- คำนำ
- ภาค ๑
- บท ๑ รสหวานของความไม่พยาบาท
- บท ๒ ดูตัวเจ้าสาว
- บท ๓ วิวาห์การ
- บท ๔ ชีพอย่างชมจันทร์
- บท ๕ สองสามสุข
- บท ๖ แม่ปรุงเปนมารดา
- บท ๗ ความไม่พยาบาทเริ่มต้น
- บท ๘ พระกับมาร
- บท ๙ เมฆสว่างของชีพ
- บท ๑๐ ความทุกข์ของสาวพรหมจารี
- บท ๑๑ เมฆมืดของชีพ
- บท ๑๒ ตุ๊กกะตาฅอหัก
- บท ๑๓ นิราศบ้าน
- บท ๑๔ ภรรยา “ป่วย”-- สามีป่วย
- บท ๑๕ ข่าวลามก
- บท ๑๖ ข้าพเจ้าเจอภรรยา
- ภาค ๒
- หมายเหตุ การแต่งเรื่องนี้
บท ๑๒ ตุ๊กกะตาฅอหัก
แม่ปรุงหงิมเหงาไปหน่อย, แต่ซึ่งผ่อนเวลาหน้าเบิกบานน้อยลง ไม่เปนการที่จะให้หล่อนเบาความสง่า. การแย้มสรวลเปนเครื่องประดับภายนอก เหือดการแย้มสรวลย่อมแสดงความงามถึงภายใน สีหน้าแสดงพื้นธรรมชาติให้เห็นใจ ว่าอารี, ว่าใฝ่รัก, ว่าเต็มเปี่ยมด้วยความคิดความสำนึก, หน้าลดผอมไปหน่อยหนึ่งเท่านั้นทำให้พิมพ์ของหน้าทวีคมสันขึ้นเปนกอง.
เกลอภักตร์กระดากออกหากหน่อยๆ ข้าพเจ้าไม่ทันทราบเสียก่อนว่า การออกหากของเขานั้นคล้ายภูเขาไฟซึ่งอัดอั้นนานเวลาก็ยิ่งจะหมกไหม้ละลายศิลาแห่งดวงจิตของเขา โดยพิษร้อนได้แรงกล้าเมื่อเวลาภูเขาระเบิด เกลอก็เหมือนภูเขาไฟซึ่งจะระเบิด แต่ยังไม่พ่นไฟ ก็นอนคำรามสเทือนแผ่นพสุธาอยู่อย่างน่าตระหนกใจไปโดยรอบ.
คุณแกลบนั้นจู่มาสามัคคีตีสนิทใหม่อิกพัก ท่าแกจะรู้เค้าว่าฝ่ายโน้นคลาย ฝ่ายแกเข้าใกล้ได้สนัด ทั้งแม่ปรุงนั้นเมื่อไม่ได้ไปยังบ้านคุณภักตร์ ก็เอามื้อนั้นเลี่ยงเบี่ยงไปหาแม่กลึง คุณแกลบจึงตีสนิทได้มากกว่าเก่า.
ข้าพเจ้านั้นยึดถือคุณแกลบว่าเปนภูตตนหนึ่งเหมือนกัน ดังได้ทราบเหตุจากแม่ประไพว่า พอหล่อนไปให้เขาเห็นหน้าเขาก็ติดใจทันที ไม่มีน้ำนวลอะไร ก็เลยตะกายตะครุบแม่ประไพเข้าสนัดใจ เลยทำให้หล่อนเจ็บอกช้ำใจมาจนทุกวันนี้ มิหนำซ้ำไปติดกรอยังบ้านแม่ประไพอิก แลโดยเหตุว่าป๋าหล่อนเปนผู้มีใจชนิดเดียวกับคุณแกลบ จึงทำให้แม่ประไพเปนทุกข์กลัวภัยตัว เพราะว่าถ้าหากป๋าหล่อนหลงจนจับตัวคุณแกลบยัดเข้าหาแม่ประไพในตึกเย็น ที่ท้ายสวนเหมือนอย่างได้ปิดประตูขังข้าพเจ้าไว้กับหล่อนสองต่อสองในเวลาราตรีเช่นนั้นเปนต้องเสียขวง “แกลบของภูต” อย่างใดอย่างหนึ่งเปนแน่.
มีเวลาหนึ่งในฤดูนี้ซึ่งคุณแกลบกับคุณภักตร์ มาเที่ยวบ้านเราเจอพร้อมกันเข้า เมื่อเขาเดินคุยกันอยู่ในสวนทำให้ข้าพเจ้าระลึกว่านี่เปนสองภูตเข้าคู่กันดี.
แม่ปรุงเหงาหงิม แต่ไม่เห็นเปนข้อน่าวิตกอะไร คนเราต้องชิมการหงิมเหงาเสียบ้าง ชั่วแต่ว่าอย่าให้เกิดการหงิมเหงาจากเหตุอันไม่บังควรก็แล้วกัน, คนเราจะให้เปี่ยมการปลื้มอยู่เต็มถ้วยเสมออย่างไรได้ ต้องเข้าใจเสียว่าพรรณไม้ยังรู้เฉาคราวแดดกล้า แต่คราวน้ำค้างเชยก็ย่อมจะชุ่มชื่นเต็มที่.
