- คำนำ
- ภาค ๑
- บท ๑ รสหวานของความไม่พยาบาท
- บท ๒ ดูตัวเจ้าสาว
- บท ๓ วิวาห์การ
- บท ๔ ชีพอย่างชมจันทร์
- บท ๕ สองสามสุข
- บท ๖ แม่ปรุงเปนมารดา
- บท ๗ ความไม่พยาบาทเริ่มต้น
- บท ๘ พระกับมาร
- บท ๙ เมฆสว่างของชีพ
- บท ๑๐ ความทุกข์ของสาวพรหมจารี
- บท ๑๑ เมฆมืดของชีพ
- บท ๑๒ ตุ๊กกะตาฅอหัก
- บท ๑๓ นิราศบ้าน
- บท ๑๔ ภรรยา “ป่วย”-- สามีป่วย
- บท ๑๕ ข่าวลามก
- บท ๑๖ ข้าพเจ้าเจอภรรยา
- ภาค ๒
- หมายเหตุ การแต่งเรื่องนี้
บท ๒๕ การล้างบาป
เมื่อตื่นขึ้นแล้ว ยังรู้สึกพวงมาไลยไม่หายหอม หอมติดที่นอน, หอมติดตัว, ข้าพเจ้าค่อยมีใจขึ้นหน่อย จึงไปทำงานแต่เช้าเปนปรกติ, เมื่อไปถึงพระนครข้าพเจ้าผ่านร้านแลห้างไปคิดขึ้นมาได้ถึงแม่ประไพ เห็นของบางอย่างก็นึกอยากซื้อไปฝากหล่อน แต่รู้สึกว่ามิได้เอาเงินไปพอแก่จะซื้อของกำนัน จึงแวะซื้อสบู่หอมแลหีบกระดาษงามหีบหนึ่ง สองสิ่งนี้หวังว่าจะเอาไปฝากให้หล่อนก่อน ภายหลังจึงค่อยซื้อผ้าผ่อนให้หล่อนตามสมควร.
ขณะเมื่อข้าพเจ้าซื้อสบู่อยู่นั้น มีชายหนึ่งมาทักข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเหลียวมาเห็นก็คิดคลับคล้ายคลับคลาดูเหมือนไม่เคยรู้จักหน้ากันแต่ข้าพเจ้าก็รีบเคารพตอบ.
เขาถามว่าสบายหรือ? ท่านอยากรู้จักข่าวถึงภรรยาท่านไหมว่าอยู่แห่งใด.
ข้าพเจ้าถามว่าแกรู้หรือ.?
เขาตอบว่า “ผมไม่รู้ แต่ผมได้ยินคนที่โรงเหล้าโน้นมันพูดถึงภรรยาท่าน ดูท่ามันจะรู้.”
ข้าพเจ้าเอาสบู่ใส่หีบกระดาษนั้น แล้วก็ไถลเดินไปยังโรงจีนที่ขายสุรานั้น เห็นพวกขี้เมานั่งอยู่สองสามคน เขากำลังพูดอยู่ถึงแม่ปรุงจริง กำลังโต้เถียงกันเสียงอึง.
คำที่พูดกล่าวโทษแม่ปรุงเปนคำร้ายกาจที่สุดแทบหูชายผู้ดีจะหยุดฟังไม่ได้, คนหนึ่งว่าสวยดี, คนหนึ่งว่ากำลังสาวดี, คนหนึ่งว่ามักมากพิลึก, คนหนึ่งว่าผัวคนเดียวไม่พอ – ล่อชู้เข้าไปให้, คนหนึ่งว่าผัวเที่ยวด้อมมองดูทุกโรงเจ๊กโรงฝรั่ง.
คำทั้งหลายร้ายกาจแรงขึ้นทุกที ครั้นนิ่งฟังจนอดรนทนไม่ได้ ข้าพเจ้าจึงกล่าวว่า “นั่นแกกำลังนินทาใคร ไม่รู้หรอกหรือว่าแกกำลังนินทาฉันกับภรรยา.”
คนเหล่านั้นพูดล้อแลยั่วโมโหไปใหญ่ ยิ่งเถียงมัน มันยิ่งกล่าวคำหยาบกระทบกระเทียบเปรียบเปรย น่าเจ็บแค้นมากขึ้นทุกที เช่นข้าพเจ้าจะว่า “ปากเจ้าไม่ควรจะเอ่ยนามหล่อนกระนั้น” มันคนหนึ่งเถียงว่าตัวมันไม่สมควรจะคบเปนชู้กับแม่ปรุง เพราะหล่อนเลวเกินสง่าราษีมัน.
เช่นนี้มีแต่ทวีคำกล้าแขงขึ้นทุกที เกือบจะได้ขัดใจกันอยู่แล้ว พอข้าพเจ้ารู้สึกใครมาสกิดหลัง ข้าพเจ้าเหลียวมาดูเห็นนายขบวนถลึงตา แล้วพูดว่า “ออกมานี่ประเดี๋ยว ผมมีธุระร้อน.”
เธอก็ฉุดข้าพเจ้าออกมา ยังถลึงตาพูดว่า “ทำไมคุณไปเถียงกับคนถ่อยเช่นนั้น.”
