- คำนำ
- ภาค ๑
- บท ๑ รสหวานของความไม่พยาบาท
- บท ๒ ดูตัวเจ้าสาว
- บท ๓ วิวาห์การ
- บท ๔ ชีพอย่างชมจันทร์
- บท ๕ สองสามสุข
- บท ๖ แม่ปรุงเปนมารดา
- บท ๗ ความไม่พยาบาทเริ่มต้น
- บท ๘ พระกับมาร
- บท ๙ เมฆสว่างของชีพ
- บท ๑๐ ความทุกข์ของสาวพรหมจารี
- บท ๑๑ เมฆมืดของชีพ
- บท ๑๒ ตุ๊กกะตาฅอหัก
- บท ๑๓ นิราศบ้าน
- บท ๑๔ ภรรยา “ป่วย”-- สามีป่วย
- บท ๑๕ ข่าวลามก
- บท ๑๖ ข้าพเจ้าเจอภรรยา
- ภาค ๒
- หมายเหตุ การแต่งเรื่องนี้
บท ๑๐ ความทุกข์ของสาวพรหมจารี
รู้แล้วหละ คุณภักตร์รักแม่ปรุง, เกลอให้เพชร์อันมีค่าแก่หล่อน ให้โดยเสนหา ให้โดยเอาหน้าเอาตา. แลแม่ปรุงก็รับไว้ ข้าพเจ้าจะโทษหล่อนก็ไม่ได้ เพราะผ้าท่อนหนึ่งแลกเอาเพชร์ใหญ่ได้ทั้งเม็ด แม่ปรุงเข้าใจการแลกเปลี่ยน หล่อนแลกเอาเปรียบ ข้าพเจ้าจะติให้หล่อนเสียใหญ่ที่ไหนได้ จะห้ามผู้หญิงมิให้รักเพชร์นิลจินดา ห้ามไม่ให้ใฝ่หาห้ามไม่ให้เอาผ้าแลกเปลี่ยนซึ่งแลกได้โดยง่าย ห้ามกระนั้นสมควรห้ามไฉน.
ข้าพเจ้าจนใจ นิ่งเสีย แต่รู้แน่ว่าเกลอภักตร์ล่อแก้วให้แม่ปรุง เกลอมุ่งเอารัก เอากรุณา เอาหน้าเอาตา, แต่ถ้ามุ่งเพียงนั้นก็ควรยังได้รับความสรรเสิญอยู่ ที่เห็นว่าเครื่องประดับนั้นใครใส่ไม่ชูโรงเท่าได้ใส่กายแม่ปรุง คุณภักตรรู้ทีจึงได้อารีถึงเพียงนี้.
หมู่นี้แม่ปรุงบ่นรำพึงถึงเคหะสถานตึกกว้านบ้านช่องใหญ่โต รโหฐาน ซึ่งจัดเอาเปนที่ผาสุกสบาย, อยู่มีหน้ามีตาดีกว่าเรือนปั้นหยา. นอกจากรำพึงถึงตึกใหญ่เรือนโต หล่อนยังรำพึงถึงเครื่องประดับแต่งกายอย่างวิไลยเหลือด้วย.
แท้จริงความสุขในลูกผัวแลความรักความสามัคคีหล่อนมีมากแล้ว หล่อนจึงรำพึงอยากได้อื่นเปนพิเศษออกไป, ถ้าหากได้สามีร้าย จึงต้องหมายหาสามีที่ดี ถ้าสามีไม่รัก จึงต้องใฝ่หาความรักจากสามีเสียก่อน ถ้าแม่ปรุงขัดสนด้วยสามีที่ดี แลความรักจากสามีแล้ว หล่อนคงไม่คิดข้ามไปถึงตึกกว้านบ้านใหญ่ แต่นี่หล่อนอุดมไปด้วยสิ่งเหล่านี้แล้ว หล่อนจึงใฝ่ชอบสิ่งนั้น ๆ ซึ่งยังไม่มีต่างหาก. ข้าพเจ้าก็ไม่อาจจะเปนคนเลวพอที่จะร่นลงมาเปนผัวที่เลว— เพื่อให้แม่ปรุงลืมคิดถึงตึกกว้านบ้านใหญ่ แลทรัพย์ศฤงฆารอย่างมั่งคั่งได้.