ถึงคราวทุกข์ คนเราต้องทุกข์ จะหนีไม่ได้ ถึงยามสุขโชคก็ส่งสุข หนีก็ไม่พ้นหมือนกัน หากมีทุกข์อยู่แล้ว ถึงยามเคราะห์ร้ายจะทุกทวีอิกก็ได้ หรือถึงเคราะห์ดีแก้ทุกข์คลายก็ได้ ทุกข์แลสุขเปนของคู่กัน แลไม่มีจำกัดได้เลย เพราะทุกสรรพสิ่งต้องอยู่ในพระไตรลักษณ์, คือ ทุกสิ่งเปนทุกขัง ทุกสิ่งเปนอนิจจัง, ทุกสิ่งเปนอนัตตา เมื่อกำลังสุขจะเกิดมีทุกข์ทันทีก็ได้ ถึงคราวเคราะห์แล้วจะเคราะห์เล่าก็ได้ ถ้าผู้ใดรู้สึกเช่นนี้จะมีความสดุ้งสเทือนน้อยลง แต่ว่าหนุ่มสาวมัวหลงโลกีย์แลความเพลินของโลกีย์ไม่ใคร่คิดถึงการเกิด, แก่, เจ็บ, ตาย, ไม่เหมือนอย่างเถ้าชแรแก่ชรา ผู้รู้สำนึกได้, ด้วยกายแห้งเหี่ยวเปนพยานว่าสังขารไม่เที่ยงแท้ ไม่คงยืนยันทานต่อมารของเวลาอายุได้ ทุกนาทีคนเราย่อมแก่ตัวลงทุกที จะป่วยทันทีหายทันทีก็ได้ จะป่วยทันทีตายทันทีก็ได้ ไม่ว่าเนื้อที่เต่งเปล่งปลั่ง หรือมังสาที่เหี่ยวแห้งแล้ว ไม่มีกำหนดได้ว่าจะไม่ตายตามยถากรรม ไม่ใช่ผู้ชราอย่างเดียวที่อาจจะถึงมรณภัย ทั้งสาวแก่เด็กผู้ใหญ่ชายหญิง มีความตายควบคุมอยู่ทุกนาที ถึงกรรมเมื่อไรพระยามัจจุราชก็ไม่ไว้หน้าใครเมื่อนั้น.
มีคราวหนึ่งซึ่งเราได้คลุกคลีตีโมงกับคุณภักตร์ เพราะเราได้เกิดทุกข์ขึ้นไม่อาจจะสังเกตว่า หน้าไหนเปนมิตร, หน้าไหนเปนศัตรู, เพราะเราทุกข์วิตกจนลานตาอยากแต่จะให้ทุกข์นั้นคลายเท่านั้น.
นั่นเปนคราวซึ่งพ่อแดงป่วย พ่อแดงซึ่งเปนเด็กอ้วนพีมีกำลัง ซึ่งเปนที่ชวนทวีสวาทเพราะเล่นกลได้หลายอย่าง แลรู้ความหลายอย่าง จำหน้าคนได้หลายคน ทั้งจำเสียงพ่อแม่ย่าแลใคร ๆ ได้ แลรู้จักเชิงเขาล้อเขาหยอก แม่ปรุงเสนหามากมายนัก ใกล้บุตร์ทีไรก็หายเหงาหงิมทีนั้น.
เด็กนี้ป่วยลงโดยมิได้ซูบผอมหรือเคยออดแอดมาแต่ไร เมื่อป่วยตัวจึงทำให้พ่อแม่แลคุณย่าตกใจหนัก เพราะเปนครั้งแรกที่พ่อหนูป่วย แลเกิดมามีแต่โตขึ้น, อ้วนขึ้น, น่ารักขึ้นทุกที ครั้นมาครานี้ป่วยลง เราก็ต้องจำใจบอกคุณภักตร์โดยเกลอเคยชอบเด็กนั้นมาก ๆ แลเปน “พ่อซื้อ” ด้วย.
เราให้คนไปบอกแต่ว่า พ่อแดงป่วย, ให้เร่งมาเยี่ยม เกลอก็ฉิวมาทันทีพร้อมทั้งคนไปบอกข่าว เด็กนี้จะตั้งต้นป่วยน้อยหรือมากอย่างไรเราไม่รู้ชัด แต่เริ่มต้นนั้นคุณภักตร์ขนหมอมาให้ตรวจอาการเสียใหญ่ หมอไทย, หมอพระ, หมอฝรั่ง, ทวีจำนวนแพทย์ขึ้นวันละคนสองคน ไม่ว่าเจอหมอที่พอจะชวนมาได้เกลอก็ใส่รถยนต์มา.
เด็กป่วยได้ห้าวันก็ตาย หมอไทยว่าเปนทรางรักษาไม่หาย หมอฝรั่งว่าเปนลมซึ่งไม่รู้จักรอดได้ แต่ถึงอย่างไรก็ดีเด็กนั้นตาย— ตายไม่กระดิก ไม่มีพระอินทร์จะลงมาชุบให้เปนขึ้นได้ คเณว่าถ้าพระอินทร์ซึ่งเคยช่วยชุบคนในเรื่องลครมามากแล้วนั้น ถ้าจะมาชุบพ่อหนูน่ารักอันเปนลูกของแม่น่าชมนี้ขึ้นได้ พระอินทร์คงได้ทำความชอบไว้มากที่สุด, คงได้รับความขอบคุณมากที่สุด, คงได้นำปลื้มอย่างหยาดฟ้ามาให้คณะมนุษหนึ่งได้มากที่สุด.
