บท ๒๘ เสียนางได้น้อง

นายขบวนมาส่งเราจนถึงบ้านแล้วลากลับไปกับรถ.

แม่ประไพไม่วายหวาดหวั่นก็เกาะกายข้าพเจ้าแจจัน จนกว่าจะถึงห้องในจึงคลายสดุ้งกลัว.

ข้าพเจ้าถามว่า หล่อนรับประทานเข้าแล้วหรือ

หล่อนตอบว่า รับประทานแล้วกับแม่กลึง แต่ข้าพเจ้าผู้ได้ขยอกเข้าเมื่อเย็นอันปราศจากรสชาตินั้น เห็นแม่ครัวยกอาหารอันโอชามาให้อิกกำลังร้อนๆ คราวเหนื่อยมาเวลายามหนึ่งไม่อดนิยมได้ ก็ชวนแม่ประไพเปนเพื่อนช่วยบริโภคนับว่าอร่อยใจไม่น้อย.

รับประทานอาหารแล้ว ข้าพเจ้าสูบบุหรี่ซิกาตัวใหญ่ซึ่งเจ้าคุณให้มาหีบหนึ่ง แม่น้องก็คว้าซิกาเร็ตสูบเรื่อยติดต่อกันหลายมวน ในชานที่ช่องลมพัดโตรกเย็นอันตั้งวางกระถางต้นไม้ ต่างอิ่มหนำสำราญใจที่ได้พบกันใหม่ ชื่นใจลืมความทรมาทรกรรมให้นึกเสื่อมคลายหายทุกข์หมด.

ข้าพเจ้าได้หล่อนกลับคืนมารวดเร็วอย่างนฤมิตร

ข้าพเจ้าถามว่า เปนไฉนหล่อนจึงได้ถูกลักพาตัวเอาไปได้ฉนั้น.

หล่อนก็เล่าให้ฟังตามซึ่งถูกลักพาไป มันช่างทำได้ง่ายดายสนิทสนมแท้ ๆ ผู้ร้ายเปนผู้รู้เงื่อนเค้าอันดี จึงได้ใช้อุบายได้สนิทสนมโดยง่าย.

คือหล่อนคอยระวังภัยอยู่แต่แค่เย่าเรือนในสวนพลู เพราะหมู่นี้คุณพระผู้ซึ่งรู้ความว่านายภักตร์ไปหัวเมืองเสียแล้วนั้น จัดการกวดขันให้คนมาด้อมมองเพื่อจะเอาตัวแม่ประไพให้จงได้ ครั้นไม่สมคิดแล้วจึงคิดอุบายได้สนิทสนม คือใช้หญิงหนึ่งอันเคยเปนแม่นมเด็กชายซึ่งนายภักตร์ยกให้เปนบุตรเลี้ยงของแม่ปรุงนั้นมาหาแม่ประไพโดยอุบาย หญิงแม่นมนั้นแม่ประไพเคยได้เห็นอยู่บ้างว่าเคยอยู่บ้านป๋าของหล่อน วันนั้นเวลาบ่ายแม่นมมาพบกับแม่ประไพที่ปลายสวน เขาทำหน้าตาตื่นลุกลนมาพูดว่า “แม่ประไพจ๋า ไปหาป๋าเร็วเข้า ป๋ากลับมาแล้วได้พบปะกับคุณพี่ (นี่เล็งถึงข้าพเจ้า) แล้วเกิดวิวาทกันขึ้นหรืออย่างไร ทั้งสองฝ่ายเจ็บป่วยเกือบจะตายทั้งสองคน บัดนี้คุณพี่คุณป๋าจะขาดใจตาย ขอให้แม่ประไพรีบไปหาให้เห็นหน้าในทันทีนี้ให้จงได้.”

แม่ประไพตกใจเปนกำลัง เมื่อถามความต่อไปพอรู้เค้าบ้างแล้วก็ยิ่งอกสั่นขวัญหาย บอกว่าจะรีบมา ลาป้าแล้วจะไป แต่หญิงนั้นว่าคุณป๋าคุณพี่ให้มารับตัวแม่ประไพให้เร่งไปเดี๋ยวนี้ช้าไปจะเสียการ แล้วหญิงนั้นจะมาส่งแม่ประไพกลับแล้วแม่ประไพจึงค่อยบอกป้าก็ได้ ทั้งหญิงนั้นจะกลับมาช่วยชี้แจงด้วย คุณป้าคงไม่โกรธติโทษได้.

แม่ประไพก็รีบมา แลมีรถมาคอยรับอยู่แล้ว หล่อนก็ขึ้นรถมากับหญิงนั้น รถนั้นรีบขับวนไปวนมาก็มาจอดท้ายบ้านคุณพระ หญิงนั้นก็นำตัวแม่ประไพไปเพื่อจะให้พบป๋า แต่คุณพระก็ยึดตัวขังห้องไว้.

เล่ามาถึงตรงนี้ แม่น้องก็ร้องไห้ว่าคุณพระมาเกี้ยวพาราสีแลปลอบประโลมหล่อน ข้าพเจ้าก็ขัดใจบ่นว่า “อ้ายแก่นะ มึงกล้าปะเหลาะเด็ก.”

แม่ประไพไม่พอใจท่าน, ข่วนให้ด้วยเล็บ, ตะกายแนวยาวตั้งแต่ต้นแขนถึงปลายแขน ให้ร่างชราภาพรู้สึกเล็บผู้หญิงเสียบ้าง รักหยอกจะไม่กลัวหยิกตรงเนื้อย่นนั้นไม่ได้.

ข้าพเจ้าปลอบหล่อนให้ละเลิงใจ ไม่ช้าเราทั้งสองซึ่งได้นั่งใกล้ชิดกัน ก็หายทุกข์หายแค้นลืมความลำบากยากใจหมด เลยชวนหัวร่อชอบชื่นไปเสียอิก.

