ่ในโลก หญิงนั้นมีรูปงามสมลักษณะได้เกิดแล้วในสำนักแห่งบุรุษมีรูปอันประณีต เพราะฉะนั้น พรานบุณฑริกจึงได้นางมโนราห์รามา คิดว่าจะถวายพระสุธน พรานบุณฑริกกับนางมโนราห์ได้พากันมาไม่นานนักได้บรรลุถึงพระนครอุตรปัญจาล
ตํ ทิวสํ วันนั้นพระโพธิสัตว์เจ้า ได้ทรงสมุทหัตถีเสด็จไปยังอุทยานพร้อมด้วยบริวาร ทอดพระเนตรเห็นนายพรานกับนางมโนราห์เดินผ่านมา มีจิตคิดรักใคร่ด้วยสามารถ ความเยื่อไยในชาติหนหลัง จึงรีบสั่งให้บุรุษไปหาตัววนจรกับนางมโนราห์เข้ามาเฝ้าถามว่าเจ้าชื่อใด มาแต่ไหนและมาด้วยกิจอันใด นายพรานจึงทูลว่า ข้าพระบาทชื่อบุณฑริกมาแต่ป่าหิมพานต์ ต้องการมาจะถวายราชธิดาวิชาธรแต่พระองค์พระเจ้าข้า
พระโพธิสัตว์ทรงพระโสมนัส ได้ประทานทองคำพันลิ่มกับแหวนเพชร์วงหนึ่งแก่พรานบุณฑริก และทรงเกื้อกูลด้วยสักการอื่นอีกมากมาย แล้วให้พนักงานไปกราบทูลพระราชบิดามารดา พระเจ้าอาทิจวงศ์กับองค์จันทาเทวี ทรงโสมนัสยินดีได้ให้พนักงานเภรีไปตีประกาศราษฎรว่า บรรดาประชาชนชาวนครจงจัดแจงสิ่งของบรรณาการ ออกไปต้อนรับนางมโนราห์ธิดาท้าววิชาธรลูกสะใภ้ของเรา ราษฎรทั้งหลายได้พากันทำตามประกาศพระเจ้าอาทิจวงศ์ราช ให้พนักงานจัดการแต่งนครให้งดงามวิจิตรรุ่งเรื่องราวกะว่าเมืองไตรทศทิพยวิมาน แล้วให้เชิญนางมโนราห์แต่อุทยานเข้าสู่พระราชฐาน ได้ให้จัดพิธีมงคลการสามอย่าง คือ ปราสาทมงคล วิวาหมงคล อภิเษกมงคล เมื่อเสร็จพิธีการมงคลแล้ว พระมหาสัตว์ก็ได้เสด็จร่วมรักกับมโนราห์อัครมเหสีทรงหน่ายคลายนารีอื่นมิได้อาลัยได้เสวยสุขสำราญพระหฤทัย ด้วยประการดังนี้
(ต่อนี้จะกล่าวถึงมารดานางมโนราห์) ใจความว่า นางเทวีมโนหรมาตา เที่ยวเสาะหาราชธิดามาถึงสระโบกขรณี ได้หยุดลงจากอากาศวิถี ได้เห็นกุณฑลแก้วมณีและพวงดอกไม้อันกระจัดพลัดพรายตกอยู่ที่ท่าลงเล่นน้ำ นางยั้งพระองค์ไว้ไม่ได้ก็ล้มลงไป อุปมัยดังยอดปราสาทอันต้องเวรัมพวาตหักขาดลงฉะนั้น นางทรงรำพันถึงพระลูกยาว่า มารดาได้มาเห็นแต่สระศรีมิได้เห็นหน้าเจ้ามโนราห์ มารดาไม่รู้ว่าจะถามใคร ๆ ก็ไม่มีมา มารดาจะได้ถามเขา โอ้ว่ากรรมของเราจึงพลัดพรากไปจากกัน ทำไฉนจะได้เห็นหน้ามโนราห์ นางร่ำไรไปมาดุจดังจะเป็นบ้า
นางประคองสองพาหาสยายเกศ ทรงอาดูรเทวษเดินตามรอยเท้าเข้าไปป่าหิมพานต์ ได้ทัศนาการเห็นห่อเครื่องประดับวางอยู่ที่คบไม้นางได้ล้มลงในที่นั้น ครั้นได้สติขึ้นมานางโศการ่ำพิไรว่าแม่มโนราห์คงจะไปทางนี้แล้ว แม่มิได้เห็นพระลูกแก้วเห็นแต่ห่อเครื่องประดับนี้ นางจึงได้เอาลงมาแนบไว้กับอก เที่ยวงันงกเดินตามไป เมื่อไม่เห็นลูกยานางจึงกลับมายังเขาไกรลาสเข้าไปสู่สำนักทุมราชสามี ที่นั้นท้าวทุมราช ได้ทอดพระเนตรนางนาถเทวีเจ้ากลับมา เมื่อจะไต่ถามนางพระยาได้กล่าวพระคาถานี้ว่า
กี ปน ปติตํ ภทฺเท | อมฺหากํปี ธีตรฺจ |
วิจรนฺตี คเวสาย | อิโต ปพฺพตวนานิ |
ความว่า แน่ะพระนางเทวีผู้เจริญ เธอได้เที่ยวค้นคว้าไปตามภูเขาและเนาไม้ ได้พบพระลูกยาของเราหรือไม่จึงได้กลับมา
นางมโนหรมาตาจึงทูลว่า ข้าแต่เทวบพิตร หม่อมฉันเที่ยวด้นดั้นค้นหาทั่วไปก็มิได้พบมโนราห์เทวี ได้เห็นแต่เครื่องประดับนี้วางอยู่ค่าคบไม้ หม่อมฉันสุดที่จะตามต่อไปจึงได้กลับดังนี้ หกนางกินรีพากันนั่งล้อมชนนีพิลาปร่ำไรโดยประการต่าง ๆ
(ทีนี้จักกล่าวถึงพระโพธิสัตว์ต่อไป) ใจความว่าพระโพธิสัตว์ได้เสวยสมบัติสิ้นกาลหลายเดือนมาแล้ว มีพราหมณ์ผู้ชำนาญเวทศาสตร์คนหนึ่ง ได้สามิภักดิ์เข้ามารับใช้การงานของพระโพธิสัตว์เสมอทุกวัน พระมหาสัตว์เห็นว่าพราหมณ์นั้นขยันดีมีรับสั่งถามว่า เจ้าสู้กรากกรำลำบากอุปฐากเรา เจ้าจะต้องประสงค์สิ่งใดหรือ ฯ ข้าแต่มหาราชข้าพระบาทตั้งใจไว้ว่าเมื่อพระราชบิดาของพระองค์ทิวงคตไปแล้ว ข้าพระบาทจะขอรับบรรดาศักดิ์ตำแหน่งที่ปุโรหิต ในกาลเมื่อพระองค์ดำรงราชย์แล้วนั้น พระมหาสัตว์ได้รับคำพราหมณ์นั้นไว้ ฝ่ายปุโรหิตซึ่งยังคงตำแหน่งอยู่รู้เรื่องนั้นเข้า คิดผูกเวรต่อพระมหาสัตว์เจ้าได้กราบทูลยุยงพระเจ้าอาทิจวงศ์ว่า พระสุธนราชโอรสคิดขบถต่อพระองค์จะปลงพระชนมชีพหมายจะเป็นพระราชา พระราชบิดาได้ทรงฟังก็หาเชื่อปุโรหิตไม่
อยู่มาวันหนึ่ง มีพวกข้าศึกยกมาตีเมืองปลายเขตแดนอุตรปัญจาล พระเจ้าอาทิจวงศ์ทราบแล้ว คิดจะเสด็จออกไปปราบศึกเอง แต่เกรงว่าจักไม่สามารถจะเอาชัยชนะได้จึงปฤกษากับปุโรหิต ว่าจะให้ใครออกไปปราบศึกได้ดี ฯ ข้าแต่เทวบพิตร พระองค์จงส่งพระราชโอรสไปเถิด พระเจ้าข้า ฯ ดูกรมหาพราหมณ์ ลูกของเรา ความคิดยังอ่อนแอแลทั้งไม่ฉลาดในการรบด้วย จะส่งไห้ออกไปเห็นจะไม่ได้ ฯ ข้าแต่มหาราชพระราชโอรสกำลังหนุ่มว่องไว รู้จักการรบดีกว่าผู้ใหญ่เสียอีกพระเจ้าข้า ฯ พระอาทิจวงศ์ราชาเห็นชอบด้วยปุโรหิตแล้ว ได้รับสั่งหาตัวพระสุธนกุมารเข้าตรัสว่า ดูกรพ่อสุธน พ่อจงรับอาสาออกไปปราบข้าศึกยังปัจจันตชนบทสักครั้ง พระมหาสัตว์รับโองการพระบิตุราชแล้ว ถวายบังคมลาออกไปหาพระมารดาทูลความตามที่พระปิตุราชใช้ให้ไปนั้น ครั้นแล้วได้บอกแก่นางมโนราห์เทวี ๆ ทูลวิงวอนจะขอไม่ให้เสด็จไป พระองค์ได้ปลอบนางมโนราห์เทวีให้คลายความวิโยคแล้ว ได้รีบรัดจัดกระบวนพลซึ่งจะยกออกไปไว้พร้อมเสร็จ
ครั้นได้พิชัยฤกษ์แล้ว พระสุธนกุมารจึงเสด็จขึ้นทรงหลังมาตังคกุญชร พวกนิกรสหชาติโยธาทั้งสี่หมู่ก็เดินเป็นคู่กันไป ได้ยกพยุหเคลื่อนออกจากเมือง เดินแน่นเนื่องสับสนกล่นกลาดปถพี กุญชรหัตถีก็เปล่งสำเนียงโกญจนาท พลทหารม้าผู้สามารถและพลเดินเท้าล้วนอาจหาญ แวดล้อมพร้อมด้วยบริวารสะเทื้อนสะท้านแผ่นพสุธาทั้งเทพยดาก็ยังมาช่วยอภิบาล รีบเร่งเดินกระบวนทัพ โดยลำดับจนบรรลุเขตขัณฑ์ปัจจันตชนบท ด้วยเดชานุภาพมหาสัตว์เจ้า เหล่าพวกข้าศึกทั้งหลายก็ไม่อาจรบต่อสู้ได้ พากันยกพวกพลหนีกลับไป
