บท ๓ วิวาห์การ

กำหนดการวิวาห์ในระหว่างหนุ่มสาวของเราไม่เนิ่นนานนัก เปนการสมอกสมใจของทั้งสองฝ่ายที่ได้กันทันใจ ด้วยว่าใช่แต่ข้าพเจ้าจะหลงรักหล่อนฝ่ายเดียว ข้างฝ่ายหล่อนมีความอยากเร่งวิวาห์หาความอิศรภาพมากกว่าฝ่ายข้าพเจ้าเสียอิก เพราะฉนั้น ในการรีรอต่อการวิวาห์เมื่อทั้งสองฝ่ายกินใจรักกันซึมดีแล้วนั้นไม่ใคร่มีผลเท่ากับด่วนวิวาห์ให้รู้แล้วรู้รอดไปเสียดีกว่า เราได้กันโดยเร็วสมใจรัก โดยใช่เหตุบุพเพสันนิวาศอย่างเดียว เปนโดยที่ฝ่ายชายรักหญิงก็เร่งเตือนให้ผู้ใหญ่เร่งจัดแจง ฝ่ายหญิงรักชายก็เร่งเตือนผู้ใหญ่ให้รีบจัดแจง แลเมื่อผู้ใหญ่ตั้งใจเจตนาเช่นนั้นอยู่แต่แรกทั้งสองฝ่ายแล้ว ถึงให้ผู้หญิงเปนเยี่ยงเทวดามาก็ไม่คลาดวิวาห์หรือชักช้าไปได้.

ในระหว่างผู้ใหญ่สู่หาว่าวอนกันนั้น ข้าพเจ้ายังจำได้ว่าข้าพเจ้ามีความรู้สึกอย่างไร? ข้าพเจ้ารู้สึกเหมือนได้ของลอยฟ้าลงมาดิน รู้สึกเหมือนอย่างเรื่องลครที่ได้สมดังใจนฤมิตร์ มันเปนการน่าพิศวงที่จะสำนึกได้ว่าข้าพเจ้าจะได้กับแม่ปรุงโฉมงามทรามสวาทยอดเสน่หาให้สมดังใจจินตนาได้พลันทันที มันเปนเดชะบารมีแห่งความมุ่งรักของเราทั้งสองฝ่ายอันแก่กล้า ย่อมนำมาซึ่งผลสำเร็จสมมาทหมาย.

เมื่อข้าพเจ้ากลับถึงบ้านคราวนั้น ข้าพเจ้าได้บอกแล้วว่าดูราวกะมีชีพใหม่ เห็นอะไรไปอย่างอื่น จิตร์ใจกลายเปนอย่างอื่น เสียงครึกครื้นที่ฟังอย่างแน่นแฟ้นเปนเสียงฟังดังเสียงกลวงกระแสดังวังเวง สิ่งที่ดูน่าเพลิดเพลินเจริญใจ กลายเปนสิ่งซึ่งไม่ชวนดู บ้านที่อยู่ราวกะคล้ายป่า ไม่มีสำผัศาเหมือนเรือนเย่าของเรา ห้องนอน เปนห้องซึ่งเปลี่ยวเปล่าผิดสำเหนียกไปทุกอย่างเหล่านี้ เพราะใจเปลี่ยน ทำให้ไนยตาแลความรู้สึกเปลี่ยน ข้าพเจ้าได้ทะนงใจว่าเคยรัก เคยสวาทใจมาแล้ว จะไม่หลงไปในรักอิกได้ง่ายต่อไป แต่การหาเปนเช่นนั้นไม่ คราวนี้ย่อมเปนทีแรกรักก็ว่าได้ เพราะรักแท้ ไม่ใช่รักปลอม แลภาพของความสัญญาให้รักนั้นนำทางให้รักจริง ชวนใจยิ่งสมเหตุที่เรียกว่า “รักแท้” กล่าวคือรักใครก็ไม่งามเท่ารักหล่อน มารักแม่ตากลมรูปหล่ออันมีจริตกาย, วาจา, ใจ, เปนลูกล่อบ่มให้รักพิศวาศนั้นย่อมทำให้ใจหนุ่มไม่เปนสมประฤดีอยู่เอง จึงสำเหนียกสิ่งแลบุคคลรอบข้างผิดธรรมชาติไปหมด.

เมื่อได้นอนหนาวใจอยู่ไม่หลายราตรี เปนการดีมากที่ข้าพเจ้าได้มีโอกาศหาหล่อนอิก แท้จริงโอกาศนั้นคุณหลวงดำริห์ยอมให้มีเสมอที่จะสู่หายังบ้านท่านได้.

ข้าพเจ้าชวนสหายอิกคนหนึ่งชื่อนายพิศ ซึ่งเคยไปดูแห่ชักพระด้วยกัน เพราะนายขบวนซึ่งเคยมาเที่ยวก่อนนั้นติดเวนเสียมาไม่ได้ เมื่อถึงบ้านสวนนั้นพบหลวงดำริห์ผู้พิพากษานอกราชการซึ่งชอบหัวร่อบ่อยกว่าเก่าหน้าบานกว่าเก่า แลพูดสัพยอกข้าพเจ้ามากกว่าเก่า เปนเหตุทั้งนี้เพราะท่านได้ข่าวดีจากคุณแม่ข้าพเจ้า แลท่านไม่รังเกียจข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้าพูดตัด ๆ ปัดไปว่ามาสองคน มาเที่ยวดูสวนเล่น ต่อมาไม่ช้าเราสองหนุ่มก็มีโอกาศถอยจากการสนทนากับท่านผู้ใหญ่ได้ มาเที่ยวเร่ร่อนอยู่ในสวน.