ข้าพเจ้าถามว่าแล้วต่อมาเปนอย่างไรจึงได้มาอยู่กับแม่กลึง หล่อนเล่าว่าพอค่ำลงได้ยินว่าตัวคุณพระนั้นถูกในกรมเรียกไปเฝ้าเปนการร้อน มหาดเล็กมาถึงสองคนมาเร่งตัวให้รีบไป คุณพระจะทิ้งแม่ประไพไว้ให้อยู่คนเดียวหรืออยู่กับคนอื่น แม่ประไพก็ร้องไห้อึง จะกลับมาหาคุณพี่ให้จงได้ ต่อเมื่อแม่กลึงมาหาแม่ประไพ แลคุณพระมอบแม่ประไพไว้ให้แม่กลึงแล้ว แม่ประไพจึงได้หยุดร้อง เพราะแม่กลึงกระซิบว่าอย่าร้องไปประเดี๋ยวจะนำตัวไปส่งให้คุณพี่.

แม่กลึงก็ชวนมายังห้องของหล่อน ให้อาบน้ำชำระกายด้วยกัน กินอาหารด้วย แลนั่งคุยกันในห้องอยู่ แลแม่กลึงรับรองว่าถ้าคุณพี่ไม่มารับ ก็จะให้แม่ประไพนอนกับหล่อนไม่ยอมให้ใครรังแกแม่ประไพได้. กำลังนั่งสนทนาอยู่ด้วยกัน แลกำลังสางผมให้กันอยู่ในห้องนอนอันส่องสว่างด้วยไฟฟ้านั้นสักครู่ แล้วแม่กลึงจึงบอกกับแม่ประไพว่าไม่ช้าคุณพี่จะมาหา แม่กลึงได้สั่งให้เด็กเอาบันไดไปทิ้งไว้ใต้ต้นไม้แล้ว.

แม่ประไพก็ดีใจยิ่งนัก ตั้งใจคอยคุณพี่อยู่ แลพูดจาประจ๋อประแจ๋กับแม่กลึง แลปิดประตูลั่นดานเสียด้วย แม่ประไพกำลังสางผมให้แม่กลึงอยู่ พอได้ยินเสียงพาดบันไดที่น่าต่าง มีเสียงคนก้าวขึ้นมา แม่กลึงกระซิบว่าคุณพี่มาแล้ว.

แม่ประไพดีใจหนักหนา พอจะโผล่หน้าไปหาคุณพี่ แม่กลึงกระซิบว่า “จงแอบเสียก่อน ฉันจะดูทีว่าคุณพี่หล่อนเมื่อเก้อจะทำอย่างไร.”

แม่ประไพก็แอบอยู่หลังมุ้งเตียงเหล็ก แลเห็นได้ตลอด แม่กลึงซึ่งมีหน้ากลมกลึงก็ยืนยิ้มรับข้าพเจ้าอยู่ พอข้าพเจ้าเหลียวไป แม่ประไพจึงวิ่งออกมา

แม่กลึงจึงประคองกายส่งตัวให้คุณพี่!

“เรื่องสนุกมาก ขันจริง” ข้าพเจ้าว่า.

“โอ้ คุณพี่คะ คุณไม่รู้ว่าฉันทุกข์เท่าไร ทุกข์ในอกของฉันใหญ่เท่าภูเขาหลวง.”

“พี่ก็แสนวิตกถึงน้องเพียงอกหัก เมื่อฉันได้ไปถึงสวนพลู ไม่เห็นน้องอยู่ แม้! ใจหายราวกะใจจะขาดตาย ยิ่งนึกถึงเหตุร้ายในกระท่อม แลเหตุร้ายในโรงสุรานั้น ทำให้ฉันเสียใจจนอ่อนเพลียเดินไม่ไหว.”

“อนิจา, คุณพี่, ฉันทำให้ได้ทุกข์ถึงเพียงนั้น.”

“โทษของฉันเองนะแม่ประไพ ประมาทต่อศัตรูไม่รับน้องมาคุ้มครองไว้ใกล้ จนทำให้เกิดเหตุใหญ่แทบฉันนี้จะไม่เปนตัวต่อไปเสียอิกแล้ว.”

“คุณดีใจไหมคะ ได้ฉันกลับคืนมา.”

“ดีใจที่สุด ไม่มีอะไรจะทำให้ดีใจมากกว่า, ได้มาง่ายด้วยนาน้องรัก.”

ข้าพเจ้าอดกอดรัดไม่ได้.

“ถ้าอย่างงั้นลืมทุกข์เสียดีกว่า” หล่อนว่า.

“เห็นชอบแล้วแม่ ชวนกันผาสุกดีกว่า” ข้าพเจ้าปลอบ.

“ฉันจะทำอย่างไรจึงจะทำให้หล่อนสุขเต็มที่?”

“โอ้, แต่เพียงอยู่ใกล้คุณพี่ ฉันมีสุขเสมอ.”

“ฉันก็เหมือนกันแหละแม่น้องรัก อยู่ใกล้น้องก็สุขชื่นบานยิ่งกว่าได้ลาภใด ๆ อิก ฉันจะตอบแทนความรักแม่หนูให้หนักหนา จะสมนาคุณของน้องให้เต็มที่.”

ข้าพเจ้าประคองหล่อนไว้แนบชิด แม่น้องยิ่งชื่นสนิทดีใจพิลึก.

แม่ประไพร่าเริงเต็มที่ อาการที่หล่อนร่าเริงสำราญใจทำให้ข้าพเจ้าชื่นบานไปด้วย, เสียงหล่อนที่ประจ๋อประแจ๋ทำให้หูสำเหนียกมธุรส ที่แสดงให้รู้สึกว่าอากาศโดยรอบทั้งเต็มไปด้วยความสุขอันหอมหวาน กายหล่อนอันได้มาอยู่ใกล้ข้างกายแลร่วมเคหากับข้าพเจ้านั้น เปนภาพอันแสดงให้เห็นอากาศสุขชื่นทั่วไปรอบข้าง ลมเย็นอันพัดริ้วๆ ในเวลาราตรีชวนใจให้สบาย น้ำค้างพรายพรมให้ดวงจิตสดใส ข้าพเจ้าปลื้มใจแสนโสมนัศ ก็หลงระงมไปด้วยความพิศวาศกำหนัดใน ให้อาวรณ์ร้อนสวาทพิศมัยในแม่น้องยอดรัก หลงระงมกอดรัดสัมผัศา แตะต้องกายากำกุมจุมพิต มากน้อยเท่าไรไม่คณนา ด้วยว่าดวงใจตลึงลาน ไม่รู้ประมาณการคณนา มักระงมปลื้มลืมกายไปนมนาน พอรู้สำนึกกายก็ได้รู้สึกนุ่มนิ่มเนื้อน้องรักมาได้กกแอบชิดสนิทอกอุ่นซึมแทบกระทั่งดวงใจได้แนบดวงใจ.

