- คำนำ
- ภาค ๑
- บท ๑ รสหวานของความไม่พยาบาท
- บท ๒ ดูตัวเจ้าสาว
- บท ๓ วิวาห์การ
- บท ๔ ชีพอย่างชมจันทร์
- บท ๕ สองสามสุข
- บท ๖ แม่ปรุงเปนมารดา
- บท ๗ ความไม่พยาบาทเริ่มต้น
- บท ๘ พระกับมาร
- บท ๙ เมฆสว่างของชีพ
- บท ๑๐ ความทุกข์ของสาวพรหมจารี
- บท ๑๑ เมฆมืดของชีพ
- บท ๑๒ ตุ๊กกะตาฅอหัก
- บท ๑๓ นิราศบ้าน
- บท ๑๔ ภรรยา “ป่วย”-- สามีป่วย
- บท ๑๕ ข่าวลามก
- บท ๑๖ ข้าพเจ้าเจอภรรยา
- ภาค ๒
- หมายเหตุ การแต่งเรื่องนี้
บท ๕ สองสามสุข
คุณแม่ท่านให้มีการเลี้ยงสวดมนต์เรียกว่า “ขึ้นบ้านใหม่” แท้จริงเปนการขึ้นบ้านเก่า ท่านทำบุญเพื่อหาช่องฉลองแม่ปรุงเพื่อความ “ไม่ป่วยไข้” หรือนัยว่าเพื่อรับขวัญหล่อนก็ว่าได้ ดนตรีมารับอาสาอิกสามวง ถูกเลือกเอาวงใหม่วงเดียว คุณหลวงมีโอกาศอันดี มาเยี่ยมบ้านใหม่ของแม่ปรุง ทั้งพี่น้องเพื่อนพ้องชาวสวนก็มาช่วยเต็มที่ พร้อมทั้งหมากมะพร้าวแลผลไม้ผักหญ้าเปนของกำนันหนักมือ.
งานนี้เปนงานของแม่ปรุงโดยแท้ เพราะหล่อนได้มาอยู่หลาย ๆ วันก่อนทำบุญ เลี้ยงพระในวันอาทิตย์ หล่อนคุ้นกับบ้าน แลเปนเจ้าของงานอย่างดีที่สุด แลเปนคราวแรกที่สุดของหล่อนที่ “ออกงาน” เพื่อนฝูงที่เคยเห็นหล่อนแต่ง “โชว์” ในสองสามอาทิตย์นี้แล้วนั้น มาช่วยงานมากมายหลายคน คงขนเอาความติดใจไปคนละมากๆ. นอกจากผู้ใหญ่ผู้น้อยแล้ว นายขบวนสหายเอกอย่างหวานใจก็มาด้วย ทั้งนายพิศสหายทลึ่งก็อดมากับเขาไม่ได้.
ซึ่งข้าพเจ้าต้องกล่าวถึงงานนี้ ก็เพราะเปนงานแรกซึ่งแม่ปรุงเปนตัวตั้ง หล่อนรู้สึกว่าพระสวดมนต์อวยพรให้หล่อน รู้สึกว่าเขาทำบุญให้กุศลผลบารมีแก่หล่อน รู้สึกว่าแขกเหลื่อมาในการเกียรติยศสำหรับหล่อน รู้สึกว่าวงศาคณาญาติมาในการแสดงรักแก่หล่อน หล่อนรู้สำนึกว่ามโหรีนั้นบำเรอหล่อน รู้สึกว่าสหาย “เย็นเติลเมน” ทั้งหลายสรวลเสเฮฮาในรัศมีของหล่อน.
เช่นนี้ข้าพเจ้าจึงอาจจะด่วนกล่าวต่อไปเสียทันทีได้ว่าแม่ปรุงรู้สึกเปนจ่าในที่ใด ๆ ทุกแห่ง เมื่อไปหาเพื่อนหญิง หล่อนรู้สึกเปนจ่าในบ้านเขา เมื่อไปหาท่านชายด้วยกัน หล่อนรู้สึกเปนจ่าในบ้านเขานั้น เช่นนี้คงจะเปนด้วยผู้สามัคคีหล่อนนั้นยอมหย่อนอำนาจเขา แลยกเกียรติยศหล่อนให้ทั่วไปเปนธรรมดา โดยเคารพต่อสง่าราษีของหล่อน กระนั้นจึงทำให้หล่อนรู้สึกเปนจ่าบ้านทั่วไป จนชั้นจะเตร่ไป “โชว์” ในคณะฝูงคนใด ถนนใด หล่อนก็รู้สึกในใจว่าเปนจ่าคน จ่าถนนนั้น ๆ เสียหมดเปนแน่.
อยากเร่งกล่าวโดยด่วนอิกว่า หล่อนชอบการ “โชว์” การสง่าผ่าเผย แลการบำเรอมากแท้ เมื่ออยู่บ้านเหงาก็รบเร้าไปเยี่ยมสหาย เช่นหล่อนไปยังบ้านแม่กลึงสาวผู้ใหญ่ที่เคยเปนเพื่อนเรียนมาก่อนนั้น หล่อนเข้าห้องในของเพื่อนทันที เข้าหลังบ้านหลังเรือนทันที เปนเหตุนี้ก็เพราะเพื่อนพินอบพิเทาต่อความสง่าราษีของหล่อน ข้าพเจ้าก็รู้เคล็ดได้ดี ถึงกระนั้นก็ดี เมื่อข้าพเจ้าไม่อยู่บ้าน หล่อนไปบ้านแม่กลึงโดยตัวเองกับบ่าวหญิงสองคน พอข้าพเจ้ากลับมาจากกระทรวง หล่อนจึงบอกความ ทำให้ข้าพเจ้าขัดใจ แต่สืบได้ความว่าแม่กลึงเอารถมารับ เพราะเพื่อนกันหลายคน ออกมาจากในวังอยากพบปะแม่ปรุงยิ่งนัก ขอให้แม่ปรุงไปหาสู่สาวผู้ดีทั้งหลายทันที ก่อนจะเข้าวัง ข้าพเจ้าจึงค่อยคลายโกรธ แลเมื่อแม่กลึงมาหาแม่ปรุงเองยังบ้านข้าพเจ้าในวันรุ่งขึ้นเวลาเย็น ทำให้ข้าพเจ้าหายโกรธทีเดียว.
