บท ๑๖ ข้าพเจ้าเจอภรรยา

ข้าพเจ้าได้คลายร้อนใจเมื่อได้มาใกล้บ้านคุณภักตร์ ครั้นรู้ว่าเขาไม่อยู่ในบ้านนั้นด้วยกัน ข้าพเจ้ารู้สึกห่างไกลจากเขาทั้งสอง จากภรรยาเปนอาทิข้าพเจ้าใจหาย อกร้อนเผ่า ๆ อยากพบเขาจริง ๆ อยากได้เห็นการแก่ตาให้ถึงที่สุด เมื่อได้คิดว่าถึงไปไม่เจอเขาก็คลาศหวัง ก็ยิ่งทำให้ตกใจใหญ่, คราวนี้ข้าพเจ้าร้อนใจเต็มที่, อยากเห็นเขาให้ถึงที่สุดเปนกำลัง กลัวจะไม่พบเขาก็ยิ่งตกใจใหญ่ กระวนกระวายใจแทบจะคลั่ง.

ข้าพเจ้าถามเพื่อแสวงหาคำปลอบจากนายขบวนว่า “เธอรู้แน่ว่าจะพบเขาหรือ.?”

นายขบวนตอบว่า “ถ้าเขาไปกินเข้าก็ต้องไปที่นั่น.”

ซึ่งเปนคำปลอบว่าคงจะได้พบ แต่ก็ไม่เปนคำแน่

ข้าพเจ้าดูผู้คนแลรถม้า รถยนต์ผ่านไปด้วยความตั้งใจ— ด้วยใจร้อนจัดกำลังเดือดพล่าน.

ถึงอย่างไรก็ดี ทุกย่างเก้าของม้าที่เทียมรถ ทำให้ยิ่งใกล้ที่ซึ่งเรามุ่งหมาย ข้าพเจ้ายิ่งจะได้สมใจที่จะรู้ได้ว่าจะพบหรือไม่ ถ้าพบเขาข้าพเจ้าก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ถ้าไม่พบเขาข้าพเจ้าก็ไม่รู้ว่าจะคลั่งจนถึงกับจะต้องทำอย่างไร.

เมื่อเข้ามาในนครได้แล้วนั้น ใจร้อนของข้าพเจ้ากลายเปนใจหมายปองจะพบ รถผ่านมาในถนนซึ่งนายขบวนชี้บอกสารถี รถม้ารีบวิ่งมาโดยเร็วผ่านโรงน้ำชากาแฟ โรงกินอาหาร โรงดื่มสุรา แลโรง “โชว์” ของขายต่าง ๆ จนถึงที่ห้างร้านใหญ่ที่มีคนจอแจ จนถึงส่วนถนนซึ่งไม่สู้เอิกเกริก นายขบวนแลดูซ้ายขวา, รถม้าของเราก็ขับผ่านไป.

ขณะนั้นนายขบวนร้องว่า “นั่นแน่.” ข้าพเจ้าถามว่าอะไร? เธอกระซิบว่า “ผมรู้แล้วว่าเขาทั้งสองอยู่ที่ไหน.”

ข้าพเจ้าถามว่าอยู่ที่ไหนเล่า? เธอตอบว่าอยู่นั่น แล้วก็ชี้มือชุ่ย ๆ มา ซึ่งข้าพเจ้าไม่ได้สำเหนียกว่าตรงไหนแน่ พอนายขบวนพูดว่า เปนการดีกว่าที่เราจะจอดรถไว้ห่างจากที่สำคัญ คือจอดไว้ในหัวถนนที่ไม่สู้เปิดเผยนี้ เราสองคนเดินเข้าไปในโภชนาคารนั้นดีกว่า.

เขาชวนข้าพเจ้าลงรถเดินสวนทางมา, ข้าพเจ้าประหม่าใจ รู้สึกอึกอักอย่างน่าอนาถ, รู้สึกเหมือนจะได้เห็นเขาตัดฅอมนุษ หรือรู้สึกว่าจะได้เห็นการชั่วร้ายแก่ตา หรือรู้สึกดังจะได้เห็นเปนพยานในการอนาจารอย่างใดอย่างหนึ่ง เปนความรู้สึกอันไม่น่าสนุกเลย ยิ่งใหญ่ไปกว่านั้น—ข้าพเจ้ารู้สึกว่าจะได้เห็นการหยาบช้าต่อภรรยาใหญ่ยิ่ง ที่สุดจนจะไม่อาจดูการหยาบช้าอันนั้นได้.

ด้วยความประหม่าขาสั่นตัวสั่น, สู้อุส่าห์ประทังกายมารู้สึกตัวลอย คล้าย ๆ จะถูกเขานำเอาตัวไปฆ่า ข้าพเจ้าถามนายขบวนเสียงกระเส่า ๆ ว่า ทำไมรู้ว่าเขาทั้งสองอยู่ที่นี่? ท่านสหายตอบว่า “เดี๋ยวซี, เดี๋ยวรู้ – นี่แหน้ะ, เห็นรถยนต์คันนั้นไหม แอบจอดซุ่มอยู่ใกล้กันกับที่สำคัญนั้น คุณจำไม่ได้หรือว่าเปนยานยนต์ของใคร.?”