ตํ ทิวสํ ในคืนวันที่พระโพธิสัตว์ยกพลโยธาไปนั้นพระเจ้าอาทิจวงศ์ทรงพระสุบินว่า พระอันตะของพระองค์ไหลออกจากอุระ แล้วไปกระหวัดวงสากลชมพูทวีปสามรอบแล้วได้หดกลับเข้าในพระอุระดังเก่า พระเจ้าอาทิจวงศ์ทรงสะดุ้งตื่นบรรทม ครั้นถึงเวลาเช้า ให้หาตัวปุโรหิตเข้ามาเฝ้าตรัสถามถึงความที่ทรงนิมิต ปุโรหิตมีความดีใจคิดว่าความที่เราตั้งไว้ที่นี้จักสำเร็จแล้ว วันนี้เราจักได้เห็นสุธนผู้เป็นข้าศึกแล้ว คิดดังนี้จึงกราบทูลพระราชาว่า ข้าแต่เทวบพิตร พระสุบินนิมิตนี้ไม่ดี ฯ ดูกรพราหมณ์ ไม่ดีนั้นจักเป็นอย่างไร ฯ ข้าแต่เทวบิพิตรตำราทายว่าพระราชสมบัติกับพระองค์จักเป็นอันตรายถึงความพินาศใหญ่ ฯ ดูกรพราหมณ์ ถ้าเช่นนั้นเราจะแก้ไขอย่างไรได้บ้าง ฯ ควรจะทำการบูชายัญ ฯ พิธีบูชายัญนั้นจักทำอย่างไร ฯ ข้าแต่เทวบพิตรพิธีบูชายัญนั้นต้องฆ่าสัตว์สองเท้าสี่เท้าบูชา ที่ฝันร้ายจึงจะกลายเป็นดีได้ พราหมณ์บปุโรหิตทูลดังนี้แล้ว จึงได้กราบทูลด้วยคาถานี้ว่า
ยทา ทุสุปินํ ทิสฺวา | สพฺพปาณาย ขุหติ |
นาสฺเสติ ทุสุปินํ ทิฏฺํ | อิติ เวโท ปวุจฺจติ |
ตสฺุมาปิ ยฺํ กริตฺวา | มา จ โกจิ อุปทฺทโว |
เทวิยา รชฺขํ อตฺตานํ | กตยฺํ สุขํ ลภสิ ปุเรตรํ |
ความว่า ข้าแต่มหาราช คัมภีร์เวทศาสตร์ทายไว้อย่างนี้ว่า กาลเมื่อใดผู้ที่ฝันเห็นไม่ดี ได้ทำพิธีบูชาด้วยฆ่าสัตว์แล้ว ในกาลนั้นฝันร้ายก็กลับกลายเป็นดีไป เพราะเหตุนั้น พระองค์ได้ทรงทำยัญญวิธีแล้วอุปัททวันตรายก็ไม่มี พระองค์กับพระราชเทวีจักเสวยราชสมบัติ เป็นสุขสำราญยิ่งเช่นดังก่อนมาด้วยประการฉะนี้
ราชา พระเจ้าอาทิจวงศ์ทรงตรัสสั่งอำมาตย์ทั้งหลาย ให้รีบช่วยหาสัตว์สี่เท้าสองเท้าไว้ให้พร้อมเราจักทำบูชายัญ อำมาตย์ทั้งหลายนั้น ได้บังคับพวกพรานให้จัดการหาสัตว์สี่เท้าสองเท้ากับทั้งบุรุษและสตรี นำมารวมไว้ในโรงพิธียัญพร้อมเสร็จแล้ว ได้กราบทูลให้ทรงทราบทุกประการ พระราชาจึงตรัสแก่พราหมณ์ปุโรหิตว่า ดูกรพราหมณ์สิ่งสรรพสัตว์ได้จัดไว้พร้อมแล้วจงรีบทำพิธีเถิด ฯ ข้าแต่เทวบพิตร ยังขาดอยู่สิ่งหนึ่งยังทำพิธีไม่ได้ ฯ ดูกรพราหมณ์ ยังขาดอะไรอีกเล่า ฯ ข้าแต่เทวบพิตร ยังขาดกินนรอีกอย่างหนึ่ง ฯ กินนรนั้นหาได้ยากนัก ฯ หาไม่ยากนักมีอยู่ในนครนี้คือนางมโนราห์ ฯ นางมโนราห์เทวี เป็นคู่ชีวิตของสุธนเขา ไม่ควรเอามาฆ่าบูชายัญ ฯ ข้าแต่เทวบพิตร การจะควรหรือไม่ควรนั้น พระองค์จงทรงวิจารณ์ให้ดีก่อน จงเห็นความทุกข์ร้อนอันเกิดแก่พระองค์และราชเทวีถึงที่สุดราชสมบัติก็จักพินาศไป ฯ ดูกรปุโรหิตเราจักฆ่าอัครมเหสีของสุธนกุมารถูกของเราตามถ้อยคำของปุโรหิตไม่ได้ ฯ ข้าแต่พระมหาราช พระองค์จงทรงฟังข้าพระพุทธเจ้ากราบทูล บุคคลได้สละบุตรภรรยาเป็นที่รักทำการบูชายัญแล้ว บุตรและภรรยาทั้งหลายนั้น ย่อมตามรักษาตนผู้สละนั้นให้ถึงซึ่งความเจริญ บัณฑิตทั้งหลายย่อมสรรเสริญมากนัก
อนึ่ง ไฟอันร้อนได้ตกคิดไหม้อยู่บนพระเศียรของพระองค์เมื่อบุตรมีอยู่ในที่ใกล้พระองค์ควรจะใช้ให้บุตรช่วยดับไฟหรือจะใช้ให้ลูกเขาคนอื่นช่วยดับไฟอันร้อนเล่า เมื่อพระองค์ยังดำรงพระชนม์อยู่ก็ควรจะคิดแก้ไขเปลื้องตนให้พ้นความทุกข์ร้อนจึงจะชอบ เพราะเหตุนี้ พระองค์จึงรีบรักษาพระองค์ไว้ จะต้องประสงค์อะไรกับนางมโนราห์ ถ้าพระองค์ยังดำรงพระชนม์อยู่ต่อไปอาจจะหาหญิงอื่นเสมอด้วยนางมโนราห์หรือดียิ่งกว่าก็คงจะหาได้ บุคคลผู้ใดคิดแก้ไขรักษาตนให้พ้นอันตรายไว้ได้ บัณฑิตทั้งหลายย่อมยกย่องสรรเสริญมากนัก เมื่อพราหมณ์ปุโรหิตกราบทูลอย่างนี้พระเจ้าอาทิจวงศ์ก็ทรงดุษณีภาพนิ่งอยู่ หาได้ตรัสทัดทานประการใดไม่ พราหมณ์ปุโรหิตรู้ว่าพระราชาพอพระหฤทัย จึงใช้ให้บริชนเตรียมการยัญพิธีเพื่อจะให้จับนางมโนราห์เทวีมาฆ่าบูชายัญ
คราวนั้น เสียงเล่าลือระบือแซ่ไปทั่วพระนคร ฝ่ายทาสีคนใช้สนิทของมโนราห์เทวี ๆ มีพระหฤทัยราวว่าจะแตกออกไปได้เจ็ดภาค จึงได้รีบไปเฝ้าพระราชมารดาของพระโพธิสัตว์เจ้า ครั้นถึงจึงซบพระพักตร์ลงแทบพระบาทาพระสัสสุรราช ปริเทวนาการร่ำไห้ได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระราชมารดาพระแม่เจ้าไม่ทรงทราบหรือ บัดนี้พระเจ้าอาทิจวงศ์ทรงเชื่อถ้อยคำพราหมณ์ปุโรหิต คิดจักจับหม่อมฉันไปฆ่าบูชายัญ ขอพระมารดาได้กรุณาด้วยช่วยไปทูลขอผ่อนผันผัดรอแต่พอให้พระสุธนกุมารเธอกลับมา หม่อมจักได้ถวายบังคมบาทราชภัสดา ขอษมาโทษและทูลลาตายไปตามยถากรรม
ฝ่ายนางจันทาเทวี รับคำนางมโนราห์เทวีศรีสะใภ้จึงพร้อมด้วยบริวารเสด็จจะไปเฝ้าพระเจ้าอาทิจวงศ์ ๆ ทรงทราบว่าพระนางจันทาจะมาเฝ้า จึงรับสั่งกับราชบุรุษไว้ห้ามไม่ให้พระนางจันทาเฝ้า พระนางจันทาเทวี เมื่อไม่ได้โอกาสเข้าเฝ้าก็เสด็จกลับ แล้วเสด็จขึ้นยังปราสาทนางมโนราห์ ตรงเข้าสวมกอดศรีสะใภ้ ทรงพิลาปร่ำไรด้วยประการต่าง ๆ
นางมโนราห์เทวีจึงทูลว่า ข้าแต่พระมารดา ถ้าว่าพระมารดาเจ้าไม่ได้โอกาสเฝ้าแล้ว หม่อมฉันผู้ลูกแก้วจักตายเที่ยงแท้ไม่ต้องสงสัย นางเธอก็ร่ำไห้ได้กราบทูลว่า ถึงว่ามีพระราชาอันประเสริฐก็เชื่อว่ามีเสียเปล่า หาเป็นร่มเงาได้พึ่งอาศัยไม่ บัดนี้คนอื่นเขากลับมาจะจับหม่อมฉันนำไปฆ่าบูชายัญเสียวันนี้แล้ว ลูกแก้วได้ปราศจากภัสดาหาที่พึ่งมิได้ พระสุธนผู้ภัสดาก็จักมรณาไปตามหม่อมฉัน ถ้ากระนั้นพระราชมารดา จงได้กรุณาประทานเครื่องประดับที่หม่อมฉันฝากไว้หม่อมฉันจะได้ประดับกาย แล้วจักถวายบังคมลาตายทั้งเครื่องประดับ
พระนางจันทาผู้มารดาสุธนกุมาร จึงได้ประทานเครื่องประดับกับปีกหางให้แก่นางมโนราห์เทวี ๆ จึงประดับกายอินทรีย์สวมปีกหางพร้อมเสร็จแล้ว จึงบังคมชนนีฟ้อนรำไปมา พระนางจันทาเทวีทรงคลึงเคล้าศรีสะใภ้ และรันทดสลดหฤทัยโศกีมีเสาวณีย์ตรัสว่า เจ้าสุธนลูกของเราเขากลับมาเมื่อไม่เห็นแม่มโนราห์ก็จะเที่ยวตามถามหาทั่วมนเทียรสถาน เมื่อไม่พบพานแล้วพระลูกแก้วก็จักตายเป็นมั่นคง
นางมโนราห์เทวีจึงทูลว่า ข้าแต่พระมารดาเจ้า ถ้าว่าพระสุธนกุมารจอมภัสดากลับมาถึงแล้ว ทูลกระหม่อมแก้วจงบอกตามคำหม่อมฉันสั่งไว้ว่า หม่อมฉันผู้ชื่อว่ามโนราห์ ขอถวายบังคมฝ่าพระบาทราชสามี โทษกรณ์สิ่งใดมีขอได้โปรดษมาโทษแก่หม่อมฉันผู้มโนราห์ด้วย กับช่วยบอกว่าหม่อมฉันมโนราห์ ขอถวายบังคมลาตายตามยถากรรม นางมโนราห์เทวีทูลดังนี้แล้ว นางจึงบ่ายหน้าต่อบุรพทิศถวายบังคมพระมารดามหาสัตว์เจ้า ได้กล่าวคาถาว่า
อมฺม เม วจนํ พฺรูหิ | ปาเท เทฺว จิตฺตลกฺขเณ |
วนฺทามิ สิรสาหนฺติ | สามิกฺจ ปุนปฺปุนํ |
อิทํ ปจฺฉิมกํ มยฺหํ | ทสฺสนํ ปุน ทุลฺลภํ |
สงฺโยคฺจ วิโยคฺจ | เอสา โลกสฺส ธมฺมตา |
