- คำนำ
- ภาค ๑
- บท ๑ รสหวานของความไม่พยาบาท
- บท ๒ ดูตัวเจ้าสาว
- บท ๓ วิวาห์การ
- บท ๔ ชีพอย่างชมจันทร์
- บท ๕ สองสามสุข
- บท ๖ แม่ปรุงเปนมารดา
- บท ๗ ความไม่พยาบาทเริ่มต้น
- บท ๘ พระกับมาร
- บท ๙ เมฆสว่างของชีพ
- บท ๑๐ ความทุกข์ของสาวพรหมจารี
- บท ๑๑ เมฆมืดของชีพ
- บท ๑๒ ตุ๊กกะตาฅอหัก
- บท ๑๓ นิราศบ้าน
- บท ๑๔ ภรรยา “ป่วย”-- สามีป่วย
- บท ๑๕ ข่าวลามก
- บท ๑๖ ข้าพเจ้าเจอภรรยา
- ภาค ๒
- หมายเหตุ การแต่งเรื่องนี้
บท ๑๓ นิราศบ้าน
ข้าพเจ้าจะห่างไป แม่ปรุงก็อาไลยอยู่ ข้าพเจ้าก็อาไลยเหมือนกัน แต่เห็นว่าเปนของจำเปนไม่ใช่สิ่งอันอัศจรรย์อะไร ถึงกระนั้นแม่ปรุงทำให้เข้าใจว่าหล่อนต้องจากลูกแล้วยังซ้ำจะต้องห่างผัว, ความข้อนี้ทำให้ข้าพเจ้าพะวักพะวนไม่เหือดหาย, สิ่งอันเปนของไม่น่าดูทำใจให้ข้าพเจ้าสดุ้งสเทือนนี่กระไร ยิ่งเห็นว่าใจชายอำมหิตทั้งหลายนั้นร้ายกาจไปด้วยกิเลศลามกยิ่งนัก บัดนี้มารู้สึกว่าหญิงนั้นใจอ่อน ขวัญอ่อนนี่กระไร ตรงกันข้ามกับชายที่ใจแขงกระด้าง, โดยแม่ปรุงแสดงให้เห็นลักษณะต่างกันกับบุรุษชาติให้ปรากฎชัดเช่นนี้ โดยเหตุที่หล่อนกำลังโศกถึงบุตร์ก็ยิ่งทวีความกะลิ้มกะเหลี่ยที่จะห่างผัว.
ข้าพเจ้านอนตรองหมองหมาง ได้นึกว่าชนบททั้งหลายจะเต็มไปด้วยบุถุชนอันผ่องใสสอาดใจมีความสุจริตจานเจือกันให้สุทธิทั่วไป บัดนี้ข้าพเจ้าเห็นแล้วว่าหญิงชายใฝ่การเมามัวหลงใหลลามก ข้าพเจ้าไปใกล้ชิดเขาทั้งหลาย แลได้คบเขาทั้งหลายมานาน ในราตรีนี้รู้สึกการบาปคล้ายอย่างงู “ซาตาน” คลานเข้ามาจะกระหวัดรัดตัว ข้าพเจ้านึกรู้สึกตระหนี่ตัวนี่กระไร รู้สึกสอิดสเอียนใจ ให้คิดกลัวการบาปจะมาตะครุบตะครับกับข้าพเจ้า. เมื่อเหลียวมาเห็นแม่ปรุงร้องไห้คิดถึงลูกคิดถึงผัวด้วย แล้วพลอยให้ข้าพเจ้าอาไลยร้องไห้ไปด้วย เพราะคิดสงสารโลกนี้มากเท่ากับสงสารหล่อน โลกนี้ที่เต็มไปด้วยผู้ที่เมามัว แลน่าสงสารผู้บริสุทธิหรือผู้รุ่นพรหมจารีจะต้องมาใกล้ชิดฝูงคนที่มัวเมาเหล่านี้ แลถูกเจตนาปองด้วย โดยเขาทั้งหลายไม่ยักคิดว่าเขาเปนชาติสัตวถุล แลเขาทั้งหลายไม่รู้จักเจียมใจ.
หากตัวข้าพเจ้าจะจากภรรยาไป หากได้ลูกไว้ให้หล่อนชมแทนตัวได้ ต้องได้ปลื้มเปนแน่ คราวนี้ทำให้ข้าพเจ้าคิดถึงพ่อหนูทวีมากขึ้นจนเสียใจ แม่ปรุงก็คงรู้สึกเช่นนั้น จึงกระวนกระวายสอื้นไห้ด้วยว่าบุตร์ตายแล้วนั้นแม่ปรุงมีอาการผิดไปกว่าเก่ามาก, ราวกะเปนคนละคน ถึงว่าเด็กหลายคนซึ่งได้มาเลี้ยงไว้ดูเล่น หล่อนเห็น ๆ ก็เพลินไปครู่หนึ่ง แล้วก็ต้องคิดถึงบุตร์ตัวเอง เพราะบุตร์ผู้อื่นไม่ใช่เลือดเนื้อของหล่อน แต่เด็กอันน่ารักซึ่งล่วงลับไปแล้วนั้นแลเปนเลือดเนื้อ แลถ้าเมื่อคุณภักตร์จุ๊บมือเด็กคราวที่อยู่ในกระด้งในวันอยู่ไฟนั้น ลมปราณจากจมูกเกลอทำให้พ่อหนูตายเสียก่อนแล้ว เราคงไม่อาไลยถึงเพียงนี้ นี่มันได้ยังชีพให้เติบใหญ่อ้วนพีบ่มความรักของเราเต็มที่เสียก่อนมันจึงตาย. !