แต่คิดถึงข้อรังเกียจขึ้นมาแล้วไม่หายขยะแขยง โดยว่าคุณแกลบพี่ชายแม่กลึงนั้นมีกิเลศหยาบคาย น่ารังเกียจแก่ผู้ปกครองหญิงสาวสุภาพยิ่งนัก ทั้งคุญพระผู้บิดาก็ได้มีมลทินปรากฎเล่ห์เจ้าชู้สู่สาวมาบ้างแล้ว เปนที่สยดสยองแก่ใจผู้สุทธิยิ่งนัก เหตุทั้งนี้ข้าพเจ้ารู้สิ้นจากนายขบวนสหายเอก ซึ่งได้มากระซิบเล่าความใน ๆ ให้ข้าพเจ้าฟังหลายอย่าง.
เหตุอันลับลึกยังไม่เกิดก่อนคลอดบุตร์ของแม่ปรุง แต่เชื้อสายของเหตุได้มีมาก่อนคราวที่แม่ปรุงได้มีชีพเปนมารดา.
แต่บัดนี้เรารู้สึกสนุกสบายปราศจากราคีภัยใด ๆ มาแผ้วพาน จำใจต้องกล่าวไปตามกาลสุขสมัยในครั้งนี้ไปพลาง.
ครรภ์แม่ปรุงเติบขึ้นทุกที คุณแม่ท่าน “ออเดอร์” สั่งฟืนมาจากฐานทัพของฟืนณป่าแลสน เปนฟืนไม้สะแกซึ่งนับถือกันว่าเปนฟืนอยู่ไฟดี ฟืนเหล่านี้ได้ขนมาสองสามคราว เข้าที่เก็บไว้มากมายหลายร้อยดุ้น กองอยู่เปนพะเนินเทินทึก ประดับเรียงไว้บนท้ายชานหลังเรือน คลุมผ้าใบไว้กองสูงเกือบแค่น่าอก. “ฟืนเหลือดีกว่าขาด” นี่เปนคำซึ่งคุณแม่กล่าว แลท่านจะไม่ยอมให้อยู่ไฟเยี่ยงยี่ปุ่นหรือฝรั่ง ดังคุณพระคุณหลวงได้ให้ความเห็น ท่านว่าท้องสาวจะไว้ใจฝรั่งหรือยี่ปุ่นไม่ได้ ต้องย่างไฟอย่างไทยเก่าจึงจะเหมาะ เพราะท่านเองท่านยืนยันว่าท่านไม่ได้เกิดมาคราวสมัยใหม่.
ในขณะนี้เรามีสุขหลายประการ ผาสุกโดยสามัคคีรส ผาสุกโดยเที่ยว “ฟรี” ตามอำเภอใจไปตามลม แลได้ดูมหรศพใด ๆ ได้ทั้งกลางวันหรือกลางคืน กับที่หวังว่าเทวดาจะได้จุติลงมาไม่ช้าจะได้เปนบุตร์เรานั้นก็นำความสุขมาให้จากความรู้สึกอันนี้. ข้าพเจ้าจึงเรียกว่า “สมัยสามสุข.”
บัดนี้แม่ปรุงรู้จักกับสหายของข้าพเจ้าเหมือนตัวข้าพเจ้ารู้จัก แลหล่อนรู้จักท่านขุนคุณหลวงคุณพระหรือเจ้าคุณอันเปนที่ชอบคุ้นของมารดาข้าพเจ้า เท่ากับข้าพเจ้าได้รู้จัก ทั้งรู้จักกับหญิงผู้ดีก็มาก ด้วยว่าเพื่อนเก่ารู้จักกันน้อยกลายเปนรู้จักกันมากขึ้น ที่รู้จักใหม่ ๆ ก็มี นับว่าแม่ปรุงเปนคนกว้างขวางขึ้นกว่าเก่า แลไม่ใช่โทษของข้าพเจ้าที่ไม่เหยียดเอาแม่หน้างามมาซุกซ่อนเสีย.
ถ้าจะไม่ด่วนกล่าวข้ามไปเสียแล้ว ก่อนแม่ปรุงมีชีพเปนมารดา กล่าวคือก่อนถึงสมัยคลอดบุตร์ อันเปนสมัยแสนงาม, แสนงอน, แสนกระเดื่อง, แสนหอมฟุ้งจริง, ในนาม, ในรูปอันโด่งดัง, เปนสมัยซึ่งข้าพเจ้าแสนเสนหาพาชวนชื่นรื่นเกษมสุขนั้น ยังมีหมายเหตุรายการบางอย่างเยี่ยง “แอ๊คสิเดนส์” อันควรแทงความไว้ในที่นี้ เปนเหตุซึ่งข้าพเจ้าแลหล่อนไม่นึกเอามาเปนอารมณ์เลย จนล่วงกาลมาจึงได้สำนึกได้
หล่อนชอบไปเยี่ยมแม่กลึงบ่อย ๆ โดยอ้างเหตุของตัวต่าง ๆ เปนเหตุซึ่งแม่กลึงให้มาเชื้อเชิญ หรือมารับตัวเองเปนพื้น ล่วงมานานข้าพเจ้าจึงรู้ได้ว่าคุณแกลบได้มานั่งสนทนากับแม่กลึงด้วย เปนที่ยันความเอาง่าย ๆ ว่าเขามานั่งเกี้ยว หรือพูดสัพยอกต่อแม่ปรุง ในขณะแม่ปรุงสนทนากับน้องสาวของเขา.