ความว่า ข้าแต่พระมารดาเจ้า ขอพระมารดาได้โปรดบอกกะพระสามีว่าข้าผู้ชื่อมโนราห์ ขอถวายบังคมฝ่าพระบาทพระราชสามีอันงามไพจิตร และได้กราบไหว้พระราชสามีด้วยเศียรเกล้าทุกเช้าเย็น ความกราบไหว้ของข้าพเจ้าครั้งนี้ นับว่าเป็นครั้งที่สุดที่จะมิได้กราบไหว้อีกต่อไป ความที่เคยอยู่ร่วมกันมาก็ดี ความพลัดพรากจากกันไปก็ดี อันนี้ย่อมเป็นธรรมดาของสัตว์โลก (ที่เกิดมาในสังสารวัฏ)
เมื่อนางมโนราห์เทวีศรีสะใภ้ ได้กล่าวคาถาดังนี้แล้วจึงซบศีรษะหมอบลงแทบบาทมูลพระนางจันทาเทวีได้ขอษมาโทษด้วยถ้อยคำมีประการต่าง ๆ
พระนางจันทาเทวี ก็สวมกอดศรีสะใภ้พลางทางก็ทรงโศกีร่ำไรว่า ชะรอยว่าเราได้พรากลูกเนื้อและลูกนกไปจากอกแม่แต่ปางก่อน ผลกรรมนั้นจึงติดตามทำให้มารดาอนาถาพลัดพรากลูกและผัวรัก แต่นี้ไปเราจักเซซังเที่ยวไปตามภูเขาและเนาไพรในกลางป่า อุปมาเหมือนแม่เนื้ออันปราศจากลูกอ่อน เที่ยวสัญจรไปตามหาลูกฉะนั้น เหตุไรเล่า เทพยเจ้าซึ่งสิงสู่อยู่ตามไพรพฤกษ์และภูเขา ทั้งอากาศเทพยเจ้าทั้งหลาย ช่างมาปล่อยให้พลัดพรากไปจากลูกฉะนี้เล่า พระลูกเจ้าเมื่อมาถึงบุรีนี้มิได้เห็นศรีสะใภ้ ก็จักเปลี่ยวเปล่าพระหฤทัย อุปมัยเหมือนแม่นกจากพรากอันปราศจากลูกเห็นแต่รังเปล่า ก็เศร้าสร้อยละห้อยใจฉะนั้น
เมื่อนางจันทาเทวี ทรงโศกีพิลาสอยู่ด้วยประการดังนี้ราชบุรุษทั้งหลายก็พากันกรูขึ้นบนปราสาท เพื่อจะจับเอาตัวนางมโนราห์ไปฆ่าบูชายัญ นางมโนราห์นั้นก็จับเอาปีกทั้งสองสวมไว้ในหว่างแขนทั้งสองแล้วนางก็ถวายบังคมลานางจันทาเทวีแล้ว บินขึ้นโดยอากาศจะไปยังป่าหิมพานต์ นางบินไปถึงวสนัตถานที่อยู่กัสสปฤาษี นางเทวีจึงลงไปนมัสการพระกัสสปดาบส แจ้งความเรื่องราวนั้นทั้งหมดให้พระดาบสทราบทุกประการ นางจึงสั่งพระดาบสว่าข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าผู้เจริญ ถ้าหากว่าพระสุธนสามีของข้าพเจ้าเที่ยวตามค้นหาได้มาถึงที่นี้ ขอพระผู้เป็นเจ้าจงให้ผ้ากัมพลผืนนี้และธำมรงค์ประดับเพชร์วงนี้ แก่พระสุธนสามีด้วย และจงช่วยห้ามตามคำข้าพเจ้าสั่งไว้ว่าขออย่าให้พระองค์ตามไปเลยดังนี้ เพราะเหตุใด จึงห้ามดังนี้เพราะเหตุว่าทางที่จะไปข้างหน้านั้นลำบากมากไม่ใช่ทางสัญจรของมนุษย์ เป็นทางถิ่นอยู่ของอมนุษย์ทั้งสิ้น เหตุดังนั้น ขอให้พระสุธนกลับแต่ที่นี้ อย่าได้ตามไปอีกเลย นางมโนราห์เทวีจึงประนมพระหัตถ์นมัสการพระบาทราชสามี แล้วกล่าวคาถานี้อีกว่า
ขมามิ อาปุจฺฉามิ เต | ยทิ อตฺถิ โทโส กาเยน |
วาจาย มนสาปิ เม | กมฺมํ กตํ ทุจฺจริตํ |
ปุพฺเพ ตํ สุทธจิตฺเตน | ขมาเปหิ สพฺพํ มม |
ความว่า หม่อมฉันขอขมาโทษและกราบบังคมลา ถ้าโทษผิดอันมีอยู่แก่พระองค์ไซร้ แม้กรรมทุจริตที่หม่อมฉันได้ทำไว้ด้วยกาย วาจา ใจ ในกาลก่อน ขอพระองค์จงประทานอดโทษความผิดนั้นนั้นแก่หม่อมฉันด้วยหฤทัยอันบริสุทธิ์เทอญพระเจ้าข้า
เมื่อนางมโนราห์กล่าวคาถาดังนี้แล้ว จึงผินพักตร์ไปสู่ทิศทักษิณ ประนมหัตถ์นมัสการพระโพธิสัตว์เจ้าได้กล่าวคาถาอีกวาระหนึ่งว่า
นูนาหํ ยาว ชีวามิ | ตยา สทฺธึ วสามิหํ |
อิโต เม ปตุ์ถิตํ นตฺถิ | กึ ปุพฺเพว ตยา กตา |
นูน ปุพฺเพ วิปาเกน | กริตฺวา ปาปมตฺตโน |
เตน เม มตฺถกํ ปตฺตํ | มฺเ ตํตํ น มฺถ |
ความว่า หม่อมฉันตั้งใจจะอยู่กับพระองค์ไป จนตราบเท่าสิ้นชีวิตโดยแท้ แต่นี้ไปไม่สมความประสงค์เสียแล้ว ชะรอยพระองค์ได้ทรงทำกรรมอันเป็นบาปสิ่งใดไว้แต่ปางก่อน ด้วยผลแห่งบาปกรรมนั้นตามมา ทำให้ความปรารถนาหม่อมฉันถึงที่สุดเสียเพียงนี้
นางมโนราห์กล่าวคาถานี้แล้ว จึงบอกกับพระดาบสไว้ว่า
ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าผู้เจริญ ถ้าหากว่าสามีของข้าพเจ้าเขาจักไม่กลับ ถ้าจะตามไปขอให้ไปตามทางทิศอุดร และบอกให้เธอถือเอายาผงอันเสกด้วยมนต์นี้ติดไปด้วย เมื่อเดินไปไกลล่วงเลยทางมนุษย์ไปแล้วจักบรรถุถึงป่าไม้อันมีพิษก่อน ให้เธอจับเอาลูกวานรตัวหนึ่งไป เมื่อจะเสวยผลไม้สิ่งใด ควรปล่อยให้ลูกวานรกินก่อน ลูกวานรกินผลไม้สิ่งใด ขอให้เธอเสวยผลไม้สิ่งนั้นเถิด ถัดแต่นั้นไปจักได้พบป่าเชิงหวายใหญ่ ให้เธอเอาผ้ารัตตกัมพลผืนนี้คลุมกายให้แน่น แล้วจงทำนอนนิ่งเหนือปถพี จะมีนกหัสดีลิงค์เที่ยวมาหาอาหาร ได้พบเข้าสำคัญว่าเนื้อกวางทราย นกนั้นก็จะโฉบฉาบเฉี่ยวพระองค์ไว้ในกรงเล็บพาข้ามพ้นป่าหวายไป (ถึงรังที่ต้นไม้ใหญ่ พระองค์จงตบพระหัตถ์ขึ้น พระยานกตกใจก็จะหนีไป)
ตโต ตฺวํ ถัดนั้นไป พระองค์จะได้พบคชสารทั้งคู่ต่อสู้ซึ่งกันและกันขวางทางอยู่ พระองค์จงเอายาผงทากายาให้ทั่วถึงพระบาท แล้วร่ายมนต์เดินลอดระหว่างขาแห่งช้างไปจะไม่เป็นอันตราย ถัดแต่นั้นไปพระองค์จะได้พบภูเขาสองลูก ราวกะว่ามีจิตวิญญาณ น้อมยอดลงกระทบซึ่งกันและกันในระหว่างทางที่จะเดินไป พระองค์จงร่ายมนต์แต่ยอดตลอดถึงเชิงเขา ภูเขานั้นก็จะแยกออกไปเป็นช่อง พระองค์จงรีบดำเนินไปเสียให้พ้นช่องภูเขา ถัดแต่นั้นไปพระองค์จะได้ไปถึงที่อยู่ของหมู่ผีเสื้อน้ำ พระองค์จงทำมนตุปจารในที่นั้นแล้วดำเนินไป ล่วงระยะทางไกลอีกโยชน์หนึ่งจะบรรลุถึงป่าหญ้าคา ถัดนั้นไปจะถึงภูเขาทองภูเขาเงิน ถัดนั้นไปถึงป่าหญ้าคมบาง ถัดนั้นไปถึงป่าไม้ไผ่ ถัดนั้นไปถึงป่าดงอ้อ ระยะล่วงไปอีกสามโยชน์จะถึงที่รกชัฏอีกโดยลำดับกันคือหมู่ไม้ที่ถี่ทึบ และพุ่มไม้ในป่าล้วนเป็นหนามทึบกับทั้งสระศรีมีน้ำลึก ในแถวเลื่อนเกลื่อนไปด้วยงูหลายพรรณ ใช่แต่เท่านั้นมีสาครค้น ริมรอบขอบนทีนั้นล้วนภูเขาหาที่ราบไม่มี ยากที่จะสัญจรไปโดยสะดวกได้
ตโต ปรํ ถัดแต่นั้นไป จะถึงดงดอนแห่งหนึ่งใหญ่จะได้พบยักษ์ตนหนึ่งสูงเจ็ดชั่วลำตาลยืนตระหง่านอยู่ในท่ามกลางดงดอนนั้น พระองค์จงเอายาผงโรยลงที่ลูกศรยิงให้ถูกอกมหายักษ์ มหายักษ์ก็จะล้มลง พระองค์จงดำเนินไปตามเบื้องศีรษะมหายักษ์ เมื่อล่วงเลยแต่ที่นั้นไปได้ร้อยโยชน์ จะได้บรรลุถึงแม่น้ำอีกแห่งหนึ่งมีงูเหลือมตัวหนึ่งกายใหญ่ยาว เหยียดหางพาดขึงถึงฝั่งชลธารราวกะว่าเป็นสะพานข้ามฟากฉะนั้น เมื่อพระองค์ดำเนินไปพบเข้าจงเอายาผงโรคพื้นบาทาดำเนินไปบนหลังงูนั้น เมื่อถึงที่สุดฝั่งนทีจงรีบโผนโจนหนีไป โดยทางเบื้องบนศีรษะงูโดยเร็วพลัน