วันรุ่งแม่ปรุงตากลวง ท่าจะเสียน้ำตามาก. แก้มตอบ, น่าจะอดนอน. ถอนใจใหญ่บ่อย, ๆ ท่าจะโศกกำศรด แต่ตวันยิ่งสูงขึ้น หล่อนยิ่งชื่นบานขึ้น กินเข้าได้แยะ ข้าพเจ้าค่อยคลายใจ แลหวังว่าเดชะบุญคุณพระหล่อนคงจะให้กำเนิดน้องของเด็กใหม่ได้นั่นแหละจะทำให้สุขสบายจริง.
รุ่งขึ้นเจ้าคุณแห่งกระทรวงเตรียมของไม่ทัน, จึงเหยียดเอาวันนี้เปนวันยังไม่ตั้งต้นเดินทาง เพราะรู้กันอยู่แล้วแต่เดิมว่าถ้าไม่ออกจากกรุงเทพฯ วันนี้ ก็จะไปพรุ่งนี้ เปนกำหนดสองวัน เจ้าคุณเลือกเอาที่สุด.
ข้าพเจ้าไปออฟฟิศ เที่ยงกลับ บ่ายไปเยี่ยมเจ้าคุณ ข้าพเจ้าได้รับเกียรติยศช่วยเจ้าคุณอย่างคลุกคลีตีโมง ทำให้ข้าพเจ้าพอใจเต็มที่ในซึ่งเจ้าคุณใช้อย่างสนิทสนมเหมือนสหายของท่าน.
เย็นแล้วข้าพเจ้ากลับมาจะกินเข้าบ้าน แม่ปรุงไม่อยู่ ข้าพเจ้าก็รอคอยจะกินพร้อมกันให้ได้ แม่ปรุงไม่รู้จักกลับมา สำรับก็แบ “หรา” อยู่กระนั้น ข้าพเจ้ายิ่งคอยๆ ยิ่งหิว ยิ่งเย็นยิ่งคอย ยิ่งคอยกลายเปนยิ่งหายหิว เพราะความตระหนกทำให้มีอะไรมาจุกฅอ ทำให้อิ่มตื้อ ข้าพเจ้าไม่สบายใจ เด็กได้บอกข้าพเจ้าว่าหล่อนไปเยี่ยมศพ ข้าพเจ้าจึงคอยได้ เพราะคิดว่ามีมูลพอที่จะเชื่อได้ เพราะหล่อนเคยเด็ดดอกไม้ไปเยี่ยมศพในเวลาเย็นบางวัน แลซึ่งวันนี้จู่ไปนั้นก็เพราะเมื่อคืนร้องไห้คิดถึงบุตร์หนัก ถ้าหายไปโดยไม่รู้ว่าไปไหน ข้าพเจ้าคงชวนคนในบ้านออกติดตามเสียแล้ว แต่ถึงว่าในบัดนี้คอยหาย ๆ ก็คิดว่าอิกสักครู่จะต้องจ่ายคนออกติดตามตัวหล่อนพลันทันที เพราะจวนจะค่ำอยู่แล้ว.
พอแม่ปรุงมาถึง หน้าตาชื่นบานแจ่มใสนี่กระไร ยิ้มเยื้อนแก้มเปนพวง ได้เด็กน้อยอายุสักสองสามขวบอุ้มมา เด็กชายนั้นอ้วนขาวน่ารักแท้ ๆ ไม่รู้ว่าใครให้หล่อนมา ตาดำ แก้มยุ้ย เดินคลานได้ว่องไว หล่อนอุ้มประคองมา พลางหล่อนยิ้มแป้น หัวเราะพลาง ก็วางเด็กลงตรงหน้าข้าพเจ้าพูดว่า “เอ้า—ให้ลูกคน—” แล้วหล่อนก็กอดจูบแลลูบหลัง.
ข้าพเจ้าชวนหล่อนรับประทานอาหาร หล่อนกินพลางล้อเด็กพลาง ป้อนให้พลาง แล้วจึงให้สาวใช้ของเราป้อนให้ทีหลัง หล่อนแสดงความรักเด็กนั้นมากเกินไปจนข้าพเจ้าออกปากว่า “นั่นไม่ใช่ลูกของหล่อน.”
หล่อนว่า “เขาให้เปนลูกฉันแล้ว.”
ข้าพเจ้าว่า “ลูกหล่อนก็ไม่ใช่ลูกฉัน.”
หล่อนว่า “ฉันให้เปนลูกเธอด้วย.”
เมื่อกินอาหารเสร็จ ได้มานั่งพักสบายที่น่าบ้าน ข้าพเจ้าสูบบุหรี่ไทย หล่อนสูบซิกาเร็ตอย่างแพง หมู่นี้ไม่ทราบว่าใครสอนให้สูบ หมู่นี้ไม่ทราบว่าใครส่งสร่วยซิกาเร็ต ข้าพเจ้าอยากจะซักต่อไปว่าใครให้เด็กมา หล่อนบอกแต่ว่าเพื่อนให้, เปนเพื่อนผู้หญิงที่รู้จักกัน อันกรุณาให้เด็กนี้มาเลี้ยงเล่นแทนพ่อแดง. ถามเท่าไรก็ไม่ได้ความว่า เพื่อนชื่อไร อยู่ที่ไหน ข้าพเจ้าก็จนใจ พอสาวใช้อุ้มเจ้าเด็กนั้นมาหล่อนก็หยอกเด็กนั้นไปใหม่.
