บท ๓๑ แผลหาย

วันรุ่งขึ้นอาการไข้ค่อยกระเตื้อง เวลาเย็นคงที่ แต่มีแรง เวลาค่ำลมใส่ ทำให้ตกใจกันอย่างน่ากลัว ราวกะว่าชีวิตเราทั้งหลายจะปลิดทิ้ง เที่ยงคืนโรคลมระงับ เวลาดึกหลับสบาย.

เวลาดึกเราผัวเมียเปนห่วงใจ พากันมาเยี่ยมไข้อิกครั้ง คนป่วยยังนอนอยู่คงที่ เราเข้าไปในห้องเงียบ ไปนั่งเฝ้าจ้องดูอยู่ใกล้ที่ริมเตียง ดูหล่อนผู้ป่วยหายใจอ่อย ๆ. เปนการดีนี่กระไรที่เรามีโอกาศได้รักษาพยาบาลเต็มมือ หากตกอยู่ที่อื่นที่กันดารก็จะตายอนาถาน่าอนาถ. ยิ่งคิดยิ่งสงสาร แม่ประไพนั้นตลอดเวลาที่โรคลมใส่เอาคนไข้ หล่อนตกใจแถบสิ้นสติ ไม่มีโอกาศร้องไห้เหมือนเวนอื่น บัดนี้การตกใจด้วยโรคลมนั้นสงบแล้ว แม่ประไพมีโอกาศร้องไห้ ก็หลั่งชลไนยพลางกุมเท้าแม่ปรุงไว้ พลางโศกาจาบัลย์แทบจะแดยันดิ้นตาย ข้าพเจ้าจับมือแม่ปรุงได้ก็กลั้นน้ำตามิได้ พลางร้องไห้แดยัน พิศดูหน้าที่ซูบผอมให้รู้สึกท่องคำรำพรรณในใจ “ฉันไม่พยาบาท, ฉันไม่อาฆาฏ, ฉันยกโทษให้......”

ความรู้สึกจากคำรำพรรณ ทำให้ก้มลงจูบหน้าผากหล่อน ข้าพเจ้ารู้สึกเย็นชืดเท่าที่ได้จูบหล่อนวันเมื่อสลบ ก็ยิ่งสำนึกเสียวสยอง.

พอผู้ป่วยได้รู้สึกสัมผัสกาย หล่อนสดุ้งตื่นลืมตา หล่อนจ้องมองดูข้าพเจ้า แล้วแลดูแม่ประไพ, ทำอาการชนิดหนึ่ง ทำให้รู้ได้ว่าหล่อนยิ้มในน่าหัวโขน คงพอใจในการการุญของเรา คงดีใจที่ได้ใกล้เรา.

แม่ประไพใจอ่อนถามเสียงอ่อนว่า “เปนอย่างไรบ้าง แม่ปรุงจ๋า ค่อยสบายหรือจ๊ะ?”

มีเสียงตอบเบา ๆ ว่า “สบายจ้ะ”

ซึ่งทำให้เรามีความยินดีในซึ่งได้รับตอบจากผู้ที่เราเคยหลงเสียง—แลรูปแลกลิ่นแลรส.

เสียงนั้นนิ่งไปไนยตาหลับไปใหม่.

เราเฝ้ามองอยู่นาน .เราผัวเมียต่างรู้ใจกัน, ต่างหวังใจในชีพผู้นี้ยิ่งนัก ถ้าเห็นอาการหนักเรายิ่งกลัวตัว ผัวไม่กล้าบอกเมีย เมียไม่กล้าเอ่ยแก่ผัว เราสองใจใฝ่มุ่งแต่ความหวัง—หวังที่จะให้ผู้ที่มีชีพหรุบรู่นี้จะฟื้นกายขึ้นมา หาไม่—เราใจหาย—ไม่กล้านึกว่าถ้าเกิดเหตุร้าย—

ข้าพเจ้าชวนน้องรักกลับออกจากห้องนั้นเพื่อมิให้ร่ำไรสอื้นอ้อน น้องชะแง้แลเหลียวหลังด้วยความห่วง เดินอ่อนทรวงจูงมือกันมา.

ยามดึกอากาศหนาวสร้านซ่า ข้าพเจ้าไสยาไม่หายอาไลย กว่าจะหลับได้ก็ยิ่งสลดจิต ตื่นขึ้นก็ใจหาย รู้ว่าเรามีห่วงใยอยู่ใหญ่โตเท่าภูเขาหลวง เปนห่วงที่หนักใจเรายิ่งนัก.

“แม่ปรุงเอ๋ย” ข้าพเจ้าพร่ำ “ป่วยทั้งนี้เพราะเปนเวรา เมื่อคุณแม่ของฉันป่วย หล่อนนั้นไม่นำพา หล่อนจึงป่วยหนักหนาเช่นนี้ ทั้งเปนกรรมที่หล่อนทำมา—หล่อนทุศีลกาเม จึงตกยากทรมาทุกข์ตรอมจนป่วยหนักเหลือเกิน.”

แล้วข้าพเจ้าก็พร่ำบ่นบนบวงเทวา ขอให้ช่วยกรุณาแม่ปรุง ขอให้บันดาลให้หล่อนหายป่วยพลัน ขอจงเมตตาแก่แม่ประไพน้องข้า แลตัวข้าพเจ้า อย่าต้องให้ทุกข์ช้ำระกำใจเลย.

พอยิ่งรู้สึกอากาศหนาวคราวดึก ข้าพเจ้ายิ่งสยดสยอง ยิ่งเงียบโสตสดับเสียงเงียบในเวลาดึกสงัดดังป่าชัฏ ข้าพเจ้ายิ่งว้าเหว่ใจอาวรณ์ ก็ยิ่งกอดน้องนอนไว้ให้แน่นไม่ห่างกาย····································

แม่ประไพหมั่นดูแลกิจการพยาบาลไม่ขาดวัน แบ่งปันกะเกณฑ์น่าที่ มิให้สาวใช้เพิกเฉย เปนความที่ข้าพเจ้ายิ่งเห็นอกเห็นใจแม่ประไพ.

แม่ปรุงป่วยหนักหลายวัน เราสามีภรรยาใฝ่ใจครัน จิตใจไม่ใคร่เสบย มีแต่วิตกห่วงใยยิ่งนัก ยิ่งสงสารผู้ป่วยยิ่งหนัก ข้าพเจ้ากลับจากทำงาน ก็มีแต่รีบด่วนมาถามอาการไข้เสียก่อน จึงจะจรไปธุระอื่นได้ ถ้าเห็นอาการไข้ค่อยกระเตื้อง เราสามีภรรยาก็ส่งข่าวดีสู่กัน ถ้าเห็นอาการซุดก็ร่วมใจกันหวาดกลัว ดังนี้ ทุกวันคืน.

วันหนึ่งข้าพเจ้ากลับจากทำงาน ข้าพเจ้ารีบตรงมาบ้าน ครั้นถึงก็รีบมายังห้องคนไข้ ข้าพเจ้ายืนชงักด้วยความปลาดใจ ที่เห็นแม่ประไพนั้นนั่งอยู่ข้างกายแม่ปรุง ๆ นอนตะแคง ต่างพูดจากันจ้อเปนปรกติ.

“นี่ชวนกันพูดจ้อฉอเลาะได้แล้วหรือ ?” ข้าพเจ้าคิด.

ข้าพเจ้าดีใจตรงเข้าไปถามว่า อาการเปนอย่างไรบ้าง ได้รับตอบจากแม่ประไพว่าวันนี้ค่อยสบาย.

“พูดอะไรกันอยู่นะแม่ ?” ข้าพเจ้าถาม.

“สนทนากันด้วยเรื่องอาหารคนป่วยข้ะ, ฉันกำลังถามแม่ปรุงว่าชอบรับประทานอะไรบ้าง” น้องตอบ.

ข้าพเจ้าถามว่าหล่อนชอบรับประทานอะไรเล่า แม่น้องตอบตามซึ่งตกลงจัดอาหารซึ่งไม่ต้องห้ามนั้น ชี้แจงให้ข้าพเจ้าเข้าใจ ข้าพเจ้าดีใจ ก็ถอยออกมาเสียไม่อยากขัดฅอการสนทนาของสถานนั้น.