ข้าพเจ้าว่า “มันกล่าวหยาบช้าในนามของฉันกับภรรยา.”
นายขบวนพูดว่า “คุณยังไม่รู้อิกหรือ เกลอภักตร์เขาอยากกำจัดคุณเสีย นี่เปนพวกนักเลงซึ่งเขาจ้างมาให้ยั่วโมโหคุณให้เกิดวิวาทกันขึ้น มันจะได้บอกกล่าวว่าคุณรังแกมันแลมันก็จะต่อสู้คุณ ทำร้ายให้ถึงตายไม่ใคร่มีโทษ นี่ผมเดินมาจะเข้าไปในกระทรวงของผม ๆ แอบฟังดูก็รู้ทีได้ คุณอย่าเอาเปนอารมณ์ในอ้ายคนเหล่านี้อิก จงระวังตัวให้ดี.”
นายขบวนชวนข้าพเจ้ามาเสีย ข้าพเจ้าขัดใจในคำพวกเหล่าร้ายไม่หาย จนนายขบวนได้ชวนพูดเรื่องอื่นเสียเปนนานจึงค่อยคลายใจ ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกได้ว่าคำซึ่งนายขบวนกล่าวนั้นดูท่าจะจริง.
เวลาเย็น ข้าพเจ้าอาบน้ำชำระกายกินอาหารพักสบาย กำลังนั่งลูบคลำหีบกระดาดแลสบู่หอมอยู่ นึกยังไม่ตกลงว่าจะเอาไปให้แม่ประไพในวันนี้หรือพรุ่งนี้ดี.
ขณะนั้นแม่ประไพมากับเด็กหญิงน้อย ตรงมาหาข้าพเจ้าบนเรือน ข้าพเจ้าเห็นหล่อนเดินมาแต่ไกลมาขึ้นบันได ดูท่าทางซึมเซื่อง หน้าตาหล่อนดูสลดเผือดคล้ำมากหนักหนา ดูท่าจะมีทุกข์์โศกในใจยิ่งนัก จนหน้าแห้งเช่นนั้น.
ข้าพเจ้าคิดไม่ได้ว่าทำไมหล่อนจึงได้เศร้าสลดกระนั้น ข้าพเจ้าเคยไปสู่หาหล่อนบ่อย ๆ ก็เคยเห็นหน้าตาชื่นบานดูเหมือนไม่มีทุกข์ นี่เกิดเหตุเภทภัยสิ่งไรหรือ หล่อนจึงได้มีหน้าเผือดเช่นนั้น.
พอหล่อนมาถึงตัวข้าพเจ้า ๆ ทักหล่อนว่า “ดีใจจริงๆ แม่ประไพมาถึงบ้านฉัน, นี่หล่อนเปนทุกข์อะไรมาหรือ จึงมีหน้าเศร้าเช่นนั้น.”
หล่อนยิ้มกลบหน้าที่สลด แต่อาการที่ยิ้มโดยขืนใจกระนั้น ไม่ทำให้หน้าฟื้นชื่นมาได้ก็สลดอยู่ดังเก่า ไนยตาดูเปนเจ้าทุกข์มานาน หายแสงสีที่คมคายคล้ายจะไม่มีแวว.
ข้าพเจ้าสงไสย ยิ่งสงสารก็กอดรัดหล่อนไว้มั่น เพื่อจะปลอบเอาความ หล่อนไม่ว่ากระไร ทำกะลิ้มกะเหลี่ยแสดงอาไลย แล้วดูเหมือนรู้สึกกายก็ทำใจกล้าแขง ไม่แสดงอาไลย ไม่ใยดี.
ข้าพเจ้าถามว่า “มีทุกข์อะไรหรือจ๊ะ มาหาฉันทำไมหรือ?”
หล่อนว่า “ตัวฉันไม่มีทุกข์อะไรหรอกข้ะ—”
ข้าพเจ้าว่า “หน้าเศร้าทำไม?”
หล่อนว่า “ฉันยังไม่ทราบว่าฉันเศร้า.”
ข้าพเจ้าว่า “มาทำไม?”
หล่อนว่า “อ๋อ, ป๋าหน่ะให้มาเชิญคุณไปหาป๋าค่ำวันนี้ไปหัวค่ำ ๆ หน่อย ป๋าจะลาไปเมือง···”
ข้าพเจ้าว่า “ป๋าเกี่ยวข้องอะไรกับฉัน จึงจะต้องล่ำลา.”
หล่อนว่า “ป๋าจะไปเมืองไกลในพรุ่งนี้ แลพูดว่าคิดถึงบุญถึงคุณ ๆ พี่ที่ช่วยป้องกันผู้ร้ายแลให้เงิน จึงให้ฉันมาเชิญไปหาในเวลาค่ำวันนี้ เพื่อจะแสดงความขอบใจแลฝากฝังตัวฉันไว้กับคุณพี่.”
ข้าพเจ้าว่า “เขาจะกวนใจขอเงินฉันอิกกระมัง.”
หล่อนว่า “ไม่ขอหรอกข้ะ, อยากพบตัวเท่านั้น.”
ข้าพเจ้าว่า “ได้ซี, จะพบเขาที่ไหน?”