นายพิศติดผิวปากเพราะความวังเวงพาใจเขาทำเช่นนั้น แต่ข้าพเจ้าฟังเสียงนกร้องยิ่งคนึงถึงหล่อน คิดเสียใจว่าหล่อนคงจะไม่มาเที่ยวเดินเล่นด้วยกันเสียแล้ว จะต้องไปใกล้เรือนอิกจึงจะได้พบได้เห็นหล่อนกระมัง กำลังดวงจิตร์ผูกคิดอยู่ที่หล่อน.

พอนายพิศพูดว่า “เกลอจะมาได้เมียอยู่สวนนี้หรือ.?”

ข้าพเจ้าไถลพูดอื่นไปเสีย.

สักครู่เขาพูดว่า “แม่คนที่เราเห็นเมื่อวันแห่ชักพระนั้นควรอยู่ในพระนครสำหรับโชว์.”

ข้าพเจ้ายังไม่ทันตอบคำของเขา พอเด็กหนุ่มวิ่งตามมาพูดว่า “คุณขอรับ กินมะพร้าวอ่อนไหม? ผมจะขึ้นเฉาะให้ดื่มน้ำ.”

นายพิศชิงพูดว่า “พะผ่า เมื่อเรามาไม่เห็นสาว เรากินมะพร้าวแก้ฝาดใจไว้พลางดีกว่า.”

ข้าพเจ้าขัดใจไม่ทันปริปาก เขาก็รีบเดินตามเด็กหนุ่มคนนั้นไปให้มันขึ้นมะพร้าวอ่อนเฉาะกิน.

ข้าพเจ้ายืนเหลียวหลังชะเง้อหาสิ่งที่ใฝ่ใจ ก็พอเห็นสิ่งนั้นเดินมากับเด็กหญิงหนึ่งแลเด็กชายที่เปนน้องหนึ่ง สิ่งนั้นคือแม่เจ้าประคุณซึ่งข้าพเจ้าอยากจะเห็นหน้าอิกไม่วายเวลา หล่อนเดินมาทำให้ข้าพเจ้าซึ่งเห็นสรรพสิ่งต่าง ๆ เหมือนอย่างฝันไปนั้นกลายเปนเห็นจริง ๆ ตามธรรมชาติ เดิมเห็นต้นไม้ก็เหมือนเห็นในฝัน ด้วยว่าใจพะวงเห็นหล่อนในนามธรรมนึกใฝ่ฝันถึงเปนหลักไว้ในดวงวิญญาณทำให้เห็นอะไร ๆ เหมือนเห็นเปนเลา ๆ อย่างในฝัน ครั้นบัดนี้มาเห็นหล่อนตัวจริงเข้า สรรพสิ่งทั้งหลายทำให้ข้าพเจ้าได้สำเหนียกจริงไปหมด เช่นเห็นต้นไม้ก็เห็นเปนต้นไม้จริง ไม่เห็นเปนเลา ๆ เช่นนี้แล้วก็นำความรู้สึกอันเสียวสร้านด้วยโสมนัศมาให้แก่ใจบริบูรณ์.

หล่อนยิ้มมาแต่ไกล แต่ข้าพเจ้าสังเกตได้ว่าหล่อนดูเซื่อมซึมโศกละห้อยผิดปรกติ ดูท่าทางเศร้าสร้อยไม่ร่าเริงเบิกบานเหมือนอย่างลักษณะคราที่ได้เห็นวันแห่ เมื่อข้าพเจ้ากลับบ้านแล้วด้วยพิษแห่งความรักจ่อใจข้าพเจ้าหนักขึ้น จึงคิดได้ว่าใจหญิงนั้นยิ่งอาวรณ์มากกว่าชายไปเสียอิก เมื่อได้รักกันแล้วมาอยู่ห่างต่างบ้าน ฝ่ายชายสิอยู่ในที่ใกล้พระนครอันครึกครื้น แต่ฝ่ายหญิงอยู่ในที่สันโดษฐวิเวกใจในป่าสวน พ้นเขตเรือนไปก็มีแต่เสียงนกเสียงกา ไกลจากความสนุกรื่นเริง เวลาเย็นตวันรอน ๆ น่าอ่อนใจ ได้เห็นแต่น้ำไหลในคลอง นาน ๆ จึงจะได้เห็นเรือผ่านมาสักลำ เวลาค่ำก็มืดครึ้มมีแต่เสียงจิ้งหรีดแลเรไรส่งเสียงมา ไม่เหมือนอย่างฟากข้างพระนครหลวงอันครึกครื้นไปด้วยเสียงกลองหนังกลองลคร เพราะฉนั้นในน้อยวันทำให้แม่ปรุงกลายจากความร่าเริง มีอาการซึมโศกถึงเพียงนี้.