ต่อมาอิกสองสามวัน ข้าพเจ้ากลับจากงานก็ตรงมายังห้องที่ใฝ่ใจตามเคย ข้าพเจ้าเห็นสิ่งซึ่งทำให้ข้าพเจ้าดีใจ คือเห็นแม่ปรุงนั่งคลุมผ้าขาว มีแม่ประไพนั่งอยู่ข้างเตียงด้วย ข้าพเจ้าพึ่งเห็นหล่อนนั่งได้ในวันนี้, ข้าพเจ้าดีใจ จึงถามว่า “แม่ปรุงจ๊ะ หายป่วยหละหรือ ?”

แม่ปรุงตอบเสียงอ่อนว่า “จงถามแม่ประไพ ๆ เปนคนพยาบาล.”

ข้าพเจ้าเห็นเสียงหล่อนค่อยมีกังวาล, ข้าพเจ้าจึงพูดว่า “ฉันได้บอกกล่าวแล้วทีเดียวว่าแม่ปรุงอย่าเพ่อตาย.”

แม่ประไพเลยหัวเราะ แล้วออกมาบอกข้าพเจ้าว่าหล่อนจะแกงเลียงนั่น, เผาโน้น, จี่นี่—เปนอาหารของแม่ปรุง. ข้าพเจ้ากำลังปลื้มใจก็ฟอดให้อิกปลื้มหนึ่ง.

แม่ประไพรักษาพยาบาลโดยหมั่นมิได้ประมาท, อาหารคนไข้ก็จัดสรรมิได้ขาดทั้งสามเวลา ผลไม้บางอย่างที่แพงที่ไม่แสลงก็กล้าซื้อ. อาหารทวีโอชาขึ้นทุกวัน ๆ แต่มันเปนผู้ที่พยาบาลเองนั้น ทำให้คนไข้ได้แรงไม่น้อย เพราะคนพยาบาลนั้นมีความเพียรแลความอ่อนโยนแลเปนลูกล่อของดวงใจผู้ป่วยให้ติดอกติดใจในการชอบพออัธยาไศรยกัน คนป่วยจึงเกิดมีแรงได้ในทางนี้นอกจากการกินอาหารรื้อไข้ เพราะว่าหากคนพยาบาลมีแต่ทำให้ไม่ถูกอกถูกใจ คนไข้ก็ป่วยหนักเร่งแพ้แรงไปได้.

แม่ปรุงป่วยอยู่นานครัน กว่าจะลุกขึ้นได้ก็นาน ลุกได้แล้วก็ไปไหนไม่ได้อยู่นาน ไปไหนในรถยนต์ได้ก็มีแต่ออดแอดอยู่นาน ถึงกระนั้นก็ดี หากว่าได้ผู้อื่นพยาบาลแล้วจะหายช้ากว่านี้ทุกทอดไป, จะหายป่วยก็จะช้า หายป่วยแล้วกว่าจะมีแรงก็จะช้า แต่นี่เปนโดยแม่ประไพหล่อนเข้าใจประคบประหงม คนไข้ไม่อนาทร หายป่วยก็ไม่อนาทร.

แม่ปรุงเมื่อมายังบ้านเรานั้นอะไร ๆ ไม่มีหมด จนชั้นผ้าก็แทบไม่ติดตัวมา มิมีผ้าติดตัวสักชิ้นเดียว ผ้านุ่งขาวนั้นแม่ประไพให้บ่าวซักฟอกแล้วอบหอม ส่งไปถวายนางชีองค์ใดองค์หนึ่ง ข้าพเจ้ากลัวว่าถ้ามันหอมนัก นางชีจะไม่ใคร่ชอบกระมัง เว้นแต่จะไม่ถือศีล “มาลาคันธะวิเลปนะ ฯ ล ฯ” นั้น

ข้าพเจ้าได้เห็นผ้าสะไบขาวผืนหนึ่งบ่าวถือมา, ข้าพเจ้าจำได้ว่าเปนผ้าสะไบของแม่ปรุง จึงถามคนใช้ว่าจะเอาไปไหน คนใช้ตอบว่า จะเอาไปไว้สำหรับเช็ดอะไร ข้าพเจ้าจึงว่าผ้านุ่งขาวนั้นก็ได้ซักฟอกอบหอมแล้ว ทำไมไม่ทำผ้าห่มอย่างนั้นด้วยเล่า จงไปซักฟอกอบรมผ้าห่มด้วยเถิด แล้วเอากลับมาให้เรา.

เมื่อคนใช้ทำแก่ผ้าสะไบนั้นเสร็จก็เอามาให้ข้าพเจ้า ๆ เห็นผ้าสะไบของผู้อนาถานั้น ก็ให้คิดถึงความเก่าอยู่ร่ำไป ข้าพเจ้าเชยสะไบแลซับน้ำตาด้วยผ้าสะไบนั้นกี่หน ๆ ก็ไม่กล่าวเสียดีกว่า แต่ข้าพเจ้าซึ่งไม่เคยซ่อนเร้นอะไรจากแม่ประไพนั้น บัดนี้กลายเปนอีกาซึ่งได้ซ่อนอาหาร ข้าพเจ้าเอาผ้าสะไบนั้นใส่ลิ้นชักโต๊ะเขียนหนังสือของข้าพเจ้าแลใส่กุญเจไว้ บางทีก็ย้ายที่บ้าง.

เนื่องจากเหตุที่สมเพชในผ้าสะไบนี้ ต่อมาภายหลังข้าพเจ้าอดของซื้อต่าง ๆ จากห้างจากร้านให้แม่ปรุงไม่ได้ แม่ปรุงมีของดี ๆ ใช้ ไม่ขัดสน ทั้งแม่ประไพนั้นชอบแบ่งปันเสื้อผ้า แลเครื่องแป้งเครื่องห้องให้แก่แม่ปรุงเปนอันมาก จนชั้นตู้แลเตียงแลกระจกบานใหญ่ก็จัดมอบให้เปนสิทธิ์ เมื่อแม่ปรุงหายป่วยแล้ว จึงมีห้องอยู่สบายที่ชั้นบน งามหน้าแลอุดมเท่ากับคุณนาย. ในห้องมีเตียงนอนสบาย, มุ้งหมอนที่นอนสอาดสอ้าน ทั้งมีพรมปู โต๊ะเครื่องแป้งอันงาม พร้อมทั้งตู้กระจกแลตู้ทึบ แม่ประไพพอใจจะให้แม่ปรุงมีของใช้งามๆ บางอย่างซึ่งหล่อนไม่อาจหาได้เองก็บอกข้าพเจ้าให้ซื้อหา มีเช่นซึ่งแม่ประไพมีแล้วแต่แม่ปรุงยังไม่มีเปนต้น ทั้งเสื้อผ้าต่าง ๆ แม่ประไพก็ให้ปัน แลเสื้อ “ขนาดน้อยหรือขนาดใหญ่” ก็ดี บางอย่างนั้นเมื่อแม่ประไพจะสร้างใหม่ ก็เลยสร้างสองตัวสำหรับแม่ปรุงด้วยเพื่อใส่เปนเพื่อนกัน.

จนชั้นเอาไว้ผมก็เกณฑ์ให้แม่ปรุงเอาไว้ผมยาวเพื่อเปนเพื่อนกันด้วย เมื่อแม่ปรุงป่วยหนักนั้น เผ้าผมได้หล่นร่วง มีผมบาง ครั้นหายป่วยผมก็ดกดำอย่างเดิม, แต่เดิมทีแม่ปรุงเอาไว้ผมสั้น บัดนี้แม่ประไพบังคับให้แม่ปรุงเอาไว้ผมยาวเปนเพื่อนกับหล่อน ดูก็เข้าทีดีมาก ๆ ผมยาวรับสมหน้าแม่ปรุงน่าเอนดูแท้ ๆ.