หล่อนว่า “ป๋านั้นอยู่ที่เก่าไม่ได้แล้วด้วยว่ามีคนมาเช่าหลวงอยู่ใหม่ บัดนี้ป๋ามาอยู่กระท่อมท้ายสวนพลูได้สองวันทั้งวันนี้ ถ้าจะไปหาก็เข้าทางถนนใหญ่ลัดทางหลังถึงกระท่อมทันที.”
แล้วหล่อนก็บอกท่าทางจะเข้าไปยังกระท่อมนั้นให้รู้ทาง โดยข้าพเจ้าได้เคยเดินไปยังสวนพลูนั้นบ่อย ๆ แล้ว แลเคยเห็นกระท่อมแล้ว.
ข้าพเจ้ารับคำว่าจะยินดีไปตามนัด แลกอดหล่อนปลอบถามเอาความ ก็ไม่ได้ความว่าหล่อนเปนทุกข์เรื่องอะไร ข้าพเจ้าจึงหยิบเอาสบู่แลหีบกระดาดมาให้ พูดว่าซื้อมาได้เมื่อเช้านี้ วันอื่นจึงจะซื้อของอื่นให้ แลแสดงความขอบใจที่หล่อนมีแก่ใจให้พวงมาไลย.
หล่อนดูหีบกระดาดแลสบู่ แล้วยิ่งมีสีหน้าสลด ข้าพเจ้าหมายว่าหล่อนจะดีเนื้อดีใจ แต่หล่อนพูดว่า ถ้าสุขสบายจึงจะดีใจเปนอันมาก.
ข้าพเจ้าจึงถามว่า ก็หล่อนมีทุกข์อะไรจึงไม่สุขสบาย.
หล่อนไถลพูดว่า หล่อนว่าข้าพเจ้าไม่มีสุขสบายต่างหาก.
ข้าพเจ้าถามหล่อนต่อไป แต่หล่อนก็ไถลเชือนไม่พูดต่อไปอิก.
ข้าพเจ้ากอดหล่อนประคองไว้, หล่อนไม่ใยดี ข้าพเจ้าเห็นผิดทีแต่ก็ไม่ขัดใจ หล่อนบอกว่าป๋าให้ไปแต่หัวค่ำ ๆ ข้าพเจ้าก็รับคำ.
แล้วหล่อนเข้ามาใกล้ชิดทำประจบประแจง แล้วหยิบเสื้อจากห่อซึ่งเด็กน้อยถือตามมานั้น คลี่ออกบอกว่าเสื้อนี้หล่อนเอามาให้ข้าพเจ้า ๆ ก็ขอบใจหล่อนเปนอันมาก.
เสื้อนี้เปนเสื้อขนสัตว์ มีนวมซับใน เปนเสื้อกั๊กกันหนาวของชาวยุโรปราคาแพงมาก เปนของป๋าหล่อนเคยใช้ในฤดูหนาวบางครั้งบางคราว ในเวลาที่เขามั่งมีสีสุกนั้น.
ข้าพเจ้าขอบใจอิกซ้ำ หล่อนจึงว่า “คุณรับไว้แล้วละก็ใช้ใส่ได้ไหม?”
ข้าพเจ้าตอบว่าได้.
หล่อนว่า “ถ้ากระนั้นค่ำ ๆ คุณลองใส่เล่นเพื่อเห็นแก่ฉันได้ไหม?”
ข้าพเจ้าตอบว่าได้.
หล่อนจึงว่า “ถ้ากระนั้นค่ำวันนี้คุณใส่ประเดิมเสียเปนคืนแรกได้ไหม.”
ข้าพเจ้าตอบว่า “ได้สิ, ค่ำ ๆ สองสามคืนนี้เย็นเฉียบ ไม่ช้าจะหนาวจัดมาก.”
หล่อนว่า “ขอบใจมาก คุณสู้ใส่ให้เปนที่ระลึกฉัน.”
ข้าพเจ้าว่า “ขอให้ทำเท่านั้นเองหรือ, นึกว่าจะขอมากกว่านี้ก็ทำให้ได้.”
หล่อนว่า “ถ้ารักฉันจงทำตามสัญญาเถิด ถึงนิดหน่อยก็นับว่าดี — มีแก่ใจ.”
หล่อนพูดว่า “รัก” เปนคำแรก ข้าพเจ้ากอดหล่อนไว้แน่นแทนคำตอบ.
หล่อนซบหน้าถอนใจใหญ่รดข้าพเจ้า แล้วก็ถอยหนีเสีย.
ข้าพเจ้าเห็นหล่อนทำอาการพิกล แต่ก็ไม่ว่ากระไร คิดว่าพรุ่งนี้จะสืบดูรู้ว่าป๋าทำให้ขัดใจอย่างไร แลจะซื้อของไปฝากหล่อนให้มากด้วย.
พอพลบค่ำลงข้าพเจ้าถามว่า ฉันไปได้หรือยัง.”
หล่อนตอบว่า “ไปก็ได้ แต่ฉันจะต้องลาไปก่อน จะไปซื้ออะไรบ้างเล็กน้อย ให้ป๋าเอาติดไปด้วยตามทาง.”