ตโต ปรํ เบื้องหน้าแต่นั้นล่วงไปได้ร้อยโยชน์ จะถึงป่าหวายทึบหาช่องทางที่จะเดินไปไม่ได้ และมีฝูงนกทั้งหลายอาศัยอยู่ในป่านั้นมาก ที่ริมป่าหวายนั้นมีต้นไม้ใหญ่ๆ พระยานกอาศัยทำรังอยู่ที่ต้นไม้นั้นมากด้วยกัน พระยานกเหล่านั้นล้วนมีกายใหญ่ยิ่งเท่าเรือน พระราชสามีของหม่อมฉันเมื่อดำเนินไปถึงที่นั้น จงขึ้นไปนอนซ่อนตัวอยู่ที่รังนกก่อน ให้สังเกตดูว่าพระยานกตัวใดจะไปเที่ยวหาอาหารในพระนคร พระองค์จงซ่อนกายเข้าอยู่ในระหว่างขนปีกแห่งพระยานกตัวนั้นยึดไว้ให้มั่น ครั้นพระยานกนั้นลงสู่ที่ จงละขนสกุณีแล้วร้องโห่ขึ้นทันใด พระยานกตกใจนักจักบินหนีไป ที่นั้นพระราชสามีก็จะประสบเขาไกรลาสสมความปรารถนา
นางมโนราห์เทวี ได้สั่งพระดาบสทุกสิ่งสรรพ์ถ้วนถี่หมด นางจึงจดอักษรลงไว้ในใบไม้พร้อมทั้งมนต์คาถา นางได้ฝากผ้ารัตตกัมพลและธำมรงค์กับยาผงแก่พระดาบสไว้ว่า ขอพระมุนีได้โปรดให้แก่ราชสามีเมื่อตามมาถึงที่นี้ด้วยพระเจ้าข้า นางจึงบ่ายหน้าน้อมเศียรลงวันทาพระสามี แล้ววันทาพระฤาษีเสร็จก็โผผินบินขึ้นบนอากาศจนบรรลุถึงเขาไกรลาสอันเป็นพระนครของพระบิดรมารดานางมโนราห์ด้วยประการฉะนี้
ตทา คราวนั้นท่านท้าวทุมราชาผู้เป็นพระบิดาของนางมโนราห์ทรงทราบว่านางมโนราห์ธิดาได้กลับมาถึงจึงทรงพระดำริว่า นางมโนราห์ธิดาของเราเขาได้ไปอยู่ร่วมกับชาติมนุษย์นานถึงปานนี้ ที่นางมโนราห์จะอยู่ร่วมพิภพกับเรา เช่นดังกาลก่อนนั้นหาควรไม่ เราควรจะสร้างปราสาททององค์หนึ่งใหม่ ให้นางมโนราห์ลูกรักของเราอยู่กับหมู่กินรีต่างหากส่วนหนึ่ง (ทรงรำพึงแล้วก็ดำรัสให้ช่างสร้างปราสาทองค์หนึ่งให้นางมโนราห์อยู่ตามทรงดำริไว้)
(จักกล่าวถึงพระโพธิสัตว์เจ้าต่อไป)
ครั้งนั้น พระสุธนบรมโพธิสัตว์เจ้า ได้ยกพลโยธาออกไปปราบพวกจลาจล ณ ปัจจันตชนบท ให้ราบคาบสงบเรียบร้อยแล้ว จึงยกพลโยธากลับคืนเข้าสู่กรุงปัญจาลราฐ เข้าเฝ้าพระเจ้าอาทิจวงศ์ผู้ราชบิดา กราบทูลข้อราชการต่าง ๆ ให้ทรงทราบทุกประการ แล้วเสด็จไปวันทนาการพระราชชนนี ฝ่ายพระนางจันทาราชชนนี เมื่อได้ทอดพระเนตรเห็นพระสุธนกลับมา เสด็จออกไปต้อนรับทรงสวมกอดพระมหาสัตว์เจ้า แล้วทรงพิลาปร่ำไห้โดยประการต่าง ๆ
พระมหาสัตว์จึงทูลถามพระราชมารดาว่า เหตุใดพระแม่เจ้าจึงทรงกรรแสงฉะนี้ฯ ดูกรพ่อสุธนกุมาร นางมโนราห์ภรรยาของเจ้าเขาหนีไปเสียแล้ว พระนางจันทาเทวีมีเสาวนีย์ตรัสเล่าเรื่องความหลังตั้งแต่ต้นให้พระสุธนทราบทุกประการ เมื่อพระสุธนกุมารได้สดับเหตุดังนั้น มีพระหฤทัยเสียวสั่นราวกับว่าจะแตกออกทันที เสด็จไปทอดพระเนตรนิเวสนฐาน อันเงียบสงัดดุจดังป่าช้า พระองค์ไม่สามารถดำรงพระกายาไว้ได้ ถึงสภาวสลบลงโดยทันใด อุปมัยเหมือนมีบุคคลมาตัดพระบาทให้ขาดไปทั้งสองข้างฉะนั้น พระนางจันทาผู้ชนนี จึงเอาอุทกวารีน้ำหอมประพรมให้ทั่วสริรกายาพระมหาสัตว์ ๆ กลับได้สติฟื้นขึ้นมาแล้ว เสด็จไปในห้องบรรทมบรมสิริไสยาสน์ ทอดพระเนตรเห็นพระยี่ภู่ปูลาดและพวงดอกไม้ อันกลาดเกลื่อนและเหี่ยวแห้งไปทั่วหมด ทรงพระกำศรดอาดูรวิลาปโดยประการต่าง ๆ ได้กล่าวคาถานี้ว่า
วีสกณฺเฑน วิทฺโธว | ผลิตหทยํ มม |
กุหึ คตาสิ มโนหรา | น ทิสฺสติ จ เต มุขํ |
อาปุจฺฉามิ จาหํ อมฺม | คจฺฉามิ ตํ คเวสิตุํ |
น ลภึ น คมิสฺสามิ | มริสฺสามิ พฺรหาวเน |
ยทิ ลทฺโธสฺมิ ภริยํ | นิวตฺติสฺสามิ ตวนฺติเก |
สเจ น ลทฺโธ จ ตํ | ตตฺเถว มรณํ ธุวนฺติ |
ความว่า หัวใจของเราจะแตกทำลายไป อุปมัยดุจถูกยิงด้วยลูกศรอันซาบด้วยยาพิษ แม่มโนราห์หายไปไหน ไม่เห็นหน้าแม่มโนราห์ ข้าแต่พระมารดา หม่อมฉันจะขอทูลลาไปเที่ยวตามหานางมโนราห์ ถ้าไม่ได้ก็จักไม่กลับมา จักขอลาตายอยู่ในป่าใหญ่ ถ้าหม่อมฉันได้ภรรยาแล้วจักกลับมายังสำนักพระมารดา ถ้าตามไปไม่ได้นางมโนราห์หม่อมฉันจักตายอยู่ในป่านั้นเที่ยงแท้
ตทา มาตา คราวนั้นพระนางจันทาผู้มารดา ได้ทอดพระเนตรเห็นพระราชโอรส อันโศกกำสรดสะอื้นอาลัย หวังพระทัยจะให้พระเจ้าลูกคลายจากความโศกเศร้า จึงได้ตรัสพระคาถานี้ว่า
ตาต มา ปริเทเวสิ | สนฺติ อฺเ ขตฺติยา |
กฺา อุตฺตมรูปา | เทวจฺฉรปติภาคา |
ตาหิ สทฺธึ อภิรมตุ | รชฺชํ ปาเลตุํ วฏฺฏตีติ |
ความว่า ดูกรพ่อเจ้าอย่าร่ำไห้ถึงมโนราห์เลย ขัตติยกัญญานารีคนอื่นที่มีรูปร่างงามเปรียบดังเทพอัปสรยังมีอยู่ถมไป เจ้าจงอภิรมย์กับขัตติยกัญญาเหล่านั้น ได้ปกครองราชสมบัติสืบต่อไป พ่ออย่าได้ไปติดตามหานางมโนราห์เลย
พระบรมโพธิสัตว์เจ้าจึงทูลพระมารดาว่า ข้าแต่พระมารดาเจ้าถ้าหากว่าหม่อมฉันจักไม่ได้เห็นนางมโนราห์แล้ว หม่อมฉันไม่ขออยู่เป็นคนต่อไป พระนางจันทาเทวี มีเสาวนีย์ตรัสห้ามสักเท่าใด ก็ไม่อาจจะห้ามได้แล้วก็ทรงนิ่งอยู่ พระบรมโพธิสัตว์ถวายบังคมราชมารดาแล้ว เสด็จลงจากปราสาททรงดำเนินออกนอกพระนคร พระนางจันหาเทวีราชมารดาเมื่อได้เห็นพระบรมโพธิสัตว์เสด็จไปดังนั้น พระหฤทัยก็ป่วนปั่นปิ่มประหนึ่งจะแตกทำลายไปทันที พระราชเทวีจึงรีบด่วนเสด็จตามไปถึงจึงวิงวอนให้กลับ แล้วตรัสพระคาถานี้ว่า
เอหิ ปุตฺต นิวตฺตสฺสุ | มา อนาถํ กโรหิ เม |
อหํ ปุตฺตํ น ปสฺสามิ | มฺเ เหสฺสามิ ชีวิตนฺติ |
ความว่า ดูกรพ่อผู้บุตร พ่อจงกลับมาเถิด พ่ออย่าได้ทำให้มารดาหาที่พึ่งบมิได้เลย มารดาไม่ได้เห็นพ่อผู้เป็นบุตร ชีวิตของมารดาก็จักต้องดับสูญเสียในครั้งนี้ พระราชเทวีตรัสดังนี้แล้ว ก็ทรงประทับยืนทอดพระเนตรอยู่ในสถานที่นั้น
พระบรมโพธิสัตว์ เสด็จออกจากนครสัญจรไปยังสำนักนายพรานไพรตรัสถามว่า ที่อยู่ของมโนราห์เขาอยู่ที่ไหน ท่านรู้จักที่อยู่ของเขาหรือไม่ ฯ ข้าแต่สมมติเทวา ข้าพระบาทไม่รู้จัก นางมโนราห์นั้นมีฤทธิ์มากเที่ยวไปยังอากาศ เดี๋ยวนี้นางมโนราห์เห็นจักไปยังโลกที่อยู่ของหมู่วิชาธรเสียแล้ว ถ้าหากว่าพระองค์ต้องพระประสงค์จะเสด็จตามไป เชิญเสด็จไปถามท่านกัสสปฤาษีอาจรู้ตำแหน่งแห่งที่นางมโนราห์ได้ดี
พระบรมโพธิสัตว์ ใคร่จะเสด็จไปยังที่อยู่ของกัสสปฤาษีพร้อมกับพรานไพร ทรงผูกสอดพระแสงดาบและกฤชให้มั่น แล้วทรงธนูศรเสด็จออกจากอุตรปัญจาลนคร ครั้นเสด็จถึงภายนอกพระนครแล้วหวนเสด็จกลับมาทอดพระเนตรพระนครอีก เมื่อจะทำสังคหนกรรมได้ทรงตรัสคาถานี้ว่า
ยทิ ลทฺธา มโนหรา | ปุน ปสฺสามิ สิริภเว |
ยทิ มโนหรา อลทฺธา | นานิวตฺตามิ สกํ ปุรนฺติ |
ความว่า ถ้าหากเราได้นางมโนราห์แล้ว จะมาเห็นพิภพอันกอบด้วยสิริอีก ถ้าหากว่าเราไม่ได้นางมโนราห์แล้วจะไม่กลับมายังเมืองนี้อีกต่อไป