เข้าของเครื่องประดับนั้นแม่ประไพให้แม่ปรุงเล็กน้อย, ข้าพเจ้าซื้อให้บ้างแต่ของที่ต้องการ แต่หลวงดำริห์บิดาแม่ปรุงนั้นจัดหาให้มาก เพราะท่านดีใจที่แม่ปรุงเปนเนื้อเปนตัวมีหน้ามีตาสามัคคีกับข้าพเจ้าใหม่ ท่านกลับรักแม่ปรุงมากเท่าเก่า, ไม่ตัดญาติเหมือนอย่างก่อน ท่านจึงยอมจัดผ้าผ่อนแลเครื่องประดับให้ลูกสาวท่านตามต้องการไม่ขัดสน ทั้งเงินสดอิกด้วยซ้ำ เพราะปีหนึ่ง ๆ ท่านได้ค่าผลประโยชน์จากสวนท่านมาก ๆ ถึงว่าจะไม่มากมายเกินขนาด ก็เหมือนว่าได้มากมาย เพราะท่านอยู่สวนใช้โสหุ้ยน้อย แลที่บ้านสวนท่านทำพินัยกรรมยกให้แก่แม่ปรุง แลออกปากว่าพ่อเปรมนั้นเมื่อถึงคราวขึ้นโรงเรียนสูง จะขอให้มาพักอยู่ในบ้านพี่สาวด้วย ถ้าท่านตายก็ให้พี่สาวเปนผู้ปกครองพ่อเปรมต่อไป.

แม่ปรุงจึงงดงามอุดมสมบูรณ์ไม่ขัดแคลนสิ่งไรเลย, หล่อนได้สนิทกับแม่กลึงซึ่งมีเรือนแล้วอย่างเดิม. แม่กลึงเปนมารดา-ดีมาก—สามปีสองคน –เรื่อยไป. เคยมาเยี่ยมเราที่บ้านเรา, ก็ยิ่งสนิทสนมกันทั้งแม่ปรุงแม่ประไพแลตัวข้าพเจ้าด้วย จนชั้นเมื่อแม่ปรุงยังป่วยนั้นแม่กลึงก็ได้เคยมาเยี่ยมเยียน.

แต่นายขบวนนั้นย่อมเปนที่รักใคร่ของเรามาก, เรายังหวังพึ่งความคิดเขาต่อไปนัยว่าถ้าต้องการความคิดแลการช่วยของเขา ครั้งหนึ่งเขามานั่งกินโต๊ะกับเรารวมสี่คน คือแม่ประไพนั่งตรงหน้าแม่ปรุง นายขบวนนั่งรับประทานตรงหน้าข้าพเจ้า, เราเคยคุยกันถึงความเก่าสนุกสำราญ ยิ่งสนิทสนมกันมากขึ้น. ความรู้สึกในนายขบวนแก่แม่ประไพ แก่แม่ปรุงแลข้าพเจ้านั้น มีเต็มอกเต็มใจมาก สำนึกได้ว่าเราสามคนต้องแทนคุณนายขบวนพร้อมกัน.

เมื่อข้าพเจ้ากล่าวว่า “แกเปนเพื่อนดีที่สุด.”

เขาตอบว่า เขาเปนเพื่อนดีก็เพราะชายหนึ่งเปนสุภาพที่สุดแลหญิงสองเปนสวยที่สุด ซึ่งทำให้เราหัวร่อแลติดใจเชาว์เฉลียวของเขา.

ตั้งแต่แม่ปรุงรื้อไข้มา แม่ประไพเร่งพาตากอากาศบ่อย ๆ แลแม่ประไพปรนด้วยอาหารแลลูกไม้ที่ดี ที่กินมีกำลังเสมอไป เร่งนำแรงกำลังมาสู่ผู้รื้อไข้ ไม่ช้าแม่ปรุงก็ค่อยอ้วนพีมีเนื้อ มีความสุขสบายทุกอย่าง หล่อนยิ่งสุขกายก็ยิ่งทวีความงามสง่ายิ่งขึ้นมากนัก, สง่าราษีแต่เดิมมีอย่างไร ก็กลับมาเต็มอย่างเก่า แลยิ่งกว่าเก่าไป เพราะหญิงซึ่งเคยรู้จักทุกข์สุขย่อมมีปรีชาเฉลียวฉลาด แลอ่อนโยนรัดกุมมากกว่าเก่า ทั้งอายุทวีขึ้นเปนสามสิบขวบปีเช่นนี้เปนสมัยอันงามสง่าราษีมาก ไม่เหมือนอย่างสาว ๆ รุ่น ๆ ซึ่งมีลักษณะเพียงการน่ารักน่าชมเพราะรุ่นกำดัดเท่านั้น ทั้งไนยตาข้าพเจ้าผู้มีใจเขยิบเท่าสูงอายุขึ้นนั้น ก็เห็นแม่ปรุงผู้เคยมีสง่าท่าผ่าเผยมาแต่เดิมนั้น บัดนี้เห็นมีสง่าราษีเปนจ่าบ้านจ่าเมืองมากกว่าเก่าโดยหลายประการ ผมพึ่งยาวหล่อนเกล้าขมวดรัดงามนักสมสมัยใหม่ อายุเขยิบเข้าสมัยที่เปนที่รักแลนับถือแลยิ่งกว่านั้น คือมีอายุที่เราทั้งหลายมักไว้เนื้อเชื่อใจในเกียรติยศเกียรติคุณ ในปัญญาในความสัตย์สุจริต จึงเปนคราวซึ่งแม่ปรุงงามสง่ายิ่งนัก ทั้งท่าทางซึ่งเคยยั่วยวนมาเก่าก่อนนั้น ยิ่งยั่วยวนกว่าเก่าเพราะรู้จักชั้นไว้จริตอันเปนที่น่าชม แลรู้ชั้นเชิงไว้จริตอันเปนที่ไว้ใจเชื่อถือในหล่อนอันเกิดจากความเชื่อของอกชาย ทั้งหญิงทั้งหลายก็ต้องยำเยงในท่าทางอันรอบคอบของแม่ปรุง.

ตาดำผมดำคิ้วก่งช่างเปนที่ยวนชวนเสน่ห์ น่าแฉล้มฅอระหง เยื้องกรายงามงอน ไนยตาซึ่งคมตามเคยมาแต่ก่อน บัดนี้ถูก ลับลมคมในมามาก จนไนยตาหล่อนนั้นคมกริบ แลโดยเหตุจำเปนผู้เคยได้รับทุกข์มา ไนยตานอกจากคมชวนชมชิด ยังแสดงแก่อกใจชายให้ปรากฎอิกว่า ข้าเคยทุกข์มานักแล้ว เจ้าเร่งรับความเมตตาความเอนดูเร็วพลันเถิด เปนไนยตาที่ชวนใจชายให้หลงใหลรักแลสมเพชเวทนา ทวีความเสนหอาไลยยิ่งนัก. ปากหล่อนนั้นพริ้มพรายชวนกระหวัดถึงการคลึงเคล้า แลเมื่อหล่อนยิ้มแย้ม—ทั้งแก้ม ทั้งปาก ทั้งตา อันน่ารักก็ช่วยกันปรุงรสการแย้มเยื้อนเหมือนจะเตือนใจชายว่า ข้ายิ้มนี่ด้วยเต็มใจ ข้ายิ้มด้วยโสมนัศอันส่งออกจากทรวงอกซึ่งเคยตรอม.

หล่อนแสดงการสวาท แสดงการรู้อกชายแลรู้อกหญิงไปทุกกิริยาท่าทางของหล่อน หล่อนจึงโสภาน่ารักนัก, เปนเสน่ห์ดูจับอกจับใจให้เรา ๆ ใฝ่ฝัน, หากหล่อนใช้กลแกมในของหล่อนเข้าสักหน่อย ใจเราๆ ก็จะพลอยลุ่มหลงพิศวาศกำเริบราครัญจวนไปก็ได้ ใช่แต่รูปโฉมกิริยาอย่างเดียวที่เหนี่ยวใจชาย ทั้งวาจาถ้อยคำก็อ่อนหวาน แต่สุระเสียงนั้นชวนสวาทยิ่ง เปนน้ำเสียงแกมรสหลายอย่าง ซึ่งทำให้ชายรู้สำนึกลึกซึ้งเข้าไปในอกใจที่อยู่ใต้ทรวงขาวผ่องนั้นทำให้เปนที่เชื่อมั่นว่าใต้ทรวงอกอันขาวผ่องนั้นมีดวงใจอันลึกซึ้งแทบหยั่งไม่ถึง เปนใจเต็มไปด้วยรักใคร่เสนหาอาไลยยั่วยวนสงวนศักดิ์แลเมตตากรุณามุทิตาอุเบกขา.