แต่หล่อนก็เห็นอกเห็นใจข้าพเจ้าที่ใฝ่เอาเปนธุระในใจหล่อน เมื่อข้าพเจ้าปล่อยหล่อนให้ตั้งทำแต่ความดีรอหาความมั่งมีไปภายน่า หล่อนก็เห็นชอบด้วย แต่ในอารมณ์กรุ่นอกหล่อนนั้นคงเปนพรรณเสือหิว.
น่ากลัวแม่ปรุงจะได้รับคำปลอบมาก จากคุณภักตร์์ เกลออาจจะแสดงความจุนเจือเกื้อหนุนแก่ใครก็ได้ ถ้าเกลอพอใจรักใคร่แลเขายั่วใจให้หลงมั่งมีได้เพียงไร เขาคงลอบปลอบหล่อนให้วายเห่อได้เพียงนั้น.
ข้าพเจ้าไม่เห็นเขาปลอบ ไม่รู้ว่าเขาได้ปลอบ แต่นอกจากได้กล่าวแล้วนั้น ได้เห็นเขากระซิบอยู่กับหล่อนสองต่อสองอิกสองหน, แต่ผู้ที่ชอบพอกับแม่ปรุงนั้น บางคนเราจะบังคับให้พูด แลบางคนจะบังคับให้เปนใบ้เช่นนี้ก็ไม่ได้ ต้องคิดเสียว่าเขาพูดกันฉันสหายก็แล้วกัน เพราะข้าพเจ้ารู้ใจแม่ปรุงอยู่มาก แลเชื่อใจของหล่อนอยู่มั่น.
วันหนึ่งเกิดคดีใหญ่ไม่น้อย วันนั้นเย็นแล้ว พึ่งกินอาหารเสร็จ กำลังคิดอยู่กับแม่ปรุงว่าเราจะไปเที่ยวกันที่ไหนดี แลต่างอยากจะไปดูหนังฉายเสียสักที เพราะหมู่ซึ่งเปนแม่ลูกอ่อนนี้หล่อนไม่ใคร่ได้ไปดูหนังฉาย.
พอแม่ประไพมาหาเราโดยรถยนต์ บอกว่าป๋าให้เชิญไปหาสักหน่อย ข้าพเจ้าถามว่าป๋าหล่อนมีธุระอะไร หล่อนไม่บอก ข้าพเจ้าปฏิเสธไม่ไป แต่แม่ปรุงนั้นอนุญาตให้ข้าพเจ้าไป แลออกคำสั่งบังคับให้ไปด้วย ข้าพเจ้าจำใจจัดกายไปในรถยนต์ของแม่ประไพ ครั้นแล่นถึงที่อยู่ หล่อนให้ข้าพเจ้านั่งเก้าอี้ซึ่งข้าพเจ้าเลือกนั่งชายสนามเพราะเย็นสบาย หล่อนหายเข้าไปในตึกนานแล้วเดินมาตามทางข้างตึกบอกว่าหาป๋าไม่พบ ไม่รู้ว่าไปไหน.
หล่อนก็ปลาดใจเหมือนข้าพเจ้าที่สั่งให้ไปรับแขกมาทางนี้ ตัวป๋าไพล่ไปไหนเสียไม่รู้ ข้าพเจ้าสิ้นน่าที่ก็ต้องลากลับ แต่แม่ประไพอ้อนวอนให้คอยป๋า เพราะรู้แล้วว่าแขกจะมาคงไม่ไปไหนไกล ข้าพเจ้าแสดงว่าไม่จำเปนจะคอย แต่ถึงกระนั้นหล่อนรั้งตัวไว้แลกล่าวว่า ถ้าไม่คอยนานก็ตามใจ แต่คอยสักครู่เดียว เพราะหล่อนอยากสนทนากับข้าพเจ้าสักหน่อย.
แม่น้องน้อยจะสนทนากับข้าพเจ้า ! ข้อนี้เปนประโยคไม่แปลกปลาดกับผู้ใด แต่ฟังเสียงดูมันขวางหูแก่ข้าพเจ้านัก. พอหล่อนมานั่งร่วมเก้าอี้ยาวชายสนามตัวเดียวกับข้าพเจ้า ๆ ตกใจ ได้แต่ไถลถอยไปให้สุดปลายที่นั่งตามแต่จะสุดได้.