ข้าพเจ้าเห็นรถยนต์อันอยู่ในที่มืดก็จำได้ว่าเปนรถของบ้านนามร้าย ข้าพเจ้าก็สรรเสิญนายขบวนว่าตาไวดีจริง.

นายขบวนพูดว่า: “คุณเห็นไหมว่ารถยนต์นั้นดับไฟจอดอยู่ ทั้งคนขับก็นอนเสียสบายในประทุนด้วย นี่แสดงเปนนิมิตรร้ายที่สุด.”

ข้าพเจ้าถามว่านิมิตรร้ายอย่างไร. ?

ท่านสหายตอบว่า: “มันแสดงนิมิตรร้ายที่ว่าเราจะพบสิ่งซึ่งไม่น่าดูที่สุด.”

ข้าพเจ้ากำลังหวามใจไม่มีความคิดดำริห์ได้อย่างไร จึงถามว่า “ทำไมมันจึงบอกลางเช่นนั้น.?”

นายขบวนยิ้มพูดว่า: “ทำไมต้องถาม, คนขับรถดับไฟรถเข้านอนในประทุน แสดงว่านายจะกลับดึก คือนายจะเข้านอนพักสักตื่นเสียก่อนจึงจะกลับไป.”

ประโยคนี้ทำให้ข้าพเจ้าสดุ้งกลัวเปนอันมาก ข้าพเจ้าจะทนเห็นเหตุการร้ายโดยอกจะไม่แตกออกมาเสียก่อนได้อย่างไร ! ข้าพเจ้ากายอ่อน, เดินลากขาจึงยึดต้นแขนนายขบวนพลางก็เดินตามไป.

เวลาพึ่งเลยสี่ทุ่ม บังเอินราตรีนี้มีคนนั่งเสพย์สุราน้อย. มีไทยหนึ่งนั่งกินอาหารฝรั่ง มีฝรั่งสองคนนั่งกินขนมไทยแลดื่มสุรา. ข้าพเจ้าดูเขาทั้งหลายด้วยทอดไนยตาอย่างก้ม ๆ เงย ๆ โดยไม่กล้าจะดูสิ่งไรให้เต็มตาได้ โดยกลัวจะเจอของอันน่าชังน่าสยดสยองที่สุดในนามของภรรยาอยู่ร่วมคู่กับชู้.

ข้าพเจ้าอกเต้นใจฅอโหวงเหวงอิดโรยมาก, ถ้านายขบวนไม่เปนหลักจุนไปโดยให้ข้าพเจ้ายึดต้นแขนน่ากลัวว่าข้าพเจ้าจะดำรงกายเดินไปไม่ไหว เราดูไปในสองสามห้องของโรง “เร็สเตอร็องต์” นั้นไม่เห็นสิ่งซึ่งเราต้องการ.

นายขบวนกระซิบว่า “ไปข้างบนเถิด.”

ข้าพเจ้าก็ย่างเท้าเก้าตามขึ้นไป แทบจะลากกายขึ้นไปไม่ไหวด้วยความหวนโหยโรยแรง บนชั้นบนของโรง “เตี๊ยม” นี้มีห้องต่าง ๆ ดังนี้ :— ห้องที่บันไดไปสู่แรกถึงนั้นมีโต๊ะวางสองโต๊ะ สำหรับคนมากินอาหารฝรั่งแลดื่มสุรา ห้องข้างซ้ายมีสองห้องเรียงกัน ฝากั้นทึบออกจากกัน มีซอกทางน้อยจากหัวบันไดตลอดมาทางริมพื้น ทางน้อยนี้เปนทางที่จะเดินเข้าประตูของห้องที่หนึ่ง ถ้าเดินต่อไปก็เข้าประตูห้องที่สอง.

ด้านขวาของห้องโถง ๆ คือ (ห้องกลางที่หัวบันได) ก็มีอิกสองห้องเหมือนกัน แต่จะไปสู่สองห้องนี้หาใช่มีทางแคบจากหัวบันไดนำไปสู่ประตูที่หนึ่งที่สองทางริมๆ หลังห้องเหมือนอย่างห้องข้างซ้ายมิได้.

ถ้าเข้าประตูกลางห้องโถงเราก็เข้าไปห้องที่หนึ่ง ซึ่งจัดอย่างวิธีห้องรับแขก หรือห้องนั่งพักเล่น ที่ผนังหลังห้องนี้มีประตูนำไปสู่ห้องใน ซึ่งเปนห้องนั่งพักเล่นเกมอะไร ๆ ต่าง ๆ หรือพวกผู้ดีจะมานั่งดื่มสุราหรือกินอาหารในห้องในก็ไม่มีใครเห็น ข้าพเจ้าจึงจะเรียกห้องที่หนึ่งว่าห้องรับแขก แลห้องทลุเข้าไปภายในเรียกว่าห้องในที่นั่งเล่น ทั้งสองห้องนี้มี “เฟ็อนิเชอร์” งดงามมาก มีพรมปูเรียบร้อยงดงาม โต๊ะกลางมีผ้าปูโต๊ะสวยงามปูไว้ มีทั้ง “โซฟ็า” คือเก้าอี้นอนยาวน่านั่งเล่นด้วย แลมีรูปภาพงาม กรอบงามแขวนอยู่. “ห้องใน” เคยมีเครื่องเล่น “เกม” เช่นไพ่ หมากรุกฝรั่งเปนต้น.