หล่อนยิ้มมาแต่ไกล ข้าพเจ้ายิ้มรับ ได้เคยพูดกันแต่ครั้งเดียว เห็นกันอิกราวกะว่าได้รู้จักกันแล้วนานปี ด้วยใจเราทั้งสองฝ่ายรู้ใจตรงกัน.

หล่อนบอกน้องชายว่า “พ่อเปรมไปหานายเจียรสิ.”

เด็กชายนั้นก็วิ่งมาแต่ไกลโถมกอดเอวข้าพเจ้า พูดว่า “ชอบอยู่สวนด้วยกันไหม, นายเจียร.?”

ข้าพเจ้ายิ้มตอบว่า “ชอบอยู่ในพระนคร แต่คิดถึงสวนอยู่ไม่วาย.”

พ่อเปรมถามว่า “นายเจียรจะมาเปนผัวคุณพี่ใช่ไหม. ?”

ข้าพเจ้าได้ยินเปนคำถามอันองอาจแลน่าขันก็กลั้นยิ้มไม่ได้.

พ่อเปรมพูดต่อไปว่า “คุณพ่อว่าจะให้คุณพี่เปนเมียนายเจียร แล้วไปอยู่ฝั่งโน้น คุณพี่ว่าดูหนังยี่ปุ่นสนุก นายเจียรให้ฉันดูด้วยคนน่ะ.”

ข้าพเจ้าตอบว่า “อยากพาพ่อเปรมไปเสียแต่เย็นวันนี้เสียอิก.”

แม่ปรุงเข้ามาใกล้ถามว่า “ทำไมข้าพเจ้าไม่มาทุกวัน?” ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกโทษของตัวที่ทำห่างเหิน แล้วหล่อนพูดว่า “ตั้งแต่คุณแม่ยกบ้านมาเที่ยวเล่นยังสวนนี้แล้ว ทำให้หล่อนอยากไปบ้านคุณแม่บ้าง จะไปเมื่อไรก็ไปได้คุณพ่อไม่ขัดขวางหล่อนเลย ไม่ว่่าจะไปไหน ไม่ว่าจะทำอะไร แต่ซึ่งหล่อนคิดถึงอยากไปหาคุณแม่ยังบ้านข้าพเจ้า แต่ไม่กล้าไปนั้นเพราะผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายยังเจรจาว่ากล่าว (ด้วยการสู่ขอ) กันอยู่.

ข้าพเจ้าบอกว่า “ได้หาผ้าห่มสี่เหลี่ยมมาให้ผืนหนึ่งเพื่อตอบแทน จะมอบให้หล่อนทีเดียวหรือจะบอกให้คุณหลวงรู้เสียก่อน.”

หล่อนยิ้มตอบว่า ไม่ต้องบอกคุณพ่อก่อนเลย เพราะหล่อนเปนจ่าอยู่ในบ้านนี้ แล้วหล่อนรับเอาผ้าสี่เหลี่ยมอันมีริ้วตาไหมนั้นจากมือข้าพเจ้า พูดขอบใจว่าจะห่มเสมอๆ แลจะบอกคุณพ่อให้ขอบคุณอิกซ้ำหนึ่ง.

หล่อนว่า “แต่เพียงฉันให้ดอกบัวดอกเดียวก็ได้ตอบแทนถึงผ้าริ้วไหม ฉันจะต้องสนองคุณโดยแถมดอกไม้ให้คุณใหม่อิก เวลาไปฉันจะมอบดอกไม้ช่อหนึ่งให้ไปชมกลางทาง นี่สักครู่หนึ่งเชิญรับประทานอาหารเวลาเย็นเสียก่อน.”

ข้าพเจ้าคิดในใจชอบต่อการกินเข้า เพราะเปนการได้อยู่ยั้งยังสวนนี้นานกว่า แล้วหล่อนบอกถึงการวังเวงใจในสวน ค่ำแล้วก็ขลุกอยู่แต่บนเรือน เช้าเย็นก็เห็นแต่ต้นไม้ มีหนังสืออ่านก็น้อยเล่ม เช่นเรื่องบทลครร้องนั้นอ่านแล้วต่อมาก็หยิบอ่านซ้ำอิก ทำให้ข้าพเจ้ามีจิตคิดสงสารหล่อนเปนอันมากในชีพอันเงียบเหงาวังเวงของหล่อน แต่ก็คิดเร่งอยากให้ได้รับขวัญไปอยู่ในที่ไม่วิเวกเปลี่ยวเปล่าได้โดยเร็ว ๆ ด้วยกัน.

พอนายพิศมาเข้าหมู่ เขามายืนขวาง ๆ รี ๆ จ้อง ๆ มอง ๆ โดยกิริยาไม่ถูกใจข้าพเจ้า เมื่อหล่อนไปแล้วก็กระซิบว่าช่างงดงามนี่กะไร ชั้นเชิงช่างยั่วยวนพิลึก แลเมื่อระหว่างเวลากินอาหารนั้น นายพิศคุยโอ้ชมโฉมหล่อนซึ่งเปนคำไม่ถูกหูข้าพเจ้า ๆ คิดเห็นเปนคำสำรากไปเสียอิก.