ในเวลากลางคืน. เด็กนั้นร้องไห้แล้วนิ่ง หล่อนบอกว่าท่ามันร้องคิดถึงบ้าน เขาจะให้ยืมเอาแม่นมให้มาอยู่ด้วย.
คืนวันนั้นหล่อนไม่ต้องร้องไห้ ไม่กระอักกระอ่วน, ข้าพเจ้าก็ดีใจ แต่ว่ายิ่งหนาวน้ำค้างก็ยิ่งหนาวใจ ที่จะจำจากแม่แก้วแววตา รุ่งขึ้นข้าพเจ้าค่อยดีใจที่เห็นหล่อนเลี้ยงแลดูเด็กนั้นเพลิน แลบอกข้าพเจ้าว่าเขาอนุญาตให้หล่อนขนานนามเจ้าหนูให้ไพเราะ หล่อนกำลังคิดนามที่เพราะหูอยู่.
ข้าพเจ้าลอบไปหานายขบวนแต่เช้า เขาดีใจได้พบข้าพเจ้า เขาถามถึงรายการแห่งราชการแลการเดินทาง แล้วยอมรับรองว่าจะมีจดหมายไปถึงข้าพเจ้า บอกเหตุการทุกอย่างให้สิ้นไส้.
ข้าพเจ้าบอกว่า ได้เห็นแก่ตาในบ้านนามร้ายนั้น, ท่าไม่บริสุทธิ์เลย นายขบวนหัวร่อว่า— ว่าแล้ว, ไม่ช้าจะเห็นได้แก่ตาเอง ข้าพเจ้าสั่งว่าฉันมีข้อความอันหนึ่งอยากให้สหายสืบว่าแม่ปรุงได้เด็กลูกใครมาเลี้ยง หล่อนหลงรักใหญ่ แล้วข้าพเจ้าก็เล่าการที่ได้เด็กมานั้นให้ฟัง เขาก็รับรองตามความประสงค์ของข้าพเจ้าทุกอย่าง คือจะสืบว่าเด็กนั้นแม่ปรุงได้มาจากไหน, จะสืบสวนถึงแม่ประไพว่าเปนอย่างไร แลสืบเหตุจากบ้านนามร้ายต่อไป สืบรู้อะไรมาได้ จะจดหมายถึงข้าพเจ้าโดยเลอียดทุกสิ่ง จนชั้นการในบ้านข้าพเจ้าเขาก็จะจดไปให้รู้เหตุสิ้น.
พูดถึงแม่ประไพขึ้นมาข้าพเจ้าสงสาร จึงบอกนายขบวนว่าถ้าแม่ประไพจะพึ่งพาอาศัยอย่างไร ขอให้นายขบวนช่วยให้เต็มมือ แล้วข้าพเจ้าก็บอกทางเข้าทางออกของบ้านนั้นให้ แลพูดว่าแม่ประไพหนาวใจ ข้าพเจ้าเห็นว่าถ้านายขบวนเองจัดแจง—, แต่นายขบวนสั่นศีร์ษะพูดว่าเขายังไม่ต้องใฝ่หาภรรยา พอข้าพเจ้าแลสบไนยตาเขา ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกได้ว่าเขาได้เห็นหญิงสวยคนหนึ่ง (คือภรรยาข้าพเจ้า) แล้วเขายังไม่ปราถนาผู้ใด ข้าพเจ้าโดยมีใจเมตตาแม่ประไพ จึงขอกระดาดมาเขียนจดหมายใจความว่า ถ้าแม่ประไพต้องการให้ช่วยทุกข์เมื่อใดให้จดหมายมาถึงนายขบวนทันที เพราะท่านผู้นี้เปนที่ไว้ใจได้ แลตัวข้าพเจ้านั้นเมื่อคืนก่อนก็ไม่ได้ชอบใจในการบำเรอจนต้องเลี่ยงหนีมาเสีย แลขอลาแม่ประไพด้วย.
เวลาบ่ายผู้คนไปส่งเจ้าคุณที่สถานีรถไฟมากมายนับไม่ถ้วน ผู้ส่งข้าพเจ้ามีภรรยาแลคุณแม่แลนายขบวน. ปลาดใจมาก คุณหลวงดำริห์พ่อตาเร่อร่ามาส่งข้าพเจ้าด้วย พึ่งพบกับท่านที่สถานีทีเดียว ข้าพเจ้าเสียใจไม่ได้ไปลาท่านให้ถึง ท่านบ่น เพราะคอยให้ของก็ไม่ไป. ท่านให้น้ำพริกผัดโหลหนึ่ง ทำให้ข้าพเจ้าขอบใจท่านเปนอันมาก ข้าพเจ้าจับมือท่านเขย่าด้วยความพอใจ.
สหายจากนามร้ายไม่มีใครโผล่หน้ามาส่ง ท่าจะอายหน้าค่าจมูก หรือมิฉนั้นกำลังย้อมจมูกให้สีแดงโดยดื่มสุราอยู่เสียจนงัวเงียไปตามกันกระมัง แต่—น่าปลาดมาก คุณแกลบมาคนเดียว ท่าทางรีบมา ถึงสถานีเขากระซิบข้าพเจ้าว่า คุณเลี่ยงมาไกลคนให้ผมสนทนาสักหน่อยได้ไหม ข้าพเจ้าว่าไม่มีเวลาสนทนา เขากระซิบว่า เขาจะบอกความลับเปนข้อสำคัญให้ข้าพเจ้ารู้ตัวก่อนไป ข้าพเจ้าจึงเดินเลี่ยงมาจนถึงชายรั้วอันไม่มีคนอยู่เลย ข้าพเจ้าถามเขาว่า มีความลับอะไร. ?