ความตั้งใจของนายขบวนเมื่อมาถึงชั้นบน แลไม่เห็นมีใครในห้องโถงก็ดีใจ จึงค่อยย่องไปสู่ทางแคบข้างซ้ายเปิดดูห้องนอนที่หนึ่ง แลห้องที่สองไม่เห็นมีผู้คน ไฟฟ้าก็ดับมืดอยู่ ได้ยินนายสถานที่นี้กล่าวว่าสองห้องนี้ถูกจับจองไว้เสียแล้ว.

แต่ข้าพเจ้าสอดตามองดูที่ประตูพิจารณาไม่ได้เลย ข้าพเจ้าพึ่งเห็นความเปนไปของชีพในมหานครในคราวนี้ ข้าพเจ้ามองดูเตียงนอนหมอนมุ้งงามสอาด แล้วถอนใจใหญ่ด้วยความเบาใจที่เห็นทั้งสองห้องว่างเปล่า นายขบวนกระซิบว่า ยังมีอิกแห่งที่จะต้องดู แลกำชับให้ย่องเบา ๆ ที่สุด.

นายขบวนนำมาที่ห้องรับแขกอันอยู่ข้างขวา มีประตูเข้ากลางจากห้องโถง ประตูเปิดอยู่ ในนั้นไฟฟ้าสว่าง ข้าพเจ้าสังเกตดูเห็นเปนห้องสอาดสอ้านประดับประดางดงามดี กำลังข้าพเจ้าเหลียวดูรอบห้องนั้น พอมีเสียงหัวร่อต่อกระซิกกันที่ห้องใน ข้าพเจ้าตกตลึงงันไป มีเสียงมาเข้าหูแน่ไม่ผิดเลย แลเสียงนั้นฟัง ๆ ดูยิ่งจะทำให้หายจากคลับคล้ายคลับคลา ยิ่งฟังยิ่งรู้สำนึกว่าเปนเสียงที่เคยจำได้ ข้าพเจ้าใจหวั่น, โดยความขยาดกลัวใจ ไม่อยากจะให้เสียงเปนเสียงที่หมายมั่นอันนั้น แต่เสียงมีมาถนัดมันเปนเสียงนั้นเสียแน่แล้ว.

เมื่อได้ฟังเสียงแล้วก็ทำให้สติเสีย ยิ่งรู้แน่ตระหนักยิ่งเสียใจ, ยิ่งได้ยินเสียงเขาหยอกกันคิกคักใหญ่ยิ่งใจหวาม, ให้บังเกิดความตระหนกตกประหม่าเปนอันมาก.

นายขบวนโบกมือให้นิ่งฟัง ข้าพเจ้าเมื่อเสียสติแล้วก็ได้คืนสติมา ครานี้อยากเห็นเขาแก่ตา ความอยากยิ่งทวีขึ้น มีจิตงุ่นง่านอยากดูเปนกำลัง เสียงคิกคักส่งมา ยิ่งทำให้ใจเตือนอยากจะเห็นหน้าตาท่าทางเปนอย่างไร, ยิ่งอยากได้เห็นยิ่งกระวนกระวาย, เสียงยิ่งเตือนใจให้อยากดู ยิ่งอยากดูยิ่งไม่เห็นก็ยิ่งคลั่ง, ยิ่งทวีใจกล้า, นึกว่าเปนอย่างไรเปนไป ขอให้ได้ดูได้เห็นแก่ตาจงได้.

ลองลอดตาดูไปทุกช่องฝา มีแต่เจอฝาสนิทปิดมิดชิดไม่แหวกช่องให้เห็นบ้างเลย ความระหายอยากเห็นแทบเปนบ้า .เสียงล้อหยอกยิ่งเตือนใจ ข้าพเจ้าไปค่อยผลักประตูก็รู้ได้ว่าใส่กลอนข้างใน แทบคลั่งแทบจะปีนฝาหรือพังประตูเข้าไปแล้ว พอนายขบวนกระซิบว่า “มาทางนี้.”

ข้าพเจ้าก็ตามนายขบวนออกจากห้องนั้นมา ตรงมาช่องแคบทางเดินเปนชานอยู่จากหัวบันได เปนทางแคบเหมือนอย่างข้างซ้าย แต่ทางนี้ทำไว้เดินหรือเล่น หาได้มีประตูนำสู่ห้องที่หนึ่งที่สอง เหมือนอย่างสองห้องข้างซ้ายมิได้.

นายขบวนกระซิบว่า “จงมาดูทางด้านสกัดจะได้เห็นดี “ข้าพเจ้าก็ตามเขามาที่ทางเดินชานแคบนั้น จึงได้มายังต้นทางเดินส่ายตาดูช่องฝาว่าจะมีแย้มห่างที่ไหนบ้าง.

ที่นั้นเปนที่มืด พอเราเห็นฝาแตกห่างเปนทางยาวสักคืบกว่า มีแสงไฟฟ้าภายในส่องมา นายขบวนชิงดู สอดตาดูก่อน บ่นว่าไม่เห็น ข้าพเจ้าก็ดูบ้าง กระซิบว่าเห็นแต่รำไร ๆ เราจะต้องแหกฝาให้กว้างตามแต่จะได้ แลต้องดูให้เห็นประจักษ์ตาให้จงได้.