แม่ปรุงช่างเจริญรูปเร็วครัน—งามวันงามคืน อ้วนวันอ้วนคืนจนหายการแสดงกระดูก หล่อนงดงามสมบุญขึ้นมาก เพราะยิ่งสุขสบาย ราษีดีโลหิตอุดม ผมยิ่งงอกงามเร็ว.

แม่ประไพผู้เคยชวนแม่ปรุงตากอากาศแต่รื้อไข้ ต่อมาก็ติดใจเที่ยวกับแม่ปรุงเสมอ ๆ แลดูสองสาวโสภางามสง่านั่งคู่กันไปในยานยนต์ราวกะพี่น้องสองคน กลั่นมาเอาที่งามยอดยิ่งยลคนละไม้ เวลาเย็นแม่น้องเคยชวนแม่ปรุงไปตากอากาศเสมอ ๆ แต่งตัวรัดกุมน่ารักน่าชม บางคราวก็ใส่เสื้อเหมือน ๆ กันนั่งเปนเพื่อนกัน แลมีผมยาวเกล้าขมวดงดงามเปนเพื่อนกันไปด้วย แล—ควรกล่าวว่า—ประดับวรลักษณ์สวยโสภาในธรรมชาติไป—-ให้เปนเพื่อนกันด้วย.

ความงามภายนอกก็งามครัน แต่ความงามภายในนั้นช่างงามน่าเอนดูนี่กระไร คือหญิงสองคนนี้ช่างรักกันจริงจังนี่กระไร เราไม่เคยเห็นหญิงสองคนได้รักซึ่งกันแลกันเสมอนี้ กินด้วยกัน, เที่ยวด้วยกัน, กอดกัน, ปลอบกัน, จูบกัน, อาบน้ำด้วยกัน, แต่งกายให้กัน, สู่น้ำหอม, เสื้อผ้ากัน, แต่งผมให้กัน, ปรับทุกข์กัน, เปรียบสุขกัน, ฉอเลาะกัน, โชว์ก็โชว์ด้วยกัน, ราวกับอกเดียวใจเดียวกัน ช่างรักกันกลมเกลียวนี่กระไร.

เหตุนี้ก็คือแม่ประไพไม่เคยมีเพื่อนหญิง ไร้เพื่อนหญิงมาตั้งแต่อยู่บ้านบิดา แม่ปรุงไม่เคยมีเพื่อนตัว, ไร้เพื่อนที่เสนหามาแต่บุตรหล่อนตาย ครั้นได้อยู่เปนเพื่อนกายกัน จึงฝากกายกัน ทั้งแม่ประไพเคยตกยากเหมือนแม่ปรุง ต่างคนต่างจึงมีใจอารีรักเห็นอกเห็นใจกัน แลแม่ปรุงจะไม่ลืมบุญคุณของแม่ประไพเลย ที่หล่อนคิดว่าหล่อนรอดตายก็เพราะแม่ประไพ แลแม่ประไพจะไม่ลืมความสงสาร ความเสนหาที่ได้เคยมีเมื่อเห็นแม่ปรุงป่วย ถึงหายแล้วก็ไม่ลืมความรู้สึกอันนั้น แลหล่อนคงนึกว่าหล่อนสุขสบายใจในบัดนี้ ก็เพราะแม่ปรุงไม่ตาย แลเพราะหล่อนทำให้แม่ปรุงชะนะพระยามัจจุราช. ยังมีข้อใหญ่ที่แม่ประไพเอนดูแม่ปรุงนัก, เพราะรักแม่ปรุงแทนบิดา—-ป๋าของหล่อน

แลข้อใหญ่ที่แม่ปรุงเอนดูแม่ประไพนักก็เพราะรักแม่ประไพในนามของผัวแม่ประไพ เพราะว่าพระสุวาทีรักแม่ประไพ แม่ปรุงต้องรักแม่ประไพให้มากด้วย คิดถึงบุญคุณของคุณพระ แลย่อมคิดว่าแม่ประไพได้มีคุณแก่คุณพระโดยป้องกันมิให้ถูกแทงตาย เหมือนอย่างแม่ประไพได้มีคุณแก่แม่ปรุงที่รักษาพยาบาลแม่ปรุงมิให้ตายได้.

ไม่มีหญิงใดเคยรักกันมากกว่า.

ชอบหัวร่อระริกซิกซี้กัน ชอบเห็นหน้ากันชวนชื่น, ชอบแบ่งความสุขให้กัน จะห่างกันก็คิดถึง ต่างหวังกินด้วยกัน, เที่ยวด้วยกัน เล่นด้วยกัน สนทนาปราไสยด้วยกัน ชอบร่วมรัก ร่วมรส ร่วมสามีกัน.

แต่ข้อสุดท้ายนี้ข้าพเจ้าส่ายหน้า จริงอยู่ข้าพเจ้าลอบมอง ลอบสรรเสิญความสวยงามของแม่ปรุง รูปแม่ปรุงตำตาข้าพเจ้า เสียงมีกังวาลสเทือนเข้ารากหัวใจราวกะจะชวนชมด้วยบ่มรัก กลิ่นอายเมื่อกินเข้าด้วยกันที่โต๊ะหรือเมื่อนั่งใกล้กัน หรือเมื่อเดินเฉียดกัน มันหอมเตะจมูกแทบจะชวนให้สูดน้ำลายยิ่งกว่าได้รับกลิ่นหมี่ที่โรงเจ๊ก, แลรสรักรสชมของหล่อนนั้นได้ตีตราประทับทรวงข้าพเจ้าไว้ไม่เหือดหายเสื่อมคลายเลย เปนตราแดง, สียังคงแดงติดอกใจอยู่ไม่ลบเลือน แต่ข้าพเจ้าสั่นศีร์ษะ หากจะกลุ้มฤทธิพิษสวาทในแม่ปรุงมากขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งกอดแม่ประไพน้องรักให้ยิ่งแนบชิดติดเนื้อหนักเข้าเท่านั้น.

ความรักของข้าพเจ้าในแม่ปรุงไหลไปสู่แม่ประไพ แล้วไหลบ่าจากแม่ประไพไปสู่แม่ปรุงอิกที ความรักของแม่ปรุงในข้าพเจ้าไหลจากแม่ปรุงซึ่งเคยกอดประคองจุมพิศแม่ประไพนั้นไหลเข้าสู่แม่ประไพ แลแม่ประไพเอามาเทใส่ให้ข้าพเจ้าอิกที แต่ข้าพเจ้ามีคู่แล้ว แม่ปรุงยังไม่มีคู่ ไม่ช้าแม่ปรุงก็เศร้ากำศรดสลดใจ หล่อนรักหล่อนใคร่ หล่อนสวยวิไลยยิ่งนางกินริน แต่หามี “ใคร” รักหล่อนหรือติดใจในรูปโฉมแลจริตกิริยาของหล่อนไม่.

แม่ประไพก็รู้ที หล่อนคิดว่าถึงจะเสียทองเท่าหัวก็ขออย่าให้แม่ปรุงน้อยใจเลย หล่อนก็ยิ่งเอนดูแม่ปรุงนัก เมื่ออยู่กับข้าพเจ้าสองต่อสอง เคยชักเรื่องที่จะกล่าวถึงการที่แม่ปรุงผู้งามเลิศเฉิดโฉม น่ารักน่าประโลมนั้น บัดนี้ยังอยู่ตัวคนเดียวอยู่ ถ้าข้าพเจ้าไม่เมตตากรุณา·····················

แต่ข้าพเจ้าชักพูดไถลเชือนไปเสีย เมื่อแม่ประไพเริ่มชวนการสื่อสายทีไร ข้าพเจ้าก็พูดเถลไถลแชเชือนชักพูดถึงเรื่องอื่นกลบเกลื่อนเสียทุกครั้ง แม่ประไพก็จนใจ ยิ่งคิดเอนดูแม่ปรุงหนักขึ้นเสมอไป.