ข้าพเจ้ามาลาคุณหลวงจะกลับบ้าน แลสัญญาว่าจะหาหนังสืออ่านมาให้แม่ปรุงอ่านเล่นหลายเรื่อง คุณหลวงหัวร่อร่า แลอวยพรด้วยหน้าบาน ข้าพเจ้ามายังท่าน้ำ เห็นแม่ปรุงเดินมากับเด็ก ๆ ส่งช่อดอกไม้ให้ในช่อมี ดอกพุด, ดอกแก้ว, ดอกบานเย็น, แลดอกอื่น แต่หล่อนผูกเปนช่อใหญ่งามดี จนทำให้เพื่อนทลึ่งของข้าพเจ้าก้มดมช่อดอกไม้นั้นในมือของข้าพเจ้า.

เพื่อนของข้าพเจ้าจะได้เห็นแลได้ยินอะไรบ้างในขณะนี้ข้าพเจ้าไม่รู้ได้เลย เพราะตัวเองยังไม่รู้ว่าได้เห็นได้ยินอะไรบ้าง แต่จำได้มั่นขึ้นใจว่าหล่อนพูดจำเภาะตัวข้าพเจ้าว่า “การวิวาห์ต้องเปนไปโดยเร็ว หาไม่คุณจะได้ตัวฉันเปล่าดายเร็วกว่าวันวิวาห์อิก ตัวฉันเปนของเธอเหมือนช่อดอกไม้นั้น.”

ศัพท์นี้ติดหูแว่วสำเนียงอยู่เสมอ แต่ข้าพเจ้าไม่ได้รู้ว่าหล่อนได้ใช้คำอย่างไร แลใช้ประโยคไหนก่อน เมื่อเรือถอยห่างข้าพเจ้าเหลียวหลัง เห็นหล่อนยืนชะแง้ยิ้มละห้อยอยู่ ทำให้จิตใจข้าพเจ้าไม่อยากจากไปเลย ในเวลาพลบค่ำเช่นนี้จะทิ้งน้องรักไว้ให้วังเวงใจเช่นนั้นเปนการเหลือฝืนแท้ ๆ

ในระหว่างตามทางนายพิศ ทักโน่น, ชมนี่, เกี่ยวด้วยโฉมงามของแม่ปรุง เช่นเขาว่าหญิงอย่างนี้ไวพิลึก, สวยเช้งแท้, ถ้าแต่งตัวเข้าละก็เรี่ยมมาก, เจ้าชู้พิลึก, นี่เอาไม่ต้องวิวาห์ก็ได้สดวก, ตาคมแท้ ๆ เก๋ด้วยนา, ไม่สวยแต่ใบหน้า, เห็นไหมรูประหง, เอวกลมด้วย, คอกลม, คิ้วโก่ง, ถ้าเปนเมียเราละก็ไม่ต้องหาอื่นอิกหละ.

เขาพูดอะไร ๆ เช่นนี้เปนต้น เปนคำที่ชอบหูบ้างไม่ชอบหูบ้าง แต่ข้าพเจ้าเศร้าสร้อยซึมมากกว่าเก่าจึงไม่ใคร่ตั้งใจฟัง ไม่ใคร่เอานิยมนิยายในถ้อยคำของเขา.

ได้ยินเสียงหล่อนแว่ว ๆ อยู่ว่า ฉันเปนของคุณเหมือนดอกไม้ในมือ ถ้าไม่มีวิวาห์การเร็ว คุณก็ต้องได้ตัวฉันเร็กกว่า” ซึ่งข้าพเจ้าแปลความได้แน่ชัดว่าถ้าต้องการตัวหล่อนเมื่อไรก็ได้ตัวเมื่อนั้น หล่อนอาจจะ “ฟรี” จากเย่ามาสู่ข้าพเจ้าเมื่อไรก็ได้.

เมื่อถึงบ้านข้าพเจ้าคิดถึงหล่อนมากกว่าเก่ามากนัก วันนี้ได้ทวีสามัคคี วันนี้ได้ทวีสวาท มิหนำความพิศวาศมีก่อนโดยเพียงรู้สึกแต่ว่าข้าพเจ้ารักหล่อนหนัก วันนี้รู้สึกว่าหล่อนตอบรักแลอาลัยถึงข้าพเจ้านัก ทำให้ข้าพเจ้ายิ่งสงสาร แลเมตตากรุณาเสนหายิ่งขึ้นเปนอันมาก ตลอดรุ่งข้าพเจ้าวางช่อดอกไม้ไว้ใกล้กาย ถ้าได้ช่อดอกไม้อย่างเดียวเท่านั้นคงจะไม่มีรส เท่ากับได้รับช่อดอกไม้ที่หล่อนให้ตอบแทนผ้าริ้วไหม.

พูดแต่ย่อ ๆ ก็แสดงได้ว่าข้าพเจ้าเสนหาหล่อนทับทวีมากมาย ก็เพราะหล่อนชวนความรักแลพาดพิงมากมายยิ่งนักนั้น.