นายขบวนจึงชักมีดพับออกมางัดเซาะ, ข้าพเจ้าเห็นดีด้วย จึงช่วยสกัดช่องฝาด้วยอิกคนหนึ่ง ช่องฝาก็แยกออกกว้างเปนทางยาวโดยถูกมีดพับของเราทั้งสอง ฝาด้านสกัดเปนช่องที่ดูเห็นได้ถนัดดีมาก ข้าพเจ้าสอดตาดูตามช่อง ไนยตาก็ติดอยู่ที่ช่องนั้นถอนไม่ออก นายขบวนเห็นข้าพเจ้าไม่ถอนลูกไนยตา โดยเอาลูกไนยตาไปฝังดูเพลินเสียแล้ว ก็ก้มลงสอดศีร์ษะเข้าใต้หน้าข้าพเจ้า ก็สอดตาดูได้ทางปลายช่องแยกห่างของฝา ไนยตาของท่านสหายก็ฝังอยู่ถอนไม่ออก ด้วยติดใจในภาพที่เห็นเหมือนกัน “ฮัลโล.”

ตรงเราข้ามมีน่าต่าง, มีม่านหูรูดผ้าลูกไม้. ภายในไฟฟ้าดวงบนหนักแรงเทียนไขส่องสว่างอยู่ ข้างฝาใกล้น่าต่างมีฟูกที่นอนหนาหลายนิ้วปูอยู่บนพรมซึ่งลาดอยู่กับพื้น, ฟูกหนานั้นจึงหาได้มีเตียงรองมิได้ แต่อยู่กับพื้นฉนั้น บนฟูกปูผ้าขาวแลดูเหมือนเปนผ้า “แบลงเก็ต” งดงามอันใช้คลุมห่มน่าขาในเวลาขี่รถยนต์ คลุมซ้อนผ้าขาว มีหมอนใบหนึ่งด้วย.

ห้องนี้งดงาม มีโต๊ะมีเก้าอี้งามๆ วางอยู่ มีภาพหญิงเปลือยแขวนกรอบงามๆ บน “โซฟ็า” คือเก้าอี้นวมยาวนั้น มีหญิงหนึ่งชายหนึ่งนั่งอยู่ หญิงสาวนั้นคือแม่ปรุงภรรยาที่รักของข้าพเจ้า ชายคือคุณภักตร์อันเปนภูตที่ชังของข้าพเจ้า เขาทั้งสองนั่งเคล้าคู่หยอกยั่วยวนกันอยู่. !

แม่ปรุงนั้นถอดเสื้อนอกเหลือแต่เสื้อฅอชั้นใน คาดเข็มขัดเอวกลม น่าอกตุ่ย อย่างข้าพเจ้าได้เคยเห็นแล้ว เมื่อนางบำเรอได้ถูกบังคับให้เดินโต๊ะปรนิบัติเราคราวกินโต๊ะใหญ่ในบ้านนามร้ายนั้น.

อาการต่าง ๆ เปนรายเลอียดซึ่งคุณแกลบได้บอกข้าพเจ้านี้มาปรากฎอิก ภูตตนนั้นเล่าความแก่ข้้าพเจ้าไม่ใช่คำเหลวไหลเลย. เขาเลยจูบกันให้ฟอดๆ ฝ่ายผู้หญิงมีกระดิกกระดี้รี่สำออยใหญ่ไปด้วย เปนการดูยิ่งเกิดพิศวงมาก ๆ.

ภาพเช่นนี้ อันแสดงหนุ่มสาวเปนของน่าทัศนาชวนผู้ดูให้นิยมชมชื่นนั้นก็จริงอยู่ แต่เมื่อแม่ปรุงอันงามสง่าโสภาเพราพริ้ง ใครๆ เห็นรูปโฉมงามประโลมลานเปนที่ติดตาติดใจนั้น มาได้แปลงเครื่องอาภรณ์แลเปนลครตัว “โชว์” ในเรื่องประโลมโลกยนี้ด้วย มันจึงเปนการน่าทัศนายิ่งไปใหญ่ เปรียบเหมือนดูลครไทยมันยิ่งทวีการน่าดู ถ้านางรำจะทรงโฉมงามประโลมลานแลรำงามด้วย.

แต่เมื่อแม่ปรุงมาเปนตัวนางแล้ว จะต้องการพิศวงดูท่าไหนมันน่าดูไปทั่วทุกสิ่ง ไนยตาหล่อนเปนประกาย, แก้มหล่อนแดงเปนพวงเปล่งปลั่ง, ปากแดงราวกะสีลิ้นจี่แต้ม, ยิ้มพรายงามสง่าเห็นฟันเรียงรายเปนมันดำ, ไนยตาคม, ผมไรแตก, คิ้วก่ง, ฅอรหงงามงอน, แน่งน้อยอรชรน่าชมสมรูปพร้อมทั้งท่วงทีกิริยา.

ข้าพเจ้าจ้องตาตกตลึงเหมือนนายขบวนซึ่งฝังตาอยู่ ไม่รู้จักเขยื้อนเคลื่อนถอยไปจากช่องน้อยอันเปนช่องแสดงทำนองอันน่าพิศวงที่สุดในโลกนี้.