แต่พ่อแดงก็ยังตายคงที่ พ่อแดงซึ่งเปนลูกของแม่ปรุง ตายแล้วซ้ำร้ายไม่มีใครมาชุบคืนให้หล่อนได้ ไม่มีใครจะปลอบให้หล่อนหายทุเรศอาไลยได้ ความโศกเศร้าของหล่อนมีอย่างน่าใจหาย แทบจะทำให้ข้าพเจ้านึกว่าตัวข้าพเจ้าตายเสียยังจะดีกว่าเห็นแม่อาไลยลูกซึ่งตายเช่นนี้.
เด็กอื่นร้อยพัน เทพยเจ้าไม่เจาะจงมาปลงชีพ, จำเภาะปั้นตุ๊กกะตาบันดาลมาให้เกิดเพื่อล่อใจให้หล่อนหลงรัก แล้วลงโทษทรมานหล่อนโดยพรากสิ่งที่รักไปจากอก สิ่งที่รักอันเปนเลือดเนื้อสายโลหิตของแม่ปรุง อันซึ่งแม่ปรุงคอยผูกใจผูกวิญญาณอยู่มั่น, บัดนี้ตุ๊กกะตาอันปั้นมาอย่างน่ารักนั้น พลันฅอหักต่อไม่ติดเสียแล้ว.
เมื่อวันจวนพ่อแดงจะตาย เกลอภักตร์ก็ตกใจหน้าเฝื่อน เกลอปั่นป่วนตามหาหมอที่ดีที่สุด จู่ไปจัดยาดีที่สุด เร่งค้นคว้าหามาจนสิ้นสติกำลัง, เราซึ่งเปนพ่อแม่เด็กก็ตกใจฝันหนีดีฝ่อไปตามกัน, ไม่มีสิ่งไรที่เราคิดออก นอกจากเอาอารมณ์ทั้งสิ้นไปจ่ออยู่ที่เด็กอันป่วย เราคลุกคลีตีโมงโดยเร่งขวนขวายรักษาพยาบาลกันไปตามแต่จะสุดกำลัง แทบจะไม่รู้หน้าว่าใครเปนใครไปมา แทบจะวิ่งชนกันโดนจมูกก็แทบจะไม่รู้สึกอะไร นอกจากรู้สึกว่าเราจะช่วยกันขันสู้ต่อมรณภัย พ่อแม่ของเด็กตกใจหลงใหลแทบไม่ได้กินเข้าปลาอาหาร.
แต่ในที่สุดบุตร์แม่ปรุงก็ตาย เกลอภักตร์น้ำตาไหล เปนคราวแรกซึ่งข้าพเจ้าได้เห็นภูตตนนี้ร้องไห้. เกิดมาพึ่งเห็นคราวนี้เปนคราวแรก เกลอติเตียนยมพบาลไม่หยุดปาก สาบาลว่ามันไม่แฝร์ที่จาบจ้วงเด็ดดวงใจแม่ปรุงเล่นเช่นนี้ได้, เกลอเลยแช่งพระยามัจจุราชต่อไปอิก.
แม่ปรุงร้องไห้ตาบวม ไม่กินเข้าสองเวลา เมื่อคนโศกจนสิ้นแรงแทบจะไม่มีแรงเคี้ยว ไม่มีแรงกลืนอาหารได้แล้ว ใครจะไปฝืนกรอกอาหารหล่อนได้, ต้องอ้อนวอนกันใหญ่หล่อนจึงขยอกได้สองสามหยิบมือ.
แม่ปรุงโศกเศร้าน่าเวทนา ถึงตวันเย็นรอน ๆ ก็ละห้อยหาบุตร์ ยามค่ำก็สอึกสอื้นร้องไห้อาไลยหา ยามหลับก็ผวาคว้ากอดรัดบุตร์ หล่อนได้แขงใจตามคำเราปลอบโยนให้มานะ, แต่จะพยายามแขงใจเท่าไร หล่อนก็ไม่ทำให้ใจแขงอยู่เสมอได้.
ใครมาหามาเยี่ยมเยือนถามข่าวคราว หล่อนไม่มีบุตร์ให้เขาอุ้มได้ ก็น้อยใจตัวนัก ผู้เยี่ยมเยียนคล้ายมาชักชวนให้หล่อนร้องไห้ ญาติวงศ์พงศาพากันสงสารมาก แม่ปรุงนั้นจนชั้นจะได้ไปเห็นบุตร์ใครตามถนนหนทาง ถ้าน่ารักน่าชังหล่อนก็เตือนใจอาไลยหาบุตร์ของหล่อนเอง.
ศพเด็กนั้นเราไม่อยากเอาไว้นานวันที่บ้าน ทำบุญทำทานพอสมควรแล้ว ก็ยกหีบไปไว้วัดในที่เดียวกันกับศพคุณปู่ของเด็ก. แม่ปรุงเยี่ยมยังที่นี่บ่อย ๆ แลพระสงฆ์แห่งกุฎีนั้นพากันได้ไชยทานของแม่ปรุงบ่อยๆ ต่อมาหล่อนไปยังวัดนั้นไม่เปนเวลา เมื่อคิดถึงเด็กใจเตือนจี๋ขึ้นมาก็เรียกบ่าวชวนไปหาที่กุฎีนั้นทันที บางทีไปเช้า, ไปเย็น, ไปกลางวัน, จนชั้นเวลาค่ำก็ไป, วันหนึ่งตื่นแต่เช้ามืด ชวนข้าพเจ้าไปกุฎีนั้นแลตากอากาศเช้าตรู่สู่หาที่หีบศพนั้นก่อนกินอาหารเช้า.