พอคำถามอันหล่อนโยนมาเข้าหูว่า “คุณรักเมียคุณนักหรือคะ” ทำให้โดนหัวใจข้าพเจ้ามากเท่าขว้างด้วยศิลา เห็นภาพของราตรีที่ท้ายสวนซึ่งข้าพเจ้าได้แสดงรักต่อภรรยา แสดงทั้งกายแลใจน่ากลัวแม่ดรุณีนี้คเณได้เห็นถนัด กับทั้งเมื่อวันก่อนหล่อนยังแอบมองข้าพเจ้าตามหลังมาเห็นแก่ตา เมื่อคราข้าพเจ้าฟอดภรรยาแสดงชื่นใจอย่างเต็มรส.
ข้าพเจ้าอยากรับคำโดยตอบโดยตรงทันที แต่ความรู้สึกหวั่น ๆ เช่นนี้ทำให้ข้าพเจ้าจนถ้อยคำ.
หล่อนพูดต่อไปว่า ถ้าไม่รักมากละก็จะด่วนกลับทำไม ข้าพเจ้าตอบว่าด่วนกลับเพราะหมดธุระที่นี่แล้ว.
หล่อนพูดต่อไปว่า “ฉันเห็นคุณกับคนอื่นช่างผิดกันนี่กระไร คุณไม่ลวนลามหญิงรุ่นเลย ผิดกับคนอื่นซึ่งขืนลวนลามทำหยาบคายได้ง่าย ๆ ฉันนึกเหตุนี้มาทุกวันทุกคืน ไม่รู้จะบอกใครได้ เพื่อนผู้หญิงที่รักใคร่ พอปรับทุกข์ก็ไม่มีกับเขา เปนที่น่าอนาถใจ แต่คุณเปนชายก็จริง แต่ฉันเห็นใจเสียแล้ว จะปรับทุกข์ก็ได้จำเภาะคุณพี่คนเดียว.”
หล่อนจะปรับทุกข์กับข้าพเจ้า! แลเรียกคุณใส่ “พี่” แถมด้วย! ข้าพเจ้าไม่อยากมีน่าที่ในกิจฟังแม่รุ่นดรุณีปรับทุกข์ แต่เหตุที่หล่อนจะพูดตรง ๆ ว่าข้าพเจ้าผิดกับชายอื่นอย่างไรตามความเห็นของหล่อนนั้นทำให้ข้าพเจ้าเงี่ยหูอยากฟัง ทั้งทุกข์ของหล่อนมีอะไรข้าพเจ้าอยากรู้บ้าง เพราะข้าพเจ้าเห็นหล่อนหน้าไม่สเบยมาตั้งแต่กลับจากบ้านแม่กลึง.
ถ้าหล่อนมีทุกข์จริง ข้าพเจ้าก็น่าเวทนาที่หล่อนไม่มีใครจะเจรจา, จะปฤกษา, จะปรับทุกข์, หล่อนไม่มีเพื่อนสนิทเลย อกใจน่าจะอ้างว้างจนถึงกับจะเล่าบอกแก่ข้าพเจ้าคนต่างบ้านไปตามแกน ๆ เหมือนขอยืมเงี่ยหูสักหน่อย.
หล่อนว่า “แม่ปรุงน่าสบายนี่กระไร เมื่อได้ผัวที่รักใคร่ถึงเพียงนั้น ทั้งมีเพื่อนฝูงที่รักโดยรอบข้าง แต่ฉันนั้นจะหาคนสนทนาสักคนเดียวก็หายาก ไม่มีใครอยากปราณี จนชั้นไม่มีใครอยากเห็นหน้าอยากพูดด้วย.”
ข้าพเจ้ากลัวว่าสิ่งซึ่งข้าพเจ้าแสดงรักต่อภรรยาแล้วนั้นทำให้แม่ประไพพูดอย่างนั้น, คล้ายๆ จะว่าตัวหล่อนถูกข้าพเจ้าแสดงการไม่อยากพูดด้วย ข้าพเจ้าจึงว่า “บุตร์หญิงมีที่พึ่งในบิดา ภรรยามีที่พึ่งในสามีผู้ปกครองเปนผู้ใฝ่รัก.”