เมื่อกำลังพิศมัยเสนหากำลังชูชอบหทัย ข้าพเจ้าถูกชวนให้ไประงับกาย โดยได้ยินเสียงน้องรักร้องว่า “คุณคะ, ดึกแล้วหละ, เข้านอนเถอะ!”

“หากว่านั่งกอดเคล้ากันอยู่กระนี้ตลอดรุ่ง?”

“งันก็ตามใจคุณ.”

“อาบน้ำดีกว่าแล้วนอน.”

“ตามใจคุณ.”

ข้าพเจ้าอาบน้ำที่สระ ตาแก่คนทำสวนจุดไต้ตักน้ำราดให้ซู่ๆ เย็นสบาย แต่แม่ประไพนั้นสาวใช้นำไปอาบที่ ๆ อาบน้ำบนเรือนของแม่ปรุง, เมื่อข้าพเจ้าขึ้นมาจากสระ เห็นแม่ประไพทาน้ำอบไทยหอมฟุ้งกำลังหวี ผมอยู่กลางระเบียง รอบข้างกายมีเครื่องแป้งกระจายอยู่พร้อมออกเกลื่อนกลาดเต็มเขตใหญ่ ทำให้ข้าพเจ้าคิดว่าผู้หญิงหน้ะ มีหน้าหน่อยเดียวแต่ต้องการเครื่องแป้งเต็มโต๊ะใหญ่ ๆ ตามแต่จะได้.

ข้าพเจ้าร้องทักว่า “แม้ ! ประแป้งหน้าลายเปนแมวคราว!”

หล่อนตอบว่า “ฉันไม่ให้คุณต้อง···แก้มอย่างลายกระนี้หรอกข้ะ ดูซี, นี่แป้งแห้งแล้ว ฉันลบลูบลายเสีย—อย่างงี้—อย่างงี้—นี่หน้านวลเปนใยเห็นไหมค๋ะ?”

ข้าพเจ้าแสดงว่าข้าพเจ้าเสียใจ ที่ไม่มีเครื่องแป้งชุดใหญ่ไว้สำรองให้แม่ประไพ บัดนี้ต้องขอยืมของคนอื่นเขามาให้ ด้วยว่าที่เปนของแม่ปรุงนั้นหล่อนเอาไปเสียหมดแล้ว แต่หวังว่าไม่ช้าจะจัดเครื่องแป้งชุดใหญ่ให้แม่ประไพให้ครบ.

พี่เลี้ยง, คือสาวใช้ช่วยกันแต่งตัวแม่ประไพผลัดใหม่ยิ่งสวยดีกว่าเก่า เพราะผ้าแลเสื้อของหล่อนซึ่งใส่มาจากสวนพลู “ช่างน่าเอนดู” จนดูไม่ได้ บัดนี้หล่อนแต่งหมดจดสดใสอย่างรุ่นสาว สาวน้อยดูช่างเข้าทีน่าปราณีนี่กระไร ข้าพเจ้าได้ผลัดผ้าแลสีเหงื่อไคแล้ว พ้นจากการตรากตรำตามหายอดสุดานั้น ค่อยสำราญกายได้มานั่งที่นอกชานเย็นสบายด้วยกันกับแม่ประไพใหม่ ช่างสุขเกษมอิ่มเอิบกำเริบใจนี่กระไร.

ยิ่งดึกยิ่งหนาวน้ำค้างสร้านสท้านกาย.

หล่อนชวนด้วยเสียงหวานให้ไประงับหลับนอนผ่อนสบายด้วยกันดีกว่า·········

เมื่อข้าพเจ้าตื่นขึ้นเช้าก่อนใคร ข้าพเจ้าได้เห็นแสงสว่างของวันใหม่ได้เริ่มเปล่งรัศมีแล้ว แสงอรุณได้นำมาซึ่งความชื่น เปนแสงซึ่งชีพของเราได้ตั้งต้นเริ่มชื่นบานในนาทีฤกษ์ยามนั้น, เมื่อแสงอาทิตย์ได้ส่องสว่างกระจ่างหล้านั้น เปนแสงสว่างซึ่งชีพเราได้ตั้งต้นพ้นเวรยามมืดมนท์จากสนธยาราตรีกาล เปนแสงอันนำมาซึ่งปฐมกาลของชีพอันส่องสว่างสุขสบายของเรา.

เราได้มั่วหมกมุ่นด้วยทุกข์ ด้วยโศกวิโยคยากเย็น เราได้ลำเคญยากแค้นแสนอัประมาณ มีข้าพเจ้าเปนต้นเปนประธาน ผู้ได้ผ่านมาแล้วในสมัยอันร้อนรำคาญ ดังความเสียหายนั้นจะผลาญเผาเสียให้ชีพวายปราณด้วยอกจะแตกบรรไลยด้วยความทุกข์แค้นแสนเขญ, ทั้งป่วยกายแลใจไม่สดใสชื่นบาน เวลานั้นเหมือนอย่างเวลาราตรีกาล อันมืดมนท์ไปด้วยความมืดคือความทุกข์ภัย แต่วันนี้แลได้เริ่มพ้นปัจจุสสมัยรุ่งรางแล้ว เปนวันอันเสมือนนำทูตสวรรค์มาให้สัญญาว่าชีพสว่างแล้วในวันนี้ ชีพเจ้าย่อมสว่างแล้วแต่วันนี้ไป ถึงสมัยเจ้าจะสนุกสำราญในความเปนอยู่ ผลแห่งความไม่พยาบาทจะสู่เจ้าให้ได้เจริญแต่วันนี้เปนต้นไป เปนผลบุญอันเจ้าได้ลุแก่โทษตัว, นัยว่า “อัจจโย” โทษของตัว เปนผลแห่งเจ้าได้กระทำอภัยทาน นัยว่าเจ้าให้ทานโดยสละเสียซึ่งการจองเวร นัยว่าเจ้าไม่มีความพยาบาท !