เดิมทีข้าพเจ้าตลึง แต่พิษรักพิษสวาทมันกลัดกลุ้มเกินไปนัก ความยวนใจได้เร่งคลานเข้ามาหาเส้นประสาท, ความอนาถตาอนาถใจยิ่งดูดดื่มให้ซึมไปทั่วสิ้นวิญญาณ, ยิ่งสทกสท้านหวั่นกลัว, ยิ่งสมเพชเวทนาตัว, ความดีที่มีต่อหล่อนทั้งสิ้นหล่อนไม่ปลูกฝังความรักได้ เสียดายที่เคยหวงแหน, เสียดายได้เคยห้าม, เสียดายที่ได้ประคองสงวน, สงวนชม, สงวนใจ. ตามใจสารพัด เสียแรงเรารักกันมากมายมาเสียเปล่า น่าอนาถซึ่งจะหลงคนชาติสัตวถุลเช่นนั้นได้ น่ารังเกียจที่ไม่รู้สำนึกกาย.

บัดนี้ข้าพเจ้าได้มามองถึงที่สุดของการร้ายที่เปนไป ข้าพเจ้าได้เห็นแก่ตาในความชั่วของเขาเสียแล้ว ถ้าโฉมงามทำลามกได้ถึงเพียงนี้ โลกนี้จะเต็มไปด้วยความลามกสักเพียงไหน. ?

อกข้าพเจ้าแสนอนาถหวาดหวั่นไหว รู้สำนึกไม่มีเยื่อใยโลกนี้, รู้สำนึกว่าทุกสิ่งไม่เปนแก่นสาร, รู้สำนึกว่าเราทั้งหลายต้องจากของรัก, รู้สำนึกว่าคราวนี้ข้าพเจ้าต้องแสนทุเรศยิ่งกว่าจากของรัก, เพราะมันขมขื่นเสียหายแลทุกข์ทรมานกว่านั้นไป จากของรักมีแต่เสียของ แต่คราวนี้เสียความสุข, เสียเกียรติยศ, เสียหน้า, เสียการสามัคคี, เสียที่รักที่ชมทุกอย่างทุกสิ่งไป. ในโลกนี้เปนที่ขยะแขยงใจ ในโลกนี้น่าที่จะไม่มีอะไรสอาดบริสุทธิ์.

พุโธ่เอ๋ย, แม่ปรุง แม่แก้วตา, ไฉนแม่ทำได้ถึงเพียงนี้, ไม่รู้ตัวทำอะไร, ไม่รู้ตัวทำชั่วยั่วใจคนที่มองดูให้ช้ำระกำใจ, แม่ไม่รู้ตัวว่าผัวเคยรักใคร่ ทำลืมความเก่าเสียหมดได้ถึงเช่นนี้ เสียแรงตั้งอกตั้งใจจะอยู่ด้วยกันจนวันตาย จนล่วงลับดับชีวี เสียแรงตั้งใจจะถนอมให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไปมากกว่านี้ มิให้แม่มีอนาทร เสียแรงไว้หวังตั้งใจฝากรัก ฝากชีวี ฝากสมบัติพัศถานบริวานบ้านเรือน เสียแรงหวังเปนเพื่อนยาก แม่ไม่รู้เลยว่าทำการร้ายเช่นนี้ จะต้องตัดทอนความหลังของผัวผู้อยากให้เสื่อมถอยแตกหักสิ้น.

ข้าพเจ้าขาสั่นระรัว ใจหวิว อกหวาม วิญญาณราวกะจะแตกทำลาย เหื่อตก ตาฝ้าฟาง หน้ามืด หายใจเร็วเหมือนหืดหอบ หายใจร้อนพ่นรดหน้าข้างล่างซึ่งกำลังตั้งตามองดูอยู่.

ปากของหน้าข้างล่างกระซิบบอกว่า “อย่าวุ่นวาย ดูให้ตลอด” แต่ข้าพเจ้าดื่มความทุกข์วิโยคยากเย็นแลความอัดอั้นตันใจเข้าไปแสนสาหัสเสียแล้ว ข้าพเจ้าพึ่งรื้อไข้ ข้าพเจ้าได้ป่วยหัวใจมาสองอาทิตย์ ข้าพเจ้ายิ่งป่วยหนักมาได้สองสามวัน ซ้ำวันนี้ข้าพเจ้าก็ได้รับความวุ่นวายกังวลใจอย่างที่จะทำให้ใจขาดได้ทุกๆ นาทีมาตลอดวัน บรรจบเข้าราตรีนี้เสียแล้ว ทั้งภาพที่แสดงปรากฎอยู่นั้น เปนภาพแสลงหัวใจข้าพเจ้ามากที่สุดในโลกนี้ เปนสิ่งดูให้เกิดทุเรศสมเพชกายตัวข้าพเจ้าเองมากที่สุด ข้าพเจ้าน้อยใจในภัพของตัวมากที่สุด, โรคกำเริบ ความไข้กระตือรื้อขึ้นใหม่ ข้าพเจ้าใจหายวาบวับ ร้องขึ้นได้คำเดียวก็ล้มลงทับหน้าภายล่างซึ่งฝังไนยตาติดอยู่ข้างฝานั้น ทำให้ศีร์ษะกระทบกัน แทบชวนให้สหายล้มคมำไปด้วย.