ครั้นตรัสคาถานี้แล้วทรงเปล่งสุรสีหนาทองอาจราวกะว่าราชสีห์บ่ายพระพักตร์มุ่งต่อป่าหิมพานต์ เสด็จไปโดยลำดับจนกระทั่งถึงที่อยู่ท่านกัสสปมุนีแล้ว จึงรับสั่งให้นายพรานกลับเสีย ส่วนพระองค์ก็ทรงเปลื้องเครื่องอาวุธวางไว้ เสด็จเข้าไปยังอาศรมบทแต่พระองค์เดียว จึงถวายนมัสการพระฤาษีแล้วประทับนั่ง ณ ที่สมควร ทรงทำปฏิสันถารอย่างอื่น ๆ ขึ้นก่อน เมื่อจะถามถึงข่าวคราวนางมโนราห์เทวี จึงประนมหัตถ์นมัสการฤาษีอีกครั้งหนึ่งจึงตรัสพระคาถานี้ว่า
ปสฺสสิ ตวํ ปิยํ มยฺหํ | อหํ วนฺทามิ ตํ อิสึ |
มโนราหํ นาม ปิยํ | ปสฺสสิ ตํ อิสิวรนฺติ |
ความว่า ข้าพเจ้าขอกราบไหว้ท่านผู้ฤาษี ท่านได้พบปะนางมโนราห์ ผู้ยอดรักของข้าพเจ้าบ้างหรือไม่ พระเจ้าข้า
พระกัสสปดาบส เมื่อจะทูลความแก่พระโพธิสัตว์เจ้าจึงกล่าวพระคาถานี้ว่า
ปสฺสามิ สุธนราช | ตว ภริยํ มโนหรํ |
เอต มโนหรวากฺยํ | อิโตเยว นิวตฺเตตุ |
ทุคโม ปูรโต มคฺโค | อมนุสฺโสคติจโร |
ตสฺมาเยว นิวตฺเตตุ | เอวํ วากฺยํ มโนหรนฺติ |
ความว่า แน่ะพระสุธนราชกุมาร อาตมาได้พบนางมโนราห์เทวีของพระองค์ ถ้อยคำของมโนราห์เทวีได้สั่งไว้ดังนี้ว่า ขอให้พระองค์เสด็จกลับแต่ที่นี้จงได้ หนทางที่ดำเนินต่อไปข้างหน้าลำบากยากนัก เป็นทางสัญจรของอมนุษย์พวกเดียว เพราะฉะนั้นขอเชิญให้พระองค์เสด็จกลับเสียเถิด มโนราห์เทวีได้สั่งไว้ดังนี้
กัสสปฤาษีทูลชี้แจงด้วยประการดังนี้แล้ว จึงทูลว่า มหาราชบพิตร มโนราห์เทวีได้ฝากสิ่งของไว้ให้ถวายพระองค์สามอย่างนี้ คือ พระธำมรงค์ฝังเพชร ๑ ผ้ารัตตกัมพล ๑ พระธำมรงค์ประดับนิ้วก้อย ๑ พระกัสสปมุนีจึงนำของสามสิ่งนั้นวางลง ณ พระหัตถ์พระบรมโพธิสัตว์เจ้า ๆ ได้ทอดพระเนตรของที่มโนราห์ฝากไว้ถวายนั้น พระองค์ก็ประหารพระอุระด้วยพระหัตถ์ทั้งสอง ทรงกรรแสงร่ำไห้พระหฤทัยสำคัญมโนราห์ประหนึ่งว่าได้มาปรากฏอยู่เฉพาะพระพักตร์
พระกัสสปมุนีจึงทูลถามพระสุธนว่า มหาราชบพิตร์จะเสด็จกลับเพียงนี้หรือจะเสด็จตามต่อไป ฯ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าผู้เจริญ เมื่อเป็นเช่นนี้ตายเสียดีกว่า ที่หันหน้ากลับเป็นอันไม่กลับ พระกัสสปดาบสทราบชัดแล้ว ว่าพระสุธนมีความรักมั่นคงในมโนราห์เทวี จึงทูลเล่าความตามซึ่งนางเทวีสั่งไว้นั้นทุกประการว่า มหาราชบพิตร์ ถ้อยคำของมโนราห์เทวีสั่งไว้ยังมีอยู่ ถ้าหากว่าพระองค์ไม่กลับอยากจะเสด็จตามไป ขอให้พระองค์เสด็จไปทางที่อาตมาชี้ตรงนี้ จงประกอบโอสถทำให้เป็นผงและมนต์สำหรับเสกยาอย่างนี้ ๆ แล้วจงจับเอาลูกวานรน้อย ๆ เป็นมัคคุทเทสไป จงเสด็จไปตามทิศนี้ก่อน ถ้อยคำของมโนราห์เทวีได้บอกไว้กับพระดาบสอย่างไร พระดาบสได้ทูลถวายพระสุธนกุมารนั้น โดยถ้วนถี่ทุกประการมิได้อำพรางเลย
พระบรมโพธิสัตว์เจ้า ได้ทรงฟังคำพระดาบสบอกเล่าดังนั้นจึงผูกพันพระธำมรงค์ไว้กับอุระ แล้วกราบไหว้พระกัสสปมุนี ได้ตรัสพระคาถานี้ว่า
ทิย ลทฺธํ ปิยํ มยฺหํ | นิวตฺเตตฺวา ปุรมตฺตโน |
น ปสฺสามิ ปิยํ มยฺหํ | ตตฺเถว มรณํ สิยา |
ยทิ สจฺจํ อหํ ปุพฺเพ | สพฺพสตุตหิตํ กรํ |
ปรทารํ น คจฺฉามิ | ปูเรสฺสามิ มโนรถนฺติ |
ความว่า ถ้าหากว่าข้าพเจ้าไปได้คู่รักแล้วก็จะกลับมาบ้านเมืองของตน ถ้าข้าพเจ้าไปตามไม่พบคู่รัก ข้าพเจ้าจำต้องตายอยู่ในป่านั้นเอง ถ้าหากว่าข้าพเจ้าได้ทำประโยชน์เกื้อกูลแก่สรรพสัตว์ไว้ และมิได้คบกับภรรยาของผู้อื่นในกาลก่อนจริงแล้วไซร้ ขอให้ข้าพเจ้าตามไปพบมโนราห์สมดุจดังความปรารถนาเทอญ
ครั้นตรัสคาถาอย่างนี้แล้ว จึงจับเอาลูกลิงน้อยตัวหนึ่งเป็นมัคคุทเทส แล้วนมัสการลาพระดาบสทรงดำเนินไปยังประเทศที่นางเทวีบอกให้ไป ทรงกำหนดจำระยะมรรคาบ่ายพระพักตร์ต่อทิศอุดรทรงดำเนินไป พระดาบสก็ได้ตามไปส่งหน่อยหนึ่ง จึงกลับยังที่อยู่ของตน
พระบรมโพธิสัตว์เจ้า ทรงพระอุตสาหะเสด็จไปครั้งนั้น ได้ยินว่านับเวลาที่ล่วงไปได้เจ็ดปีเจ็ดเดือนกับอีกเจ็ดวัน พระองค์ทรงฝ่าอันตรายพ้นไปเป็นตอน ๆ จนลุล่วงเลยป่าดงทีบไป ครั้งนั้นมีพระยายักษ์ตนหนึ่ง รูปร่างน่ากลัวกายสูงเจ็ดชั่วลำต้นตาล นัยน์ตาแดงดังแสงไฟผิวกายเขียวดังอัญชนบรรพต มือซ้ายถือสากเหล็กมือขวาถือขวานเหล็ก ยืนสกัดทางขวางหน้าพระบรมโพธิสัตว์ไว้ พระบรมโพธิสัตว์ได้ทอดพระเนตรมหายักษ์แล้ว จะได้สะดุ้งตกพระทัยกลัวก็หาไม่ มีอาการองอาจราวกับไกรสรราชสีห์ จึงเอายาผงเสกมนต์ทาปลายลูกศรเข้าแล้ว ก็ยิงไปถูกอกมหายักษ์ ๆ ก็ชักดิ้นล้มลง ณ ปถพี พระบรมโพธิสัตว์ก็ดำเนินเหยียบมหายักษ์ไปด้านศีรษะ ทรงดำเนินต่อไปอีกบรรลุถึงแม่น้ำแสบแห่งหนึ่ง พระองค์จึงเอาผงเสกทาบาทาแล้วก็ทรงเหยียบหลังพระยางูเหลือมข้ามแม่น้ำนั้นไปได้ ทรงดำเนินต่อไปได้บรรลุถึงป่าหวายมีหนามคมยิ่งกรด พระองค์ก็ทรงเล็ดลอดเหนี่ยวโหนไปราวกับว่าวานรสัญจรไปขึ้นอยู่บนต้นไม้ต้นหนึ่ง อันตั้งอยู่ ณ ระหว่างป่าหวาย
ในขณะนั้นเป็นเวลาอาทิตย์อัษฎงค์ พระองค์ก็มิได้ทราบ เพื่อจะเสด็จไปเบื้องหน้าพรงพระโศการ่ำไห้ เมื่อจะติเตียนตนของพระองค์ได้ทรงตรัสพระวาจานี้ว่า เราอาศัยอีผู้หญิงจึงมาละทิ้งพระบิดามารดาผู้มีอุปการะมาเสีย ได้มาเสวยทุกข์ลำบากอย่างใหญ่คราวนี้เราจะไปทางไหนได้เล่า พระบรมโพธิสัตว์เจ้าก็เกิดความสังเวชสลดใจอยู่ดังนี้
คราวนั้นฝูงนกทั้งหลายเป็นอันมาก ล้วนมีสกนธ์กายใหญ่เท่าเรือนได้ประชุมนอนอยู่บนต้นไม้นั้นได้ปรึกษาหารือกันว่าวันรุ่งเช้าพวกเราจะพากันหากินที่ถิ่นไหน นกตัวหนึ่งพูดขึ้นว่า ในพระนครของพระเจ้าทุมราชอยู่ที่ภูเขาไกรลาส พระเจ้าทุมราชมีธิดาองค์หนึ่งนามว่ามโนราห์ ๆ มโนราห์นั้นมนุษย์จับเอาไปได้ บัดนี้นางมโนราห์ได้กลับมาถึงแล้ว วันพรุ่งนี้เป็นวันคำรบเจ็ดที่นางมาถึง เขาจะมีการมหรสพกันใหญ่ เขาจะทำมงคลพิธีเพื่อชำระมลทินให้หายกลิ่นสาบมนุษย์ เราทั้งหลายจักพากันไปกินเครื่องพลีกรรมอันใหญ่ในเมืองนั้น พระมหาสัตว์เจ้าได้กำหนดสภาวะ ที่พวกนกทั้งหลายจักไปที่ภูเขาไกรลาสนั้นแล้ว ก็ค่อยๆ เข้าไปในระหว่างขนปีกพระยานกตัวหนึ่ง จึงนอนผูกพันสรีระด้วยเชือกให้มั่นกับขนปีกพระยานก ครั้นถึงเวลาเช้า พระยานกนั้นร้องเรียกเพื่อนกันแล้ว ก็บินข้ามป่าหวายทึบไปถึงที่ใกล้สุวรรณนครก็ร่อนลงจับอยู่ขอบสระใหญ่ พระมหาสัตว์ค่อยเปลื้องตนแล้วซ่อนอยู่ข้างสระนั้น