ข้าพเจ้าทอดทัศนาแม่สาวน้อยกลอยสวาท ผู้ไสยาศน์หลับสนิทนิทราอยู่ข้างกายข้าพเจ้า ๆ รู้สึกใจว่าต่อไปจะสุขสำราญไม่รานร้าว สาวน้อยผู้บริสุทธิ์นี้จะนำความสว่างของชีพมาให้แก่ข้าพเจ้า ให้สมนิมิตแห่งใจ ด้วยว่าดวงหน้าโสภาของหล่อนนั้นเปนนิมิตอันดี มีกายสิทธิ์ที่จะนำมาให้เวลามีแต่ชื่นบานไร้ฝ้าแห่งความทุกข์ให้สมนิมิตของวันอันส่งข่าวว่าเราจะเจริญสุขสบสมัย ด้วยแสงสว่างของกลางวันเปนนิมิตอันดี อันส่องฉายใบหน้าหล่อนอันประกอบด้วยนิมิตอันดี ให้นิมิตมีสิทธิแก่เราผู้อยู่ครองกันด้วยความสัตย์สุจริต ที่พิศวาศรักกันมั่นหมาย ไม่มารยาสาไถยรักกันด้วยเล่ห์ลวงของโลกีย ความรักกันโดยบริสุทธิ์จึงเปนผลกุศลธรรมอันดี ย่อมนำมาซึ่งนิมิตอันแสดงปรากฎชัดว่าแต่นี้ไปเราจะเจริญ.

แม่น้องรักนอนงาม ยามตื่นนั้นน่ารัก ยามหลับนั้นน่าชม งามสมกายสมใจ หล่อนยังหลับไหลทอดหายใจสบาย ยังไม่ตื่นนอน เห็นจะอ่อนใจด้วยตรากตรำทรมานกายในต้นยามของราตรี หล่อนนี้เปนผู้ปราณี ข้าพเจ้าอุส่าห์รัก อุส่าห์ฝากกาย หล่อนมีคุณแก่ข้าพเจ้าไว้ หล่อนเปนผู้ได้มีแก่ใจ.

โอ, รุ่งรางแล้ว ข้าพเจ้าเห็นนิมิตของความสุขทุกสิ่งที่สุขนั้นอยู่ในหล่อนหมด แสงสว่างแห่งกลางวันส่องให้ข้าพเจ้าเห็นเริ่มชีพของความสุขเจริญตั้งต้นแล้ว ทั้งนี้เพราะน้องแก้วพี่มาเปนประธาน โอ, ความชอบหล่อนเหลือคณนา ทุกข์เก่าแสนสาย่อมลืม ความแค้นแสนเขญย่อมลืม, ความย่อยยับอัประมาณย่อมลืม, แม่งามปลื้มมาเปนประธานให้ลืมทุกข์โศกวิโยคยากเขญ แม่นิ่มน้องมาชวนชื่นให้ปลื้มให้สุขสนุกสบาย ให้เคราะห์โศกโรคภัยหายหมด, ความสุขทุกอย่างหล่อนนั้นมาเปนประธาน บันดาลให้ดับทุกข์จุกใจเสื่อมคลายหายหมด บุญคุณของความสุขมาตกอยู่แก่หล่อนเปนความชอบของหล่อนผู้ฝากกายแก่ข้าพเจ้าผู้เดียว.

ตื่นเถิดแม่เอ๋ย ช่างมัวนอนกระไรเลยอ่อนใจอะไรนี่ ครานี้จะถนอมไม่ห่างกาย พี่ได้ทำให้อกสั่นขวัญหาย, อนิจาแม่ยอดรัก, ไกลพี่ ๆ อกจะหัก มาร่วมรักพี่แทบจะกลืน ชายอื่นไฉนจะปราณีเหมือนพี่เล่า พี่นี้ไม่ลืมรักเลย ไม่ลืมคุณเลย, อนิจาน่าสวาท ใจจะขาดเมื่อยามยาก ต้องพลัดพรากพี่ชายไปหลายระดู ดวงใจก็คิดเอนดู, แต่พี่ขยะแขยงใจกลัวบาป เพราะได้ตั้งใจมั่นสัญญา จะรักแม่ปรุงผู้ยอดเสนหาคนเดียวดาย ครั้นมาใกล้แม่น้องน้อย พี่ทำเฉยเชือนด้วยขวยใจ, พี่ทำเฉยเชือนไม่รักน้อง จนแม่นี้หมองไหม้, ครานี้พี่ได้ตกช้ำระกำใจ เมียรักดังดวงใจได้ถอยห่าง เขาได้ตอบแทนความรักด้วยหยามหยาบ, เขาได้ตอบแทนความรักด้วยทารุณ พี่แทบเลือดตากระเดน, บัดนี้เห็นแต่แม่หนูคนเดียว จะรักแม่นี้เท่าไร ๆ ไม่มีใครขัดขวาง จะมอบหมายอะไรให้ทุกอย่างก็ไม่เกรงใคร.

ตื่นเถิดสาวน้อยกลอยสวาท ความสุขเราสมมาท ชาตินี้ไม่ขอคลาคลาย พี่จะถนอมแม่ไว้ดังดวงตาดวงใจ จนตายก็ไม่คลายปอง เคยรักเขาเท่าไร—จะรักน้อง, เคยปองเขาเท่าไร—จะปองแม่หนูนี้คนเดียวดาย.