เขาว่า “คุณรู้หรือว่าแม่ปรุงไม่ซื่อตรงต่อคุณแลนอกใจคุณ.”
เขาพูดคำนี้ คล้ายเอาพิษปืนมาปลูกให้ข้าพเจ้า ให้พิษแล่นขึ้นหน้าเข้าขมองฉี่ ทำความรู้สึกให้เราเจตนาเยี่ยงตบหน้าเขาสักสองฉาด แล้วก็ล้มตัวเขาลงกระทืบเสียสักสองสามอัก. ข้าพเจ้าตวาดเบา ๆ ว่า— “ทำไมแกมาหมิ่นประมาทหล่อนอันซึ่งฉันนับถือ, หล่อนซื่อตรงที่สุด แลเราผัวเมียรักกันอย่างบริสุทธิ์ยิ่ง ทำไมแกจึงมาใส่ความให้หล่อน.”
เขาสาบาลพลางแสดงความว่าหมายว่าข้าพเจ้ารู้ดีอยู่แล้ว เขาไม่ทราบว่าข้าพเจ้าหลงงมเช่นนี้ แลกลับซ้ำมาโทษตัวเขาผู้บอกเหตุให้อิก.
ข้าพเจ้าถามว่า “แกว่าหล่อนมีชู้หน้ะ. หล่อนมีกับใคร.”
เขาตอบ “ตายจริง ใคร ๆ ก็ย่อมรู้ว่าคุณภักตร์รักแม่ปรุง มีรูปแม่ปรุงแขวนไว้เต็มบ้าน—”
ข้าพเจ้าว่า ทำไมแกว่าใคร ๆ เขาก็รู้ งั้นหล่อนมิเปนคนเสียชื่อหรือ นี่แกเห็นเหตุอย่างไรจึงมาพูดกล่าวโทษหล่อนใหญ่โตกระนี้.
เขาตอบ “อะไร นี่คุณยังไม่รู้ดอกหรือว่าเมื่อคืนนี้แม่ปรุงไปหาคุณภักตร์.”
“แม่ปรุงนอนกอดอยู่กับฉัน หล่อนไปหาเขาอย่างไร?”
“ไปอย่างไรหรือ คุณภักตร์ไปสันดัก ดั๊กได้ตัวมา พาเข้าห้อง.”
“ถุย, ใครเห็น?”
“พะผ่า, ฉันเห็นด้วยตาฉันนี่เอง.”
“ทำไมสาบาลว่าเห็น?”
“เห็นเพราะแอบมอง.”
“เห็นใคร. ?”
“เห็นแม่ปรุงนอนอยู่ในห้องนอนที่มีเตียงมุก กับด้วยคุณภักตร์.”
“เขาเข้าห้องนั้นทำไม ?”
“คุณภักตร์บอกแม่ปรุงให้ไปเอาของซึ่งได้มาใหม่—, จะให้หล่อนๆ ก็เข้าไป.”
“ได้ของนั้นไหม ?” “ได้ซี.”
“ของอะไร?” “บอกไม่ได้.”
“แกโกหก.”
“ไม่โกหกเลย บอกไม่ได้ เพราะว่าเผื่อของนั้นเขาได้ขะโมยใครมา ฉันมิต้องถูกเปนพยาน หรือถูกฟ้องร่วมคิดกับเขาหรือ.”
“แกว่าแกแอบมองดู แกเห็นเขาทำอะไรกัน.”
“เห็นคุณภักตร์จับแม่ปรุง.”
“จับอะไร ?” “จับปาก จับแก้ม.”
ข้าพเจ้าฉุนเฉียวแทบหน้ามืดแต่หักใจไว้ พูดเสียงเครือด้วยความโกรธว่า “แล้วเห็นอะไรอิกเล่าแก?”
“จับปากจับแก้มแลจับตัว จับกระเปาะเล่นอย่างฉันลองจับแม่ประไพทีหนึ่งนั่นอย่างไร.”
“หมอนี่”— กำลังปลูกโมโหให้ข้าพเจ้าทุกคำเจรจา ข้อที่เขารับรองการประพฤติเหตุต่อแม่ประไพนั้นเปนเรื่องจริง ซึ่งข้าพเจ้ารู้มาจากแม่ประไพแล้ว แต่ข้าพเจ้าคิดว่าข้อความอื่นๆ เปนเท็จหมด เพราะแม่ปรุงได้มาอยู่กับข้าพเจ้าตลอตราตรี ข้าพเจ้าพูดยืนยันข้อนี้แลมีกระทู้ถามว่า ทำไมรู้ว่าเมื่อคืนนี้ ทำไมรู้ว่าเปนเวลาค่ำ ไม่ใช่เวลาอื่นวันอื่นหรอกหรือ.? เกลอตอบว่าเปนวันเมื่อคืนนี้แท้จริง แลเปนเวลาค่ำมืดเพราะเข้าไปในห้องกันสองคน ต้องเปิดสวิชไฟฟ้าขึ้นแล้วก็ดับไฟฟ้า.
ข้าพเจ้าถามว่า ดับไฟฟ้าทำไม ? เขาตอบว่าดับไฟฟ้าพากันออกมา ข้าพเจ้าถามว่า ทำไมแกไปแอบมองดูได้ ? เขาตอบว่า เขาไปเสพย์สุราอยู่กับคุณภักตร์ในเวลาเย็น กำลังดู “นาง” จับระบำกันอยู่สองคน พอแม่ปรุงไปถึงยังได้ฟังร้อง ดูรำเลย.