รุ่งขึ้นเวลาเย็นข้าพเจ้าอยากจะไปหาหล่อนอิกด้วยความร้อนใจ ทั้งนายพิศนั้นมาหาข้าพเจ้าแลชวนให้ไปหาผู้หญิงกันอิก แต่ข้าพเจ้าแสดงความกล้าหักใจเว้นการไปสู่หาได้วันหนึ่ง พอรุ่งขึ้นเช้าอาการอยากเห็นหน้าน้องนุชมันหนักเพียบเสียแล้ว จะไปหาแต่เช้าก็ไม่เข้าที ราชการก็มี ต้องคอยไปเวลาบ่ายจึงจะได้ นั่งคอยเวลาพลางรู้สึกว่าไม่ควรจะทำใจกล้า ห่างหน้าแม่ปรุงเสียเมื่อเย็นวานเลย แทนที่จะคลาดเห็นโฉมงามของหล่อนเพียงยี่สิบสี่ชั่วโมง มันกลายเปนคลาดเห็นหน้าหล่อนสี่สิบแปดชั่วโมง.

แลก่อนสี่สิบแปดชั่วโมงได้ล่วงไป ความระหายอยากเห็นหน้าหล่อนมันหนักอารมณ์แทบทนไม่ได้ พอเวลาบ่ายข้าพเจ้ากลับบ้าน กำลังคนใช้ไปเรียกเรือแลเตรียมเรืออยู่ ข้าพเจ้าอันมีใจจ่อก็นั่งเขียนเพลงยาวชมโฉมแลแถลงคำสวาทเล่นไปพลาง ขณะนั้นกลอนยังไม่ทันลงเอย นายพิศเพื่อนข้าพเจ้ามาหา มาชวนว่า “ไปหาผู้หญิงกันอิกไหม.?”

ข้าพเจ้าออกปากปฏิเสธ ก็พอคนใช้มาบอกว่าเรือแลคนเตรียมพร้อมแล้ว จอดอยู่ที่ท่าสพานยศเส นายพิศก็เลยพูดว่าถ้าไม่มีใครไปเปนเพื่อน ฉันต้องไปด้วย ข้าพเจ้าจะขัดแลตัดรอนไม่ได้ เมื่อจำเปนจะต้องอนุญาตแล้วก็ต้องใช้คำอนุญาตด้วยคำหวาน นายพิศฟังความเข้าใจว่าได้รับเชื้อเชิญให้ไปก็ดีใจ ถามว่าเขียนอะไร? ข้าพเจ้าบอกว่าเขียนเพลงยาว นายพิศก็หัวเราะ ข้าพเจ้ามาจัดแจงแต่งกาย แลค้นหาหนังสือบางเล่มซึ่งยังพลัดหมู่ กว่าจะพร้อมหมู่มันกินเวลาหลายนาที ข้าพเจ้าก็รีบรวบหนังสือต่าง ๆ ออกเดินมาลงเรือกับท่านสหายด้วย รีบเร่งให้บ่าวแจวเรือไปโดยเร็ว.

ยังไม่ทันเย็นมากเราก็มาถึงบ้านหล่อน ได้พบหล่อนแทบจะตรงเข้าไปกอดแลบอกเหตุร้อนทรวงให้ทราบทุกประการ แต่เมื่อทำเช่นนั้นไม่ได้ ก็ได้แต่มอบหนังสือหลายเล่มที่เอามาฝากให้หล่อนยืมอ่านเล่น แลสัญญาว่าจะหามาใหม่อิก หล่อนก็ขอบใจเปนอันมาก ข้าพเจ้าสังเกตเห็นหล่อนโศกกว่าเก่า ไนยตาเปนประกาย แลหล่อนแสดงอาการหนึ่งซึ่งชวนใจชายให้ทวีสวาท คือหล่อนแสดงการรู้เท่าในอกชาย แลก็พูดปลอบโยนให้สมเหตุเช่นนั้น ถ้อยคำของหล่อนราวกะจะรัดรึงหทัยไว้ ไม่อยากให้ชายห่างคลาดข้างไปไกลในราตรีนี้.

คุณหลวงได้หัวร่อมากอย่างเดิม เราเที่ยวชมสวนอย่างเดิม บ่าวขึ้นมะพร้าวอ่อนเฉาะให้ดื่มอย่างเดิม ได้เกียรติยศที่แม่ปรุงรับดื่มผลหนึ่งด้วย น้องชายอิกผลหนึ่งต่างหาก เกี้ยวกันแลสำราญใจกันอย่างขนาดใหญ่ ได้รับประทานอาหารเย็นอย่างเดิม คราวนี้ย้ายถิ่นกินบนพื้นดินท้ายบ้าน น้องชายหล่อนรับประทานด้วยโดยเรียบร้อย แลบอกว่าคุณพี่ทำแช่อิ่มไว้ให้นายเจียร พอบ่าวยกแช่อิ่มมา นายพิศก็ฮาขึ้น พ่อเปรมอยากได้ลูกหวาดแลอยากดูหนังยี่ปุ่น แต่นายพิศว่ามีแต่สตางค์จะให้แทนลูกหวาดได้.