หล่อนแว่วเสียงสำเนียงหวาน รำพรรณพูดเพ้อ หล่อนตื่นลืมตา เห็นพี่ยานั่งใกล้ชิด, หล่อนลุกขึ้นแล้วยิ้มอาย หล่อนยิ้มแย้มแก้ขวยใจ แต่แรงกำลังไม่เท่าเทียมผู้ใหญ่ ก็งัวเงียนอนยังอ่อนระทวยกาย ยามหนาวในเวลาเช้าทำให้ข้าพเจ้าเร่งทวีสวาท เข้ารวบกอดน้องรักไว้แค่ทรวง ยิ่งกำซาบใจนัก, ก็จุมพิตอยู่ไปมา.

“ยังไม่ตื่นหรือจ๊ะ แม่ประไพ?”

“ตื่นแล้วนี่อย่างไร”

หล่อนซบหน้ากับตักข้าพเจ้า.

“โอ้, เจ้าแม่นา หลับเถิด, นอนหลับเสียใหม่เถิดพี่จะกกกอดให้.”

“ไฉนคุณพูดฉนี้.”

“อ๋อ ยังอยากหลับก็หลับได้ ยามหลับพี่ใคร่ให้น้องตื่นเปนเพื่อนกาย ยามตื่นนั้นอยากให้หล่อนหลับสบาย พี่ใกล้ชิดกาย—คอยประคองเฝ้าเวนยาม.”

ข้าพเจ้าอดเชยชมไม่ได้.

“คุณรักฉันหรือคะ ?”

“โอ้, แม่ประไพ ฉันนี้รัก รักหล่อนจนวันตาย ขอโทษทีที่รักช้าไป.”

“ฉันรัก,—ขอฝากกายจนวันตาย”

“โอ้, พี่นี้เคยรักแม่ปรุงเท่าไร— พี่นี้จะถ่ายรักให้แม่ประไพให้หมด.”

น้องพิศวาศจนสร้านเสียว คำนี้คำเดียวหล่อนคอยมา หล่อนได้เสียใจที่ข้าพเจ้าไม่นำพา หล่อนได้อาไลยที่ข้าพเจ้ามิได้เห็นอกหล่อน หล่อนฤษยาจนต้องต่อว่าว่าหลงเมีย บัดนี้หล่อนได้ชะนะความสวาทแก่ชายนั้นจนได้สมปอง หล่อนหมายฝากกายแก่ชายให้ปกครอง ก็ได้สมอารมณ์หมาย เปนคราวแรกรัก ช่างยิ่งมีแก่ใจ ต่างระงมหลงใหลในรสทั้งน้องทั้งพี่.

นอนเถิดแม่เอ๋ย พี่จะอยู่งาน ใช่ว่าน้องนั้นจะแขงแรง พึ่งรุ่งพึ่งรางสว่างไสว หาใช่พี่มีกิจปลุกหล่อนใช้การหนักเยี่ยงกุลี ปลุกแม่พอจู๋จี๋เปนเพื่อนกาย แต่นี้เราไม่มีเสื่อมความรักคลาย หอมหวานอากาศเช้าอย่างไร ใจจะมุ่งหวานใจเสมอ ตวันรุ่งฟ้าพี่คิดนิมิตว่าเรานี้จะมีแต่ผาสุกไป.

ข้าพเจ้านอนแนบกายแม่น้อง ให้รู้สึกโสมนัศนี่กระไร เราเคยทุกข์มาแล้ว ความทุกข์เสียก่อนย่อมแผ้วถางให้รักสนิทเปนกลมเกลียว ความยากอันน่าอนาถซึ่งหล่อนแลข้าพเจ้าได้รับแล้ว ทำให้รู้สึกความศุขมีรสหวานกว่า ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าจะปลื้มอย่างไร เร่งแต่รักแลเอนดูแลคิดถึงบุญคุณหล่อนผู้มีแก่ใจ.

เราใช่แต่ได้ร่วมสุข แท้จริงได้เคยร่วมทุกข์กันมาแล้วว่าก็ได้ ต่างคนเจ็บแค้นด้วยทุกข์แสนสาหัส, ต่างคนเคยชิมรสขมของทุกข์ ครานี้มีสุข สุขย่อมไม่เจือราคี จนชั้นหล่อนถูกขะโมยกายไปโดยคนชรากลับมาอิกได้ เท่านี้ยังช่วยให้ทวีรสชื่นนี่กระไร เหมือนตายแล้วเกิดใหม่ได้พบกัน.

ตวันสว่างจ้าข้าพเจ้ามัวนอน ด้วยคลอเคลีย—เลหี่ยอ่อน – ก็หลับสนิทอยู่ชิดกัน หลับก็ปลื้มตื่นก็ปลื้มใจกระสรรราวกะลืมเวลา ลืมวัน ลืมกิน ลืมอยู่.

เวลาสายได้ยินเสียงแว่ว ๆ ทั้งนอน ทำให้ข้าพเจ้าตื่น “แม้! ตวันโด่งนี่กระไร แดดกล้านี่กระไร ตื่นแรก ๆ ใหม่ ๆ ไนยตามัวงัวเงียกอดเมียรุ่นน้อยยิ่งกำซาบใจ พอเสียวส่ายสูดจมูกไปได้พักใหญ่จึงรู้สึกนึกเกรงใจในที่—หลับก็ตะกรูมตื่นก็ตะกลาม.

พอได้ยินเสียงนายขบวนแว่ว ๆ จึงสำนึกได้ว่ายังมีโลกอื่นนอกจากห้องนี้ ข้าพเจ้าก็เปิดประตูออกมาดู.

“นั่นแน่, นายขบวน ฉันอยากพบที่สุด ไม่มีใครในโลกนี้ที่ฉันอยากพบมากกว่า” ข้าพเจ้าทัก.

เธอยิ้มแย้ม ถามว่าสบายหรือ.

“สบายที่สุด ขอบคุณที่สุด”.