หล่อนลาไป ข้าพเจ้าอยากตะครุบหล่อนไว้อิกที แต่หล่อนถอยหนีรีบเดินออกไปกับเด็กน้อย ขึ้นสู่รถลาก, ข้าพเจ้าสังเกตดูเหมือนได้เห็นหล่อนร้องไห้เช็ดน้ำตา แต่ข้าพเจ้าไม่เห็นถนัด ไม่รู้ได้แน่.
เมื่อหล่อนไปแล้ว ข้าพเจ้าได้จัดแจงแต่งกาย ข้าพเจ้าจะไปหาคนซึ่งได้ทำ — ให้ข้าพเจ้ายากแค้นแสนเขญอาภัพอัปรมาณ ตกอับหม่่นหมองทุกข์รทมขมขื่นมากที่สุด เปนผู้ทำให้พลัดพรากจากของรัก เปนผู้ทำให้เสื่อมสุขเสื่อมเกียรติยศทุกอย่าง แต่เขามาเชิญ เขาจะลาไปเมืองไกล ข้าพเจ้าก็ต้องไปเพราะเห็นแก่เขา แลเห็นแก่แม่ประไพ.
ข้าพเจ้าใส่เสื้อขนสัตว์ซับนวมตัวนั้นไว้ภายใน ใส่เสื้อราชปะแต็นต์ภายนอก ใส่ดุมตลอดรู้สึกอุ่นดีในราตรีอันหนาว แต่ใส่นานเข้ารู้สึกอุ่นเกินต้องการไปหน่อย แต่คิดถึงเจ้าของผู้ให้เสื้อเปนอันมาก ต้องทนเอา.
ข้าพเจ้าขี่รถลากตลอดทาง อากาศหนาวเย็นดี แต่ข้าพเจ้าอุ่นอกค่อยรู้สึกขอบคุณแม่หนู รถลากนั่งเดี่ยวนั้นเจ๊กลากวิ่งเหยาะเรื่อย ๆ ตลอดทาง ข้าพเจ้าคิดได้ว่า บัดนี้จะไปสู่หาคนที่ทำให้เราเจ็บปวดมากที่สุด แต่โดยเหตุว่าตัวมันเอง อกุศลกรรมส่งให้ถึงย่อยยับแล้ว มันจึงรู้สำนึกผิดชอบคิดถึงตัว ซึ่งเรียกเราไปนี้ก็เพื่อจะฝากฝังบุตรี, แลขอบบุญคุณเราซึ่งช่วยมันให้พ้นจากความตายในเมื่อคืนนี้.
ข้าพเจ้าจวนถึงสวนพลู พอถึงหัวถนนต้นทางข้าพเจ้าพบเกลอภักตร์เกลอร้องทัก ข้าพเจ้าก็ลงจากรถลาก เกลอว่าเกลอมาคอยมองดูอยู่ บัดนี้พบกันแล้วก็ไปนั่งพูดกันสักครู่ที่กระท่อมของเกลอเถิด.
เกลอก็นำมา ข้าพเจ้าก็เดินคลอเคียงข้างเกลอมา ข้าพเจ้ามีความปลาดใจมากที่ได้เห็นเกลอได้ดื่มสุรามากจนพูดท่าจะเมาจัดไปสักหน่อย ข้าพเจ้าเสียใจเกลอจะพูดเลอะเทอะ แต่เกลอยังทรงสติไว้ ยังพูดจาปราไสยได้โดยดี ซึ่งดื่มสุราในราตรีนี้โดยเหตุที่เกลอบอกว่าเกลอทุกข์นัก ทั้งจะลากรุงเทพ ฯ ไป จึงดื่มสุราสั่งเมืองเสียที เกลอแสดงว่าแท้จริงเดิมลง/*๕๓มือดื่มก็เจตนาจะไม่ให้เมา แต่ยั้งตัวไม่ทันโดยดื่มหนักเข้าแล้วจึงทำให้เมานิดหน่อยซึ่งเรียกว่าไม่เมา.
เกลอเดินคุยพูดมาด้วยความจริงใจของเกลอ, ข้าพเจ้าค่อยคลายใจที่เห็นใจฅอเกลอมั่นคงไม่พูดเถลไถล.
พอผ่านท้องร่องจากถนนมาได้หน่อยเดียวก็มาถึงกระท่อมของเกลอ เปนกระท่อมน้อย แต่มีโต๊ะดี ทำให้ข้าพเจ้ารู้ได้ว่าโต๊ะนี้เปนโต๊ะซึ่งเล็ดลอดมาจากตึกเดิมของเขา ทั้งเก้าอี้ตั้งก็ดีด้วย โคมหลอดอันงามตั้งอยู่บนโต๊ะ แลที่พื้นห้องนั้นมีห่อของต่าง ๆ แลหีบมัดไว้ แสดงว่าเกลอภักตร์ได้ “แพ็ค” (จัด) เข้าของจะไปหัวเมืองเสร็จแล้ว.
เกลอเข้าห้องก่อน เพราะฉนั้นเกลอจึงนั่งบนเก้าอี้ที่หัวโต๊ะทางใน, ข้าพเจ้าตามเข้าไปก็นั่งบนเก้าอี้ที่ปลายโต๊ะข้างนอก นั่งตรงกันข้าม.