หล่อนว่า “ป๋าไม่รักฉันเลย, คุณไม่เคยเห็นคราวที่ป๋าดุฉัน อย่างน่าขวัญหาย, อย่างน่ากลัว, นี่กระไร.”
แล้วหล่อนเล่าถึงคราวถูกดุซึ่งเปนความลับไม่ชอบให้ใครรู้ แล้วกล่าวถึงว่าทำไมชายนิสัยไม่เหมือนกัน เหมือนคุณเจียรนี้สิอ่อนหวานไม่หยาบหยาม แต่คนอื่นทำไมผิดกันมาก.
ช่างน่าสงสารมาก ที่ข้าพเจ้าได้เค้าเงื่อนรอยในซึ่งแม่ประไพผู้โสภาพรหมจารีตกมาอยู่ยังบ้านเกิดได้แล้วยังไม่ค่อยมีความสุข ไม่ใคร่มีเพื่อนสาวสนิทอยู่เปนเพื่อน, ไม่ใคร่ได้รับความยำเยง, ถูกการหมิ่น ๆ ลามๆ สักหน่อย หล่อนพบข้าพเจ้าซึ่งเปนชายมาใกล้ตัวเปนคราวแรกนึกว่าชายเปนเช่นนี้หมด แต่พึ่งรู้บทของคนอื่นว่าตรงกันข้าม เช่นไปบ้านแม่กลึงวันนั้นพบคุณแกลบลวนลาม หล่อนเจ็บอกช้ำใจอยากคิดอ่านแก้แค้นเขากับข้าพเจ้า.
ข้าพเจ้าปลอบว่าการแก้แค้นมีทางดีที่สุด ที่เราจะไม่พบหาเขาอิกเลย หล่อนถอนใจแสดงว่าคุณแกลบทำให้เสียเกียรติยศให้หล่อนช้ำอกช้ำใจมาก พูดจาก็สำราก ช่างผิดกับข้าพเจ้าเปนคนละคน แลต่อมาเมื่อคุณแกลบได้พบเห็นหล่อนยังบ้านเขาแล้ว หมู่นี้เขามาเยี่ยมป๋าหล่อนบ่อย ๆ เพราะเขาเปนคนชอบสนิทกับป๋า.
หล่อนว่า “ยังไม่ทันฉันจะคิดแก้แค้นคุณแกลบซึ่งลวนลามทำให้ฉันช้ำทรวง ยังต้องถูกพบเห็นเขามาบ้านอิก ถ้าหากเขามาสู่ขอต่อป๋า คุณเจียรจะช่วยฉันอย่างไร. ?”
ข้าพเจ้าสดุ้งขึ้น คุณแกลบมันเหมือนภูต แม่ประไพเหมือนอย่างพรหม มันเปนคนลามกตรงข้ามกับหล่อนที่สุทธิ ถ้าแม่ประไพกลัวตัวด้วยข้อนี้แล้วมันก็เปนเหตุควรทุกข์ใจจริง แต่มูลเหตุยังไม่ทันควรจะด่วนร้อนตัว ข้าพเจ้าจึงว่าบิดาหล่อนจะไม่ขืนใจหล่อน.
พอหล่อนว่าป๋าหล่อนเปนคนชนิดเดียวกับคุณแกลบ ทำให้ข้าพเจ้าสดุ้งขึ้น, นี่คงเกิดการปรากฎอย่างไรภายในเปนแน่แม่ประไพจึงไม่ใคร่สเบย ข้าพเจ้าอยากรู้ความประพฤติของเจ้าของบ้านนี้มากขึ้น อยากจะถามฟังลาดเลาดู แม่ประไพก็ตอบโดยตรงไม่ปิดบัง โดยหล่อนแสดงว่าถ้าบอกตรง ๆ คงจะเปนทางที่ข้าพเจ้าจะช่วยได้.
ตามจริงเมื่อข้าพเจ้าทราบเหตุก็เห็นว่าควรจะช่วยแม่ประไพไปให้พ้นภัย แต่ข้าพเจ้าจะช่วยด้วยตนเองดังหล่อนมุ่งหมายอย่างไรได้ หล่อนรักข้าพเจ้าว่าอ่อนหวานแลซื่อตรงกว่าชายอื่นก็จริง แต่ข้าพเจ้าได้รู้สึกเสียแล้วว่าแม่ประไพยิ่งใกล้ชิดข้าพเจ้าเข้ามา ข้าพเจ้ายิ่งเหมาหล่อนว่าเปนมาร ตามท่านทั้งหลายทราบความในใจอยู่แล้ว.