ข้าพเจ้าได้ร้องว่า “โอ๊ย แม่ปรุง- !” แล้วก็ล้มลงดังท่อนไม้ ท่านสหายตกใจ ได้ถูกปลดไนยตาจากรูช่องฝาโดยแอ๊คสิเด็นส์, เธอตกใจ มารองรับข้าพเจ้าไว้หมายว่าใจหายจนล้มสลบ หรือว่าอกแตกล้มลงชักดิ้นจะสิ้นใจ ทำให้ท่านสหายตกใจยิ่งนัก กระซิบว่า “เปนอย่างไร บอกเร็ว.”

แต่ความมานะของข้าพเจ้าซึ่งได้ริฝึกหัดให้เกิดมีขึ้นได้นั้น ในคราวนี้ได้เกิดมีมาใหม่อิก ข้าพเจ้าทลึ่งลุกขึ้น พูดว่า “เร็ว! เราต้องเข้าไปในห้องนั้นโดยเร็ว!”

ข้าพเจ้าอยากไปดูหน้าชู้มันจะทำอย่างไร แลอยากดูหน้าภรรยาว่าหล่อนจะแสดงการเห็นปลาดอย่างไร จะรู้สำนึกไหมว่า การเล่นเกมนี้เปนสิ่งที่เลวที่สุดที่มนุษจะทรมานในที่รักได้ ข้าพเจ้าร้องเตือนว่า “เร็ว! เข้าห้องเร็ว !”

ข้าพเจ้าวิ่งขึ้นน่ามาเข้าประตูนอกแล้วก็พยายามกำลังผลักประตูในจะเข้าห้องอันได้แสดงภาพร้ายที่สุดซึ่งเกิดมาข้าพเจ้าพึ่งเคยเห็น แลทำให้ข้าพเจ้าอนาถใจไปชั่วชาติด้วยความอนาจารของภาพนั้น.

ภายในห้องเสียงดังฟี ๆ เปนนาน คล้ายลมได้ไขออกจากยางล้อรถจักรยาน แลมีเสียงฝีเท้าดังกึกกักตึงตัง.

นายขบวนวิ่งตามติด ๆ มาช่วยข้าพเจ้าผลักดันประตู ๆ ซึ่งอ่อนเหยิบ ๆ แต่ติดสลักหาเปิดให้ไม่, ข้าพเจ้าออกคำสั่งว่าจงพังเข้าไป เราสองคนจึงช่วยกันดันเต็มแรงกลอนประตูก็หัก, ประตูก็เปิดผาง, ข้าพเจ้าก็กระเด็นเข้าไปในห้อง นายขบวนก็ตามเข้าไปเพื่อป้องกันอันตรายให้ข้าพเจ้า.

ในห้องนั้นเห็นแม่ปรุงนั่งอยู่คนเดียว. !

ที่นอนไม่มี หมอนไม่มี ชู้ไม่มี หายหมด.!

อะไรกัน ปลาดจริง แต่ความปลาดมีแก่แม่ปรุงนั้นใหญ่ยิ่ง เมื่อกี้หน้าแดง เดี๋ยวนี้น่าซีด เมื่อกี้พ่วงพีมีกำลัง บัดนี้อ่อนกำลัง เมื่อกี้ผาสุกสนุกสบาย บัดนี้ทุกข์ใจ เมื่อกี้หัวร่อต่อกระซิก บัดนี้น้ำตาล่อหน่วย เมื่อกี้ร่างกายดีดดิ้น บัดนี้ร่างกายสั่นอยู่สะเทิม ข้าพเจ้าได้เห็นของปลาดมากจริง ๆ แล้ว เมื่อกี้เห็นคนกระชุ่มกระชวย บัดนี้เห็นคนนั้นเปลี่ยนแปลงไปทุกลักษณะ ไนยตาที่ได้ชายคมคายเปนประกายด้วยจิตร่าเริง บัดนี้ไนยตาตื่น ไนยตาแดง ขยาดหวาดเสียว แต่สิ่งที่ปลาดที่สุดนั้น คือชู้นั้นหายไปไหน มันนั่งอยู่เมื่อตะกี้ ทั้งที่นอนแลหมอนแลผ้าปูที่นอนหายไปไหน.

นายขบวนเที่ยวดูใต้ตู้ ใต้ “โซฟ็า” แลใต้โต๊ะ ก็ไม่เห็นมีอะไรทั้งสิ้น.

“แม่ปรุงมาอยู่นี่ทำไม?” ข้าพเจ้าพูด.

“นี่เธอมาเมื่อไร?” หล่อนถาม.

“แม่ปรุงทำไมทำได้ถึงเพียงนี้ ?”

“ฉันทำอะไรคะ ?”

“ทำไมถามฉัน กินอยู่กับปาก อยากอยู่กับท้องเมื่อกี้ทำไมกลับย้อนถาม ทำไมไม่ตอบว่าทำไมหล่อนทำการได้ถึงเพียงนี้.”

“ฉันทำอะไร. ?”

“ตายจริงเมื่อกี้ฉันกับนายขบวนเห็นหล่อนร่วมประเวณีอยู่กับคุณภักตร์อย่างไร.”

“ตายจริง ตายจริง หาความฉันได้ นั่นหาความฉันเรื่องอะไร.?”