ข้าพเจ้าเคยติดไปกับสองสาวสวยยังโรงหนังโรงลครบ้าง หรือบางคราวไปขี่รถยนต์เที่ยวเล่นนั้น ข้าพเจ้าก็ได้รับเกียรติยศไปกับหล่อนทั้งสองด้วย แต่ข้าพเจ้านั่งขับรถยนต์ไปข้างหน้า แม่สองโสภานั่งคู่กันไปใน “ซี๊ด” หลัง เมื่อคราวกินอาหารนั้นแม่ประไพผู้เปนแม่เรือนย่อมนั่งที่หัวโต๊ะเปนธรมดา แลข้าพเจ้านั่งอยู่ซ้ายมือแม่ประไพ แม่ปรุงนั่งอยู่ขวามือแม่ประไพ เพราะข้าพเจ้าต้องให้เกียรติยศแม่ปรุง, ให้หล่อนอยู่ข้างขวา แลเมื่อหล่อนไปไหนไกล ๆ มา เช่นไปเยี่ยมบิดากลับมาเปนต้น แม่ปรุงเคยมาเคารพบอกข่าวข้าพเจ้าว่ากลับมาแล้ว ข้าพเจ้าก็ต้องรับคำนับน้อมไปตามการ ทั้งขาไปบางทีหล่อนก็ทำกระนั้น แต่การดูหล่อนอันแต่งหรูหราจะไปไหนนั้น เปนการที่ข้าพเจ้าอดแลตาค้างไม่ได้ อยากเข้าไปถือมือหล่อนไว้เพื่อกระซิบที่หูด้วยคำหวานให้หล่อนรู้ใจ ด้วยอกใจตึกเต้นเตือนเต็มอัตรา แต่ข้าพเจ้าย่อมมีสุภาพ ไม่เกี้ยวพานหรือถูกต้องกายหล่อนได้ ข้าพเจ้าน่าที่จะถูกเหมาว่า “โง่” ทั้งยิ่งถูกไนยตาหล่อนชำเลืองให้ตามา ข้าพเจ้ายิ่งเสนหาแทบศีร์ษะคมำ ยิ่งทำให้รู้สึกอย่างเยี่ยงจะถูกเหมาเอาเสียใหญ่.

แม่ประไพค้อนข้าพเจ้าว่าไม่ปลอบแม่ปรุง ข้าพเจ้าก็รู้แต่ข้าพเจ้าแก้เก้อโดยไขหูไขตาเสีย.

ค่ำวันหนึ่งเปนวันอาทิตย์ เราดินเนอร์กันสามคนอิ่มหนำสำราญดี ในระหว่างรับประทานอาหารนั้น ข้าพเจ้าสังเกตเห็นว่าเมื่อแม่ปรุงแลเจอตาแม่ประไพ แม่ประไพยิ้ม แลเมื่อแม่ประไพเจอตาแม่ปรุง ๆ ก็ยิ้ม. แล้วสองฝ่ายประสบตากันเข้าคราวไรเปนอดยิ้มไม่ได้แทบจะหัวเราะออกมาเสียด้วยซ้ำ ข้าพเจ้าไม่รู้เรื่องราวว่าหล่อนทั้งสองมีโจ๊กอะไรกัน, ก็พลอยยิ้มพยักเพยิดไปด้วย.

ครั้นกินอาหารแล้วต่างมานั่งสูบบุหรี่กันที่ข้างนอกเย็นสำราญใจดี แม่ประไพนั่งเก้าอี้ใกล้กายแม่ปรุง สองนางจับมือหยอกเอินกัน แลหัวร่อต่อกระซิกกันอยู่ซิกซี้, บางทีกระซิบที่หูกันแล้วก็ชอบใจหัวร่อกันใหญ่ คราวหนึ่งแม่ประไพกระซิบที่หูแม่ปรุง แล้วก็เลยจูบหน้าผากแม่ปรุง คล้ายว่าจะเศกหรือเป่าขม่อมให้กันหรืออย่างไร แล้วก็หัวร่อรื่นกันต่อไป.

แล้วแม่ประไพพูดว่า “คุณพี่คะ, ค่ำวันนี้วันอาทิตย์เราไปดูหนังพยนต์กันเถอะ”

ข้าพเจ้าว่า “จะไปก็ตามใจ”

แม่ประไพถามว่า “ไปไหมแม่ปรุง?”

แม่ปรุงตอบว่า “ฉันอยากไปนัก”

สองนางจึงมาอาบน้ำแล้วขึ้นมาแต่งตัว แลออกคำสั่งให้ข้าพเจ้าแต่งตัว.

ข้าพเจ้ามาแต่งตัวในห้อง นั่งถอดเสื้อดูหนังสือแลดูหมายเหตุที่มีรูปภาพ แลดูรูปภาพอื่น ๆ อยู่ ทั้งหยิบเอารูป “โฟโตกร๊าฟ” ของแม่ปรุงซึ่งได้เคยฉายไว้แต่คราวก่อนมาดู ดูเพลินงดงามน่ารักยิ่งทำให้ระลึกถึงความรักเก่าแก่ก็เสียวสวาท ไม่กล้าดูต่อไปอิกได้ จึงใส่ลิ้นชักไว้เสียอย่างเดิม แล้วดูอื่นอ่านอื่นต่อไป หวังใจว่าเมื่อแม่ประไพมาเรียกจะได้ใส่เสื้อไปกันทันที.

ข้าพเจ้าคอย ๆ อยู่นานนัก เห็นผิดสังเกตจึงใส่เสื้อเดินออกมา พบแม่ประไพ ข้าพเจ้าร้องขึ้นด้วยตกใจว่า “ตายจริง, แม่ประไพ, ยังไม่ได้แต่งตัวอิกหรือ, จะให้ฉันต้องคอยอิกครึ่งชั่วโมงหรือ?”

หล่อนตอบว่า “ค่ำวันนี้ฉันไม่ใคร่สบาย นึกว่าจะไม่ไปละ แต่ได้นัดแม่ปรุงไว้แล้ว หล่อนแต่งตัวแล้ว ไปถามหล่อนดูซิคะ”

แม่ประไพเดินตามหลังข้าพเจ้ามา แลผลักข้าพเจ้าเข้าไปในห้องแม่ปรุง ซึ่งได้แต่งตัวอยู่ แลบัดนี้พึ่งแต่งเสร็จ.

ข้าพเจ้าจะไม่ลืมเลยในภาพที่ข้าพเจ้าเห็นอยู่ต่อหน้าข้าพเจ้าในที่นั้น.