ข้าพเจ้าเห็นว่าเกลอจะเพ้อใหญ่ไป จึงหยุดการซักฟอกเอารายเลอียดซึ่งเขาคงจะปรักปรำเอาแม่ปรุงเสียใหญ่ แต่ก็ยังถามอิกคำหนึ่งว่า ได้ยินเขาพูดอะไรกันบ้าง? เขาตอบว่า ได้ยินคุณภักตร์พูดว่ากำลังหาเพชร์จะเข้าคู่กับเม็ดที่ได้ให้แม่ปรุงไปแล้ว ไม่ช้าจะได้.
คำข้อนี้เปนคำที่รู้จริงใจแก่ข้าพเจ้า ๆ สดุ้งขึ้น แต่จะคิดว่าประโยคที่คุณภักตร์จะหาเพชร์อิกเม็ดหนึ่งนั้นคงได้พูดกับคุณแกลบ แลเพื่อให้คุณแกลบช่วยเสาะหาด้วย, คุณแกลบจึงรู้ความนี้ได้ง่ายดาย แล้วจึงเอามาปั้นหน้าพูดแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าขัดใจนัก แลไม่พอใจหลายอย่าง แต่กำชับสั่งเขาว่าอย่าบอกเหตุนี้แก่ใคร เพราะเปนเรื่องน่าขายหน้า ถ้าข้าพเจ้ารู้ว่าเขาไม่ระงับถ้อยคำ เขากับข้าพเจ้าจะขัดใจกัน.
แล้วข้าพเจ้าถามว่า “แกมาบอกเหตุนี้แก่ฉันเพื่อประโยชน์อะไรของแก.?”
เกลอตอบว่า “คุณรู้ความแล้วไม่ควรจะให้แม่ปรุงใกล้ชิดคุณภักตร์ต่อไป นับวันนับจะมีอันตราย—”
ความข้อนี้ฟังเสียงดูช่างถูกใจข้าพเจ้า.
เกลอพูดต่อไปว่า “อย่าไว้ใจคุณภักตร์เลย แต่ตรงตัวผมนั้นเปนที่ไว้ใจได้ ผมได้พูดเปนความจริงให้ฟังทุกคำ ถ้าแม่ปรุงไม่มีสหายที่รักที่บูชาแล้ว ตัวผมก็อาจจะแทนตัวคุณภักตร์ได้ ดีกว่าคุณภักตร์ที่ใจหยาบ ซึ่งมาบอกคุณนี้ให้รู้เหตุก่อนไปไกลเพื่อจะให้ระมัดระวังภรรยา ทั้งหล่อนกำลังว้าเหว่อยู่ ควรไว้ใจให้ผมเฝ้ารักษาก็ได้ ควรบอกหล่อนให้เลิกสัมพันธมิตรกับคุณภักตร์ แลมารักใคร่ไว้เนื้อเชื่อใจผมดีกว่า.”
เพื่อนพูดอย่างน่าสเอียน ที่จะให้มอบแม่ปรุงไว้กับเขานั้น เหมือนอย่างเอาเนื้อจากจรเข้มาฝากไว้กับเสือ ข้าพเจ้าหมายจะพูดถ้อยคำอย่างแรง ๆ แสดงว่าแม่ปรุงอาจรักษาตัวเองได้โดยไม่ต้องง้อให้ใครปกครองตัวหล่อน, แต่หากระฆังเฆาะเรียกให้คนโดยสารขึ้นรถเสีย ข้าพเจ้าได้แต่ร้องว่า “ขอบใจ” แล้วก็ผละมาจากเขา
แทบจะใคร่กอดแม่ยอดรักซึ่งมีตาแดง ๆ ละห้อยอาไลย ข้าพเจ้าขยิบน้ำตาไว้เสีย ฝากฝังภรรยากับมารดา แล้วเลยร่ำลาคุณหลวงดำริห์ผู้มีหน้าบานเหมือนได้บานมาแต่ก่อน ข้าพเจ้าจากภรรยาหากกายไปแรมเสียย่านไกล ครานี้ไม่รู้สึกได้เลยว่าต่อมาจะไม่ได้กินไม่ได้นอนด้วยกันอิกเลย ถึงว่าอยู่เปนคู่กันในเคหะสถาน. เมื่อคืนนี้เปนคืนสุดท้ายปลายโต่งที่ได้กินได้นอนด้วยกัน แต่ไม่ใช่คืนสุดท้ายที่ได้อยู่ร่วมเรือนกัน.
นายขบวน มาจับมือข้าพเจ้าบีบถึงน่าต่างรถไฟ, ถามว่าเมื่อกี้คุณแกลบพูดอะไร? ข้าพเจ้าได้แต่บอกว่าให้คอยดูท่วงทีคุณแกลบบ้าง พอรถไฟเลื่อนถอยออกจากที่ นายขบวนก็ยิ้มปลอบข้าพเจ้าเต็มที่.