“ขอบคุณเมียน่าซี”

“ขอบคุณเมีย แลขอบคุณมิตรด้วย ดีใจที่สุดที่พบนายขบวน ฉันติดใจในความหนึ่ง อยากจะถาม—นึกถึงตลอดรุ่ง.”

“ถามก็ถามมาเร็ว ๆ เถิด ผมจะรีบไปออฟฟิศ จะชักช้าไม่ได้ สายแล้ว.”

“อย่าด่วนนักพ่อเอ๋ย—“

“แม่ประไพสบายหรือ ?”

“สบายหละ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ไม่ไข้ ไม่ป่วย ไม่ดื้อ ไม่ด้าน.”

“อยากจะคุยกับผมก็รีบไปล้างหน้าเสียก่อนสิขอรับ เดี๋ยวผมจะสายไปออฟฟิศ.”

“ถ้าจะด่วนเร็วยังไงไล่ไปล้างหน้า มานั่งที่หอ นั่งนี่แหน้ะ ฉันจะถามอะไรเธอหน่อย คุยกันทั้งกำลังไม่ล้างหน้ากระนี้”

หอนั่งคือชานซึ่งนั่งร่มลมเย็น ครึ้มเถาไม้ แลมีกะถางต้นไม้ตั้ง มีโต๊ะมีเก้าอี้ เปนที่ ๆ เราสองคนผัวเมียนั้งคุยกันเมื่อคืนนี้ นายขบวนนั่งเก้าอี้ตัวหนึ่ง ข้าพเจ้านั่งอิกตัวหนึ่ง.

ข้าพเจ้าเอ่ย “อยากจะทราบว่าทำไมเธอช่วยฉันได้ตัวแม่ประไพคืนมาได้ง่ายดาย.”

“อ๋อ, รู้ว่าหล่อนอยู่ในห้องนั้น ก็ทอดบันไดปุ๊บ จับตัวหล่อนปั๊บ—เอากลับบ้าน สิ้นเรื่องกันเท่านี้เอง.”

“ต้องการรายเลอียด.”

“แม้! จะให้เล่าพิศดารละก็ผมสายแย่.”

“เอาเถอะน็า ไม่ต้องถูกตัดเงินเดือนหรอก.”

“ตั้งต้นเรื่องหละนะ, ผมทราบข่าวว่าแม่ประไพหายก็ร้อนใจหนัก ผมเห็นว่าคุณร้อนใจเกินไป จึงทำหน้าชื่นเสียบ้าง ย่อมรู้แล้วว่าคุณพระเปนคนขะโมยตัวแม่หนู—”

“คุณพระแก่แกเปนหักขะโมยเก่ง—เชิงนี้.”

“เพราะฉนั้นรู้ว่าหล่อนอยู่บ้านคุณพระ ถ้าจู่ไปจับเอาก็ได้ แต่ต้องลำบาก จะเกิดความยุ่งยาก แลถูกคุณพระขัดขวาง ผมจึงผ่อนหาอุบาย แล้วไถลไปสวนพลู—“

“ไปสวนพลู—ไปหาอะไรให้เหม็นจมูกเปล่าๆ”

“ไปเพื่อถ่วงเวลา—ถ่วงให้ค่ำ.”

“ถ่วงเวลาทำไม กันร้อนใจเกือบตาย.”

“ความมันเปนอย่างงี้ ผมให้บ่าวมาสืบถามแม่กลึง ๆ บอกว่าแม่ประไพมาอยู่ที่บ้านจริง แลอยู่ดี ผมก็สั่งบ่าวตามคิดอุบาย แลให้ไปบอกแม่กลึงให้ทราบ.

“อุบายอะไร?”

“ให้คนแต่งเปนมหาดเล็กในกรม ตลีตลานด่วนมาบอกคุณพระว่าในกรมมีธุระร้อน เร่งให้คุณพระไปเร็ว คุณพระไม่เคยขัดรับสั่ง จึงไป ไปแล้วเราก็รับตัวแม่ประไพมาได้ สบายใจฉุย ไม่ต้องเกิดวิวาทกันเหมือนคุณพระอยู่ ผมสั่งบ่าวให้บอกแม่กลึงให้รู้ตัวทุกอย่าง แลฝากฝังแม่ประไพเปนอันมาก บ่าวก็ได้รับคำสั่งจากหล่อนมาบอกผมมาก แต่ซึ่งผมไปสวนพลูกับคุณ—”

“นั่น—ไปทำไม?”

“เพื่อจะถ่วงเวลาให้คุณพระถูกลวงออกจากบ้านเสียก่อน จึงไถลไปให้เปลืองเวลา ครั้นจะอยู่บ้านคอยเวลาเฉย คุณก็ทุรนทุรายเกินเหตุ จะทำให้เกิดความ ต้องไถลไปถ่วงเวลาเสียก่อน ก็ได้แม่ประไพมาโดยง่าย.”

“เธอเปนสหายดีที่สุด นับเอาเปนยอดสหาย ฉันขอบใจที่สุด.”

ข้าพเจ้าก็ตรงเข้าจับมือนายขบวนเขย่าด้วยความพอใจ.

พอแม่ประไพล้างหน้าหวีผมแต่งกายมาเรี่ยม มานั่งด้วย, ทาน้ำอบส่งกลิ่นฟุ้ง.

นายขบวนถามว่า “แม่ประไพเล่าความให้ฟังแล้วหรือ?”

“เรื่องของหล่อน ๆ เล่าจนสิ้นพุงแล้ว, เรื่องของเธอนั้นฉันพึ่งทราบเดี๋ยวนี้ ฉันอยากทราบว่าตาเสือเถ้านั้นกลับมาแกงุ่นง่านอย่างไรบ้าง.”

“คลั่งที่บ้านที่ไหนได้ อายเขา เมื่อรู้ว่าพี่ชายเขามารับน้องสาวเอาตัวกลับคืนไปได้แล้ว ท่านก็จนใจเลยไปเที่ยวราตรีเสียที่ไหน ๆ ตลอดรุ่ง.”

“จัณฑาลจริงนะ.”