เหตุอันนี้แลเหตุต่อไปนี้ ข้าพเจ้ารู้แกวในได้ช้าไป แต่เมื่อรู้แล้วสิไม่นำความโกรธแค้นมาได้ ด้วยข้าพเจ้าได้ชะนะเหตุเสียก่อนแล้ว.
ความปรากฎต่อไปนี้ เปนความชอบของนายขบวน เปนความชอบอันสำคัญ คือนายขบวนมาหาข้าพเจ้าในเวลาเย็น ท่าทางนายขบวนเปนท่าเก๋ ท่าฉลาดเสมอ เปนที่พอใจของข้าพเจ้าแลภรรยา เรากางโต๊ะแลเก้าอี้ที่น่าบ้าน น่าบ้านเปน “ป๊าก” น้อย ๆ ที่เท่าแมวดิ้นตาย หลังบ้านเปนสวนครึ้มไปด้วยต้นไม้เขตกว้างยาว.
ภรรยาข้าพเจ้ารับรองนายขบวนเปนอันดี พูดจาฉอเราะปั้นจิ้มปั้นเจ๋ออย่างสนิทสนม จนทำให้นายขบวนผู้เก๋แลฉลาดนั้นมีสีหน้ากะลิ้มกะเหลี่ยหลงมธุรสแลชั้นเชิงของหล่อน คล้าย “อาดำ” หลงนาง “ฮาวา” (อีวา) เมื่อเขาเปนบุรษแรกซึ่งได้รับผลอินตะผาลำจากมือนางอันเปนหญิงคนแรก.
พอหล่อนไปจัดอาหารน้อยสิ่งที่สุด แลโอชารสเปนที่สุด สำหรับเราสามคน เพราะวันนั้นพเอิญหล่อนได้ของสดจากทเลซึ่งเปนของกำนันมา จึงอดชวนนายขบวนกินเข้าด้วยไม่ได้.
ข้าพเจ้ากับสหายจึงได้ยกข้อปัญหาขึ้นปฤกษากัน.
นายขบวนพูดขึ้นก่อนว่า “ภรรยาเธอชอบ “โชว์” จนอยู่บ้านไม่ติด.”
ข้าพเจ้าถามว่า “จะแก้อย่างไรดี.?”
นายขบวนบอกอุบายทันที ราวกะคิดอุบายไว้เสร็จแล้วว่า จงเชิญเพื่อน เลี้ยงเพื่อนบางคราว รื่นเริงบางคราว มีการ “โชว์” เช่นนี้ที่บ้านบ่อย ๆ แล้ว ภรรยาตัวไม่ต้องย้ายสถานไป “โชว์” ที่ไหน.
ข้าพเจ้าทำตามทันที ก็ได้ชัยชะนะ.
แม่ปรุงค่อย “รู้อยู่” จนคลอดบุตร์.
ข้าพเจ้าได้ชัยชะนะก่อน จึงรู้ความทีหลังว่าคุณแกลบเกี้ยวแม่ปรุงทุกคราวที่ไปหาแม่กลึง จนวันหนึ่งถึงกับให้น้องสาวกักแม่ปรุงให้อยู่กินเข้าจนค่ำ ในเวลาที่ข้าพเจ้าไปติดงานอยู่กับเจ้าคุณแห่งกระทรวง จนชั้นบิดาเขาก็รู้เห็นเปนใจด้วย ช่วยจัดห้องลับไว้ให้เพื่อจะล่อมาสนทนากันสามคน แต่แม่ปรุงคิดถึงผัวหนักเข้า รีบมาบ้านแล้วเลยเช่ารถไปรับข้าพเจ้าที่บ้านเจ้าคุณ แลบางคราวคุณแกลบแม่กลึงให้พวกเด็กร้องรำบำเรอให้แม่ปรุงดู แต่สิ่งที่จับอกจับใจแม่ปรุงสุดนั้นเปนการที่เขาพี่น้องทั้งสอง คือคุณแกลบแลแม่กลึงทำให้แม่ปรุงหวานใจโดยใช้คำหวาน ยอรูปยอโฉม ยอสง่าราษีของแม่ปรุงด้วยมธุรสอันอ่อนโยน ทำให้แม่ปรุงติดอกติดใจเปนอันมาก.
เมื่อล่วงมาจนการได้แตกหักไปแล้วนั้น ครั้งหนึ่งข้าพเจ้าได้พบกับคุณแกลบหน้าต่อหน้า ข้าพเจ้าจ้องปืนโก๊อันไม่ได้บรรจุลูกนั้นตรงมาที่หน้าเขากล่าวลำเลิกด้วยความบังอาจจะชิงชมข้อนี้ แต่คุณแกลบตอบว่า “ใครจะออมใจได้ ถ้าตัวแกเห็นผู้หญิงยั่วยวนเกินไปเช่นนี้แลได้มาพันปัวพัวเปีย แกยังจะอดใจใฝ่ชมได้หรือ.?”
ข้าพเจ้าแปลบใจวาบที่ในคำนี้ ทำให้คิดถึงสวนสวรรค์ที่ฝั่งโน้นขึ้นมาสร้านซ่าไปทั่วตัว ต้องถอยหนีหน้าเขามาพลันทันที.