คุณแม่ข้าพเจ้านั้นไม่สบายใจมาแต่ครั้งบิดาข้าพเจ้าเสีย คราวนี้หลานน้อยเสียไปอิกคน ทำให้ความอาไลยทับทวี ทั้งรู้ว่ามารดาของเด็กนั้นละห้อยละเหี่ยไม่เปนสมประฤดี ท่านยิ่งสมเพชเวทนาเปนอันมาก, แท้จริงท่านได้ชมหลานดับโศกอยู่พลางแล้ว, เมื่อหลานมาคลาศแคล้วไปเสียด้วยอิก ท่านก็ยิ่งอนาถใจ, ท่านยิ่งทวีความสงสารเมตตากรุณาบุตร์สะใภ้มากขึ้นมาก.
ท่านจึงไปหาเด็กน้อย ๆ จากบ้้านอื่นมาเลี้ยงดูเพื่อเอาบุญแลเพื่อให้แม่ปรุงชมแทนด้วย ข้าพเจ้าเองก็หวังอยู่เหมือนกันว่าถ้าแม่ปรุงได้บุตร์ใหญ่อิกคนคงคลายโศก ข้าพเจ้าก็หวังตั้งตาคอยคราที่เด็กจะมาเกิดโดยท้องนี้ใหม่ แต่เมื่อไม่มีเทวดาจุติทันใจ คุณแม่ท่านนำเด็กอื่นมาเลี้ยงให้แม่ปรุงเพลินใจชั่วคราวนั้นเปนการช่วยฝืนใจอย่างดีแลเปนข้อกรุณาอย่างมาก.
เดิมก็ได้เด็กน่ารักมาเลี้ยงไว้ใช้คนหนึ่งก่อน เปนเด็กหญิงผมยาวขาวสวยดี รู้ความมาก ใช้หยิบฉวยได้คล่องแคล่ว เพราะเราเอาบุตร์เขามาเลี้ยง เราย่อมต้องการเด็กเขื่อง ๆ ที่อดนมแล้ว ต่อมาได้เด็กเล็กมาอิกคน ต่อมาก็ได้ทวีจำนวนอิก จากเพื่อนบ้านที่ไม่อยากกังวลด้วยบุตร์ของตัวบ้าง จากสหายผู้เมตตาแม่ปรุงบ้าง จนชั้นคุณหลวงดำริห์ที่สวนบางไส้ไก่ก็ส่งเด็กมาให้เลี้ยงด้วยคนหนึ่ง จนมีถึงครึ่งโหลแล้ว คุณแม่นั้นเมื่อหาสาวใช้ก็ไม่เอาที่อายุรุ่นสาวเอาแต่เด็กซึ่งต่ำกว่าอายุแตกเนื้อรุ่น นับว่าเปนการเพิ่มเติมความบำเรอใจให้แม่ปรุง จนบ้านเราจะเปนโรงเลี้ยงเด็กกลาย ๆ.
จริงอยู่ เด็กมากมักชวนอึกกะทึก แลเปลืองเข้าสุกด้วย แต่มันก็ยังนำผลให้บ้าง ที่ชวนกันร้องเล่นเต้นรำ หรือล้อมวงกลางสนามเล่นจ้ำจี้ขี้ตู่กลางนา หรือว่าชวนกันเล่นไล่กันตามประสาเด็ก ให้แม่ปรุงแลข้าพเจ้าดูเล่น ทำให้หล่อนพอคลายใจในเวลาเย็น หรือกลางคืนเดือนหงายเปนต้น ถึงแม้อย่างต่ำที่สุดที่มันอึกกะทึกคราวหล่อนจะนิ่งรำพึงคนึงถึงเด็กที่ได้ล่วงลับนั้น ถึงแม้หล่อนจะขัดใจมาไล่ตวาดพวกเด็กมันไม่ให้อึกกะทึกก็ดี ก็นับว่ามีผลที่มันทำให้หล่อนมีกังวลอันนี้เสีย ไม่นั่งขรึมดื่มทุกข์โดยละห้อยหาบุตร์ที่ล่วงลับได้ นี่พูดอย่างยกประโยชน์อันน้อยที่สุดของเด็ก.
ข้าพเจ้าไม่ได้รู้เสียก่อนเลยว่าคุณภักตร์นั้นไปดักพบกับภรรยาข้าพเจ้าณที่กุฎี กล่าวคือเขาไปบูชาศพสบคราวที่ภรรยาข้าพเจ้าไปบูชาด้วย เขาคงปลอบคำปลื้มหลายอย่าง แลคงให้คนคอยต้นทาง คอยบอกถ้าเห็นข้าพเจ้าไปด้วยหล่อน เขาก็หลบไม่พบกันเสีย ถ้าแม่ปรุงไปคนเดียวกับสาวใช้ เขาก็ไปนั่งบูชาอยู่ก่อน หล่อนไปถึงก็เลยชวนพูดกันได้สบายเท่านั้น.