คราวนั้นหมู่นางธิดาวิชาธรเจ็ดนางได้ปรึกษากันว่า เราทั้งหลายจะไปตักน้ำที่สระโบกขรณีมาสรงให้มโนราห์เทวี ณ วันนี้ ปรึกษาตกลงกันแล้วก็ชวนกันถือเอาหม้อทองคำคนละหม้อ ไปถึงฝั่งสระโบกขรณีแล้วก็หยุดสนทนากันอยู่ก่อน พระมหาสัตว์เจ้านั่งประทับอยู่ข้างริมสระนั้น ได้ฟังเสียงนางกินรีเหล่านั้นพูดกันอยู่จึงทรงดำริว่า ความพยายามของเราจะถึงที่สุดสำเร็จอยู่แล้ว คราวเราจะได้ทราบเรื่องมโนราห์ความที่เราดั้นดงพงเขาแก่งกันดารมานี้ย่อมได้ผลดียิ่งเทียวหนอ แต่จะอุบายอันใดที่จะให้นางมโนราห์รู้ว่าเราตามมาหา เห็นอย่างเดียวที่เราจักทำความอธิษฐานเท่านั้นความปรารถนาของเราจักสำเร็จก็เพราะอธิษฐานจิต
แท้จริง ความอธิษฐานย่อมสำเร็จแด่พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย จำเดิมแต่ได้พยากรณ์มาแต่สำนักพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง เหตุดังนั้นพระสุธนราชปรารถนาจะทำอธิษฐานจิตจึงภาษิตพระวาจานี้ว่า ก็ถ้าหากว่าเราจักได้สมัครสังวาสกับมโนราห์เที่ยงแท้ไซร้ ขออย่าให้หญิงผู้หนึ่งยกหม้อน้าขึ้นได้ ทรงอธิษฐานแล้วก็เสด็จออกจากระหว่างพุ่มไม้ ไปประทับนั่งอยู่ ณ โคนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง
ตาวเทว ณ ขณะนั้นเทียว นางกินรีทั้งหลายชวนกันลงไปตักน้ำในสระแล้วยกหม้อขึ้นมาก็พากันไป แต่นางกินรีผู้หนึ่งไม่อาจยกหม้อน้ำขึ้นได้ เหลียวไปแลมาข้างโน้นข้างนี้ ได้เห็นพระมหาสัตว์นั่งอยู่ ณ ร่มรุกขมูล จึงเข้าไปหาพระมหาสัตว์เจ้าอ้อนวอนว่า ข้าแต่นาย ขอความกรุณานายช่วยยกหม้อน้ำให้ข้าพเจ้าด้วย ฯ ดูกรน้องหญิง ตักเอาน้ำไปทำอะไรกัน นางกินรีนั้นก็บอกความตามนัยที่ได้กล่าวมาแล้วทุกประการ พระมหาสัตว์เสด็จเข้าไปใกล้ยกหม้อน้ำให้นางกินรี พระองค์จึงหยิบธำมรงค์วงหนึ่งใส่ในหม้อน้ำแล้วก็ส่งไป
ฝ่ายว่านางกินรีทั้งหลาย ที่ได้ยกหม้อน้ำไปถึงก่อน ก็ได้ให้มโนราห์สรงเป็นลำดับกันไป ส่วนกินรีผู้ที่มาถึงภายหลังได้ลดน้ำลงที่ศีรษะมโนราห์ ปฺุสมฺปทา ความปรารถนาอันถึงพร้อมด้วยบุญก็สำเร็จแก่พระมหาสัตว์เจ้า เหตุดังนั้นธำมรงค์ประดับเพชร์นั้น ก็เลื่อนไหลจากหม้อทองคำพร้อมกับสายน้ำ เข้าไปสวมใส่ในนิ้วก้อยแห่งมโนราห์เทวี ๆ เห็นดังนั้น ก็มีหฤทัยสะดุ้งว่าสามีมาถึงแล้ว น่าสงสารนักสามีที่รักของเรา อุตส่าห์บากบั่นตามมาจนถึงได้
ครั้นมโนราห์เทวีสรงเสร็จแล้ว จึงเข้าไปในห้องสิริไสยาสน์ให้หาตัวกินรีผู้นั้นเข้ามาถามว่า เหตุใดเจ้าจึงกลับมาช้ากว่าเพื่อนทั้งปวงเล่า นางกินรีผู้นั้นได้ทูลเล่าเรื่องนั้นถวายให้ทราบทุกประการ มโนราห์เทวีรับสั่งว่า ถ้อยคำใดที่เจ้าบอกเล่าแก่เรา ถ้อยคำนั้นคือสามีของเราชื่อสุธนกุมารบอกแก่เจ้า ก็บัดนี้สุธนกุมารอยู่ที่ไหนเล่า ฯ ข้าแต่พระแม่เจ้า พระสุธนเดี๋ยวนี้ยังนั่งอยู่ ณ รุกขมูลริมฝั่งสระโบกขรณี ฯ แน่ะแม่เจ้าอย่าได้พูดบอกเรื่องนี้แก่ใคร ๆ เจ้าจงเอาอาภรณ์อย่างนี้และเครื่องหอมอย่างนี้ กับทิพภูษาอย่างนี้ไปถวายสามีของเรา เจ้าจงทูลเชิญให้สรงน้ำในสระโบกขรณีก่อน แล้วเชิญให้ประดับพระองค์ด้วยเครื่องสำอางและเครื่องทรงที่ส่งไปถวายนี้ นางกินรีนั้นรับเสาวนีย์แล้วเอาเครื่องสำอางกับอาภรณ์ออกไปถวายและทูลให้ทราบตามเสาวนีย์มโนราห์ทุกประการ พระสุธนราชกุมารเสด็จลงสรงแล้วทรงเครื่องสำอางและพระภูษาเสร็จ ก็เสด็จประทับรอท่าอยู่ที่ริมสระโบกขรณีนั้น
นางมโนราห์เทวีทรงรำพึงว่า เราได้ทราบข่าวสามีเรามาถึงแล้วเราควรจักทูลให้พระมารดาทราบเสียด้วย นางจึงไปทูลแก่พระมารดาให้ทราบดังที่คิดไว้ พระมารดาจึงตรัสว่า เธอจงไปทูลสมเด็จพระบิดาให้ทรงทราบเสียด้วย นางมโนราห์เทวีพร้อมด้วยบริจาริกาเสด็จไปยังสำนักราชบิดาถวายบังคมแล้วประทับหลบอยู่ข้างหนึ่ง ด้วยเกรงพระอาญาพระราชบิดา
คราวนั้น ท่านท้าวทุมราชทอดพระเนตรเห็นราชธิดาแล้วตรัสว่า แน่ะแม่มโนราห์ เธอได้ไปอยู่ร่วมกับมนุษย์นานถึงเพียงนี้ มนุษย์เช่นใดเป็นสามีของเธอ ๆ เป็นกษัตริย์หรือพราหมณ์หรือพ่อค้า บิดายังไม่รู้แน่เลย ฯ ข้าแต่สมเด็จพระบิดา สามีของหม่อมฉันใช่บุรุษคนเลว เป็นอุดมบุรุษทรงกำลังเท่ากำลังพระนารายณ์เจ็ดองค์ ได้เป็นองค์เอกอัครราชาในสกลชมพูทวีป มีพระราชาร้อยเอ็ดเป็นบริวาร พระเจ้าข้า ฯ เออแม่มโนราห์ ไฉนเธอมาละทิ้งสามีเขามาเสียที่นี่เล่า มโนราห์เทวีได้กราบทูลเรื่องความหลังตั้งแต่ต้นจนอวสานให้สมเด็จพระเจ้าทุมราชทรงทราบทุกประการ
ท่านท้าวทุมราชตรัสว่า ถ้าสามีของเธอทรงกำลังแลความเพียรมากถึงเพียงนี้แล้วไซร้ ก็เหตุไรเล่าเขาจึงไม่ติดตามเธอมา ถ้าว่าเขาติดตามมาถึงที่นี่แล้วไซร้ เราจะได้รู้จักกำลังความเพียรของเขา เราจึงจะยกเธอให้เป็นเทวีแก่เขาเสีย นางมโนราห์เทวีได้ฟังพระบิดาตรัสดังนั้น มีปีติโสมนัสเกิดขึ้นเป็นกำลังจึงกราบทูลสมเด็จพระบิดาว่า ข้าแต่เทวดา พระองค์ทรงตรัสมาทั้งนี้จะจริงหรือไม่ ฯ เออแม่มโนราห์จริง ๆ สิหนะ ฯ ข้าแต่เทวดา สามีของหม่อมฉันนามว่าสุธนกุมาร ตามมาถึงที่นี่แล้วพระเจ้าข้า ฯ แน่ะแม่มโนราห์ สามีของเธอมาถึงแล้วจริงหรือ ฯ มาถึงแล้วจริงพระเจ้าข้า ฯ เออแน่ะแม่ เดี๋ยวนี้เขาอยู่ที่ไหน ฯ เดี๋ยวนี้ได้มาอยู่นอกพระนคร พระเจ้าข้า ฯ เออแน่ะแม่ เธอจงให้ไปเรียกเขาเข้ามาเถิด นางมโนราห์เทวีจึงใช้นางบริจาริกาออกไปเชิญพระสุธนให้เข้ามาเฝ้า พระสุธนกุมารเมื่อพระราชบิดามโนราห์รับสั่งให้เชิญเข้าไปมีอาการองอาจดังไกรสรสีหราช เสด็จเข้าไปยังพระนครขึ้นบนท้องพระโรงหลวงถวายบังคมพระสัสสุรราช ซึ่งประทับอยู่ ณ รัตนสีหาสน์ แล้วก็หมอบเฝ้า ณ ที่สมควร