“แม่กลึงสั่งมาว่าอย่าพูดไป อายเขา ขายหน้า ด้วยว่าผู้นั้นเปนบิดาหล่อน.”

“แม่กลึงหรือ เออ, ช่างล้อฉันได้ หน้ากลมงามนี่กระไร ยืนสยายผมสัพยอกฉัน เล่นเอาฉันเก้อจนหน้าม้าน. หล่อนอดหัวเราะไม่ได้ ก็ยิ้มหัวจนหน้ายิ่งคล้ายซาละเปา.”

“อย่าไปเคลมหล่อนน็า ได้ยินว่าไม่ช้าจะได้มั่น—ตุนาหงันกับคุณหลวง—”

“เขาก็หลวง ฉันก็หลวง.”

“ของเขาก็เมีย ของเราก็เมีย.”

“หรือว่า—นั่นก็พี่ นี่ก็น้อง.” แล้วข้าพเจ้าว่่า—

“ฉันขอบใจแม่กลึงมากที่สุด ต้องให้ทราบเสียบ้างว่าเราต้องสมนาคุณ วันนี้จะจดหมายใช้คำหวานให้เด็กเอาไปให้หล่อน วันน่าจึงจะไปหาตัว.”

“หล่อนบอกว่าจะไปหาเมื่อไรก็ไปได้ ไม่ต้องกลัว.”

”ว่าที่จริงคุณพระต้องกลัวเรา เพราะเราได้ถือโทษท่านไว้ในมือ ปล่อยให้อื้อฉาวเมื่อไรก็ได้, นี่นายขบวนแหกขี้ตามาทำไมแต่เช้า ?”

“ว่าแต่แหกขี้ตามาจนสาย ผมมาธุระ.”

“ธุระอะไรหรือ ?”

“ง่า—เมื่อคืนนี้—ใจคิดกรุณาคุณป้า จึงไปสวนพลูแต่ทั้งค่ำคืนกระนั้น บอกแกให้คลายใจ ว่าบัดนี้คุณพี่ได้แม่ปรุงมาอยู่กินเปนสามีภรรยาเปนสุขสบายในบ้านแล้ว เพราะแกสั่งไว้ถ้าได้ความอย่างไรขอให้แกรู้ข่าวบ้าง.”

นายขบวนยิ้มเยาะ.

แม่ประไพยิ้มค้อน.

“แล้วแกว่ากระไร?” ข้าพเจ้าถาม.

“แกว่าวันนี้จะมาแต่เช้า จะขนเข้าของแลเครื่องประดับ แลผ้านุ่งผ้าห่มของแม่ประไพบรรทุกรถมาส่งที่นี่ให้สิ้นเชิง.”

“ขอบใจคุณป้ามาก ๆ.”

“แกรักใคร่กรุณาหลานแกอยู่มากเหมือนกัน.”

“งั้นแม่ประไพไปขอบใจนายขบวนเสียซี—”

แม่ประไพไม่ต้องให้เตือนซ้ำ หล่อนเข้าไปใกล้นายขบวน เอามือแตะต้องลูบหลังพลางรำพรรณว่า “ฉันขอบคุณนายขบวนที่สุด.”

นายขบวนได้สัมผัศมือน้อยอันอ่อนนุ่มของหล่อนก็สยิวกายด้วยเสียวจนสท้าน. แม่น้องไหว้เธอแล้วก็กลับมานั่งตัก ข้าพเจ้าก็ผลักหล่อนไถลลงนั่งข้าง นายขบวนก็ยิ้มดูอยู่ตาค้าง—พอใจที่ได้รับคำขอบคุณ.

ข้าพเจ้าว่า “ถ้าป้าแกมาแต่เช้า ฉันก็จะไปทำงานเสียมิคลาศกับฉันไปหรือ.”

“วันนี้อย่าไปทำงาน—ป่วยการ” เธอบ่น.

“ทำไมเล่า ?” ข้าพเจ้าถาม.

“อ้าวนี่ก็พึ่งได้เมีย วันนี้หยุดมี “โฮลิเด” เพื่อการได้อยู่กินกันใหม่ไม่ดีหรือ.”

ข้าพเจ้าเหลียวไปดูแม่ประไพ เจอไนยตาหล่อนเต็มไปด้วยอ่อนโยน ข้าพเจ้าก็รู้ได้ว่าหล่อนพอใจให้อยู่ ข้าพเจ้าเองก็รู้ตัวเห็นดีกระนั้นด้วยเหมือนกัน ข้าพเจ้าก็ไม่ดึงไม่ดื้อไม่ขัดแค้นในถ้อยคำของมิตรสหาย ข้าพเจ้าก็ถือคำตักเตือนของเธอ, ข้าพเจ้าก็มี “โฮลิเด” หยุดพักบ้านนั่งกอดเมียสาวเสียวันหนึ่ง ทำเปนทองไม่รู้ร้อนเท่าคนไม่มีงานดี ๆ.

เมื่อนายขบวนลามา ข้าพเจ้าเดินมาส่งเธอลงบันได ข้าพเจ้ากล่าวโดยมั่นใจว่า “นายขบวนเอ๋ย ไม่มีใครเปนมิตรสหายดีกว่าเธอ ๆ เปนมิตรสหายดีแท้ที่สุด ขอบใจเธอไม่มีที่สุด ต่อนี้ไปฉันสุขสบายที่สุด.”

เธอหันหน้ามาตอบว่า “วันนี้ผมสายมากที่สุด ต้องรีบไปเร็วที่สุด”

เธอก็ก้าวขาพรวด ๆ ไปโดยด่วนที่สุด.

ข้าพเจ้ามาอาบน้ำ ชวนเชิญแม่น้องกินอาหาร แล้วนั่งสูบบุหรี่สนทนากันอยู่.