ต่อหน้าข้าพเจ้ามีหญิงสาวสรวยโสภาหน้าจิ้มลิ้มกะลิ้มกะเหลี่ยในเชิงชม การกะลิ้มกะเหลี่ยที่รู้สึก “กำหนัดใน” ของเจ้าหล่อน ทำให้ท่วงทีกิริยาชวนสวาทยิ่งนัก หล่อนยืนอยู่น่าเตียง, มือจับยึดฟูกที่อยู่ข้างหลัง ยืนเพราพริ้งสอิ้งกาย, สยายผมยาวผูกโบแดงสองสามแห่ง ผัดหน้าพอบาง ๆ ทับผิวอันขาวผ่องอมโลหิตอุดมฉวี กายระทวยเอวกลม แขนหนึ่งทิ้งไว้เรียวงามอย่างงวงช้าง ลำแขนระทวยฉลวยขาว ทิ้งอยู่ราวกะจะจวัดกอดฅอชายไว้มิให้เหินห่างความสวาท นุ่งผ้าสีสวยทำขวยเขิน คาดเข็มขัดกระทัดรัดเยี่ยงรุ่นสาว แลใส่เสื้อสีอ่อนงามเก๋อย่างหรูหรา ฅอกว้างเห็นทรวงอกเปนซอกที่หว่างฐานนม มีโบว์จีบเหน็บเสื้อ เสื้อแขนสั้นเห็นลำแขนได้ดี ๆ คล้ายเสื้อกินโต๊ะของนางฝรั่ง ท่าทางยวนยี, ผู้แต่งหมายใจจะยั่วตัณหามากกว่าจะแต่งไป “โชว์” เพชรที่ฅอที่ตุ้มหู ยิ่งเชิดชูชวนเสนหา ปากแก้มแย้มยิ้มละไมน่ารัก, คิ้วก่งงามรับตาดำซึ่งชายชำเลืองมาเปนสายตาอย่างคมกริบ ทีจะแทงใจชายให้หลงใหลเล่ห์ประเวณี ช่างน่าสงวนชวนชื่นชิดนี่กระไร ช่างงามดังสาวสวย เยี่ยงสาวทั้งแท่ง, อันตีราคาหาค่ามิได้ ยิ่งกว่าสาวน้อยเก้าร้อยชั่งไปเสียอิก อกใจข้าพเจ้าประหม่าในสง่าราษีของความงามประโลมของหล่อน ข้าพเจ้าปั่นป่วนด้วยราครำจวนแทบหน้ามืด ดูโฉมวิไลยแลห้องวิไลยให้ลานตา พามาซึ่งความปลื้มดื่มดูดไม่รู้จักสุดสิ้น.

“แม่คุณ—แม่ปรุง!” ข้าพเจ้าร้อง.

ข้าพเจ้าถอยหลังมาผลักประตู รู้ว่าแม่ประไพใส่กลอนภายนอกเสียแล้ว ครั้งหนึ่งข้าพเจ้าถูกขังให้ร่วมรสกับแม่ประไพเมื่อคราวข้าพเจ้าอยู่กับแม่ปรุง ครั้งนี้ข้าพเจ้าถูกขังให้ร่วมรสกับแม่ปรุง ในเวลาที่ข้าพเจ้าได้มาอยู่กินกับแม่ประไพ โดยแม่ประไพปิดห้องเสีย เหมือนว่าถ้าไม่สำเร็จไม่ยอมให้ออกมานอกห้องได้ ถึงอดเข้าตายก็ไม่ยอมให้ออก. ข้าพเจ้ารู้ได้ทันทีว่าถูกแม่ประไพต้ม—ต้มไข่ หรือว่าถูกบวช—แกงบวด.

“แม่ปรุง—แม่คุณ.”

ข้าพเจ้าประหม่าด้วยความกำหนัดเกินไป หลงใหลในความรักความพิศวาศ แลยิ่งย่นย่อต่อความงามประโลมของหล่อนซึ่งมายืนค้ำตาอยู่ ความสวาทอันได้เคยมีมาแล้วแลจะมีมาภายน่า — ได้แล่นมารวมกับความสวาทซึ่งมีอยู่ในบัดนี้ ข้าพเจ้ายิ่งระทวยกาย, รวน ๆ จะใคร่โถมกอดรับขวัญไว้มั่นคง ด้วยงวยงงไปในดวงจิตที่คิดเสียวสร้านสท้านไป.

หล่อนยิ้มแย้มเปนเชิงยวน ยิ่งชวนข้าพเจ้าให้หลงเล่ห์ประเวณี ข้าพเจ้าตลึงหลงไปด้วยความรักเล่ห์เสนหา ไม่อาจจะยั้งกายไว้ได้ก็เข้าไปคุกกอดขาหล่อนไว้ พอรู้สึกกายก็ถอยหลังมานั่งหืดหอบที่บนพื้น, ความสัมผัสนุ่มนิ่มกายยังไม่เหือดหายจากนาสา ได้แนบสนิทนิ่มเนื้อเมื่อกี้ยิ่งมีดวงจิตคิดถวิลจินตนา, พอไนยตาแช่มช้อยเล่นชำเลืองมา มีพิษให้รักอย่างนาคาพ่นพิษให้แดยันจะตาย การยิ้มแย้มเยื้อนของหล่อนเร่งชวนสงวนขวัญ ดวงหน้ายิ่งฉายแสงอย่างตวัน ดวงเนตรยิ่งแทงใจในความรัก ข้าพเจ้ายิ่งพิพักพิพ่วน พอหล่อนแย้มสรวลอยู่ ดู ๆ ยิ่งชวนชิดชม, หล่อนก็เลยหัวเราะออกมา หัวเราะเสียงหวานทำให้กายสร้านซ่า เปนหัวเราะที่เปล่งออกมาจากทรวงอกหล่อน. ทำให้ใจข้าพเจ้าวาบวับซับซาบด้วยกิเลศภิรมยาอาไลยอาวรณ์ร้อนสวาททวี.

เปนทั้งนี้ก็เพราะข้าพเจ้า ได้เคยหลงเล่ห์เสนหามานาน เชื้อไฟแห่งความรักใคร่พิศวาศ กรุ่น ๆ อยู่ในทรวงอกไม่รู้จักเหือดหาย เปนทั้งนี้ไม่ใช่พรรณาเกินไป เพราะข้าพเจ้าเคยหลงรักเคยหลงรูปเสียงกลิ่นรสในหล่อนมาก่อนเก่า ข้าพเจ้าเคยฝากกายฝากชีวี ข้าพเจ้าเคยนิยมยินดีในหล่อนคนเดียวหมดในโลกนี้ ข้าพเจ้าเคยบูชาหล่อน มอบความรักสามัคคีไว้ในหล่อนแต่ผู้เดียวดาย ข้าพเจ้าเคยรักหล่อนเหมือนจะกลืน ความรักยังมีเชื้อกรุ่น ๆ อยู่ในอกไม่ดับสูญ ครานี้แลเกินที่ข้าพเจ้าจะทนความสวาทได้ ภาพอันวิจิตอย่างเอกอุกฤษฐได้มาไขอัคคีน้อยที่มีเชื้ออบกรุ่นอยู่ให้มีเชื้อมาก เหมือนอัคคีแห่งความรักได้ลุกโพลงขึ้น หรือว่าภูเขาไฟที่อัดไฟไว้ตาปีตาเดือน บัดนี้ด้วยอำนาจการอัดอบแรงกล้าเกิน ก็ระเบิดขึ้นสท้านสเทือนพสุธา พุ่งเพลิงแลควันไปในอากาศ กัมปนาทล้นฤทธิ์เดช เหมือนอย่างข้าพเจ้าในบัดนี้ ด้วยอำนาจแห่งความรักแรงกล้า ความรักก็ระเบิดออก แทบว่าหัวอกจะตายไปพร้อมกับความรักที่พุพลั่งมาเนืองนองนั้นด้วย.

แม่ปรุงช่างสวยกว่าเก่าหลายเท่านัก ความอยู่ดีกินดีกว่าเก่ายิ่งบ่มสง่าราษี หน้าออกฝีตื้น ๆ นั้นค่ำคืนแลไม่เห็น กลางวันก็ลบเลือนด้วยฉวีวรรณเปล่งปลั่งลบมันให้เลือนลับหมด หากจะจดกล้องส่องดูฝีดาดจะเห็นได้แต่ในที่ไม่สำคัญเท่านั้น การที่เจริญอายุทำให้หล่อนงามงอนเกินกว่าสาว เพราะรู้เค้าโลกนิสัยปรีชาฉลาดใหญ่ กิริยาก็ปรุงปรนประกับกิริยาให้ทวีน่ารัก ไม่เหมือนอย่างสาว ๆ ซึ่งข้าพเจ้าว่างามแต่ในความกำดัดเท่านั้น.

คราวนี้แม่ปรุงได้อยู่ดีกินดีมีสุขสบาย เจริญไวยสมบูรณ์ ยิ่งชวนใจชื่นชิด ยิ่งงามประโลม ยิ่งขาวผ่องลอองนวล แลผมยาวของหล่อนซึ่งสยายอยู่อันดกดำนั้นยิ่งแลรับวงหน้าอันงามประไพของหล่อน ดูช่างงามขำ, งามวงษ์พงษ์เผ่า, งามเค้าเงื่อนตลอดหมด ชูรสชูชาติยิ่งนัก.