เกลอว่า “เราจะรีบเจรจากันเสีย.”
ข้าพเจ้าชิงพูดว่า “ข้อที่ฉันช่วยชีวิตคุณนั้น ไม่ต้องเอ่ยถึง, ไม่ต้องยกบุญยอคุณฉันหรอก.”
เกลอถลึงตาดูข้าพเจ้าตลึงไป แต่ช้อนตากลับไปกลับมาอย่าง “เตียวหุย” ที่โรงงิ้ว จนข้าพเจ้ามีความกลัวไนยตาของเกลอ ทั้งหน้าแดงที่ดื่มสุราหนัก แลกลิ่นสุราส่งมาแรง ไม่ทำให้เปนรูปอันน่าดูแลกลิ่นอันน่าดมเลย.
เกลอขมวดคิ้วนิ่วหน้าสักครู่ จึงถามด้วยเสียงเรื่อยๆ ไม่สทกสท้าน ทำพูดหน้าตาเฉยว่า “คุณรักแม่ปรุงไหม?”
ข้าพเจ้าสดุ้งใจในคำอันนี้ เพราะนามท่านหญิงคนนี้แลเหตุซึ่งข้าพเจ้าต้องทนทุเรศด้วยนามนี้ มันแปลบปลาบเข้าหัวใจดังพิษปืน มันนำมาด้วยความทุกข์ใจแลสลดใจ.
ข้าพเจ้าว่า “ถามทำไม ไม่ต้องการ.”
เกลอปลอบว่า “อยู่กันสองคน ถึงจะบอกความในใจบ้างก็เปนไรไป.”
ข้าพเจ้าอยากจะให้สิ้นเรื่องนี้โดยเร็วจึงตอบ “ฉันเคยรักหล่อน.”
เกลอว่า “ได้เคยรักจริง แต่เดี๋ยวนี้รักหรือเปล่า.”
ข้าพเจ้าโคลงศีร์ษะพูดว่า “ทำไมพูดถึงเรื่องอันนำมาซึ่งความแสบไส้”
เกลอว่า “กรุณาได้บอกแล้วก็บอกให้หมดเถิดขอรับ.”
ข้าพเจ้าว่า “ฉันเคยรักหล่อน แลก็ยังคิดถึงอยู่ ยังคิดเสียดายรูปโฉมอยู่.”
เกลอถลึงตาอย่างน่ากลัวแล้วพูดว่า “แม่ปรุงรักคุณหรือเปล่า ?”
ข้าพเจ้าตอบว่า “โอ๊ย, รักที่สุด ไม่มีใครที่หล่อนรักมากกว่าฉัน ปรนิบัติดีทุกอย่าง แต่ไม่รู้ว่าผีห่าอะไรมันทำให้หล่อน—”
คราวนี้เกลอแสดงสีหน้าอย่างน่ากลัวที่สุด ไม่ทราบว่าเกลอจะโกรธมุด้วยเหตุไร ไนยตาขวางน่ากลัว เค้าหน้าเปนที่น่าสยดสยอง.
เกลอพูดด้วยเสียงคำรามว่า “คุณรู้หรือเปล่าว่าฉันรักหล่อน.”
ข้าพเจ้าว่า “ทำไมพูดร่ำไร.”
เกลอว่า “แลคุณรู้ไหมหล่อนรักฉัน จนหล่อนตอบแทนความรักของฉันเต็มที่.”
ข้าพเจ้าได้ขัดใจที่ได้เห็นผู้ที่ทำทุราจารนั้นลำเลิกความนั้นคุ้ยพูดขึ้นให้บาดใจอิก ข้าพเจ้าจึงว่า “พูดถึงการลับทำไมอิก ทำให้ฉันไม่พอใจ ขืนพูดไปก็จะขัดใจกัน.”
เกลอพูดเรื่อย “คุณรู้ไหมว่าแม่ปรุงไม่พอใจคุณแลติดใจฉัน เพราะฉันใช้ยา นี่แหน้ะ, คุณผู้เพื่อนยากเอ๋ย ฉันจะให้ยาเสน่ห์สักกลักหนึ่ง ถ้าคุณรักผู้หญิงคนใดจึงป้ายยา” เกลอเปิดตลับ “โชว์.”
ข้าพเจ้าขัดใจตวาดว่า “อย่ามานั่งพูดประจานฉันให้แค้นคลั่ง ถ้าไม่มีเรื่องอะไรจะพูดดีกว่านี้แล้วฉันก็ขอลากลับ.”
เกลอขู่ “ฉันขอถามอิกคำหนึ่งคุณจึงกลับได้—ง่า—คุณยกแม่ปรุงให้เปนสิทธิ์แก่ผมได้ไหม คุณสาบาลได้ไหมว่าถ้าแม่ปรุงมีชีวิตตราบใด ต้องเปนของผมทั้งกายแลใจหล่อน.”