แต่จะทิ้งหญิงสาวพรหมจารีในที่น่าสยองนี้ไม่ดีเลย คุณแกลบมันเปนเพื่อนสนิทของป๋าหล่อน มันเปนคนเอาแต่ได้ มันย่อมไม่มีใจกรุณา ชั่วแต่ว่าให้สมหมายของตัวแล้วก็แล้วกัน ทั้งที่บ้านหล่อนก็ร้อนภัย ด้วยเพื่อนคนนั้นสนิทกับบิดามากอยู่ด้วย แลเปนคนชนิดเดียวกันด้วย.
ข้าพเจ้าปลอบถามว่าคุณแกลบเขาบ้าการประโลม แต่ป๋าหล่อนจะว่าเปนเหมือนกันไฉน.
หล่อนเงยหน้าดูข้าพเจ้า ตาดำเปนมันแสดงโศก, แสดงกลัว, แสดงรัก, แสดงอยากหนีภัยไปกับผู้ที่รัก, เมื่อหล่อนชี้บ้านถัดไปอิกบ้านหนึ่ง ที่มีรั้วสังกะสีล้อมรอบนั้นข้าพเจ้าแลดูด้วยความสยดสยอง.
ข้าพเจ้าพึ่งรู้ว่าบ้านถัดไปนั้นคุณภักตร์เช่าเอาไว้เพื่อเปนสถานีสุรานารี ซึ่งข้าพเจ้าตรวจดูตึกนี้ก็เสียทีเปล่า เมื่อแม่ประไพชวนให้ข้าพเจ้าไปดูบ้านในรั้วสังกะสีนั้น ข้าพเจ้าสท้านใจไม่กล้าไปดูด้วยการสยดสยอง ไม่ใช่ว่าจะเกรงใจเจ้าของอย่างเดียว แต่กลัวจะเห็นสิ่งซึ่งทำใจให้ข้าพเจ้าสดุ้งสเทือนไป. ด้วยในบ้านนั้นบางราตรีมีเสียงบรรเลงร้องลำครึกครื้น แม่ประไพหนีเสียงไปไกลถึงตึกเย็นที่ท้ายบ้าน พอหล่อนนั้นหวั่นใจขึ้นมาอิกก็เข้ามาซบหน้าร้องไห้บนตักข้าพเจ้า.
ข้าพเจ้าตกตลึงอึ้งอ้ำไป น้ำตาที่หยดเปียกตักข้าพเจ้าชวนให้ข้าพเจ้าจะให้ร้องไห้กับหล่อนด้วยแก้มอันนุ่มนิ่มที่อยู่กับตัวทำให้ยิ่งสมเพชเวทนา, น้องน้อยละห้อยใจไม่มีใครเมตตาจึงโศกากลัวภัยกลัวตัว.
น้ำตาข้าพเจ้าที่ถูกกล้ำกลืนชวนมือให้กอดประทับปลอบ พอได้สัมผัศรัดไว้นุ่มเนื้อข้าพเจ้านึกถึงแม่ปรุงขึ้นมาก็ตกใจ ข้าพเจ้าอยากผลักร่างน้อยเอวบางให้ห่างไป แต่กลัวจะเกิดเหตุเปนอันตรายถึงชีพหล่อนก็เปนได้ ครั้นจะนิ่งให้หล่อนเคล้าคลึงก็รู้สึกเหมือนเปลวไฟแห่ง··· นั้นลอยมาทางอากาศจะลามเลียศีร์ษะข้าพเจ้าให้ไหม้ไปก่อนตัวจะเปนจุณ โดยโทษที่ไม่ซื่อตรงแลโทษที่ล่วงลเมิดต่อภรรยาผู้ฝากชีวาต่อข้าพเจ้า.
พระอาทิตย์ตกดิน ความมืดคลานมาปกคลุมโลก บัดนี้มีคนหนึ่งมัววิโยคซึ่งเห็นชายหนึ่งไม่อาลัย มีแต่หลงเมีย, มาสอนรักให้ที่ในตึกน้อยท้ายสวน มาแสดงใจสุทธิให้เห็น แลแสดงการฟอดภรรยาโดยโอชารสให้ดู ชายนี้ช่างหลงใหลภรรยาเสียจริง ไม่ดูกายไม่ดูใจผู้อื่นบ้างเลย.