นายเปรมจึงพูดต่อไปว่า “เมื่อไรนายเจียรจะเอาคุณพี่ไปเปนเมีย” คำถามนี้ข้าพเจ้าต้องห้ามเสียไม่ให้พูด.

ต่อมานายพิศพาพ่อเปรมหายหน้าไปชมสวนแห่งใดไม่ทราบ ข้าพเจ้าต้องรับหน้าฟังคำยอของคุณหลวงในการที่ท่านชมแม่ปรุง ตั้งแต่หล่อนเปนเด็กน้อย, เด็กใหญ่, สาวน้อย, สาวใหญ่ แลชมการเล่าเรียนของหล่อน, ชมการที่หล่อนรู้จัดเจนทั้งไทยแลฝรั่ง, ชมว่าหล่อนรู้จักธรรมเนียมทั้งไทยแลฝรั่ง, แลชมว่าท่านให้อำนาจหล่อนเต็มตัว, แลให้อิศรภาพด้วย แต่หล่อนก็ไม่รักใครง่าย แลไม่ใคร่เที่ยวไปไหน.

ข้าพเจ้าผละจากคุณหลวงได้ ก็มามองหาสหาย, หาแม่ปรุง, แต่ไม่มีใครพบตาข้าพเจ้าเลย ข้าพเจ้าต้องเดินไปในสวนคนเดียวเปลี่ยวกายวังเวงใจ บ่าวไพร่พากันมากินเข้าที่ท้ายครัวหมด สวนเงียบสงัด ไม่พบเห็นใคร ข้าพเจ้าเดินเดียวเข้าไปซึ้งถึงหลังสวนมากขึ้นทุกที คิดกริ่งใจแลไม่ใคร่พอใจที่ต้องว้าเหว่เช่นนั้น พอจะกลับหลังมาดูที่เรือเผื่อนายพิศจะอยู่ที่นั่นบ้าง ก็พอเห็นแม่ปรุงเดินเลี้ยวมาคนเดียวแล้วยืนอยู่ หล่อนชำเลืองเห็นข้าพเจ้าเดินมาแล้วก็เดินหนีไป ข้าพเจ้าปลาดใจก็เดินตามหมายว่าหล่อนจะหยุด หล่อนก็ไม่หยุด ข้าพเจ้ายิ่งเดินตาม หล่อนยิ่งเดินต่อไป ข้าพเจ้าปลาดใจ จะอดปากไม่ได้ จึงร้องเรียกชื่อหล่อน ๆ เหลียวมาชำเลืองตาดูแล้วไม่พูดอะ ไร ก็เดินดุ่มต่อไป ข้าพเจ้ายิ่งปลาดใจ แต่ชอบเล่ห์ของหล่อนเมื่อคราวหล่อนเหลียวมาชำเลืองตาดูข้าพเจ้านั้น ทำปากทำตาน่ายั่วยวนนี่กระไร.

หล่อนยิ่งเดินต่อไป ข้าพเจ้าก็ยิ่งเดินติดตาม พอหล่อนเลี้ยวบังต้นไม้ ข้าพเจ้าสาวเท้ากระชั้นไป พอเลี้ยวพ้นบังต้นไม้ก็เห็นหล่อนนั่งอยู่ที่พนักใต้ต้นไม้ครึ้มนั้น ที่นั้นทำเปนลานน่าสำราญ มีต้นไม้ทำเปนรั้ว แลปลูกไม้ตัดทำเปนพุ่ม แลมีต้นโกศลปลูกได้ระยะบางแห่ง.

หล่อนยิ้มแลชี้ให้นั่งนี่ ซึ่งข้าพเจ้าทำตามคำสั่งด้วยความเกรงใจ แต่ก็จำใจนั่งพนักเดียวกับหล่อนคนละปลาย.

หล่อนนั่งอมยิ้มเฉย.

ข้าพเจ้าก็นั่งนิ่งเพื่อให้หายเหนื่อย สักครู่ใหญ่.

หล่อนเอ่ยว่าที่นี่ลับคน แล้วนั่งนิ่งเฉยไปอิก อกใจข้าพเจ้าซึมซ่าด้วยพิศวาศ อยากจะพูดปลอบหล่อนให้มากเท่ากับที่หล่อนคิดเอนดูพูดเอาใจ แต่คำไม่ออกจากปากได้ ได้แต่นั่งดูเค้าเงื่อนรูปโฉมอันน่าชมชิดของหล่อนอยู่เพลิดเพลิน.

หล่อนเห็นข้าพเจ้านิ่งนั่งมอง หล่อนชำเลืองตามาดูอมยิ้มบ่อย ๆ จะเยื้อนแย้มทีไรราวกะเร่งชวนสวาท อิกครู่หนึ่งหล่อนจึงชูกระดาดขึ้นถามว่า “นี่จดหมายของใคร”แล้วหล่อนก็ส่งแผ่นกระดาดนั้นให้.

ข้าพเจ้ากำลังประหม่า รับกระดาดถูกมือหล่อนเต็มส่วน ให้คิดเสียวสร้านเปนอันมาก แต่พอเห็นกระดาดนั้นเปนแผ่นเพลงยาวที่ข้าพเจ้าเขียนเกี้ยว แลชมโฉมหล่อน แลแถลงการณ์โศกครวญของข้าพเจ้าซึ่งเขียนไว้ที่บ้าน เมื่อขณะจะมาได้ทิ้งไว้ที่โต๊ะนั้น นี่ทำไมตกมาอยู่ในมือหล่อนได้.