ข้าพเจ้าขัดใจ ก็ใช้คำแรงเช่นเรียกชื่อเกลอว่าเปนมารร้ายผู้ผจลนารีทั้งหลาย เช่นนี้ พอในพริบตาเดียว เกลอทำการร้ายโดยฉับไวเหมือนอย่างฟ้าแลบ เกลอชักมีดซุยออกมาจากไหนแลไม่ทันเห็น, ความเร็วเหมือนเกลอได้ถือมืดเตรียมไว้ใต้โต๊ะก่อนแล้ว โถมแทงข้าพเจ้าเต็มแรงเร็วไวเหมือนอย่างลิงโลด ปลายมีดถูกหลังข้าพเจ้าดังจั๊ก โดยตรงกระดูกใต้หัวไหล่ (ถ้าท่านจะเอามือซ้ายช้อนขึ้นข้างหลัง ขึ้นมาทางบ่าซ้ายกระดูกใต้หัวไหล่ซึ่งโผล่นูนขึ้นนั้นแหละเปนที่ข้าพเจ้าถูกแทง เรียกว่ากระดูกสะบัก).
ข้าพเจ้าลุกทลึ่งขึ้นทันที ผลักแขนเกลอไปเสียมิให้เกลอแทงซ้ำได้, ข้าพเจ้าผู้ได้สำนึกอันตรายอันใหญ่ยิ่งได้เกิดมีแรงขึ้นโดยความรู้สำนึกภัยนี้ได้ รวบรวมแรงของกำเนิดมามั่วสุมอยู่พร้อมหมด ข้าพเจ้าจับแขนเกลอไว้ก็กรรโชกผลักไปเต็มแรง ขณะเกลอเซนั้นเกลอป่ายแขนมาจะตวัดฅอข้าพเจ้า ๆ ผู้ได้รับแรงแห่งกำเนิดมามั่วสุมเต็มที่นั้น ก็ตวัดแขนเกลอผลักเสีย เกลอให้ข้าง ข้าพเจ้าก็สอึกเข้าดอยด้วยเข่า พร้อมกับหมัดที่ยัดเข้าเต็มแรงที่ซอกฅอ.
เกลอล้มคว่ำข้าพเจ้าก็กระทืบใหญ่ พอได้ยินเสียงร้องคราง ข้าพเจ้าจึงได้รู้สำนึกได้ว่ากำลังข้าพเจ้าตกใจได้ทำเกลอแรงเกินไปแล้วท่าจะบอบช้ำมาก.
ข้าพเจ้าชิงมีดที่ตกกระเด็นมาเสีย ถือกันตัวไว้เสียเอง แล้วตวาดเสียงกระเส่าว่า “ลุกขึ้น เจ้าเวร, มึงจะฆ่ากูทำไม ?”
ทีแรกเกลอนอนนิ่ง ข้าพเจ้าตกใจกลัวเกลอจะตาย เกลอพลิกร้องโอย แล้วลุกนั่งมีสายตาเปนประกาย ข้าพเจ้ายืนอยู่จึงร้องสั่งว่า “ลุกขึ้นสิวะ บอกข้าว่าทำไมคิดการมิดีเช่นนี้.”
เกลอนั่งนิ่งบนพื้น กลอกตาดูข้าพเจ้าเปนไนยตาที่โศกเศร้า แลหน้าก็สลตตรอมตรมท่าทางดูหงิมหงอยเศร้ามาก ผิดกับคราวที่ก่อนเกลอได้ล้มลง ซึ่งเปนคราวมีหน้าตาอาการมุทลุที่สุด คราวนี้เกลอล้มทั้งยืน ดูเหมือนว่าถูกเขย่าเอาความเมาออกเสียได้แล้ว ดูเกลอค่อยเซื่อมซึมเศร้าสร้อย ไนยตาโศกสลด.
เกลอนั่งถอนใจใหญ่ไปมา แล้วตะกายโต๊ะยันกายลุกขึ้นได้ก็เซไปหาเก้าอี้นั่ง แล้วก็เอามือป้องหน้าซบที่โต๊ะร้องไห้สอื้นอยู่หั้ก ๆ คล้ายอกจะแตกตาย.
ซึ่งข้าพเจ้ารอดตายคราวนี้ก็เพราะเสื้อหนังสัตว์ซับนวมนั้นป้องกันปลายอาวุธไว้ได้ แลซึ่งเกลอดื่มสุราไม่ทันยั้งมือได้นั้น ทำให้เกลอผู้เมาจัดไม่มีแรงพอที่จะต้านทานต่อสู้ได้.
ข้าพเจ้าแลดูเกลอร้องไห้ยิ่งคิดสลดใจให้ทุเรศนี่กระไร คนนี้เปนคนเคยมั่งมี บัดนี้เขาได้ยากจนจนต้องขอทานเพื่อนแล้ว เขาเคยเลี้ยงเพื่อนด้วยของดี ๆ บัดนี้จะพึ่งเข้าสุกใครกินสักมื้อก็แสนยาก กายเขาเคยโก้, บัดนี้กายซอมซ่อ สีหน้าหมดสง่าราษี ก่อนนี้เคยขี่ยานยนต์ บัดนี้เขาแทบจะไม่มีรองเท้าใส่ เหงื่อไคเปรอะ, ผมยุ่ง ปากแห้ง กายผอมด้วยหิว ใจฅอล่องลอยไม่อยู่กะตัว กำลังจะหนีจากบ้านเกิดเมืองนอนไปลับหน้าลับตาคน ข้าพเจ้าแสนทุเรศใจ ยิ่งได้สำนึกความทุกข์แค้นของข้าพเจ้าเองซึ่งเคยมีมา ที่ได้สำนึกเศร้าสร้อยโศกาอาไลย ยิ่งได้มาเห็นผู้ซุดโซมแล้วนั่งร้องไห้สอื้นแทบอกจะแตก ข้าพเจ้าก็กลั้นน้ำตาไว้มิได้.