ส่วนวิชาธรทั้งหลายได้เห็นพระมหาสัตว์แล้ว ต่างก็แลดูจนนัยน์ตามิได้กระพริบแทบทุกคน ท่านท้าวทุมราชแต่พอได้ทอดพระเนตรพระมหาสัตว์ มีพระหฤทัยโสมนัสยินดียิ่งนักทรงซักถามว่า แน่ะพ่อ พ่อได้ข้ามภูผาป่าดงกันดารมานานเท่าใด จึงได้มาถึงพระนครนี้ ฯ ข้าแต่เทวดา ข้าพระบาทได้พยายามข้ามภูผาและป่ากันดาร มาช้านานนับได้เจ็ดปีเจ็ดเดือนกับเจ็ดวัน เมื่อล่วงพ้นสากลมัคคันดรแล้วนั้น ได้แผลงศรผลาญชีพมหายักษ์ ๑ ตายแล้วก็เดินเลียบเหยียบศีรษะยักษ์นั้นไป ครั้นล่วงเลยที่นั้นมาได้บรรลุถึงแม่น้ำแสบขวางหน้าแห่ง ๑ จึงเอายาผงซึ่งเสกมนต์คาถาทาบาทาแล้วก็ดำเนินมาบนหลังพระยางูเหลือมอันกายยาวใหญ่ ซึ่งนอนขึงศีรษะและหางจดฝั่งทั้งสอง เหมือนทำนองเป็นไม้สะพานข้าม ข้าพระบาทพยายามโดดข้ามมาได้แล้ว ถัดแต่นั้นมาถึงป่าหวายทึบหมดทางจะเดินต่อไป คราวนั้นได้ลัดลิดลำหวายโหนห้อยตัวไปทีละน้อย ๆ จนบรรลุถึงต้นไม้ใหญ่ตั้งอยู่กลางดง เวลานั้นเป็นเวลาค่ำลงจึงอาศัยอยู่บนคบไม้ คืนนั้นหมู่นกมีกายใหญ่มากด้วยกันนอนอยู่ที่นั้น ปรึกษากันว่าวันรุ่งเช้าจะเข้ามาหากินที่นครนี้ ข้าพระบาทได้ซ่อนกายมัดมั่นไว้กับขนปีกพระยานก ๆ ได้พาบินข้ามป่าหวายมาหยุดลงที่ขอบสระโบกขรณี ข้าพระบาทได้หลบหนีซ่อนกายอยู่ที่สระนั้น และต่อมาจึงพบกันกับนางกินรีซึ่งลงไปตักน้ำ ณ สระโบกขรณี มโนราห์เทวีจึงทราบเรื่องที่ข้าพระบาทตามมา ด้วยประการดังนี้
ท่านท้าวทุมราชาทรงฟังดังนั้น จึงตบพระหัตถ์ตรัสว่า โอน่าอัศจรรย์จริงหนอ แล้วตรัสถามพระมหาสัตว์ต่อไปว่า ดูกรพ่อ พ่อชื่อว่าสุธนกุมารหรือ ฯ ข้าพระบาทชื่อสุธนกุมาร พระเจ้าข้า ฯ ดูกรพ่อ พ่อรู้ศิลปธนูหรือไม่ ฯ ข้าแต่เทวดา สิ่งใดสิ่งหนึ่งซึ่งข้าพระบาทจะไม่รู้นั้นเป็นอันไม่มี ฯ ดีแหละพ่อ เราจะขอดูศิลปของพ่อ ฯ ข้าแต่พระมหาราช พระองค์จงให้ราชบุรุษเอาต้นตาลเจ็ดต้นฝังเรียงกันไปไว้ระยะให้ห่างกันวาหนึ่ง จึ่งให้เอากระดานไม้มะเดื่อเจ็ดแผ่น หนาแผ่นละสามศอกกว้างหนึ่งวา วางพิงตามช่องเสาต้นตาลแล้วให้เอาศิลาเจ็ดเสาฝังไว้เบื้องหน้ากระดานไม้มะเดื่อแล้ว ให้เอาแผ่นเหล็กเจ็ดแผ่นทองแดงเจ็ดแผ่น หนาแผ่นละสี่ศอกกว้างยาวหนึ่งวาวางซ้อนกันไว้ในเบื้องหน้าแห่งเสาศิลาแล้ว ให้เอาเกวียนบรรทุกเต็มด้วยทรายเจ็ดเล่มเรียงลำดับกันไปในเบื้องหน้า ข้าพระบาทอาจจะยิงให้ลูกศรตลอดไปได้ ฯ ดูกรพ่อ พ่ออาจจะยิงทะลุไปได้เทียวหรือ ฯ ข้าแต่เทวดา พระองค์ไม่ต้องสงสัยเลย ข้าพระบาทอาจจะยิงถวายได้ พระเจ้าข้า
พระเจ้าทุมราช จึงรับสั่งให้อำมาตย์จัดการตามสุธนกุมารบอกนั้นเสร็จแล้วจึงให้ตีกลองเพื่อให้พวกวิชาธรมาประชุมกัน พระสุธนกุมารนั้นยืนอยู่หน้าพระลาน มิได้ครั่นคร้ามขามขยาดองอาจดุจเทวราชในหมู่อสุรสงครามฉะนั้น ครั้นแล้วก็ทรงยกธนูพาดลูกศรแล้วก็แผลงไป ต้นตาลเจ็ดต้นกระดานไม้มะเดื่อเจ็ดแผ่น เสาศิลาเจ็ดต้นแผ่นเหล็กเจ็ดแผ่น แผ่นทองแดงเจ็ดแผ่นเกวียนบรรทุกทรายเจ็ดเล่มก็แหลกทำลายไป ลูกศรทำลายอาลาตจักรแล้วเลยเข้าไปยังพื้นสาคร และเลยแล่นเข้าไปยังห้องภูเขาจักรวาฬ แล้วหวนกลับเข้ามาประดิษฐานอยู่ ณ พระหัตถ์ขวาพระมหาสัตว์อีก
ครั้งนั้น หมู่วิชาธรมีพระทุมราชาเป็นต้นและเทพยเจ้าบนอากาศพากันสรรเสริญให้ซร้องสาธุการพระมหาสัตว์เจ้า แล้วกล่าวพระคาถานี้ว่า
สาธุ สาธุ มหาวีร | สาธุ สาธุ มหาปฺ |
อจิเรเนว กาเลน | ตุวํ พุทฺโธ ภวิสฺสสีติ |
ความว่า ดีแล้วดีแล้ว พ่อมีเพียรมากมีปัญญายิ่งใหญ่ กาลไม่ช้าเท่าใดนัก พ่อจักได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าเที่ยงแท้
พระเจ้าทุมราชเสด็จลงจากราชบัลลังก์แล้วทรงสวมกอดพระมหาสัตว์ตรัสว่า บัลลังก์ศิลาสำหรับนครนี้มีอยู่หนึ่งอัน แต่ต้องใช้กำลังบุรุษพันหนึ่งจึงจะยกขึ้นได้ พ่ออาจยกขึ้นไหวหรือไม่ ฯ ข้าแต่พระมหาราช ข้าพระบาทอาจจะยกขึ้นไหวก็เพราะบุญญานุภาพของพระองค์ และเทพยเจ้าซึ่งได้มาประชุมกัน ณ ที่นี้ ทูลเท่านั้นแล้วก็ลุกขึ้นดัดกายดุจราชสีห์ แล้วก็เข้าไปใกล้บัลลังก์ปาสาณทำปทักษิณสามรอบลูบปาสาณด้วยพระหัตถ์เบื้องขวา ปรารถนาจะทำอธิษฐานได้เปล่งพระวาจาด้วยอธิษฐานจิตดังนี้ว่า
ถ้าและว่าต่อไปในอนาคตกาล ข้าพเจ้าจะได้ขึ้นนั่งเหนือวชิรอาสน์กำจัดเสียได้ซึ่งมารและพลมารให้พ่ายแพ้ไป ทำความเพียรจนสำเร็จพระสัมโพธิญาณ อันประดับด้วยสัพพัญญุตญาณ ณ โพธิพฤกษมูล และอาจรื้อถอนซึ่งภูเขาใหญ่อันถมทับหฤทัยแห่งสัตว์สากลโลกสันนิวาสได้ไซร้ บัดนี้ขอให้บัลลังก์ศิลาจงเบาให้ข้าพเจ้ายกขึ้นได้เถิด พอขาดคำอธิษฐานลงก็ทรงยกบัลลังก์ศิลาขึ้นไหว อุปมัยเหมือนยกตั่งอันทำด้วยใบไม้ยกชูจงกรมไปมาให้พระราชาทอดพระเนตร ด้วยประการฉะนี้
พระเจ้าทุมราชา ทอดพระเนตรอัศจรรย์ซึ่งมิได้เคยมี เสด็จลงจากสีหาสน์ตรงเข้าสวมกอดพระมหาสัตว์แล้วตรัสขอษมาโทษ ฝ่ายพวกวิชาธรทั้งหลายได้พากันโห่ร้องยกธงขึ้นกวัดแกว่งไปมานับตั้งหมื่นแสน พระเจ้าทุมราชาตรัสถามพระมหาสัตว์ว่า พ่ออาจจำภรรยาของพ่อได้หรือไม่ ฯ ข้าแต่เทวดา ข้าพระบาทอาจจำได้พระเจ้าข้า ฯ พระเจ้าทุมราชาทรงพระหรรษาแล้วเสด็จกลับวัง จึงดำรัสสั่งนางเจ็ดธิดาให้ตกแต่งประดับกายาด้วยสรรพลังการ ทำให้มีรูปพรรณงดงามวิจิตร และทั้งจริตกิริยาก็ให้เหมือน ๆ กันแล้วให้เชิญธิดาทั้งเจ็ดนั้น มานั่งเรียงลำดับสลับปนกันกับมโนราห์ แล้วให้เชิญพระสุธนกุมารเข้ามา ตรัสถามว่า ดูกรพ่อสุธนกุมาร ธิดาของเราเจ็ดนางนั่งอยู่ ณ ที่นี้ ภรรยาของพ่อมีอยู่ในที่นี้ด้วยหรือหาไม่ ถ้ามีพ่อจงจับจูงกรเอาไปเถิด
พระมหาสัตว์เจ้า ทอดพระเนตรสังเกตไปก็จำมโนราห์หาได้ไม่ คิดตรึกตรองหาอุบายจะใคร่รู้จักมโนราห์ จึงคิดเห็นว่าธรรมดาโพธิสัตว์แล้ว ย่อมใช้ความอธิษฐานเป็นที่ตั้ง ก็บัดนี้เราจักทำอธิษฐานบารมีจับเอากรมโนราห์เทวีให้จงได้ เมื่อจะทรงทำอธิษฐานนั้น จึงตรัสประพันธ์คาถานี้ว่า
ยทิ สจฺจํ อหํ ปุพฺเพ | สพฺพสตฺตหิตํ กรํ |
ปรทารํ น คจฺฉามิ | ปูเรสฺสามิ มโนรถํ |
น กิฺจิ มม ทาเรสุ | อาจิกฺขนฺตุ เม เทวตาติ |
ความว่า ถ้าหากว่าข้าพเจ้า ได้ทำประโยชน์เกื้อกูลแก่สรรพสัตว์ไว้ และมิได้คบหากับภรรยาคนอื่น ปรทารกรรมนิดหนึ่งไม่ได้มีแก่ข้าพเจ้าในกาลก่อนจริงแล้วไซร้ ขอให้ข้าพเจ้ารู้จักมโนราห์เทวีสมตามปรารถนา แลขอให้เทพยดาจงเอ็นดูบอกให้ข้าพเจ้ารู้จักเถิด
ครั้งนั้น พิภพของท้าวสักกเทวราช ก็แสดงอาการร้อนให้ปรากฏ ท้าวสหัสสนัยใคร่ครวญดูรู้เหตุนั้นแล้วได้เหาะมาโดยอากาศ เข้าไปใกล้พระมหาบุรุษราชแล้วตรัสว่า แน่ะท่านมหาบุรุษ ข้าพเจ้าจักเนรมิตเป็นแมลงวันทองทำปทักษิณศีรษะหญิงคนใด ท่านจงรู้จักหญิงคนนั้นว่าเป็นภรรยาของท่านเถิด พระมหาสัตว์เจ้าได้กำหนดจดจำถ้อยคำเทวราชบอกดังนั้นแล้ว ก็ตรงเข้าจับเอามโนราห์เทวีซึ่งท้าวโกสีย์จำแลงเป็นแมลงวันไปจับศีรษะนั้นได้ จึงทูลว่าภรรยาของข้าพระบาทคนนี้พระเจ้าข้า