ข้าพเจ้านิ่งตลึงไป ทั้งกลัวทั้งแค้น.

หล่อนก็ถามว่า “นี่เปนคำของเธอเขียนไม่ใช่หรือ.?”

ข้าพเจ้ารับคำว่า “จ้ะ”

หล่อนหัวเราะเสียงกังวาฬสะเทือนใจ แล้วก็นั่งชำเลืองเล่นตา แล้วขยับมาใกล้จับบ่าข้าพเจ้าพูดว่า “ขอบใจ.”

ข้าพเจ้ายิ่งตกตลึง คิดว่านี่แม่ปรุงทำไมช่างเล่นกล, หรือเล่นเวชมนต์, หรือเศกใหญ่ถึงเพียงนี้, มานั่งชวนชูชิด แลยังมาสัมผัศกายแตะบ่าข้าพเจ้า แลนั่งสะเทินอยู่คล้ายจะชวนทวงเอา “จูบ” ดูช่างน่ารักน่าชม.

ข้าพเจ้าพูดเสียงสั่นว่า “ฉันคิดถึงหล่อนนัก จึงเขียนชมโฉมงามให้วายวิโยค เขียนไว้อ่านกับบ้านคนเดียว ทำไมกลอนนี้จึงตกมาถึงมือหล่อนได้ ซึ่งหล่อนบอกว่า ขอบใจฉันนั้น หล่อนไม่ถือโทษโกรธฉันหรอกหรือ.?”

หล่อนตอบว่า เปล่า พลางชิดชวนยวนใจ หล่อนทำจริตทวงเอา “จูบ” ก็ได้สมเจตนาของหล่อน เพราะข้าพเจ้าจับก่อนแล้วจึงจูบ เพราะข้าพเจ้าหลงเสน่ห์เพ้อกายได้กลิ่นอายข้างกายในท้ายสวน หล่อนชวนใจให้รัก ชวนกายให้กอด ทั้งความแค้นซึ่งได้เห็นเพลงยาวตกมาถึงหล่อนได้ลอย ๆ ทำให้ข้าพเจ้ามุโกรธ แลการมุโกรธทำให้ใจกล้า ถึงได้เทพธิดาลงมานั่งข้างก็คงไม่ยั้งได้.

ดูๆ เหมือนเปนนฤมิตร์ทุกอย่าง โฉมหล่อนงามอย่างนิมิตร์, ข้าพเจ้าคิดรักหล่อนอย่างนิมิตร์, ได้รับตอบจากหล่อนอย่างนิมิตร์, อยากได้หล่อนผู้ใหญ่ก็ผ่อนตามอย่างนิมิตร์, อยากแสดงความสวาทแก่หล่อนก็ได้สอดคล้องคราวนี้อย่างนฤมิตร์.

หล่อนยิ้มบอกว่านายพิศมอบเพลงยาวนี้ให้แก่พ่อเปรมนำมาให้หล่อน ข้าพเจ้าก็ขัดใจระคายเคือง แต่ในที่สุดหล่อนปลอบด้วยคำอ่อนโยนว่า “อิกไม่ช้าวันจะได้วิวาห์.”

พอพ่อเปรมนำนายพิศมา ข้าพเจ้าเห็นสหายก็เคืองค้อน แต่ก็ยั้งความโกรธภายนอกเสียได้ นายพิศบอกว่าตามหาไม่เห็น แล้วพ่อเปรมบอกว่าคุณพี่เคยชอบลานเตียนนี้ที่ท้ายสวนจึงตรงมาก็พบตัวจริง ๆ

เราพากันไปลาคุณหลวงลงเรือกลับบ้าน ข้าพเจ้าแลมองเหลียวหลังดูที่ท่าน้ำ เห็นแม่ปรุงยิ้มแย้มแจ่มใสพยักสั่งลาให้ สังเกตได้ว่าหน้าหล่อนเบิกบาน เพราะถูกตีตราสัญญามั่นว่าเราสองคนจะร่วมคู่อยู่ด้วยกันโดยวิวาห์ กล่าวคือดวงหน้าของหล่อนอมยิ้มแฉ่ง แก้มเปนพวง ดวงเนตร์ชมดชม้อยสำออยยืนมองสั่งลาด้วยว่าถูก “จุมพิศ” พิศมัยจนแก้มแดง.