ข้าพเจ้าแขงใจพูดเสียงสั่นว่า “แม่ประไพจ๋า มาบอกเหตุลับให้ฉันทราบทำไม แลมาหวังพึ่งฉันเรื่องอันใด ฉันช่วยหล่อนได้แน่แลหรือ แม่เจ้าประคุณจงนั่งพูดดีกว่าก้มหน้าสอื้นเช่นนั้น.”
หล่อนจึงบอกเหตุว่าทำไมมานั่งปรับทุกข์อยู่เดี๋ยวนี้ เพราะเหตุมีที่ข้าพเจ้าจะช่วยหล่อนได้ทันที หล่อนบอกน้อย แต่ข้าพเจ้าตลึงใจมาก ตายจริง พึ่งรู้ว่าหล่อนหวังพึ่งข้าพเจ้าบัดนี้เอง พึ่งทราบเปนแน่ว่าบิดาหล่อนไม่รังเกียจแลสอนให้หล่อนรัก ให้หล่อนยอมปราถนาของข้าพเจ้าทุกอย่าง ถ้าข้าพเจ้าไม่รับกายหล่อนไว้ปกปักรักษาเสียเอง จะทิ้งไว้ให้เสือร้ายนั้นควรหรือ.
เหตุการณ์ประมวญนี้มากมีหลาก ๆ นา ๆ เกิดขึ้นเห็นชัดในบัดนี้ก็จริง แต่ความมันปรากฏเรื่อยมาก่อนแล้ว น่ากลัวท่านชายจะชวนหล่อนไปให้ได้เห็นชีพในสถานีสุรานารีที่บ้านนั้น แม่ประไพจึงได้ใฝ่ทุกข์หนัก.
ข้าพเจ้าร้าวใจนัก โดยหักใจลามาเสีย หล่อนเงยหน้าขึ้นดูเปนดวงหน้าอันน่าปราณีริมฝีปากเยื้อนเอื้อนอ้อนวอนสำออย, แทบข้าพเจ้าจะวางจมูกสูดโฮกใหญ่ให้หายอ้อน, แต่คิดถอยหลังสำนึกในใจว่า “แม่ประไพเอ๋ย ใกล้กันนี่กระไร แต่ช่างไกลกันจริง.”
รถยนต์หายไปเข้าโรงเสียแล้ว, ข้าพเจ้าขึ้นรถลากกลับ ใจหายที่ทิ้งสาวพรหมจารีไว้เดียวดาย เสียใจที่ลามาอย่างตัดสวาท ลามาเสียเฉย ๆ ปราศจากพิธี แม่ประไพนี้ไม่ด่วนการเดือดเนื้อร้อนใจไปก่อนเลย, หล่อนคงเห็นวี่แววอะไรมาแล้ว ผู้มีไฟจี้ให้ทุกข์นั้นย่อมนับนาทีเท่าวันหรือเดือนปี, ทุกข์จี้ใจ จึงเร่งคำให้หล่อนรำพรรณ, หล่อนรู้กิจการภายในนาน ส่วนข้าพเจ้าพึ่งรู้บัดเดี๋ยวนี้ยังรู้สึกสท้านใจ เมื่อนั่งรถลากมาพลางรำพึงถึงเหตุพึ่งรู้นิสัยแลชีพแล “บ้านนามร้าย” ของลูกเศรษฐีบัดนี้เอง.
นอกจากเปนห่วงครอบครัวเอง ยังเปนห่วงแม่ประไพ แต่คิดถึงนายขบวนสหายเอกผู้มีสุภาพของข้าพเจ้าขึ้นมาได้ค่อยคลายใจในการช่วยเหลือแม่ประไพ.
กำลังเหตุของการใน “บ้านนามร้าย” มาทำให้ใจข้าพเจ้าปั่นป่วน ข้าพเจ้ามาถึงบ้านก็พอมีผู้บอกว่าแม่ปรุงไม่อยู่. หล่อนไปไหนหรือ? ไปกับคุณภักตร์ ๆ มารับเอาแม่ปรุงซึ่งตกแต่งกายงดงามไปในรถยนต์เดียวกัน นัยว่าจะไปรับตัวข้าพเจ้าด้วยซึ่งคอยอยู่กลางทางแล้วเพื่อไปดูหนังฉายพร้อมกัน.