หล่อนเห็นข้าพเจ้าปั่นป่วนด้วยกามา แลประหม่าด้วยตลึงโฉม หล่อนจ้องตามาให้สบตา ทำให้ใจปลาบวาบวับ ทำให้รู้สำนึกว่าหล่อนย่อมรับรักรับทุกข์รับโศกของชายใด ๆ หมดให้คลายขมกลับเปนหวานโดยใจจริงใจกล้าของหล่อน ด้วยใจอันอยู่ในทรวงซึ่งตัวชายอาจจะส่องมองเห็นเหมือนอยู่ในแก้วกระจก โอ้, ไนยตาหล่อนบอกทุกอย่าง บอกว่ารัก บอกว่าโศก บอกว่าย่อมรับรัก รับเล่ห์เสนหา ย่อมปลอบใจชายผู้ทุกข์ทรมานให้ยิ่งเอนดูหล่อน ให้ยิ่งชื้นชื่นใจ.

หล่อนพูดว่า “คุณคะ เชิญมานั่งนี่.”

หล่อนชี้ที่นอนเสียงหล่อนหวาน เสทือนเข้าวิญญาณข้าพเจ้า เปนเสียงซึ่งเคยได้ปลอบข้าพเจ้าให้ชอบชื่นมาเสมอ เปนเสียงที่ข้าพเจ้าติดใจในมธุรส.

ข้าพเจ้าพยุงกายกุมอกลุกขึ้นยืนทำรี ๆ รอ ๆ.

หล่อนว่า “คุณคะ เชิญนั่งนี่ คุณลืมเสียแล้วกระมังว่าตัวฉันเปนภรรยาของคุณ”

ข้าพเจ้าพูดเสียงเครือว่า “เคยเปนก่อนนี้จ้ะ, ฉันหาลืมมิได้”

หล่อนว่า “เคยเปนก่อน แลกำลังเปนอยู่ เดี๋ยวนี้ยังเปนเมียอยู่ทุกวันคืนเดือนปีไม่ขาดกัน ฉันคิดดังนั้นเสมอ แลรักคุณอยู่เสมอทุกหายใจเข้าออก.”

ข้าพเจ้าก็รักหล่อนอยู่ทุกอึดใจเหมือนกัน แต่ข้าพเจ้าไม่รู้จะพูดอย่างไร ได้แต่พูดว่า “แม่ปรุงจ๋า—”

หล่อนเขยื้อนกายประสานมือพูดว่า “โอ้, คุณคะ, ฉันได้รักคุณอย่างไร ก็ยังคงรักอยู่กระนั้น, เปนก็รัก, ตายก็รัก, อยู่ใกล้หรือไกลไม่วายรักเลย เสียแรงฉันเจตนาตั้งรักหมายจะทำความชอบไว้กับคุณ แก้ตัวใหม่ คุณไม่นำพา จะทิ้งฉันเสียให้ตายด้วยความรักหรือ ?”

อาการที่หล่อนเขยื้อนกาย ดูเหมือนใบไม้ไหวด้วยลมเป่าความสวาทส่งมา เสียงหล่อนเพราะจับใจ แลถ้อยคำนั้นหล่อนเกี้ยวข้าพเจ้า ยิ่งกว่าเกี้ยวการโลกีย์ไปเสียอิก มันทำให้ข้าพเจ้าเร่งรักเร่งเอนดูแม่งามชื่นเกินประมาณ ข้าพเจ้าเซกายด้วยอ่อนระทวยเพราะจิตเสียวสวาท พอหล่อนขยับกายมาหาข้าพเจ้า ๆ ก็เข้าไปหาหล่อนอ่อนกายระทวยหล่อนก็รับกอดไว้ได้.

ข้าพเจ้าก็กอดสอดคล้อง หญิง— ๆ นั่งนิ่งอยู่ชายเตียง—เปนหญิงซึ่งข้าพเจ้าได้รักที่สุด แล้วได้ทิ้งร้างเสีย เปนหญิงซึ่งได้พรากจากข้าพเจ้าแล้วกลับคืนมาราวกะตายแล้วเกิดใหม่ได้พบกัน, ราวกะได้หยาดฟ้า.

เราสองรากอดกันแน่นแทบจะไม่รู้จักคลาย ถึงกอดนิ่ง อกใจมันก็เต้นต่างบอกความรักซึ่งกันแลกัน ความรักก็ไหลมาดังห่าฝน ความสวาทก็ปลิวมาดังมหาพายุ ความเสนหายิ่งมาเท่าดินเท่าฟ้า ความสุขปลื้มมามากยิ่งกว่าได้วิมาน.

ข้าพเจ้ากอดหญิงสวยบริสุทธิสมบูรณ์นั้นประทับไว้กายหล่อนนุ่มนิ่ม หน้าหล่อนจิ้มลิ้ม ก็เลยสูดฟอดให้ทั่วสารพางค์กายจนสาใจ.

ข้าพเจ้าว่า อย่าร้องไห้ ฉันรัก.

ข้าพเจ้าว่า อย่าเสียใจ ฉันไม่แค้น ฉันไม่พยาบาท.

ข้าพเจ้าว่า แต่นี้จะรักจะชมไม่มีขมไม่มีขื่นไม่มีคลาย.

ข้าพเจ้าว่า โอ้ แม่ปรุง, แม่ไม่รู้ว่าฉันร้องไห้ร่ำรักหล่อนเท่าไรเมื่อหล่อนจากไป ฉันคิดถึงหล่อนใจจะขาด ทรมานใจใฝ่คนึงหาแสนสาหัส.

หล่อนอ่อนกายใจแดยัน ข้าพเจ้ากอดรัดรับขวัญให้ปลาบปลื้มจนลืมกาย ความเสนหาอาไลยใหญ่เท่าภูเขาหลวง ฤทธิสร้านเสียวราวกะถูกฟ้าผ่า หล่อนถอนสอื้นเร่งอาวรณ์ร้อนสวาท โสมนัศที่ได้ร่วมรักผู้เคยรักสมมาทหมาย ข้าพเจ้าไม่ใส่คะแนนทันในการที่ฝักใฝ่ในฟอดแฟด ช่างฮ้อแรดนี่กระไรเลย คนเคย—เลยร้าง—พึ่งร่วมชม ก็หลงระงมไปด้วยรสพิศวาศพันทวี························

ข้าพเจ้าลืมกายไม่รู้ทุ่มโมงยาม ชีพดูเหมือนอยู่ในสวรรค์ชั้นฟ้าหรือว่าในระหว่างฝันดี เมื่อรู้สึกก็รู้สึกว่าเปนรุ่งเช้าแล้ว แม่ปรุงน้องแก้วชอ้อนบอกเล่า

ข้าพเจ้ามาอาบน้ำชำระกาย เมื่อจัดกายเสร็จแล้วข้าพเจ้าลงไปห้องกินเข้าเห็นแม่ประไพประคองรับขวัญแม่ปรุงอยู่ พอแม่น้องน้อยเห็นข้าพเจ้ามาก็ปราไสยชวนให้กินอาหารพร้อมกัน แม้, อาหารนั้นช่างโอชา ด้วยว่าแม่น้องน้อยยอดเสนหาช่างจัดเลี้ยง มีหมูมัน, เป็ด, ไก่, แลไข่ของมัน มีหอยปูพล่าหั่น มีของหวานอันชูใจ มีผลไม้หลาก ๆ มากมี. ราวกะเลี้ยงกันในงานการวิวาห์ น้ำดื่ม น้ำหวาน แลบุหรี่ยา แม่น้องประไพช่างหามาตระเตรียมไว้ได้พร้อม.