เมื่อข้าพเจ้าได้มีชัยชะนะโดยได้ตั้งฐาน, ริการ “โชว์” ที่บ้านได้แล้ว มารู้เหตุเหล่านี้ก็ไม่มีข้อขัดเคืองหล่อน ด้วยหน้าแย้มไนยตายวนของหล่อน ชวนให้ชื่นมากกว่าชวนให้โกรธ แลเหตุเหล่านี้นายขบวนเปนผู้ชี้แจงแก่ข้าพเจ้าทั้งนั้น.
คุณแกลบได้มาสู่ความสนุกในบ้านเราด้วยเหมือนกัน แต่คำเยือกเย็นของข้าพเจ้าทำให้เขาไม่มาบ่อยได้ ทั้งนายพิศ—หมื่นทลึ่ง—นั้นก็ไม่ได้มาแผลงฤทธิ์อะไรนัก นอกจากเอาเพลงยาวเขียนด้วยพิมพ์ดีดกล้ามาให้แม่ปรุงครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าได้อ่านจากมือหล่อนเห็นว่าถ้าอ่านเผิน ๆ ก็ไม่แสลงหูอะไร แต่ใจความมันโลน, ทเล้น, กระดางลาง, จนทำให้แม่ปรุงต้องยิ้มเผล่หน้าบานด้วยความขำ ทำให้แลดูสวยงามน่ารักขึ้นพิลึก.
เรื่องรูป “โพโตกร๊าฟ” นั้นก็มี “แอ๊คสิเดนส์” สองครั้ง.
ครั้งหนึ่งเราไปเยี่ยมเยียนนายขบวนสหาย เพื่อให้เกียรติยศเขาเสียสักครั้งตั้งแต่วิวาห์มา นายขบวนต้อนรับเราสามีภรรยาขนาดใหญ่ยิ่งกว่ามุลนายของเขา.
มันเปนการน่าขวางหูซึ่งแม่ปรุงจะติว่า มุ้งเก่า, ห้องเรือนรก, เครื่องแป้งมีน้อย, เช่นนี้เปนต้น แต่นิสัยจ่าบ้านของหล่อนทำให้ ไม่เก้อ, ไม่เขิน, กับทั้งนายขบวนได้เกียรติที่มีหญิงอันยอดสนิทแลยอดโสภาอุตส่าห์เมตตาออกความเห็นให้ฉันมิตร์ จึงนับว่าเปนการอารีของหล่อนมากกว่าจะเหมาเอาว่าแม่รีแม่แรด.
แต่เมื่อหล่อนแลดูรูปภาพต่าง ๆ ที่บนโต๊ะเขียนหนังสือของนายขบวนแล้ว หล่อนชอบรูปท่านชายหนุ่มผู้หนึ่ง รูปงาม แลฉายไว้งามดีมาก หล่อนหยิบแล้วก็ชมโฉมรูป “โพโตฯ” นั้นว่า งดงาม, ท่าสง่า, เช่นนี้เปนต้น จนถึงหล่อนออกปากขอรูปนั้นแก่นายขบวน.
เมื่อข้าพเจ้าถามว่า จะเอาไปทำไม. ?
หล่อนไถลหยิบรูปท่านหญิงสาว อันฉายจากห้างฝรั่งเอก แล้วไถลขอรูปนั้น.
นายขบวนกระซิบว่า “นี่เปนรูปอันรักยอดหัวใจ.”
แม่ปรุงค้อนให้แล้วกล่าวว่า “หวงจริงหนอ.”
เมื่อเราเยี่ยมสหายกลับมาแล้ว ต่อมาข้าพเจ้าพะเอิญเปิดลิ้นชักของหล่อน พบรูปนายขบวนซึ่งฉายเสร็จใหม่ถอยด้ำกับรูปท่านชายหนุ่มโฉมงามนั้น.
ข้าพเจ้าถามแม่ปรุง ๆ ตอบว่า นายขบวนส่งมาให้ทั้งสองรูป ต่อมาหลายวันนายขบวนจึงบอกข้าพเจ้าว่า เขารีบไปชักรูปตัวเขาเองมาให้หล่อนแทนรูปนั้น เพราะหล่อนมีจดหมายไปขอรูปนั้น แต่หล่อนไม่พอใจ, เขาจึงส่งรูปท่านชายโสภานั้นมาให้อิกรูปหนึ่ง รูปทั้งสองนี้ไม่ทำให้ข้าพเจ้ารังเกียจอะไรนัก ไม่เหมือนรูปซึ่งข้าพเจ้าพบเข้าในห่อพร้อมรูปท่านหญิงรุ่น, แลสาว, แลผู้ใหญ่, รวมห้ารูป.
ข้าพเจ้าถามแม่ปรุงว่า “ทำไมหล่อนเอารูปคุณแกลบมาไว้.”
หล่อนตอบว่า “แม่กลึงมอบรูปพี่น้องของหล่อนทั้งสิ้นมาให้ห่อหนึ่งรวมห้ารูป รูปคุณแกลบพี่ชายแม่กลึงติดมาด้วย.”
ข้าพเจ้าไม่พูดว่ากระไร แต่นึกได้ว่าอุบายแม่กลึงทำเช่นนี้ คล้ายซ่อน “ฝิ่น” มาในแกลบ หรือว่า ซ่อน “แกลบ” มาในรำเข้า.