ข้าพเจ้าตกใจ ใจหายเหมือนใครมาปลิดเอาดวงใจไป.
ข้าพเจ้ารู้เค้าของบ้านนั้นเสียแล้ว แทบจะรู้สึกว่าหญิงซึ่งเก้าย่างเข้าไปแล้ว ต้องมีสีหน้าหมองออกมา เพราะชื่อบ้านมันเสียอยู่แล้ว ข้าพเจ้าตั้งใจจะมิให้แม่ปรุงหมองราษีโดยเยี่ยมบ้านนั้นเสียอิก, บัดนี้กลับมาถึงบ้านสิได้ข่าวว่าหล่อนถูกพาไปในรถยนต์กับเจ้าของบ้าน “นามร้าย” นั้นแล้ว.
ข้าพเจ้าแสดงความตกใจหนักหนาจนบอกให้คุณแม่ทราบ คุณแม่กับข้าพเจ้าจึงวางคนออกติดตามทุกแห่งทุกหนทุกถนนหนทาง วางคนไปตรวจโรงหนังให้ตรวจทุกโรง ให้ไปตามยังบ้านมิศเตอร์ภักตร์ ให้ไปตามยังบ้านแม่กลึง แลแห่งอื่นตามที่สงไสย. ข้าพเจ้าแขวนใจอยู่ด้วยความวิตกแลอนาถใจเกือบเต็มชั่วโมงอยู่บ้านพลางคอยฟังเหตุพลาง ความร้อนใจไม่ทำให้หยุดยั้งอยู่ได้ก็จับรถลากชนิดเล็กแล่นเร็วสวนทางมาอิก ทั้งคุณแม่ยังพลอยแยกทางไปตามตัวลูกสะใภ้ด้วย.
ข้าพเจ้าพบหล่อนไม่ห่างบ้าน, หล่อนมาในรถยนต์คันสวยงามขนาดใหญ่. ข้าพเจ้า “ใจมา” เหมือนอย่างได้เกิดใหม่อิก ความปีติยินดีที่ได้พบหน้าแม่พุ่มพวงดวงชีวาแทบขอบพระคุณเทวดาอารักษ์หมดทุกองค์ พอหล่อนหยุดรถยนต์รับตัวข้าพเจ้า ๆ ได้สบหน้าน้องยิ่งขอบคุณโดยเปี่ยมใจ หล่อนมีหน้าชื่นบานเก๋พิลึก แต่งตัวงดงามยั่วยวนกรุ้มกริ่มทำให้ระลึกว่าแม่ประไพนั้นใกล้มือข้าพเจ้าที่สุด แต่ถูกถอยห่างจากสวาทหวังมากที่สุดโดยข้าพเจ้า แม่ปรุงนี้สิชายเช่นโน้นมีแต่ดูดให้ใกล้ความสวาทหวังหนักเข้าทุกที.
ข้าพเจ้าทิ้งตัวนั่งข้างกายหล่อน ถอนใจใหญ่ ปล่อยก้อนแห่งความทุกข์ที่จุกใจออกมา ค่อยสว่างอารมณ์ที่ได้กลิ่นไอเจ้าหล่อนผู้ซึ่งข้าพเจ้าตรึงความห่วงอยู่เสมอนั้นกลิ่นไอค่อยถอนพิษกลุ้มให้หาย.
ข้าพเจ้ากล่าวว่า— “แม่ปรุง, แม่คุณ, นี่หล่อนหายไปไหนมา. ?”
หล่อนย้อนถามว่า “นี่เธอจะไปไหน, ทำไมด่วนกลับมาเสียก่อน ไม่คอยฉันอยู่ที่นั่น ทำให้ฉันไปหาเก้อกลับมา.”
ข้าพเจ้าว่า “หล่อนหาฉันที่ไหน เก้อทำไม, ฉันนัดหล่อนพบกันที่ไหน.?”
ข้าพเจ้าซักไซ้ หล่อนต้องอธิบายว่าคุณภักตร์มารับหล่อนเพื่อให้ไปดูหนังพยนต์, เพื่อไปพบกันพร้อมที่บ้านคุณภักตร์, ข้าพเจ้าจะได้ไม่ต้องลำบากกลับบ้านก่อน แลเลยพากันไปยังโรงหนังฉายพร้อมกันทีเดียว.