พอคุณป้ามาถึงกับด้วยรถบรรทุกเข้าของ ๆ แม่ประไพมาส่ง เรารับรองแกกับพวกลูกหลาน—เพื่อนของแม่ประไพในสวนพลู—เปนอันดี บ่าวขนเข้าของหล่อนขึ้นมา มีหีบปัดเสื้อผ้าแพรพรรณแลเครื่องประดับอันมีค่าต่าง ๆ ซึ่งป้ามอบให้แก่มือ เปนของจากในวังแลในบ้านที่หล่อนเคยอยู่ เปนของเข้าส่วนตัวหล่อนไม่ขาดสูญหายไปสักสิ่งตลอดจนด้ายสักท่อนเขมสักอัน แลยังมี “เฟอนิเช่อร์ “ต่าง ๆ นอกจากม้าแลเครื่องแป้ง หวีกระจกบานใหญ่งามของหล่อน ข้าพเจ้ายังได้สังเกตเห็น “เฟอนิเช่อร์” ชุดหนึ่งซึ่งทำให้ข้าพเจ้าสำนึกความสยดสยองชั่วครู่ยาม. สิ่งนั้นคือโต๊ะหนึ่งกับเก้าอี้สี่ตัวจากห้าง ข้าพเจ้าจำได้ว่าอยู่ในกระท่อมท้ายสวนพลูในราตรีวันนั้น แลบนเก้าอี้ตัวหนึ่งนั้นข้าพเจ้าถูกแทงเพื่อจะให้ตาย แลเหนือโต๊ะนั้นข้าพเจ้าได้พิปรายความไม่พยาบาท จนบนโต๊ะนั้นมีน้ำตาผู้ร้ายหยดหลั่งแห้งกรังอยู่.

คุณป้าเหนื่อย คุณป้าจะรีบไป วันอื่นจึงจะมาเยี่ยมใหม่ เมื่อแม่ประไพปราไสยกับเด็กเพื่อนเล่นทั้งหลายแล้ว คุณป้าก็ขยายของกำนันออกมาให้.

ข้าพเจ้าร้องว่า “โอ๊ย, พลูใบงามหน้ะ ป้าเอามาให้ตาละทีกินไม่ไหวทั้งเรือน แม่ประไพหัดกินหมากจัดเหมือนแม่ปรุงบ้างเปนไร สร่วยพลูงาม ๆ ของเราถมเถ.”

ข้าพเจ้าต้องให้เขาขึ้นหมากจากต้นให้ป้าทลายหนึ่งได้จึงพอใจในการตอบแทนต่อแก.

คุณป้าลาไป ให้ศีลให้พรเปนอันมาก เด็กสวนพลูเหล่านั้น ขากลับก็ขึ้นรถโกดังไป สดุ้งเสทือนไส้ขย้อนหัวสั่นหัวคลอนสรวลเสเฮฮากันไปตลอดทาง.

ซึ่งคุณป้าให้ศีลให้พรนั้น ก็นับได้คนเดียวเท่านั้น ในดินแดนซึ่งได้ออกปากอวยพรให้ในการอยู่กินกันโดยไม่มีวิวาห์การ เพราะฉนั้น “การวิวาห์” ของเรานี้มีผู้ให้พรเพียงคนเดียวโดดจากบ้านกระท่อมเป็ดเท่านั้น.

ในเวลาบ่ายเราสองคนตื่นจากการนอนใช้เนื้อเมื่อได้อดนอนแต่ค่ำคืนที่แล้วมานั้น เมื่อได้รับประทานอาหารของว่างแล้ว ข้าพเจ้าก็เข้าช่วยแม่ประไพไปจัดเข้าของในห้อง ซึ่งข้าพเจ้ายกให้หล่อนอยู่เปนห้องเก่าของแม่ปรุงซึ่งมีเข้าของใหม่แลเจ้าของห้องใหม่.

ช่วยกันจัดสรรสอาดเรียบร้อยดีแล้วจนเย็น แถมรุ่งจัดสรรต่อไปเสร็จ.

กับบ่าวได้ชำระขัดถูห้องแลระเบียงชานเรือนสอาดสอ้านทั่วไป ประกวดฝีมืออวดนายผู้หญิงคนใหม่ เย่าเรือนเคหะสถานแลครัวไฟสอาดสอ้านเรียบร้อยทั่วไป ทั้งตาคนทำสวนก็หมั่นจัดทำสวนของเราให้สอาดสอ้านขึ้นอิกใหม่ น้ำในสระก็แลดูใส อากาศก็ดูสดชื่น ชีพก็ดูเริงรื่นทั่วไป ตั้งแต่แสงอรุณวันนั้นไขแสงสีแย้มความสว่างแห่งชีพของเราเปนนิมิตรมาแล้ว ความสุขของเราก็แผ่สร้านกล้าแขงในความสุขสบาย คล้ายอาทิตย์ได้ขยายความเกษมสันต์หรรษามาให้เราไหลมาสู่ในธาราแห่งความสุขมาอบอุ่นอกเราตลอดเช้าเย็นค่ำคืน ให้เปนที่ชอบชื่นนิยมชมชิดสนิทสนมกันทั้งสองสามีภรรยา.

แต่นั้นมาแม่ประไพก็โตวันโตคืน อ้วนท้วนพ่วงพีกระปรี้กระเปร่าแขงแรง ราษีแฉล้มแจ่มใส หน้าตาเบิกบานชวนชื่นระรื่นใจ เปนสุขสมัยอันหนีรอดพ้นจากมาร จากเคราะห์โศกโรคภัยต่างๆ มาสบสมัยที่ได้ร่วมรสรัก ก็สมัคสมานชื่นบานในผู้ซึ่งเคยทุกข์มาแล้ว ปองสวาทมาแล้ว ครานี้ไม่คลาศแคล้วความสามัคคี ไม่มีใครสิ่งไรกีดกันรัก ไม่มีสิ่งไรผลักเสียซึ่งความสุขทุกปีมา.

เมื่อข้าพเจ้ากอดแนบแม่ประไพไว้แต่อุรา ความพิศวาศก็ไหลบ่า ในบัดนี้ ๆ เท่า ๆ ทีก่อน ๆ ไม่ถอนถอยคลายเสื่อมเลยสักส่วนเดียว.

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