ต่อมาแม่ปรุงได้รูปท่านชายท่านหญิงต่าง ๆ ฉายจากห้างราคาแพง ๆ ไว้เปนสมบัติเปนอันมาก แต่ข้าพเจ้าไม่ต้องกล่าวว่าหล่อนได้มาเวลาใดจากใคร เว้นแต่จะต้องกล่าวข้างน่าจำเภาะรูปสำคัญรูปเดียว จนชั้นรูปนายพิศอันยื่นให้ต่อมือแม่ปรุงนั้น ข้าพเจ้าไม่จำต้องกล่าวเหมือนกัน.
เวลาวันหนึ่งเปนวันเทศกาลใหญ่ที่สุด ข้าพเจ้าไม่ต้องปกปิดว่าเปนวันเฉลิมวันแรก.
แม่ปรุงแต่งกายแต่พลบ แลเตรียมตัวเพื่อแต่งประกวดทุกอย่าง
ข้าพเจ้าสั่งลาหล่อน เมื่อรับประทานอาหารเวลาเย็นแล้ว ว่าข้าพเจ้าต้องไปช่วยเจ้าคุณแห่งกระทรวงจัดแจงการตกแต่งดวงไฟซุ้มแห่งหนึ่งด้วย จำเภาะชั่วแต่คืนแรกเท่านั้น เพราะฉนั้น มันเปนการดีที่ข้าพเจ้าจะไปก่อน แลคอยหล่อนอยู่ที่ซุ้มนั้น เมื่อเวลาสองทุ่มหล่อนต้องเช่ารถม้าคู่ไปจากบ้านถนนสระปทุม เพื่อไปสู่หาข้าพเจ้ายังในพระนคร จอดรถรับข้าพเจ้าที่ซุ้มนั้น เราสองคนจะได้ขับขี่ดูไฟ, ดูคน, ดูมหรศพ, แลฟังบรรเลงเพลงดนตรีด้วยกันสำราญใจ.
หล่อนมีสีหน้าร่าเริงเบิกบานด้วยความดีใจ จะได้เที่ยวสนุกใหญ่ หน้าแฉล้มของหล่อนทำให้ข้าพเจ้าสวาทแสนทวี อดที่จะจูบลามิได้เลย กับทั้งถึงว่าหล่อนมีน่าที่จะต้องเตรียมเครื่องแต่งกายหล่อนเอง, หล่อนก็ยังจัดแจงให้ข้าพเจ้าแต่งกายหมดจดสดใส ไม่ขาดน่าที่ เพราะแม่ปรุงเปนผู้ปรนิบัติดีที่สุดซึ่งเคยเห็นกันมา.
เมื่อข้าพเจ้าสั่งลาหล่อน แลกำชับกำชานัดแนะให้ตระหนักอิกครั้งแล้ว หล่อนก็ตามมาส่งลงล่างจนถึงประตูนอกถนน เห็นผู้คนเดินสู่พระนครกันราย ๆ มาในเวลาจวนตวันตกดินบ้างแล้ว ข้าพเจ้าเหลียวหลังดูแม่แก้วตาอิกที เห็นหล่อนยิ้มชำเลืองดูงามงอนแล้วพยักหน้าให้ คล้ายจะว่าประเดี๋ยวฉันก็จะไปได้อยู่ข้างกาย “คุณพี่” ด้วย ข้าพเจ้ายิ้มรับด้วยคิดปลื้มใจ. ด้วยว่าค่ำวันนั้นเรา “โชว์” ใหญ่ที่สุด, มีหน้ามีตาที่สุด, โสมนัศที่สุด, แต่ว่าเมื่อข้าพเจ้าย่างเท้ามา ไม่รู้สึกว่าเปนคืนแรกซึ่งแสลงตาเหยี่ยวแสลงใจมารร้าย เปนคืนแรกแห่งพรรณเมล็ดของเหตุร้ายได้หว่านเพาะเกิดเชื้อสายแห่งการลามกวิโยคยากเย็นเปนเบื้องปฐม เปนคืนแรกซึ่ง “ความไม่พยาบาท “ ได้เริ่มเรื่องเปนเบื้องต้นแล้ว. คืนวันนั้นซุ้มของเรางามเปนที่สุด, เจ้าคุณขอบใจข้าพเจ้ามากที่สุด
ข้าพเจ้าอยู่ใกล้ซุ้มคอยท่าแม่ปรุง จึงเห็นผู้คนไปมาได้ประจักษ์ ที่เดินขวักไขว่ไปมีทั้งเด็กผู้ใหญ่ไพร่ผู้ดี แต่งตัวงดงามหน้าร่าเริงไปตามกัน มาคนเดียว, สองคน, สี่ห้าหกคน, หรือที่มาฝูงใหญ่เต็มไปด้วยชนทุกอายุ นับตั้งแต่เด็กกินนมแลมารดามีหญิงชรานำ มาพาชายหนุ่มสามีหญิงสาว สาวผู้ใหญ่, สามี, แม่ลูกอ่อนทั้งพี่ป้าน้าอาว์หลานเหลน มีท่านชายเดินไขว่ มีเพื่อนรวมสองคนหรือสามสี่ ยามหนาวคราวลมเย็นจะตกแต่งงามหนักไปบ้างก็ไม่ใคร่ร้อนรน ในเวลาราตรีอันสุขุมเช่นนั้น.
ข้าพเจ้าคอยท่ารถมากกว่าดูแต่ง. รถยนต์, รถม้า, ซึ่งผ่านไป ในย่านทั้งหลายนั้นมีหญิงแลเด็กอันประดับกายสวยสง่า อยู่ร่วมคันกันหลายคนก็มีมากคัน แต่ที่มาแต่น้อยคนก็มี เช่นหญิงผู้ดีพี่พามากับน้อง หรือมากับมารดา หรือมีน้องติดมา หรือนั่งมาแต่ด้วยสามีเท่านั้น.