ไม่อยากกล่าวว่าเมื่อนั่งรถไฟไปตามทางนั้น ข้าพเจ้ายิ่งคิดถึงภรรยานี่กระไร เห็นทุกย่านทุกไร่นาถิ่นฐาน ยิ่งคิดอยากให้หล่อนได้มาด้วยยิ่งนัก ไปถึงไหน ๆ ข้าพเจ้ารู้สึกขาดไปสิ่งหนึ่งซึ่งไม่ได้เอามาด้วย นั่นคือภรรยาที่ทิ้งไว้ยังบ้าน เปนธรรมดาที่ผู้ไปรถไฟจะคิดถึงอย่างระหายจัดที่ไม่ได้ผู้ที่เรารักใคร่ไป, ทิ้งไว้อยู่ข้างหลังมิมาด้วยเรา เปนเหตุเช่นนี้แก่ทุกคนเพราะผู้ที่ย่างห่างไปไกลบ้านเมือง เปนผู้ที่ได้ทิ้งเย่าเรือนสมบัติพัศถานญาติพี่น้องแลมิตร์สหายแลอะไร ๆ ไว้ข้างหลังทั้งสิ้น เมื่อว้าเหว่ใจอยู่จึงคิดเอาผู้ที่รักที่สุดนั้นยึดมั่นในอุปาทานมาใฝ่ใจใคร่ระลึกมากที่สุด.
เมื่อสุดเขตรถไฟแล้วก็ไปโดยเรือทางไกลครึ่งวัน ถึงที่พักซึ่งพักอยู่สบาย ข้าพเจ้าได้เปนงานเปนการแก่เจ้าคุณเปนอันมาก จนชั้นได้เปนเลขานุการ, เปนที่ปฤกษา, เปนองครักษ์, เปนผู้รับใช้, แลเปนเพื่อนข้าราชการกับท่านเสร็จ ทั้งเปนมิตร์สหายร่วมใจกันในที่ห่างจากบ้านนั้น ด้วยราชการระงับเหตุแลไต่สวนเหตุได้เสร็จไปโดยเร็วในน้อยวัน.
ข้าพเจ้ารู้สึกคิดถึงบ้านพิลึก คืนแรกแทบรู้สึกว่าบิดพลิ้วโดยให้คนอื่นมาแทนก็จะดีกว่า แต่เปนโดยทำราชการกับเจ้าคุณเปนปี่เปนขลุ่ยชวนใจให้ตั้งสติแขงแรงดีมาก หาไม่จะทำให้โทมนัศน้อยใจที่ไกลบ้านมานั้นยิ่งนัก.
ความไกลบ้านไกลเมียที่รักเปนเครื่องทำให้ใจโผเผ, เปนเครื่องทำให้กำลังกายเหลือครึ่งเดียว กำลังใจเหลือกึ่งหนึ่ง เมื่อเปนเช่นนี้ทำให้รู้สึกได้ว่าได้รับราชการเกินเต็มตัว.
คำของคุณแกลบพูดนั้นน่าขัน ไม่ทำให้เปนสิ่งอันเชื่อถือได้เลย แต่ถึงกระนั้นทำให้ข้าพเจ้าได้หวาดในถ้อยคำของเขามาก ซึ่งได้ยินว่าเขาจับตะครุบตัวแม่ประไพ แลเพื่อนของเขาคือคุณภักตร์นั้นได้แตะต้องแม่ปรุงจริง เพียงถ้อยคำซึ่งกล่าวยังทำให้หัวอกร้าวไปได้ ที่จะได้สำนึกว่าแม่ปรุงได้ถูกล่อลวงไปเข้าชานบ้านนั้น แลจู่ล่วงเข้าห้องเอาของบูชาจากผู้ที่รัก เปนการซึ่งทำให้สยดสยองยิ่งนัก แต่มูลเหตุยังไม่สมกันได้เลย เพราะคืนวันนั้นแม่ปรุงอยู่กับข้าพเจ้าตลอดคืน มิได้กระดิกกระเดี้ยไปไหนได้ กระนั้นเสียงของคุณแกลบยังแว่วหูอยู่ไม่วาย.
เมื่อมาอยู่ได้ห้าวัน ข้าพเจ้าได้รับจดหมายจากแม่ปรุง เปนจดหมายบอกว่าพ่อแม่พี่น้องอยู่สุขสบาย ถ้อยคำหวานฉ่ำจับใจ ทำให้ข้าพเจ้าปลื้มใจอยากจะจดหมายอย่างนิราศ อย่างกระต่ายชมจันทร์ อย่างเกี้ยวขนาดใหญ่ ส่งไปแสดงรักแลโศกให้สมกับถ้อยคำหวานคมอันอาจจะทำให้น้ำตาร่วงด้วยรักแลอาไลยได้
รุ่งขึ้นข้าพเจ้าได้รับจดหมายจากนายขบวนมีความว่า เขาได้ไปสืบดูรู้ว่าแม่ประไพนั้นอยู่ในความทุกข์โศกมาก เพราะคุณแกลบสหายสนิทของบิดา เปนผู้หาโอกาศปองสงวนแม่ประไพทวีขึ้น แลหล่อนยิ่งเกลียดชังเขาทวีขึ้น มิหนำซ้ำบัดนี้ได้ข่าวร้ายว่าคุณภักตร์บิดาแม่ประไพนั้นมีหนี้มาก เปนโดยคุณภักตร์สุรุ่ยสุร่ายเกินไป เงินเปลืองเสียมากไปกว่าเงินได้ เหตุร้ายอันนี้ถ้าไม่ระงับให้ดีแทบจะถึงแก่ซึ่งทำให้คุณภักตร์ล้มละลายก็ได้ นายขบวนลอบบอกเหตุความลับอันนี้ให้เพราะเปนความยังปิดบังกันอยู่ แลคุณภักตร์กำลังใช้สติปัญญาแก้ไขอยู่ ถึงกระนั้นก็เปนสิ่งเกี่ยวข้องแก่ความทุกข์ของแม่ประไพจึงได้จดมาให้ทราบ แลส่วนที่ให้สืบว่าแม่ปรุงได้เด็กน้อยมาจากไหนนั้น ได้ความแน่ว่าได้มาจากคุณภักตร์ โดยคุณภักตร์คอยแม่ปรุงที่กุฎีที่เอาไว้ศพ แลบอกข่าวว่าจะให้เด็กน่ารัก แม่ปรุงจึงตามไปเอาตัวเด็กมาจากบ้านเขา ในที่สุดได้แสดงความคิดถึงแลเซ็นชื่อนายขบวน.