หมู่นี้ตั้งแต่บุตร์ตายแล้วดูแม่ปรุงผิดไปเปนคนละคน. โศกแทนชื่น ขรึมแทนยิ้มยวนชวนชิด ใจเร็ว, ใจน้อย ใจหงุดหงิด, ใจไม่แขงไม่มานะ, อยากสุขสำราญแลมั่งคั่งเกินส่วนของการอดทน ไม่ใคร่จะอดเอาเบาสู้เสียแล้ว.
ทั้งหมู่นี้ราชการของเจ้าคุณแห่งกระทรวงมีเปนพิเศษขึ้น ข้าพเจ้าหน้ะ, ต้องใช้ชิดในท่านนั้นแน่นอน ทั้งได้ยินว่าท่านจะต้องไปจัดราชการสำคัญที่หัวเมืองหนึ่งด้วย ท่านไปไหนข้าพเจ้าต้องไปด้วยนั้นก็แน่นอนอิก ข้าพเจ้าหวังเสียว่าเจ้าคุณคงยังจะต้องนั่งกระทรวงโดยไม่ต้องเดินทางไกลก็เปนไปได้.
ถ้าแม่ปรุงสุขสบายอยู่เปนปรกติตามเดิม ข้าพเจ้าก็ไม่ต้องปริวิตกใจ จะอยู่ห่างหรือใกล้ก็ไม่ห่วงหนัก ถึงบัดนี้ก็ไม่เห็นมีข้อวิตกอะไรให้เกินเหตุไป เปนแต่กลัวว่าหล่อนจะไม่มีใครปลอบให้ชอบชื่นเท่านั้น เมื่อข้าพเจ้าต้องไปห่างเสียชั่วคราวหนึ่ง ๆ.
แต่เหตุที่หวังว่าเจ้าคุณจะไม่ต้องไปหัวเมืองนั้นไม่เปนไปตามนึกได้ ท่านต้องปราบผู้ร้ายคณะใหญ่แลไปไต่สวนด้วย ท่านไป ข้าพเจ้าก็ต้องไป พูดประโยคนี้พูดง่ายแต่ปฏิบัติได้โดยยากใจจริง.
เจ้าคุณท่านกรุณาจนถึงมาเยี่ยมเราที่บ้าน, ท่านว่าไปเถิดดี ทั้งตำแหน่งยศบิดาซึ่งจะได้นั้นจะได้เร็วขึ้นทันทีเมื่อทาชอบกลับมาแล้ว แม่ปรุงกับข้าพเจ้ายิ่งดีใจใหญ่ แลขอบพระคุณเห็นน้ำใจดีของท่านแท้. เราให้ต้นไม้ดอกหอมหายากแก่เจ้าคุณไปต้นหนึ่ง.
บัดนี้ข้าพเจ้าเตรียมตัวไปหัวเมือง เจ้าคุณก็เตรียมการที่บ้านท่านเปนจ้าละหวั่น ข้าพเจ้าสังเกตเอาว่าเราควรต้องการอะไรมากที่สุดเมื่ออยู่ห่างต่างบ้าน แลดูคเณเอาการจัดเตรียมของเจ้าคุณเปนแบบ, จึงให้แม่ปรุงจัดแจงของที่จะเอาไปใช้อันมีประโยชน์มากที่สุดแลเอาไปน้อยที่สุด.
แม่ปรุงจัดแจงดีจริง เปนที่พอใจข้าพเจ้าเปนอันมาก ทำให้ข้าพเจ้าสรรเสิญในใจว่าหล่อนรู้กิจการรอบคอบดีแท้ คุณแม่ซึ่งอยู่กระท่อมท้ายสวนก็จะขึ้นมาอยู่ช่วยเฝ้าบ้าน ข้าพเจ้าก็สั่งเสียการต่าง ๆ เสร็จเห็นท่าเรียบร้อยดี ทั้งแม่ปรุงนั้นเบื่อโศกโดยถูกฝูงเด็กอันหนวกหูมันพากันบำเรอหล่อนให้เพลินใจเสียใหญ่ ทำให้ข้าพเจ้านึกขอบใจฝูงเด็กเปนอันมาก ที่มันอุตส่าห์ทำให้แม่ปรุงค่อยชื่นชุ่มกระชุ่มกระชวยใหม่ได้ เมื่อข้าพเจ้าลองประคองหล่อน ๆ ยิ้มลมัยชวนชื่นใจ ทำให้ปลาบปลื้มเหมือนดังเมื่อได้เริ่มรักกันใหม่ ๆ.
คุณภักตร์ทราบว่าข้าพเจ้าจะห่างไปไกลสักเดือนหนึ่งแล้วจะกลับมารับสัญญาบัตร เกลอนึกหื่นอย่างไรขึ้นมา เกลอจัดการเลี้ยงส่งข้าพเจ้าเพื่อให้ไปเปนเกียรติยศเต็มที่ เปนการเลี้ยงขนาดใหญ่แลขนาดชนิดบ้ามาก ๆ ด้วย ข้าพเจ้าจำต้องกล่าวถึงการเลี้ยงเพื่อเปนเกียรติยศแก่ข้าพเจ้าแต่พอเลา ๆ หาไม่เรื่องความไม่พยาบาทนี้จะขาดรายเลอียดไปอิกข้อหนึ่ง การเลี้ยงคราวนี้เปนการสุดท้ายซึ่งข้าพเจ้าได้กินเข้ากับผู้นี้.