รถยนต์ผ่านมา รถม้าผ่านไป ข้าพเจ้าแลดูเพลิดเพลินไปด้วยท่านสาว ๆ แต่งงดงามวิลัย จนชั้นคนใช้ของท่านก็งามเลิศ แสงไฟส่องสว่างรากกะกลางวันแต่แสงอ่อนไม่ร้อนรน เปนแสงซึ่งทำให้เครื่องประดับแวววาว ทำให้หน้าคนนวลเปนใย ทำให้ใจทุก ๆ คนเบิกบานบรมสุข ทั้งหญิงสาวชาวบ้านก็ช่างวิจิตร์งดงาม บางคนอาจจะทำให้เราเห็นเปนพงศ์เผ่าเหล่าสกุลสูงไปได้ดียิ่งนัก.
ข้าพเจ้าเตือนเต้นถึงแม่ปรุงมุ่งไนยตาดูเพลิน ใจยิ่งเขินด้วยคิดถึงภรรยา.
สมัยใหม่นี้ผมยาวเปน “เฟชั่น” ของหญิง เหล่าเขาทั้งหลายงามกาย, งามหน้า, งามผม, งามการแต่งกาย, งามการแต่งผม, แต่ข้าพเจ้าก็เชื่อว่าถึงแม่ปรุงเอาไว้ผมสั้น หล่อนก็อาจจะเดาะปากกินดิบผู้ไว้ผมยาวฉวีขาววิลัย ๆ เสียได้ง่าย ๆ ใบหน้าก็ตายกัน, จริตกิริยาก็แพ้กัน หน่อยก้านตาคมก็ไกลกันมาก ท่าทางวางสง่าน่ายวนชวนสวาทก็เสียเปรียบกันพิลึก แทบจะขึ้นขวด “โชว์” พนันกินตัวก็เปนที่วางใจได้ เหมือนได้เห็นหวยซึ่งขุนบาลหยิบแล้วแขวนนั้นเอามาแทง เปนไม่ผิด ขออภัยที่จะกล่าวว่าข้าพเจ้าต้องรักหล่อนทวีภายหลังงานนี้ เปนเพราะดูใครไม่ถูกใจ ไม่เหมาะไนยตาจึงเหยียดลักขณาราษีของแม่ปรุงเขยิบขึ้นสูงในความโสภาน่าพิศสวาทอิกซึ่งข้าพเจ้าได้ทวีรักเมตตาแลนับถือโดยได้ “โชว์” เปรียบตัวเรื่อยไปตามถนนหนทาง ในคราวไฟสว่างอย่างถูกล้อมด้วยไฟ แลไม่เห็นใครจะเปรียบตัวหล่อนได้ในโฉม, ในจริตกิริยา,เช่นนี้จะเปนโดยหลงรักแลงมงายในสวาทจนหน้ามืดเหมือนสามีบางคนปรนลงในภรรยางามเช่นนั้นก็เปนได้ แต่ข้าพเจ้าไม่รู้สึกว่าถูกเสน่ห์จนหน้ามืดเลย ถึงกระนั้นก็ดี ที่เขียนเรื่องมานี้ก็ตามใจจริงของผู้เขียน ไม่ใช่ใฝ่นึกว่าชนทั้งหลายมีใจจริงตามเรื่องอย่างไร จึงขอวอนท่านว่าอย่าเพ่อบ่นว่า “ไม่ใช่ข่าวเยอรมัน” ในที่นี้.
ซึ่งแม่ปรุงเอาไว้ผมสั้นนั้น ข้าพเจ้ารู้ได้ว่าเมื่อโตเปนสาวขนาดใหญ่ แลได้ออกจากโรงเรียน แลได้อยู่บ้านสวนด้วย จึงถูกตัดผมยาวให้เปนสั้นเสีย โดยชาวสวนนิยมกันเช่นนั้นกระมัง แต่เผ้าผมไม่เห็นเปนสำคัญอะไร จะเริ่มต้นทิ้งไว้ให้ยาวเมื่อไรก็ได้ ส่วนข้อสำคัญนั้นอยู่ในเลือดเนื้อ แลธรรมชาติของนารีต่างหาก ได้ดวงหน้าอันอุดมลักษณะเปนพื้นปัถพีอุดมแล้วจะหว่านพืชเผ้าผมให้งามสมเมื่อไรก็ได้ ในบัดนี้ใจข้าพเจ้าเตือนจี๋ว่าภรรยาข้าพเจ้ามีใบหน้าน่ารักอยู่แล้ว.
ขณะคิดเพลินอยู่ก็เห็นแถวรถยนต์ผ่านไปสองสามคันแลอยู่ในแถวเดียวกันแต่ห่างกันมากนั้น มีรถม้าคู่ขับวิ่งมา ม้าช่างงามได้คู่กัน พ่วงพีมีกำลังเท่ากัน, คนสารถีนั้นแต่งงามจริง, ท่าทางรัดกุม สอาด ดูเหมือนเขามีขนระรวยปักที่หมวก คันรถงาม, รถใหม่หรือทาสีใหม่ ทั้งเบาะแลหมอนก็งาม มีหญิงรุ่นนั่งมาเปนสาวใช้แต่งตัวยั่วยวนที่สุดซึ่งข้าพเจ้าได้เห็นมาในราตรีนี้ ตัวนายคือท่านหญิงสาวซึ่งนั่งมาคนเดียวนั้น ช่างมีไนยตาคมคายเหลียวแลสิ่งใดดูเหมือนเห็นได้หมดพร้อมกัน หน้าจิ้มลิ้มท่วงทีคมสันนี่กระไร ปากแก้มแฉล้มแย้มยิ้มลมัยในที่ได้ชมไฟชมคนเพลินใจจึงเยื้อนแย้ม ช่างแฉล้มโฉมเฉลาชวนเสหา ฅอกลมของหล่อนช่างงอนงาม จะเหลียว, จะเหลือบ, จะเบือน, รากกะจะเอื้อนอรรถชวนสมัคสามัคคียียวน แต่งกายช่างหรูหรานี่กระไร แต่เครื่องแต่งประดับกับกายหล่อนนั้นดูกินกันราวกะตะกั่วกับปรอท ทำให้เปนที่คิดได้ว่าจะแต่งสักเท่าไร จะประดับสักเท่าไร ก็ไม่รู้จักเกินการได้เลย จนชั้นแถบนิดติดตรงนั้น เข็มนิดกลัดตรงนี้ ยังทำให้ชู “โรง” ได้มาก ราวกะทุกชิ้นของวัตถาภรณ์จะเร่งงามช่วยหล่อนทุกช่องรูเข็ม.