ข้าพเจ้าได้มาหาอิกสองสามครั้ง แต่แม่ปรุงไม่มาถูก “จูบ” อิก เพราะนัดวันวิวาห์แล้วเขาย่อมกักตัวเจ้าสาว ข้าพเจ้าก็ต้องนอนคอยวันวิวาห์ รู้สึกกำหนัดเสนหาแม่นวลน้องไม่วายสักทิวาราตรีกาล แลขอบอกท่านทั้งหลายให้ทราบว่าแม่ปรุงนั้นรูปโฉมชวนพิศวาศจริง ๆ แลทั้งจริตกิริยาอาการแลความประพฤติของหล่อนก็ชวนสวาททุกเค้าเงื่อนด้วย เช่นนี้แล้วในปัจจุบันนี้ทำให้ข้าพเจ้าระลึกได้ว่า ได้คิดกริ่งใจว่าแม่ปรุงทำไมจึงได้ว่องไวในการเล่นชู้สู่ชายจริง คิดกริ่งใจวิตกว่าหล่อนจะริการเช่นนี้มาแต่เมื่ออยู่โรงเรียนกระมัง แต่โรงเรียนหล่อนอยู่นั้นถูกควบคุมแจจัดเปนอันไม่มีสงไสยในราคี จึงวิตกว่าหล่อนชอบชวนเสน่ห์เมื่ออยู่บ้านคราวออกจากโรงเรียนแล้วกระมัง แต่ฟังเสียงคุณหลวงดูจนชั้นคนอื่นที่ใกล้เคียงก็ยืนยันว่าแม่ปรุงไม่เคยชอบใจใคร ไม่เคยนั่งใกล้พูดกับชายใดเสียเลย จนชั้นลูกผู้ดีเขามีเงินชาวสวนตำบลเดียวกันซึ่งเขาได้มารักใคร่สู่ขอนั้นหล่อนก็ไม่ปราถนาแลไม่เจรจาด้วย.

ในที่นี้ก็มีแต่จะขอบคุณหล่อนว่าหล่อนเห็นข้าพเจ้าทั้งรักทั้งโศก หล่อนก็ตอบทั้งรักทั้งโศก แลชักชวนชมชื่นก็ด้วยจิตเมตตาของหล่อน แท้จริงข้าพเจ้ารู้นิสัยในใจหล่อนได้ว่ามักชอบเมตตากรุณาชายที่ได้มาหลงเสนหาในหล่อน แลหล่อนได้รับอิศรภาพ แลทำได้ตามอำเภอใจโดยบิดามอบความเปนใหญ่ให้ สองอย่างนี้ทำให้ข้าพเจ้าได้รับกำนันฐานใหญ่ในเชิงกอดกุมจุมพิศครั้งหนึ่ง เปนผลอันดีแก่ข้าพเจ้าจริง ๆ ในชั้นต้น แต่นิสัยอันนี้ไม่มีสัญญาได้ว่าจะไม่นำผลร้ายมาได้เลย ถ้าบิดาสอนให้กำเริบเสียแต่แรกแล้ว หากว่าหล่อนจะเอาความเสนหาแลความประโลมไปเจือจานให้ชายอื่นเล่า ความข้อนี้กล่าวขึ้นมาทำให้ข้าพเจ้าขนพองสยองเกล้า กับทั้งตัวข้าพเจ้าเองนั้นได้คบสหายทลึ่งนั้นไว้ จนชั้นรู้นิสัยเขาแล้ว ยังหาญให้เขาไปเปนเพื่อนด้วยอิกในคราวที่สอง เพื่อนกันจะยอมให้เข้าใกล้สิ่งที่รักได้ระยะใกล้มาก ๆ นั้นได้ก็จริงอยู่ แต่หากว่าสิ่งที่รักนั้นเท่ากับแก้วตาแลดวงใจเสียแล้ว ถ้าคิดกริ่งใจในสหายจนแม้แต่สักนิดก็ปลดปลิดให้ห่างไกลเสียดีกว่าที่กล้าไว้ใจ.

งานวิวาห์ของเราไม่สู้เอิกเกริกอะไร นอกจากมีมะโหรีที่พวกเพื่อนได้มารับอาสาสองสามราย เลือกเอาแต่รายหนึ่ง เอาไปบำเรออย่างกล่อมหอณบ้านเจ้าสาวเพื่ออวดชาวสวนเล่น.

คุณหลวงดำริห์ไม่ยอมให้การมงคลเปนอาวาหะโดยจัดแจงการที่บ้านฝ่ายชาย ท่านต้องการให้มงคลเปนวิวาหะจัดการที่บ้านเจ้าสาว เพราะจะให้เกียรติยศแม่ปรุงนั้นเต็มที่ ถึงบ้านอยู่ย่านไกลเช่นนั้น ท่านยังเชิญสหายเก่า มีหมอความ, แลผู้พิพากษาบางคน, เพื่อนเก่าของท่าน กับเพื่อนบ้านใกล้เคียงบ้านสวนนั้นช่วยงานแลรดน้ำได้หลาย ๆ คน.

ความวิเวกของสวนทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกอุ่นใจอิ่มใจมากกว่าที่เราจะได้วิวาห์กันที่ฝั่งฟากตวันออกนี้เสียอิก เมื่อได้รับส่งตัวเจ้าสาว แลอยู่กินกับเจ้าสาวยังบ้านสวนเช่นนั้น มันทำให้ทวีความสุขสำราญยิ่งกว่าในพระนคร โดยอธิบายได้ง่ายๆ ว่าการวิวาห์แลการอยู่กินด้วยกันณที่นั้นเปนการมี “ฮันนิมูน” หรือที่เรียกกันว่า “การชมจันทร์” พร้อมประดังกันไปทีเดียว.

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