“หาความว่าหล่อนมีชู้ มานั่งเล่นชู้ถึงที่นี่.”

“พุโธ่ ตายจริง ฮือๆ.”

หล่อนร้องไห้สอื้น ข้าพเจ้าตื่นใจ เพราะข้าพเจ้าไม่เคยดุให้หล่อนร้องไห้เลยสักครั้ง. น้ำตาของเจ้าหล่อนทำให้ข้าพเจ้าใจอ่อน. วันนี้ข้าพเจ้าได้มีทุกข์จุกใจตลอดวัน แท้จริงข้าพเจ้าได้มีทุกข์มาตลอดสามอาทิตย์นี้แล้ว พึ่งมาพบดวงหน้าซึ่งเคยทำให้ข้าพเจ้าชื่นบานเหมือนได้ต้องน้ำอมฤตยมาแต่ก่อนนั้น ความชินตาชินใจทำให้ข้าพเจ้าเผลอใจไม่ยั้งสติ ข้าพเจ้าลุ่มหลงโศกกำศรดไปในรสเสน่ห์ในดวงหน้าซึ่งเคยชวนชื่นทำให้ข้าพเจ้าใจอ่อน น้ำตาอันหลั่งใหลของหล่อนทำให้ข้าพเจ้าลืมภาพเมื่อกี้เสียแล้ว.

พอหล่อนโถมกอดขาข้าพเจ้าด้วยแสดงความโศกเพียงอกแตก ข้าพเจ้ารู้สำนึกใจทุเรศซึ่งปรากฎแก่หล่อนมาแทงใจข้าพเจ้า ๆ ก็กอดประทับหล่อนไว้แต่อก นั่งลงบนเก้าอี้ยาวด้วยกันทับที่เจ้าชายชู้นั้น ชวนใจให้ข้าพเจ้าไหวหวั่น แสนสงสารเปนอันมาก รู้สำนึกว่าเปนโทษของข้าพเจ้าทิ้งหล่อนไว้ให้ใกล้ยักษ์มารอันได้ชวนฉีกเลือดเนื้อหล่อนกินเปนอาหาร ทำให้หล่อนเจ็บแค้นแสนเทวศไม่รู้จักคืนดีได้.

ข้าพเจ้าอนาถใจเปนกำลัง น้ำตาไหลหลั่งลงด้วยกัน นานวันมาแล้วไม่ได้ยลภักตร์, นานวันมาแล้วไม่ได้สัมผัศกาย, พอได้กอดนาบนาสาความปลื้มนั้นมันทำให้ลืมความขุ่นหมองเสียหมดได้. จริงอยู่ น่าฉงนใจว่าทำไมจึงเผลอตัว ลืมเหตุชั่วร้ายได้โดยเร็ว แต่ผู้ซึ่งได้ทรมานกายมาโดยตรากตรำ มาได้ถูกต้องสัมผัศเนื้ออ่อนนุ่มลมุนลมัยเปนคราวสัมผัศซึ่งนำความปลื้มความพิศวาศเก่าก่อนมาให้ปรากฎแก่ผู้กำลังซึมเซ่ออ่อนแรงอ่อนใจ ด้วยความทุเรศละห้อยอาไลยทำให้ปลาบปลื้มนั้นซึมไหลมาโดยถูกต้องกายาอันนุ่มนิ่ม ชวนให้ฝากกาย ฝากใจ ฝากรักใคร่แก่กายอ่อนนั้นไว้อย่างเดิมอิก.

หล่อนทอดกายทับข้าพเจ้าร้องไห้น่าสงสาร ถามว่า “เธอพึ่งมาจากหัวเมืองหรืออย่างไร ไม่บอกให้ฉันรู้ตัว? ข้าพเจ้าได้ประคองรับขวัญแก้วตา ยิ่งแสนสงสารในที่จากไปได้พบกัน ข้าพเจ้าถามว่า หล่อนทำไมมานั่งอยู่ที่นี่คนเดียวดาย. ?

หล่อนตอบว่า มาดูหนังกับเด็กหลายคน หล่อนป่วยเลี่ยงมาพักยังห้องรับแขกห้องนี้ เด็ก ๆ ดูหนังต่อไปแลได้รับคำสั่งให้กลับบ้านแล้ว.

หล่อนร้องไห้หนัก ท่าจะร้องไห้เสียดายตัว แลร้องไห้รักตัวเองแลข้าพเจ้า อำนาจน้ำใจโศกของหล่อนไหลมาชวนให้ข้าพเจ้าแสนสงสาร น้ำตาข้าพเจ้าไหลร่วงพรู ๆ แล้วรู้สึกเปนเลา ๆ ว่าหล่อนไม่ซื่อตรง. ได้สำนึกก็สดุ้งกาย ข้าพเจ้าสอื้นกล่าวว่า “โอ้แม่ปรุง ขอให้บอกฉันคำเดียวว่าหล่อนไม่รักฉัน แล้วฉันจะก้มหน้าไปตามยถากรรมคนเดียว.

หล่อนสอื้นตอบว่า “ฉันรักอยู่เสมอไม่วายเวลา ทำไมมาถามกระนี้ได้.”