เชื้อสายของความงามเหมือนอย่างรัศมีหรือประกายจู่มาแต่ไกลก็ชักสายไนยตาผู้ได้สังเกตต้องชะเง้อ. มันไม่ใช่ความงามอย่างเดียว แต่มันเปนผู้ครองไว้ซึ่งความงาม จะฉายสง่าราษีท่วงทียียวนออกมากล้ำกับความงาม กลั่นเคล้าเข้าขบวนชวนกันสำแดงออกมาเพื่อท่านชายอื่นเหลียวแล. ข้าพเจ้าก็เปนชายหนึ่ง จึงจ้องดูอยู่ที่ในรถนั้นตั้งแต่ไกลจนใกล้ยิ่งติดใจขึ้นทุกที.
พอรถมาใกล้ข้าพเจ้าก็แปลบใจปีติ ยกมือขึ้นเปนสัญญา ไนยตาหล่อนไวก็เห็นข้าพเจ้าทันที ยิ้มลมัยในหน้าอันร่าเริงอยู่แล้ว เมื่อถูกเบ่งการเยื้อนแย้มสรวลออกมา รากกะเบ่งรัศมีไฟฟ้ามาจี้สวาทแห่งดวงใจ การแย้มยิ้มแลไนยตา รากกะจะกวาดราคีราคาออกมาจากอกชายตลอดรากแก้ว ใจข้าพเจ้าผ่องแผ้วสว่างอารมณ์.
พอรถหยุด หล่อนก็ผลุดลุกลงมายืนอยู่ข้างข้าพเจ้า.
ข้าพเจ้าถามว่า “ลงรถมาทำไม? ว่องไวจริงหล่อนจ๋า” พลางข้าพเจ้าไขว่มือไปต้องหลังหล่อนแต่น้อยมิให้ใครสังเกตเห็น.
หล่อนตอบว่า “ ฉันมายืนด้วยเธอ เพราะเธอได้ยืนคอยฉันอยู่นานแล้ว.”
ข้าพเจ้าขอบใจปลาบ กลิ่นฟุ้งน้ำอบตลบอยู่ทำให้แสนเสนหา อยากจะเข้ารับขวัญกอดประทับไว้ด้วยคอย ๆ อยู่แล้ว พอเห็นหล่อนมาแต่ไกลก็ปลาบเสียวด้วยปลื้ม แต่ลืมกายยืนจังงังดูอยู่ไม่เคลื่อนที่เหมือนท่านชายทั้งหลาย บัดนี้หล่อนมาส่งกลิ่นแลให้สัมผัศ ทั้งกล่าววาจาฉลาดโดยขนบสุภาพอันดี เพื่อแก้ราคีที่หล่อนมาช้าไปจึงลงจากรถพลันมายืน “ร่วมทุกข์” กับข้าพเจ้าผู้ยืนคอยอยู่นั้นด้วย.
ข้าพเจ้ากระซิบขอบใจตลอดวิญญาณ แลว่าช่างน่ารักจริงแม่เอ๋ย.
หล่อนยิ้มชวนชอบชื่น ชวนขึ้นรถแลบอกว่าจะไปชายแม่น้ำก่อน แล้วจึงย้อนมาที่ซุ้มนี้ แล้วขี่รถเลยไปตามถนนใหญ่ดูไฟไปตลอดถึงล่าง รถก็ขับ เราก็ขี่ไปตาม “โปรแกรม.”
เมื่อนั่งรถไปนั้นใครไม่เห็นท้องของหล่อนมีขนาดวิการ. ข้าพเจ้ามีความพิศวงหลงธรรมรสในคราวนี้หลายอย่าง เครื่องแต่งกายเก๋ชุดนี้ ข้าพเจ้าพึ่งเห็นหล่อนแต่งเปนคราวแรก แลเห็นเมื่อผู้แต่งได้มีโอกาศโอ่อ่าผ่าเผย โดยกลั่นความสง่าเอามาเปนอารมณ์ตลอดทางแล้ว ข้าพเจ้าจึงได้พิศวงงงงวยมากกว่าที่จะได้เห็นแต่งอยู่พลางแลเดินออกจากบ้านมาพร้อมกัน เหตุอันนี้ประกอบด้วยอาการร่าเริงโดยกาละเทศะบัญญัติให้เปนไปตามสมัย นอกจากโฉมงามสง่า จึงบัญญัติให้เห็นแม่ปรุงมีจริตกิริยาน่าสงวนยวนยี มีเสนหาติดอกติดใจชายยิ่งนัก.