ในอรุณรุ่งเช้าของวันก่อนได้เบิกแสงไขสีรัศมีความเจริญในเมื่อข้าพเจ้าได้ตัวแม่ประไพ มาร่วมเรือนฉันใด—ในอรุณรุ่งเช้าของวันนี้ ได้เบิกแสงไขสีรัศมีความมีผาสุกสนุกสำราญ ในเมื่อข้าพเจ้าได้ร่วมเสนหาในแม่ปรุงก็เปนเวลาเช้าของเริ่มสมัยบรมสุขฉันนั้น.

แม่ปรุงนี้ผู้ซึ่งข้าพเจ้าได้เคยอาไลยใฝ่หา ข้าพเจ้าได้เคยนับหน้าถือตา ได้เคยฝากชีวาฝากรัก เปนยอดหญิงซึ่งข้าพเจ้าเคยสมัครักใคร่ บัดนี้หล่อนกลับเหมือนลอยฟ้ามาแล้ว มาอยู่ร่วมกับข้าพเจ้าอิกครั้ง มิให้ช่องว่างแห่งหัวใจว่างอยู่ได้ มิให้ช่องว่างแห่งความรักเปล่าอยู่ได้ แผลเก่าของหัวใจซึ่งข้าพเจ้าถูกแทงโดยทรชนคนนั้น กำลังจะรักษาให้หายหรือหายอยู่แล้ว เพราะได้ดวงใจเก่ามาเหมือนได้นางแก้วคืนมาเปนบริวาร ก็ได้ศฤงฆารในสมบัติอันเปนแก้วยิ่งกว่าได้ม้าแก้วช้างแก้วไป, คือได้ความสุขใหญ่คืนมา คือได้ใจซึ่งแขงกระด้างให้คลายเปนอ่อนโยน คือได้ความอายอัประมาณเก่านั้นมาชำระล้างให้หาย ได้ความแค้นขัดเคืองให้บันเทา.

โอ้, สมบัติใดมิเท่าสมบัติธรรมสภาพ— หล่อนเหมือนมาปลอบให้ข้าพเจ้าหายกิเลศ หายโมโห หายโทโส หายทุกข์ หายแค้น หายระคายเคือง, หล่อนได้ชำระฟอกดวงจิตข้าพเจ้าให้ผ่องใส ข้าพเจ้าย่อมลืมความเก่าใหม่หมด มิใช่จะลืมความอาฆาฏเคืองแค้นแต่จำเพาะในชู้ร้ายคนเดียว แต่ข้าพเจ้ามีดวงจิตผ่องใสยกโทษให้มนุษบุถุชนใด ๆ ไม่อาฆาฏไม่จองเวรสิ้น จนชั้นการร้ายของเขาทั้งหลายมีใครบ้าง อย่างไรบ้าง, ข้าพเจ้าก็ย่อมลืมเหือดหายสิ้น.

นับเวลารุ่งแสงอรุณวันนั้นไป เปนวันเริ่มบรมสุขของเราทั้งสาม มิได้มียองใยเท่าธุลี ภรรยาเก่าผู้โฉมงาม ได้มาฟอกซักดวงจิตของข้าพเจ้าให้ผ่องใสแล้ว ให้เปนสุขสำราญแล้ว ช่องว่างเปล่าเปลี่ยวของหัวใจ หล่อนได้อุดให้เต็มเปี่ยมแล้ว, แผลเก่าที่ถูกแทงของหัวใจ หล่อนได้รักษาสมานเนื้อให้แผลหายสนิทแล้ว.

บัดนี้ข้าพเจ้า—พระสุวาที—มีใจผ่องแผ้วบริสุทธิ์ ไม่ยึดถือความอาฆาฏ เปนผู้ย่อมไม่มีความพยาบาท, แม่ปรุงเห็นชัดว่าข้าพเจ้าไม่มีรังเกียจหล่อนเลย เพราะหล่อนเฉลยไขว่าหล่อนพลั้งต่อมารไปชั่วครั้งหนึ่ง ก็เพราะถูกสกดดวงจิตให้เผลอเลอ ข้าพเจ้าเข้าใจยิ่งกว่าถูกสกดดวงจิต ข้าพเจ้ารู้แท้ว่าหล่อนได้ถูกลวงโดยเล่ห์โลกีย์ ให้เพลิดเพลินไปในรูปเสียงกลิ่นรส ซึ่งแสลงกว่าสกดดวงจิตซึ่งเรียกว่า “ฮิปโนไทส์”

บัดนี้รสชื่นฝืนให้ข้าพเจ้าลืมสิ่งไร ๆ หมดในโลกนี้ เว้นแต่ไม่ลืมว่าได้รับความสุขอย่างที่สุด ไม่ลืมความร่มเย็นที่ได้แก่ใจในระหว่างวงแขนของแม่ปรุง ไม่ลืมว่าทุกหายใจเข้าออกหล่อนฟอกดวงจิตข้าพเจ้าให้ผ่องใส โดยเอาเชื้อแห่งความรักมาเปนน้ำทิพย์ราดรดจนดวงจิตข้าพเจ้ากล้ำกลั้วด้วยสุจริตธรรม ด้วยความเย็นใจ ความปีติแก่เทพยเจ้าทั้งหลาย อันบันดาลให้หญิงผู้ซึ่งข้าพเจ้าปองนิยมชมชื่นได้คืนมาร่วมข้าง ความสอาดของหล่อนเร่งให้ลืมที่ลามก เร่งให้รูปเสียงกลิ่นรสของหล่อนทาบทามความรู้สึกแห่งข้าพเจ้าให้เหือดหายกิเลศหยาบทั้งหลาย ทั้งไนยตาหล่อนคอยพิปรายตักเตือน มิให้ใจเชือนเศร้าหมองดองอาสวะได้·············································

บัดนี้ข้าพเจ้าพระสุวาที มีความยินดีเปนที่สุดที่จะบอกว่าข้าพเจ้าไม่ถือโทษใครแล้ว หัวใจข้าพเจ้าผ่องแผ้วแล้ว. เหตุร้ายซึ่งเปนไปโดยยถากรรมนั้น ข้าพเจ้าไม่โทษไม่โพยเอาใครหมด ข้าพเจ้ามีดวงจิตผ่องแผ้วเปนที่สุด, ขอเชยชิดเพื่อนชมให้สมใจ ตั้งแต่วันนั้นไปเปนนิมิตรที่แสงตวันฉาย บอกให้ว่าจะเกษมสุขเปนที่สุดไม่หยุดเลย ความเกษมสุขนี้เปนกังวลแก่ข้าพเจ้ามากกว่าที่จะกังวลด้วยพยาบาท ความชื่นชอบนั้นบ่มอารมณ์ข้าพเจ้า ให้ข้าพเจ้าไม่โลภโกรธหลง.

แผลเก่าที่ถูกแทงใจนั้นได้เหือดหายสิ้นแล้ว หรือกำลังสมานเนื้ออยู่ กำลังสิ้นแผลไป, แผลที่ถูกแทงใจนั้นหายแล้วโดยแท้ ด้วยว่าไม่ช้าแม่ปรุงจะให้กำเนิดบุตร เปนบุตรของแม่ปรุงแลของข้าพเจ้าโดยแท้ แผลจะเหือดหายสูญสิ้นที่สุด เมื่อเราจะได้อุ้มบุตรไปอวดคุณหลวงดำริห์ผู้ชรา จะมีหน้าตาเบิกบานด้วยความยินดี หน้าบานอย่างเดิมของท่านจะทำให้ท่านเปนหนุ่มเหมือนอย่างเก่า แผลเก่าที่ข้าพเจ้าถูกแทงใจจะเหือดหายสูญสิ้นไม่มีเชื้อเลยทั้งในรูปในนาม—เพราะไม่ช้าแม่ปรุงจะให้กำเนิดบุตรในอุทร.

แลมันเปนการน่าพิศวงแลน่ามหัศจรรย์ไหม—หล้ะ แม่ประไพน้องน้อยกลอยสวาท—ผู้ซึ่งอยู่ด้วยกันมากับข้าพเจ้าได้ห้าปีนั้น บัดนี้อุส่าห์มีท้องกับเขาด้วยเหมือนกัน !

จบเรื่องความไม่พยาบาทเท่านี้

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