เกลอเชิญข้าพเจ้าไปเปนประธาน แล้วเชิญเพื่อนสำคัญ ๆ ของเกลอด้วย มีนายพิศ, คุณแกลบ, แลคุณพระซึ่งเปนบิดาคุณแกลบ, กับสหายใหญ่ของเกลออิกสามคน รวมแปดคนทั้งเจ้าของบ้าน กินโต๊ะกันโต๊ะหนึ่ง. ข้าพเจ้าเสียดายที่ไม่ได้นายขบวนเปนองครักษ์ไปด้วย จะได้ช่วยดูเปนพยานของการประพฤติของท่านภูตเหล่านี้ เปนการกินโต๊ะชนิดชายล้วน.
ครั้นถึงวันนัด ในเวลาพลบ มีรถยนต์มารับข้าพเจ้าเปนเกียรติยศ คนขับรถยนต์แต่งตัวงามสง่า ข้าพเจ้าแต่งกายเสร็จจึงสั่งลาภรรยา มาขึ้นรถไป. ถึงบ้าน เจ้าภาพเห็นว่าข้าพเจ้าเปนคนที่มาทีหลังที่สุด แขกเหลื่อทั้งหลายได้อยู่ที่นั่นพร้อมหน้ากันแล้ว แลเครื่องดื่มได้จ่ายรับแขกอยู่มากแล้ว โต๊ะซึ่งนั่งดื่มนี้อยู่ข้างชายสนามหลังตึก เปนสนามสำราญดี แขกแทบทุกคนได้ถอดเสื้อชั้นนอก เหลือแต่เสื้อชั้นในนั่งพักตากลมเล่นเย็น ๆ พลาง บางคนได้ถอดรองเท้าถุงเท้าแล้วก็มี กำลังดื่มอยู่เต็มที่ สรวลเสเฮฮากันพลาง คล้ายว่าในโลกนี้ไม่มีทุกข์ ไม่มีกังวลอะไรหมด
แต่เครื่องสายวงหนึ่งได้ปูพรมนั่งบรรเลงเพลงมโหรีบำเรออยู่ชายสนามนั้นแล้ว เครื่องสายวงนี้มีชายเล่นโดยมาก แต่มีหญิงแกมบ้าง เว้นแต่ผู้ร้องส่งนั้นมีสาว ๆ สวย ๆ นั่งอยู่สามคน หญิงเหล่านี้แต่งตัวฉูดฉาด แลชายผู้อยู่ในวงดนตรีนั้นดูเหมือนเปนครูสอนบ้าง, เปนผู้ประสมวงบ้าง, เปนผู้ขัดจังหวะบ้าง.
ข้าพเจ้านึกว่าคุณภักตร์แกรับรองให้เกียรติยศแก่ข้าพเจ้าเต็มที่ถึงเพียงนี้ ข้าพเจ้ายินดี แลแขกที่นั้นยินดีทุกคนเมื่อได้เห็นข้าพเจ้ามา แต่ข้าพเจ้าเสียใจที่เขาทั้งหลายได้ดื่มจนหน้าออกมึน ๆ เสียแทบทั้งนั้น.
ข้าพเจ้ามาถึงนั่งสนทนาปราไสยไม่ช้าก็ค่ำมืด เจ้าภาพจึงเชิญให้ไปกินโต๊ะทุกคน แลแสดงว่าซึ่งเชิญมาให้รับประทานแต่หัวค่ำ ก็เพื่อสกัดกันมิให้รับประทานอาหารรองท้องมาก่อน ในห้องกินเข้าห้องใหญ่นั้นมีพัดลมทำให้เย็นสบาย บนโต๊ะช่างจัดงามนี่กระไร ในห้องก็ประดับครึ้มดีมาก งามยิ่งกว่าคราวเมื่อคุณภักตร์เชิญข้าพเจ้ามารับประทานพร้อมด้วยแม่ปรุง ถัดโต๊ะไปมีที่ว่างปูพรมไว้บนพื้น ต่อผืนพรมไปมีประตูโค้งช่องกว้างปราศจากบานประตูนำสู่ห้องนั่งพักห้องใหญ่ มีเก้าอี้พนักแลเก้าอี้ยาวต่าง ๆ ไฟสว่างไสวทั่ว.
ข้าพเจ้าปลาดใจมากที่เขาพากันดื่มสุราเย็นโดยน้ำแข็งซ้ำอิก, จนบางคนมีหน้าแดงอยู่ แลเมื่อนั่งที่โต๊ะนั้นบางคนไม่สรวมเสื้อนอก บางคนนั่งแบะอก แลก่อนนั่งนั้นบางคนถอดเสื้อทิ้งเสียก็มี หรือถอดถุงน่องรองเท้าทิ้งเสียก็มี อาหารที่ดีมีอย่างไรคุณภักตร์ต้องจัดหามาให้เรากินจงได้ ซุบ, ไก่ทอด, สตู เนื้อกวางสด, ลิ้นโค, ไส้กรอกฝรั่ง, แลผักดองในขวดจากเมืองนอกต่าง ๆ พร้อมทั้งยำสลัด แลยังมีอาหารจีนแกมด้วย อาหารฝรั่งทั้งคาวทั้งหวาน ไอสกรีมแลน้ำแข็งมีเหลือแหล่ แลลูกไม้ต่าง ๆ ทั้งวุ้นซึ่งเรียก “เย็ลลี่” ก็มีด้วย.