น้ำตาข้าพเจ้าก็หลั่งไหล ข้าพเจ้าค่อนทรวงสอึกสอื้นไห้ ในห้องนี้มีชายสองคนเปนผู้ได้ร่วมรสในหญิงคนเดียวกัน เปนผู้ได้สำนึกสุขจากหล่อน, เปนผู้ได้สำนึกทุกข์แสนสาหัสด้วยกัน จนทุกข์แค้นแน่นหนาหนักเข้า ได้มาเห็นกัน ผู้หนึ่งร้องไห้ อิกผู้หนึ่งก็ร้องตาม บัดนี้สองชายกำลังร้องไห้โศกาอาไลยด้วยได้รับทุกข์วิโยคยากเย็นสาหัส ความยากได้เกิดแก่ใจตัวทั้งสองชาย ได้ทุกข์แค้นเต็มขนาดทั้งสองคน ต่างร้องแข่งกัน ต่างสอื้นแข่งกัน ราวกะจะมาเปรียบขนาดของความทุกข์กันอยู่.
ข้าพเจ้าถาม: “ทำไมแกมาคิดร้ายข้า?”
เกลอสอื้นต่อไป เงยหน้าขึ้นมองดูข้าพเจ้า แล้วร้องครวญครางร่ำไห้โฮ ๆ ต่อไปอิก.
ข้าพเจ้าจึงถามว่า “แกคิดร้ายข้าแล้วร้องไห้ทำไม บอกสิ ทำไมไม่บอก?”
เกลอว่า: “จะบอกให้แน่นอน.”
ข้าพเจ้าซักว่า: “ทำไมแกมาทำร้ายข้า, ทำไมไม่คิดถึงข้าที่ได้ช่วยชีวิตแกไว้ ให้รอดจากผู้ร้าย ?”
เกลอว่า: “ฉันทำสำหรับหล่อน— เพื่อหล่อน.”
“หล่อนไหน, ทำทำไม?”
“อย่าโทษผมเลย ผมรักแม่ปรุงเหมือนคุณได้รัก เพราะฉนั้นผมไม่อยากให้มีใครร่วมรักหล่อนกับผม.”
“นี่หล่อนใช้ชู้ให้มาฆ่าผัวหรือ ?”
“โอ, อย่าโทษหล่อนเลย หล่อนดีทุกอย่าง หล่อนเปนเทวดา จะหาหญิงใดใจไม่มีเทียม ใจหล่อนหวานยิ่ง รูปหล่อนสวยเลิศ ถ้ารู้ว่าหล่อนจะถูกความเสียหายคับแค้นถึงเพียงนี้ ฉันก็ไม่ริความทุกข์ให้หล่อนเกิดมีได้เลย. อย่าโทษหล่อนเลย โทษฉัน—ฉันผู้อดใจไม่ได้ ผู้หลงในรูปโฉมหล่อนจนลืมกายทุกอย่าง ฉันเมาไปในรูปหล่อน ฉันงมงายไปในธรรมรสหล่อน ฉันได้ยั่วหล่อนจนสมใจ บัดนี้ฉันย่อยยับ ฉันเสียใจแทนหล่อน ฉันสมเพชหล่อน.”
เกลอพูดแทงใจข้าพเจ้าให้เห็นจริงทุกอย่าง ข้าพเจ้าได้ระลึกความเก่า ข้าพเจ้ายิ่งระทดใจ ข้าพเจ้าถามว่า “แกมาเจตนาฆ่าเราเรื่องอะไร?”
“หล่อนใช้ให้ทำทุกอย่าง รูปหล่อนใช้ให้ฉันเจตนาปอง รสหล่อนทำให้ฉันหลง ความฤษยาแห่งฉันทำให้ฉันคิดทำร้ายคุณ.”
“ทำไมมาคิดร้ายป่านนี้ ?”
“ฉันจะไปเมืองไกล ใคร่ใจจะผลาญผู้หนึ่งเสียก่อน อันเกิดความรัก คุณยังไม่รู้หรือว่าฉันไม่อยากไว้ชีวิตผู้ซึ่งได้ร่วมรสกับหล่อน ผู้ได้ชิมชมหล่อนแล้วมันควรตาย ฉันไม่อยากให้มีในโลกนี้ ชายใดซึ่งได้ร่วมรสในหล่อนเหมือนฉัน.”