ข้าพเจ้าร้องไห้ อ่อนใจ รู้สึกโศก รู้สึกเพลีย เสียใจ ละเหี่ยใจ เคลิบเคลิ้มไปทุกอย่าง ด้วยความไข้อันรุมในใจยังมีเชื้อสะสมอยู่มาก ได้พบแม่ยอดรักได้กอดไว้ในกำมือ รู้สึกใหลหลงงงงวย ข้าพเจ้าเพ้อบ่นรำพรรณว่า “โอ้ แม่ปรุง นี่หล่อนหรือใคร, หล่อนรักหรือไม่รัก บอกคำเดียวแล้วฉันตัดใจได้ นี่ใครเขาจะมาพรากหล่อนไปจากฉันหรือไม่ใช่ ถ้าหล่อนไม่รักใคร่ฉันขอก้มหน้าไปตามกรรม.”

นายขบวนคงรู้ทีว่าข้าพเจ้าป่วย พูดเพ้อไปไม่ใคร่ได้สติ เธอมีน้ำตาคลอตาสงสารข้าพเจ้าว่าได้สำนึกทรมานกายแลใจมามากเพียงใด เห็นข้าพเจ้ากอดภรรยาไว้แน่นไม่รู้คลาย ราวกะจะฝากกายไว้ไม่ให้ไกลตลอดชาติ เธอเห็นข้าพเจ้าบ่นรำพรรณเพ้อเจ้อไปด้วยใจอาวรณ์, เห็นเราพากันร้องไห้ฟูมฟายไม่สมประดี เธอตื้นใจ จะดูอยู่นานไม่ได้ เธอจึงเตือนให้เรารีบกลับไปบ้าน.

แม่ปรุงจัดกายแล้วประคองข้าพเจ้ามาขึ้นรถม้าซึ่งนายขบวนไปเรียกมาจอดตรงน่าประตู เธอพยุงข้าพเจ้าขึ้นนั่งข้างภรรยา ข้าพเจ้าถือแผนฝรั่งกอดฅอหล่อนไว้ พอรถขับไปถึงที่มืดหรือเปลี่ยวคนแห่งใดข้าพเจ้าก็ฟอดให้ทุกที เปนทั้งนี้เพราะใจฅอไม่สมประฤดี.

เมื่อขึ้นรถจะกลับนั้น นายขบวนได้ถามข้าพเจ้าเหมือนกันว่าจะให้เขาไปส่งจนถึงบ้านด้วยไหม เพราะเขากลัวภัยกลางทาง แต่ข้าพเจ้าตอบว่าไม่เปนไร ไม่ต้องกลัวอะไร ท่านสหายจึงยอมให้เรามากันสองต่อสอง, ตัวเธอนั้นจะกลับมาโดยรถลาก แต่จะเดินเตร่เสียก่อนจึงจะกลับ เพราะบ้านเธออยู่ในพระนครนั้นเอง ไม่เหมือนบ้านเราซึ่งอยู่ถนนสระปทุม แลได้พูดแก่ข้าพเจ้าเมื่อเราได้ขึ้นรถแล้วว่า :—

“คุณว่าคุณจะอยู่บ้านผมสักสองสามปี นี่อยู่ได้ไม่ทันถึงคืน, กลับหาเมียแล้ว.”

ถึงบ้าน แม่ปรุงให้ข้าพเจ้าอาบน้ำชำระกาย หล่อนได้ไปอาบน้ำด้วย หล่อนให้น้ำหอมซึ่งทาเข้าหอมฟุ้มตระหลบห้อง หล่อนนำให้ข้าพเจ้าเข้านอนพักกายในห้องนอน แลพัดวีให้เย็นใจสบายอารมณ์ ช่างผิดกับชีพอันทรหดที่ได้เคยลองมาแล้วจากหัวเมืองนี่กระไร.

นอนบ้านช่างสำราญใจ ให้ภรรยาปรนิบัติยิ่งทำให้ร่างกายเปนสุข การยิ้มแย้มยั่วยวนของหล่อนชวนให้ลืมความลำบากตรากตรำ หล่อนทำให้รู้สึกสุขสบายเหมือนได้ขึ้นสวรรค์อันมีนางเทพธิดาเนื้อนุ่มนิ่มมาเปนบาทบริจา กลิ่นหอมทำให้หายทรวงสลด, ดวงหน้าของหล่อนชวนให้เพลินใจ ด้วยว่าหล่อนนั้นงามชวนประโลม.

ดูแม่ปรุงช่างใจดีนี่กระไร ร้อนตัวกลัวผิดมาครานี้เฝ้าปรนิบัติทุกท่ามิให้สามีระคายเคือง ข้าพเจ้ากอดหล่อนไว้แนบกาย รู้สึกเหมือนได้ขึ้นสวรรค์ทั้งเปนกับเขาใหม่ ข้าพเจ้าหลงรูปเสียงกลิ่นรส ดูเหมือนทุกสิ่งหอมหวานชุ่มชื่นไปหมด ข้าพเจ้ามัวลุ่มหลงกกกอดยอดสร้อยใจด้วยพิศวาศไม่เปนสมประฤดี ด้วยความงงงวยเสนหาอาไลย ฝากรัก ฝากกาย ฝากความสามัคคีไว้ ไม่รู้จักลืมรสชาติเลย.

จบภาค ๑ ภาค ๒ มีต่อไป

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