ท่านผู้อ่านจะไม่ทราบว่าข้าพเจ้าได้รู้สึกอย่างไรเมื่อได้อ่านจดหมายแล้ว ข้าพเจ้าผู้ใจระแวงอยู่แล้วนั้น บัดนี้รู้สึกว่าทุกสิ่งในโลกนี้ที่ข้าพเจ้ามีอยู่นั้นได้เสียไปหมด ทั้งเกียรติยศแลความสุขด้วย.
จะทำให้ท่านสงไสยว่าเปนเหตุอะไรหรือ เหตุนี้ข้าพเจ้ารู้ได้ทันทีว่าร้ายกาจนัก ทำให้ข้าพเจ้าโศกเศร้าเหมือนอย่างหัวใจจะขาดรอน แลเปนเหตุซึ่งข้าพเจ้าอยู่ห่างจากการคุ้มครอง ข้าพเจ้าร้อนใจแทบเปนบ้า ใจหายวาบวับจับวิญญา.
คือถ้อยคำของคุณแกลบกล่าวแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้ามิได้เชื่อถือนั้น ได้ฝังในหัวใจข้าพเจ้าอยู่ไม่รู้ลืมเลย บัดนี้มันแสดงออกมาขาวทุกอย่างโดยจริงจังไม่มีข้อสงไสยเลย คุณแกลบเปนคนผู้ได้เห็นตำตา, ข้าพเจ้าเปนผู้ได้รับความเห็นมาจากเขา ก็เหมือนได้เห็นแก่ตาเหมือนกันถึงว่าจะได้เห็นโดยอ้อม.—
คือแม่ปรุงโศกกำศรดคิดถึงบุตร์น้อยที่ล่วงลับแลจะห่างสามี, ได้ร้องไห้ในเวลาราตรีกาล รุ่งขึ้นเวลาเย็นได้ไปเยี่ยมหีบศพที่กุฎี ภูตภักตร์รู้ที, เกลอได้ไปคอยอยู่ที่กุฎีนั้นโดยแสร้งว่าตัวไปเส้นไหว้ศพเด็ก แลศพปู่ของเด็ก แลได้พบกับหล่อนโดย “แอ๊คสิเดนส์” แลกล่าวว่าตัวได้เด็กชายน่ารักมาไว้ที่บ้าน จะให้แม่ปรุงเอามาเลี้ยงเปนบุญธรรม แลเด็กนี้งดงามอาจจะทำให้ดับโศกอาไลยถึงเด็กที่ตายได้ แม่ปรุงก็ดีใจรีบไปในรถยนต์กับเขา คุณแกลบยังดื่มสุราชมนารีอยู่กับสหายอื่นด้วยกระมัง หรือหากว่าคุณแกลบอยู่คนเดียวก็เพื่อบรรเทิงเริงร่ากับสัตรีบำเรอ หรือคอยจะใฝ่หาตัวแม่ประไพอยู่ด้วย เมื่อแม่ปรุงไปถึง คุณภักตร์จึงแสดงการยั่วยวนโดยนั่งดื่มสุรา ฟังนางบำเรอหรือหยอกอะไรกันเปนแน่ น่ากลัวจะทำให้ใจแม่ปรุงผู้ใฝ่ทุกข์นั้นรู้รสสนุกไปกับเขาด้วย หล่อนคงเตือนถึงเด็ก เกลอภักตร์ผู้เจตนาจะล่อทำร้ายแม่ปรุงเพื่อให้เสียเกียรติยศนั้น เมื่อได้ชักชวนหล่อนดูการบรรเทิงยั่วยวนแล้วจึงบอกแม่ปรุงให้ขึ้นไปชั้นบนกับเขาเพื่อหาเด็กน้อย
คุณแกลบรู้ทีว่าเขาชวนแม่ปรุงขึ้นไปที่นอนเพื่อจะกระทำการกาลี เพื่อนมีใจฤษยาเพราะตัวรักกับแม่ปรุงโดยเจตนาร้ายมาก่อนเสมอ เขาจึงสกดรอยไปมองดู เห็นเกลอภักตร์ซึ่งได้เด็กน้อยอ้วนพีน่ารักไว้ในห้องเตียงมุกพอเปนทีก็ชวนแม่ปรุงเข้าห้องนั้น คุณแกลบรู้ท่าทางของห้องทั้งหลายมาก่อนจึงวางตัวแอบมองดูอยู่ได้ตลอดเวลา เห็นแม่ปรุงชอบใจเด็ก ได้ยินเกลอภักตร์ยอมมอบเด็กนี้ให้หล่อน แลหยิบหยอกหล่อนเล่นโดยหวังว่าหล่อนเพลิดเพลินการโลกีย์มาแต่ชั้นล่าง เมื่อนั่งฟังนางบำเรอนั้นแล้ว แลกล่าวล่อว่าจะหาเพชร์อิกเม็ดให้ได้คู่กันให้แก่หล่อนอิกด้วย แต่หล่อนได้ตัวเด็กแล้วก็ลามา พอมาถึงบ้านเปนเวลาพลบค่ำ ได้พบแก่ข้าพเจ้าผู้คอยหล่อนเพื่อกินเข้าพร้อมกันอยู่ เกลอคงสั่งไม่ให้บอกว่าหล่อนได้เด็กมาจากไหน หล่อนจึงไม่กล้าบอก.