ข้าพเจ้าปลาดใจมากที่เห็นคนเหล่านั้นดื่มสุราได้มากๆ เช่นคราวที่ดื่มก่อนข้าพเจ้ามาถึง แลดื่มก่อนกินอาหาร ดื่มเมื่อกินอาหารคาวเสร็จ แลดื่มเรื่อยไปในระหว่างรับประทานของหวานแลผลไม้, จริงอยู่ บางคนดื่มน้อย บางคนดื่มมาก เพราะฉนั้น บางคนจึงเมามากมาย.
บ๋อยสองคนเปนผู้เดินโต๊ะ แลมโหรีก็ยกวงมานั่งบนพรมที่ปูไว้นั้นทำเพลงอยู่ห่าง ๆ แต่เสียงไม่ซ่าหูนัก ทั้งคนร้องก็ขับขานไพเราะ, แลความน่าพิศวงแก่ข้าพเจ้านั้นคือผู้ที่เมามากสองสามคนนั้น กินพลางก็ลุกไปหยอกนางบำเรอฉุดยื้อกันร้องหวีดหวาดเสียงฮากันครืนเครง ทั้งมีเช่นส่งอาหารให้หรือป้อนให้นางเหล่านั้น ทั้งบังคับให้ดื่มด้วยซ้ำ เมื่อเขาทำการแต่เล็กน้อยข้าพเจ้าก็อาจจะสกดใจทนได้ แต่เมื่อเมามายแลฉุดชิงยึดยื้อกันมากไปจนฟุ้งสร้าน ทำให้ข้าพเจ้าผู้ไม่เคยต่อการนี้รู้รสชาตินิสัยของคนเหล่านี้ว่าเขาเคยชินการเช่นนี้เสียแล้ว เพราะชอบใจสรวลเสเฮฮาอยู่พร้อมกัน.
ข้าพเจ้านั้นนั่งตัวแขง, ในอกใจให้อึดอัด เหื่อตกซิก ๆ คิดว่าซึ่งเขาเลี้ยงเพื่อให้เกียรติยศข้าพเจ้านั้น คล้ายเลี้ยงเพื่อให้เสื่อมเสียเกียรติยศเสียอิก.
คุณแกลบสิแผลงฤทธิ์มากอยู่แล้ว, แต่ข้าพเจ้าพึ่งเห็นปลาดว่าบิดาคุณแกลบนั้นยิ่งเห่อสาวไปใหญ่ยิ่งกว่าอิก ทำให้ข้าพเจ้าเห็นฤทธิ์ผู้สูงอายุว่าเลอะเลื่อนหลงใหลในการนี้มากกว่าหนุ่มก็ได้.
ข้าพเจ้ายิ่งดูไม่ได้ พอมีอิกสองนางพึ่งมาถึง คนหนึ่งรุ่นเล็กกว่าคนหนึ่ง, ทั้งสองคนแต่งหรูหรา ใบหน้างดงามทั้งสองคน พอมาถึง คนที่กินโต๊ะก็ร้องร่าเริงดีใจขึ้นพร้อมกัน แลนัดดื่มอวยพรให้สองนางนี้ก่อนดื่มให้พรข้าพเจ้า แล้วก็ตะโกนให้สองนางเดินโต๊ะ คือให้ปรนิบัติแลเซีฟโต๊ะ นางคนหนึ่งยอมทันที, อิกนางหนึ่งปฏิเสธก็พอถูกฉุดมาจงใด้ ต่างพากันหัวร่อทั้งหญิงทั้งชาย แลน่าปลาดใจที่ก่อนสองนางจะรับใช้เปนทาษีผู้นำส่งอาหาร สองหล่อนถอดเสื้อสิ้นเชิงเสียก่อนเหลือแต่เสื้อฅอชั้นใน คาดเข็มขัดเอวกลมนมตั้งเต้าให้เกียรติยศแก่เรา โดยเปนผู้ปรนิบัตินำอาหารแลเรียกอาหารให้ ซึ่งเรียกกันว่า “เดินโต๊ะ”
ข้าพเจ้านั่งตัวแขงขึ้นทุกที อกใจตึกเต้นหนักขึ้นทุกที ดูหญิงพวกนี้คล้าย ๆ เคยการเช่นนี้ จนชั้นจะถอดเสื้อก็ว่องไว จนชั้นจะชายตาก็หวานใจ แลท่านชายเหล่านั้นก็คงจะชินแก่การเอิกเกริกเช่นนี้ เพราะต่างคนต่างร่าเริงสรวลเสเฮฮา.
ข้าพเจ้าจะไม่กล่าวการบำเรออย่างสามัญณที่นั้นเปนอย่างไร แลการบำเรออย่างพิเศษเปนอย่างไร แลการตลกคนองชายแลหญิงมีอย่างไร ไม่อยากกล่าวการยึดยื้อผลักไส, การตะครุบปุบปับหยอกเอินกันน่าปลาด การโจ๊กของเขาอย่างแปลก แลการเล่นแปลนออกตลกเช่นแม่คนนี้ต้องเซิ๊ฟ— เดินโต๊ะ— จำเพาะผู้นี้กับผู้นี้ แลแม่คนนั้นจำเพาะแต่ผู้นั้นกับผู้นั้น เมื่อเปนเช่นนี้ คุณพระบิดาคุณแกลบผู้รุ่มรวยโดยค้าขาย, ผู้นอกราชการ— จึงต้องเบิกเอานางบำเรอมาคนหนึ่งเพื่อเดินโต๊ะให้ท่าน ส่งอาหารแล้วต้องยืนเกาะหลังท่านอยู่ จะไปใกล้คนอื่นไม่ได้ หล่อนผู้นี้ก็เปลื้องเสื้อแขนพองลงเปนทาษีเร็วไวได้กิจการมาก. เมื่อการคนองของเขาเลยไปจนถึงนั่งตัก, ขะโมยจูบแลจู่เข้านั่งห้องโน้นเคียงคู่กันเล่นบนเก้าอี้ยาว ข้าพเจ้าเดือดพล่านใจถึงที่สุดจึงขอลา.