เรานั่งคู่กันไป ยิ่งผ่านทางไป, ยิ่งเห็นไฟ, ยิ่งตาสว่าง, ยิ่งเห็นผู้คนพล่านพลุกผาสุกทั่ว, ยิ่งทำให้ใจเราเกษมสุข, เสียงพูดแลเสียงบรรเลงเพลงมหรศพชวนใจให้สำราญลืมทุกข์ของโลก. เสียง “กลองมไลกัน” เตือนใจให้เต้นคึกคนอง เราเที่ยวท่องแยกย้ายตามกะหมายของหล่อน แต่ทุกถิ่นฐานทุกแห่งหนถนนรนแคม แม่ปรุงได้ “โชว์” เปรียบตัวเรื่อยไปหมด, มีสง่าน่าสวาทกว่าใครหมด แลหล่อนรู้สึกเปนจ่าเมืองเมื่อเข้าเมือง, เปนจ่าถนนเมื่ออยู่บนถนน, เหมือนได้รู้สึกว่าเปนจ่าบ้านเมื่อเข้าบ้านใคร, แต่หล่อนบันดาลให้ข้าพเจ้ารู้สึกว่า หล่อนเปนจ่าจอมนั่งข้าง กลิ่นหอมรสยิ่งหวาน เมื่อกลับบ้านเข้าห้อง ข้าพเจ้าต้องกอดประคองใหญ่ให้กำนัน ให้คุ้มที่ได้คิดติดค้างกันไว้ตลอดย่านถนนทั้งหลาย.
“สนุกไหมหล่อน ?” ข้าพเจ้าประคองถาม.
“สนุกแท้ ค่ำพรุ่งนี้ไปอิก” หล่อนชอ้อนตอบ.
“แน่นอน แน่นอน.—”
ข้าพเจ้าพูดต่อไปอิกไม่ได้ กลิ่นแลรสมันใหลบ่ามามากนัก ข้าพเจ้าประทับหล่อนไว้ น้ำตาแทบไหลด้วยปลื้มใจยินดี.
ความมุ่งของหล่อนว่าจะไปเที่ยวเล่นอิกในคืนน่า คำมั่นของข้าพเจ้าว่าจะพาไปสำราญอิกโดยแน่นอนนั้นไม่นำมาได้จริงเลย มนุษเราทั้งหลายมีความมุ่งหมายมาก แต่ความมุ่งหมายจะสมหรือไม่นั้นรู้ได้แต่เทวดา เราสองราก็ไม่รู้ว่าจะไม่ได้เที่ยวดูไฟอย่างสนุกสำราญ ในว่าได้ “โชว์” อย่างขนาดใหญ่ ในคืนน่าแลคืนต่อไปอิก ถึงกระนั้นก็ดี ผู้มีคู่ชีวิตไม่พักคิดอะไรหมด เมื่อใจใฝ่ฝันถึงกันก็ชวนกันชื่นชอบปลอบโยนเท่านั้น.
ราตรียังเหลืออยู่ได้นำมาซึ่งความปลื้มอิ่มใจหลงใหลลืมกังวลแทบจนสว่าง ไม่เหินห่างกันด้วยความอิ่มเอิบกำเริบใจใฝ่รัก หากจะหลับระงับเคลิ้มไปก็ได้ แต่ฝันดีนี่กระไร ราวกะจะยิ้มทั้งหลับแก่ฝ่ายหล่อน. ข้าพเจ้านั้นฝันหลับแกมตื่น ฝันเล่นแกมจริง เพราะสุบินนิมิตร์เห็นสวรรค์คราวใด ป่ายแขวนมาก็ได้ถูกต้องกายแม่ “เทพธิดา” นั้นทุกครั้ง.
นาฬิกาเร่งเตือนเวลา ราวกะจะบอกกล่าวว่านอนเสียเถิด พรุ่งนี้เจ้าทั้งสองจะไม่ได้ไป “โชว์,” เข็มนาฬิกาเปนเหตุใหญ่, เวลาล่วงไปเปนเหตุลึก, ยิ่งกระชั้นดึกจะเข้าวันน่า, ยิ่งว่าจะไม่ได้ไป, ไม่ได้ไป, นอกจากจะไถลไปในเวลาดึกเที่ยว “ไปรเวต” ในเขตแคว้นพระมหานคร อันเหลือฝูงคนอยู่ประปราย, เปนพวกทรหตมากหลาย, ไม่หลับนอนก่อนเที่ยวจนอ่อนใจ, หรือสมหมายเขาอย่างใดอย่างหนึ่ง, ตัวผึ้งเร่งร้องจวนสว่างน้ำค้างพรม, ยิ่งหนาวลมยิ่งกระชั้นตวันจะส่องหล้า, เสียงไก่ขันกระชั้นแซ่เสียง, สำเนียงหวานแก่ผู้มีใจหวาน, เสียงขานของไก่ เร่งเตือนวันให้พลันขึ้น, เร่งฝืนเหตุ, อาเภทที่ยิ่งแก่ชั่วโมง, ยิ่งไม่ได้ไปเที่ยวกันใหม่ อาเภทกระชั้นเวลาเข้ามาหา “โฉลก” ของเหตุทุก ๆ นาที.
แสงทองส่องฟ้าแดงอากาศ เร่งสว่างวันหันกลายเปนสีเหลืองเรืองอร่าม, เร่งเวลามาตามคาบของเหตุอันปั่นป่วนไม่ยุตินิ่งได้ของชายหญิงทั้งหลาย เมื่อพระอาทิตย์ถึงขอบฟ้าแล้ว ตัวเราสองราได้ม่อยหลับใหลไม่รู้ว่าแสงอรุณของวันใหม่แห่ง “ความไม่พยาบาท” ได้รุ่งรางสว่างแล้ว.