เหตุอันนี้ยืนยันแม่นยำ ตำตาข้าพเจ้าเหมือนได้เห็นแก่ตาเอง โดยข้าพเจ้าได้สยดสยองต่อการบรรเทิงของบ้านนั้นมาด้วยตัวเองแล้ว แลซึ่งคุณแกลบกล่าวว่าเปนเวลากลางคืนก็จริงอยู่ เพราะเมื่อเปนเวลาพลบที่สนาม มันก็ต้องเปนเวลาค่ำในห้องนอน จนต้องเปิดไฟฟ้าสนทนากันแล้วจึงดับไฟฟ้า.
โอ้ ข้าพเจ้าใจหาย หน้าซีดตัวสั่น อกหวั่น ๆ แสนแค้นใจ น้อยใจ ทั้งโกรธ, ทั้งเจ็บ, ทั้งแค้น, แสนสาหัส, ทั้งท้อใจอาไลยแก่เหตุยิ่งนัก คิดถึงเมียรัก เปนห่วงเหลือเกิน ถ้าหล่อนเพลินไปเข้าซ่องเขาอิกสักครั้งสองครั้งก็น่าจะเอาตัวไม่รอดเสียแน่แล้ว เมื่ออ่านข่าวแม่ปรุงจากนายขบวนน้อยประโยคนั้นจะไม่ทำให้ข้าพเจ้าสลดใจแทบใจขาดอย่างไร. ได้เสียรู้, เสียเกียรติยศ, เสียแรงได้ทำความพยายามปกปักรักษาหล่อนมาให้ไร้ราคี บัดนี้น่ากลัวหล่อนจะวิ่งลงเหวผาอันลามก, อันน่าพึงกลัว น่าอนาถยิ่งนัก.
ข้าพเจ้าร้องไห้ ข้าพเจ้าสอื้น ข้าพเจ้าครางดัง ๆ ด้วยความป่วยใจแสน ให้อ่อนเพลียละเหี่ยใจจริง ๆ เจียว ถ้าข้าพเจ้ากลับไปบ้านได้ระงับเหตุทันก็เปนบุญนักหนา นี่ตัวอยู่ห่างไปหาหล่อนไม่ได้.
โอ้ อกใครจะรู้สึกขม, รู้สึกแค้นเหมือนข้าพเจ้าในเวลานั้น ที่รู้สึกว่าภูตผีที่ข้าพเจ้ารังเกียจที่สุดนั้น มันจะทำอนาจารแก่สิ่งซึ่งข้าพเจ้าหวงที่สุด.
หลายครั้ง ข้าพเจ้าทิ้งจดหมายนั้นโยนเสียด้วยยิ่งอ่านทวนยิ่งปวดใจ หลายหน ข้าพเจ้าหยิบขึ้นอ่านซ้ำใหม่เพื่อให้รู้ประจักษ์ใจว่ารายเลอียดของเหตุเปนอย่างไร แลถิึงไหนแน่ พออ่านถ้อยคำสำนวนในจดหมายของแม่ดวงจิตนั้นใหม่ ฝีของถ้อยพจนาซึ่งน่าเกี้ยวนั้น มันกลายเปนแสดงได้เห็นเรื่อเรืองว่าชวนเล่นชู้ดีนี่กระไร.
ขอท่านทั้งหลายจงกะหมายแต่ย่อๆ จำไว้ก็พอแล้ว ว่าข้าพเจ้าโศกที่สุด ทุกข์อนาถใจใครจะเหมือน เข้ากินไม่ได้ นอนกลางคืนครวญคราง ตื่นจากหลับ ใจก็หายวาบวับ เหลือที่น่าจะสมเพชเวทนาตัว เปนทั้งนี้เพราะคิดถึงเมีย, กลัวเสียเมียทั้งนั้น.
ต่อมาอิกสองวัน ได้รับจดหมายจากนายขบวนอิก ทำให้ข้าพเจ้าตระหนกตกใจกลัว เพิ่มเติมทวี ในจดหมายนั้นว่า ทุกข์ของแม่ประไพทวีขึ้น ได้ข่าวว่าการล้มละลายของคุณภักตร์เปนที่น่ากลัวมากกว่าเก่า ส่วนแม่ปรุงนั้นมีทุกข์น่าจะป่วยตัว ถ้าคุณเจียรมีโอกาศพอจะลงมาเยี่ยมภรรยาได้ ก็จงรีบลาลงมาโดยเร็ว อย่าให้ทันถึงกับป่วยจนลุกไม่ขึ้น ถ้าลาราชการมาเสียเลยได้ก็ยิ่งดี ความดีความชอบเอาไว้หาเอาคราวหลังเมื่อชีวิตไม่ตาย.
ท่านสหายพูดคำนี้ถูกใจข้าพเจ้า, แต่ข้าพเจ้าพึ่งมาได้อาทิตย์เดียว จะขยับขยายไปจากเจ้าคุณยังไม่ได้ ข้าพเจ้าอิดโรยกำลังยิ่งนัก คิดถึงบ้าน คิดถึงเมียละเหี่ยแสน ข้าพเจ้าเขียนจดหมายไปถึงนายขบวนว่ามีเรื่องอะไรเร่งให้บอกมาอย่าปิดบัง เพราะเห็นอยู่แต่นายขบวนคนเดียว.