คุณภักตร์เอาคำนี้เสนอต่อสหายทั้งหลาย ซึ่งร้องว่าจะด่วนไปไหนแต่หัวค่ำ ข้าพเจ้าจึงว่าท่านทั้งหลายทราบแล้วว่าข้าพเจ้ามีราชการ.
“ราชการบ้าน! ราชการบ้าน!” คนหนึ่งแหกปากร้อง.
เขาทั้งหลายกำลังเมาสุราแลนารี เขาทั้งหลายไม่รู้สึกตัวว่าตัวกำลังทำอะไรอยู่ ข้าพเจ้าอยู่ไม่ได้ดูไม่ได้ ข้าพเจ้าขอตัวลามา พอเจ้าภาพเตี๊ยมการดื่มสุราให้ข้าพเจ้า เขาทั้งหลายก็ดื่มให้พรข้าพเจ้าพร้อมโดยออกนามข้าพเจ้า, แต่ดื่มต่อ ๆ ไปติด ๆ กันโดยออกนามหญิงเหล่านั้นทั้งนั้นเปนนาน พอผู้เมาสุราผู้หนึ่งเดินโซเซมาคำนับพูดเปนสุนทรพจน์ ว่าเขาทั้งหลายพร้อมใจให้สิ่งนี้แก่ข้าพเจ้า เอาไปเปนที่ระลึกเพราะข้าพเจ้าจะต้องไปในที่กันดาร.
ข้าพเจ้าทิ้งห่อนั้นลงต่อหน้าเขาพูดโดยขัดใจว่า ข้าพเจ้าไม่ต้องการของป้องกันกามโรคเช่นนี้.
พอได้สติข้าพเจ้าเก็บซองกระดาดนั้นขึ้นพูดเปนทีเล่นว่า ขอบใจท่านแล้ว แต่ข้าพเจ้าไม่ต้องการ ขอเอาไว้แจกท่านทั้งหลายเองเถิด ทำให้เขาฮาครืนเห็นเปนข้อขำมากด้วยพูดถูกใจเขา คุณแกลบนั้นก็ตะครุบเอาห่อนั้นไปเสียด้วยความยินดี.
คุณภักตร์มาส่งข้าพเจ้าขึ้นรถยนต์ ข้าพเจ้าขอบใจเขา แลแสดงเสียใจที่ต้องลามาเสียก่อน พอเขากระซิบว่า ถ้าข้าพเจ้าอยู่ดึกจะต้องการสิ่งไรก็ได้.
ข้าพเจ้าปฏิเสธพูดว่า ช่างเถิด ข้าพเจ้าชังหญิงเหล่านี้ รถยนต์ก็เคลื่อนที่แล่นมา.
เสโทข้าพเจ้าไหลท่วมกาย ด้วยว่าอัดอั้นตันใจโดยต้องนั่งเปนพยานในการนี้ บัดนี้ข้าพเจ้าได้เห็นความเปนอยู่ใน “บ้านนามร้าย” นี้แล้ว, ข้าพเจ้าได้เห็นนิไสยของเขาทุกคนแล้ว คิดสมเพชแม่ประไพซึ่งต้องอยู่ใกล้สิ่งเหล่านี้ คิดสงไสยกลัวหล่อนจะเหมาเอาว่าข้าพเจ้าพลอยนิยมในสิ่งนี้ด้วย จะไม่รู้ว่าข้าพเจ้าได้หนีออกมาเสียก่อนแล้ว ป่านนี้หล่อนคงไปนั่งอ่านหนังสือพลาง ตรอมใจพลาง, ยังที่ตึกเย็นท้ายสวนนั้น.
คนเหล่านี้ทำอะไรโดยไม่รู้ตัวว่าเขาทำอะไรอยู่นั้นแน่นอน แต่หัวค่ำเขายังทำสนุกได้ถึงเพียงนี้ ถ้ายามดึกคงเล่นสนุกแลคนองยิ่งกว่านี้ ข้าพเจ้าขวัญหาย ได้รู้สึกว่าไม่มีอะไรที่เขาจะทำไม่ได้ ยิ่งรู้สึกหวาดหวั่นใจตลอดมา เมื่อมาถึงบ้านนั้นแม่ปรุงเห็นวิปริต ถามว่าไปกินเลี้ยงเปนอย่างไรบ้าง ? ข้าพเจ้าบอกแต่ว่ากินอร่อยแลสนุกแลสำราญมาก, แต่ขอตัวลามาเสียก่อน.
ข้าพเจ้าจะบอกหล่อนทุกอย่างที่เห็นอย่างไรได้ ข้าพเจ้าเองเปนชายยังรู้สึกลอายใจ จะเอาความลึกลับในบ้านนามร้ายนั้นออกมาแฉให้หล่อนฟังอย่างไรได้.