ข้าพเจ้าถอนใจให้คลายตระหนก ข้าพเจ้านั่งใกล้หล่อนเขยิบชิดกว่าเก่า ด้วยความกลัวหล่อนจะหายไปนั้นมันมีทวีขึ้นกว่าเดิม เมื่อมาถึงบ้านหล่อนค่อยทำให้คลายที่ขวัญหนีดีฝ่อ โดยรูปเสียงกลิ่นรสของหล่อน แลความกล้าหาญปรีชาของหล่อนทำให้นอนใจ.
ล่วงยามมาแล้ว ข้าพเจ้าจำใจถามปัญหาซึ่งมุ่งจะถามเมื่อคราวใจเย็น, ข้าพเจ้าถามว่า ไปอย่างไร กลับอย่างไร ?
หล่อนบอกว่า เมื่อคุณภักตร์มารับหล่อนก็รีบแต่งตัวกลัวข้าพเจ้าจะคอย ครั้นไปถึงบ้านโน้นหล่อนไม่เห็นข้าพเจ้าก็รีบจะกลับ.
ข้าพเจ้าถามว่า “หล่อนไม่ได้ลงจากรถยนต์หรอกหรือ?”
“ฉันอยากเห็นแม่ประไพ จะไม่ให้ลงจากรถอย่างไร” หล่อนตอบ.
“แล้วก็ไปไหนอิกเล่า เข้าไปในตึกหรือเปล่า, ขึ้นไปบนตึกหรือเปล่า.?”
“ฉันยังไม่เห็นตัวเธอ ฉันยังไม่เห็นแม่ประไพ คุณภักตร์ชวนให้ไปพูดบนตึก.—“
“แล้วอย่างไร.?”
“ฉันเดินตามคุณภักตร์ไปชั้นบนจนถึงห้องเตียงมุก คุณภักตร์เข้าห้องมองหา แต่แม่ประไพตาแดง ๆ คล้ายร้องไห้ออกมาจากห้องอื่นสกัดกันไว้ กระซิบบอกว่าคุณเจียรกลับไปนานแล้วฉันก็กลับลงมา คุณภักตร์ชวนให้ฉันพัก ฉันไม่พักเพราะกลัวเธอที่บ้านนี้จะคอยหา คุณภักตร์จึงส่งฉันถึงรถยนต์ ๆ ก็เร่งขับกลับมานี่อย่างไร.”
ข้าพเจ้านิ่งแข็งตลึงแล้วร้องว่า “แม้, ถ้าหล่อนขืนเก้าต่อไปอิกสองศอกเปนต้องเสร็จ. !”
พอรู้สึกกายว่าเผลอพูดเจ๋อไป ข้าพเจ้าก็พูดกลบเกลื่อน ถึงหล่อนถามก็ไม่บอกว่าอะไร.
คนบ้านเราตามตัวแม่ปรุงที่เลื่อยล้ามาจากถนนแลตำบลต่าง ๆ นั้นมาบอกข่าวว่า ไม่พบบ้าง ไม่เห็นบ้าง แต่ข้าพเจ้าพูดกลบเกลื่อนเสียว่า “วันนี้จะไปเที่ยวสักที มัวแต่วนเวียนตามตัวกันหมุนไปหมุนมา.”
แต่ขันที่ตาคนทำสวนแกกลับมาดึกกว่าเพื่อน, มาเคาะประตูเรียกจนข้าพเจ้าเยี่ยมน่าต่างออกมา แกรายงานว่าแกไปหลายแห่งไม่พบแม่ปรุง แต่เมื่อกลับมาตามทางนั้นแกเห็นแม่ปรุงขี่รถลากไปกับฝรั่ง ไปทางล่าง.
แม่ปรุงลุกขึ้นจากที่นอนเยี่ยมน่าต่างถามว่า “ทำไมตารู้ว่ารูปร่างเหมือนอย่างฉันที่ไปกับฝรั่ง.?”
“เพราะเก๋เหมือนกัน” แกตอบ.
แม่ปรุงยิ้มทั้งกำลังตื่นนอน ข้าพเจ้าก็แย้มสรวลทั้งกำลังง่วง.