ท้าวทุมราชาทอดพระเนตรเห็นอัศจรรย์ดังนั้น ทรงโสมนัสตรัสสั่งให้ทำอภิเษกมณฑป แล้วให้เอาสุวรรณหิรัญรัตนมากองลง ณ หน้าพระลานหลวง ได้พร้อมกันอภิเษกพระมหาสัตว์กับมโนราห์เทวี ให้ครอบครองราชสมบัติต่อไป พระบรมโพธิสัตว์เจ้าได้สมัครสังวาสกับมโนราห์สมความปรารถนา อยู่มาไม่ช้านัก คืนวันหนึ่งพระมหาสัตว์เมื่อจะทรงบรรทม ได้ระลึกถึงพระชนกชนนีมีพระหฤทัยสังเวชติเตียนพระองค์ว่า โอเรานี้หารู้จักคุณพระชนกชนนีไม่ เราได้เกิดมาเพราะอาศัยบิดามารดาก่อน บิดามารดามีคุณยิ่งหาสิ่งจะเปรียบมิได้ แผ่นดินและแม่น้ำภูเขาจักรวาฬ จะว่าหนาและลึกกว้างสูงก็หาเท่าคุณบิดามารดาไม่ เรานี้ช่างละทิ้งพระชนกชนนีผู้มีคุณมาเสียได้ จำเราจักต้องไปเฝ้าพระบิดามารดา ทรงติเตียนพระองค์แล้วทรงโศการ่ำไห้ ได้ตรัสพระคาถานี้ว่า
กี ภวิสฺสติ เม อมฺมา | กถํ คจฺฉามิ มาตรํ |
มม าตึ น ปสฺสามิ | มฺเ เหสฺสามิ ชีวิตนฺติ |
ความว่า ปานนี้พระชนนีของเราจักเป็นอย่างไรก็มิได้รู้ ทำไฉนจะได้ไปเห็นพระมารดา เราไม่ได้เห็นพระมารดาและหมู่ญาติของเรา ๆ คงจักต้องวอดวายอยู่ที่นี้มั่นคง
เมื่อทรงพิลาปด้วยประการฉะนี้แล้วก็หลับพระเนตรบรรทมซบเซาอยู่บนแท่นที่ไสยาสน์
มโนราห์เทวีตื่นบรรทมแล้ว เห็นพระมหาสัตว์บรรทมซบเซาอยู่จึงทูลถามถึงสองสามครั้งว่าพระองค์ทรงประชวรประการใดหรือ พระมหาสัตว์กลั้นน้ำพระเนตรไว้มิได้ ทรงกรรแสงไห้แล้วตรัสว่า แม่มโนราห์ โอพี่คิดถึงพระมารดา เมื่อเวลาที่จะมาพระมารดาได้ทรงพิลาปอย่างนี้ ฯ ข้าแต่เทวดา พระองค์จะทรงคิดทำอย่างไร ฯ แน่ะเทวีพี่ปราศจากพระมารดาแล้วไม่อาจดำรงชีพต่อไปได้ พี่จะต้องกลับไปยังสำนักพระมารดา ฯ ข้าแต่พระมหาราช หม่อมฉันจักขอตามเสด็จไปด้วย พระองค์จะทรงดำเนินไปอย่างใดหม่อมฉันจะตามไปอย่างนั้น ฯ พระมหาสัตว์ตรัสห้ามสักเท่าใดมโนราห์ก็หาฟังไม่จะขอตามเสด็จไปให้ได้ พระมหาสัตว์ตรัสว่ามโนราห์จะไปด้วยก็ดีเหมือนกัน
ครั้นเวลารุ่งเช้าพระมหาสัตว์เจ้า จึงเสด็จเข้าไปเฝ้าพระสัสสุรราชทูลลาจะไปหาพระมารดา พระเจ้าทุมราชทรงโสมนัสตรัสว่า ดูกรพ่อสุธนกุมาร เราจักไปยังมนุษยโลกกับพ่อด้วย แล้วตรัสสั่งให้พนักงานเตรียมพลนิกายไว้ให้พร้อมเสร็จตามกำหนดวันที่จะเสด็จไป จึงพระเจ้าทุมราชมีหมู่วิชาธรทั้งหลายแวดล้อมเป็นบริวาร ทรงพาพระมหาสัตว์กับมโนราห์เสด็จออกจากพระนครพร้อมด้วยมหันตบริวารยศ หมู่วิชาธรทั้งหลายถวายคำนับพาพวกพลนิกายเหาะไปโดยอากาศวิถีด้วยอานุภาพของตน โดยกาลไม่นานเท่าใดได้บรรลุถึงมนุษยโลก ครั้นถึงจึงหยุดพลนิกายลงให้จัดทำพลับพลา และตั้งกองทัพอยู่ใกล้พระนครอุตรปัญจาลสิ้นราตรีหนึ่งก็สำเร็จ ดูเหมือนสร้างนครใหม่ขึ้นเมืองหนึ่งก็ว่าได้ ในคืนนั้นชาวนครอุตรปัญจาลก็พากันป่วนปั่นตระหนกตกใจเป็นโกลาหลช่วยป้องกันรักษาพระนครไว้โดยกวดขัน
ครั้งนั้นพระเจ้าอาทิจวงศ์ ทรงเผยสีหบัญชรแต่เวลาเช้า ทอดพระเนตรไปแต่ไกล ได้เห็นนครนั้นอันมีกำแพงและหอรบล้วนสะพรั่งไปด้วยไม้สด ก็ทรงโทมนัสพระหฤทัยไม่รู้จะคิดอ่านอย่างใดทรงซบเซาอยู่ในราชฐาน ส่วนพระสุธนกุมารจึงดำริว่า พระราชบิดาของเราจะตกพระหฤทัยกลัว คงนึกว่าข้าศึกได้รู้ว่าสุธนกุมารไม่ได้อยู่แล้ว ก็จักยกทัพมาแย่งเอาราชสมบัติของเรา พระมหาสัตว์เจ้าดำริแล้วจึงเสด็จจากพลับพลา มีหมู่วิชาธรแวดล้อมเป็นยศบริวาร เสด็จเข้ายังนิเวสนถานแจ้งเหตุการณ์ให้พนักงานทราบเรื่องราว แล้วเสด็จเข้าเฝ้าถวายบังคมบาทยุคลสมเด็จพระบิดามารดา ได้กราบทูลความตามระยะที่สัญจรไปตลอดจนได้พามโนราห์กลับมา
พระเจ้าอาทิจวงศ์กับนางจันทาเทวี ได้ทอดพระเนตรปิโยรสกลับมาโดยสวัสดี จึงจุมพิตกระหม่อมพระมหาสัตว์ตรัสว่า จำเดิมตั้งแต่พ่อจากไป มารดาบิดาทั้งสองตั้งแต่ร้องไห้เสวยอัสสุชลนัยน์ต่างกระยา ทรงตรัสพรรณนาต่าง ๆ กับพระมหาสัตว์แล้ว ก็เสด็จจากนครโดยมหันตบริวาร ไปยังราชฐานที่ตั้งกองทัพพระเจ้าทุมราชา ๆ ก็เสด็จออกต้อนรับ ทรงปฏิสัณฐารล้วนพระวาจาอันเป็นที่บันเทิงพระหฤทัย ได้เสด็จอยู่ในที่นั้นสิ้นเจ็ดวัน ครั้นแล้วจึงถวายราชบรรณาการต่าง ๆ มีรัตนเป็นต้น แด่พระชนกชนนีพระมหาสัตว์เจ้า แล้วก็ทูลลากลับไปยังพระนครของพระองค์
ฝ่ายอนงค์นางมโนราห์เทวี ได้อยู่ร่วมกับพระมหาสัตว์ ครั้นพระเจ้าอาทิจวงศ์เสด็จกลับเข้าพระนครแล้ว รับสั่งให้เจ้าพนักงานตกแต่งประดับพระนครล้วนงามอดิเรก จึงได้อภิเษกพระมหาสัตว์ให้ครองราชสมบัติ ณ อุตรปัญจาล ส่วนพระเจ้าอาทิจวงศ์ก็เสด็จออกบรรพชาถือเพศเป็นดาบส โดยกาลไม่นานเท่าใดได้ยังอภิญญาสมาบัติให้เกิดขึ้น ครั้นสิ้นพระชนมายุแล้วก็มีพรหมโลกเป็นที่ไปในเบื้องหน้า พระบรมโพธิสัตว์เจ้าได้เสวยราชสมบัติโดยยุติธรรม ได้บำรุงเลี้ยงพระชนกชนนีและบำเพ็ญบุญมีทานเป็นต้น ครั้นเมื่อสิ้นพระชนม์แล้วได้อุบัติในดุสิตพิมานสวรรค์ ฝ่ายมหาชนทั้งหลายนั้น บรรดาที่ตั้งอยู่ในโอวาทของพระมหาสัตว์เจ้าเมื่อสิ้นอายุแล้วก็ได้ไปเกิดในสวรรค์
สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหรีตฺวา สมเด็จพระบรมศาสดานำธรรมเทศนี้มาแล้ว จึงตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย นักปราชญ์แต่ปางก่อน ได้สละชีพของตนและบิดามารดาเสียได้ ก็เพราะอาศัยมาตุคามเป็นเหตุแรงกล้า แล้วทรงประกาศอริยสัจทั้งสี่ในที่สุดชาดกเทศนา พระภิกษุผู้กระสันนั้นก็ได้ธรรมจักษุลุพระอรหัต แล้วพระองค์จึงประมวลซึ่งชาดกว่า พระเจ้าอาทิจวงศ์ในครั้นนั้นกลับชาติมาคือ พระสุทโธทน นางจันทาเทวีในกาลนั้นครั้นกลับชาติมาคือ มหามายาเทวี ท้าวทุมราชในกาลนั้น ครั้นกลับชาติมาคือ พระสาริบุตรเถร กัสสปฤาษีในกาลนั้น ครั้นกลับชาติมาคือ พระกัสสปเถระ นาคราชในกาลนั้น ครั้นกลับชาติมาคือ พระโมคคัลลานเถระ นายพรานบุณฑริกในกาลนั้นครั้นกลับชาติมาคือ พระอานนทเถระ ท้าวสักกเทวราชในกาลนั้นครั้นกลับชาติมาคือ พระอนุรุทธเถระ ปุโรหิตในกาลนั้น ครั้นกลับชาติมาคือเทวทัต นางมโนราห์ในกาลนั้น ครั้นกลับชาติมาคือมารดาพระราหุล บริษัททั้งหลายในกาลนั้น ครั้นกลับชาติมาคือพุทธบริษัท สุธนกุมารในกาลนั้น ครั้นกลับชาติมาคือ พระตถาคตนี้เทียว
จบสุธนชาดก
----------------------------
เรื่องพระสุธนนางมโนราห์ นอกจากปัญญาสชาดก ยังเป็นเรื่องเล่นละครกันมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา แต่งเป็นฉันท์ก็มีแต่งเป็นหนังสือสวดก็มี