ข้าพเจ้าปลาบเสียวเสทือนเสทิ้นใจทันที ไม่มีใครหยั่งรู้ว่าถ้อยคำนี้บาดใจข้าพเจ้าเท่าไร แทงใจข้าพเจ้าไปลึกเท่าไร ใครผู้ชิมรสแม่ปรุงแล้วย่อมมีแต่ฤษยาหวงแหน ย่อมไม่ชอบให้ชายอื่นร่วมชม, มีแต่ตั้งใจเจตนาหวงห้าม หากชายอื่นจะล่อเหลี่ยมมาชิงความรัก มันตายเสียดีกว่า, ผู้เจ้าของความสวาทย่อมไม่อยากให้เขาอยู่ในพื้นปัถพี เปนที่กีดตากีดใจเขา เปนที่ให้เขาระลึกว่ายังมีชายอื่นร่วมรักร่วมรสร่วมชม.
ข้าพเจ้าได้หึงษาจนสุดสิ้นที่จะพล่ามใจ แต่ไม่รู้ว่าทำไมไม่ได้ลงมือผลาญเสียซึ่งอ้ายชายก็ไม่ทราบ. ได้ยับยั้งมือไว้ได้ ไม่ยอมทำให้เปนไปตามใจนึกหึงษาพยาบาท โดยข่มจิตไม่พยาบาท ข่มโดยเต็มกำลังหรืออย่างไร จึงได้รอดต่อการร้ายอันอยู่ในอกุศลกรรมกระทำการฆ่าชู้นั้นได้ แต่อ้ายชายคนนี้ มันได้หลงรสจนงมงาย แลเกิดหึงษาขึ้นท่วมใจมัน ไม่อยากให้มีชายใดมีชีวิตอยู่ ผู้ซึ่งรู้รสร่วมรักร่วมชมในหญิงเดียวกับมัน. ความในใจมันแทงหัวใจข้าพเจ้าเข้าไปลึกเช่นนี้รู้สึกปวดใจปลาบ ๆ.
เกลอบ่นต่อไป “ฉันอยากผลาญชีวิตชายผู้ร่วมชมหล่อนเสียก่อนไปไกล จะได้รู้สำนึกว่าในโลกนี้ไม่มีใครได้เคยชมรสแม่ยอดเสนหา ไม่มีใครรักหล่อน ไม่มีใครที่หล่อนรักแลรับรอง นอกจากตัวฉันคนเดียวในโลกนี้ เพราะคุณเปนผัวก็เปนเสียเปล่า ไม่รู้จักหึงษา คุณไม่รู้ว่าถ้าชายใดได้เปนคู่หล่อนมันต้องขายกาย, ขายชีวิตวิญญาณให้หล่อนสิ้น เมื่อกระนั้นแล้วจะไม่ให้ฉันขายเกียรติยศเกียรติคุณของฉันอย่างไร ฉันเสียตัวชั่วร้าย — เหมือนอย่างได้ขายตัวให้หล่อนสิ้น— เพื่อให้สมเจตนาได้ตัวหล่อน. คุณไม่รู้หรือ ผู้ซึ่งชมหล่อนแล้ว ไม่ยอมให้ผู้อื่นชิม ไม่ยอมให้ผู้ซึ่งชิมแล้วมีชีวิตอยู่ร่วมโลกกับฉัน—”
ข้าพเจ้าร้องครางระทวยกายไปจับโต๊ะ กายอ่อนใจอ่อนแทบจะล้มด้วยอ่อนแรง ข้าพเจ้าจึงว่า “เจ้าไม่รู้ว่าคำของเจ้าแทงใจให้ปวดเพียงไร”
มันตอบ “คุณไม่รู้ว่าคำของคุณแทงใจให้ฉันปวดเพียงไร เมื่อคุณบอกว่าคุณรักแลหล่อนรักตอบ, คุณแสดงยังอาไลยไม่ลืมรส ห้ะ เมื่อฉันแทงคุณด้วยหึงษา คุณยังไม่รู้ว่าคุณยั่วโมโหผมเพียงไร คุณเปนผัวหล่อนเสียเปล่าทำไมไม่รู้จักหึง—”
ข้าพเจ้าว่า “ข้าก็รู้จักหึง อยากจะผลาญชีวิตแกเสียหลายหนแล้ว—”
มันว่า “เอ้อ, มิน่าหล้ะ ไหน ๆ ฉันก็ฆ่าคุณไม่ได้สมปราถนา มีดซุยก็ตกอยู่ในมือคุณ เปนโอกาศอันดีที่คุณจะแหย่หัวใจผมชัณสูตรดู จะได้เห็นว่าโลหิตจากใจผมอุ่นมากด้วยความรักหล่อนนี่กระไร อยู่ไปตลอดชาติไม่คลายอุ่นด้วยความรัก.”
พูดแล้วเกลอก็แหวกเสื้อเปิดอกให้ แสดงว่าแทงอาวุธให้มิดเถิด หัวใจของเกลอจะสูดเอามีดซึ่งกรีดหัวใจนั้นไว้เองด้วยความพอใจ.
ข้าพเจ้าร้องว่า “หยุดที แกบ้า แกไม่รู้ว่าข้าไม่มีความพยาบาทกับคนอย่างแก— แกทำการไม่รู้ประมาณ ข้าไม่อยากแทงแกเอาผลสิ่งไร จะดีใจที่แกรู้โทษตัวนั้น— ดีใจกว่าเห็นแกตายโดยมือข้า, ข้ายกโทษให้แก แกจงไปให้ลับหน้า, ถ้าขืนอยู่ในกรุงเทพ ฯ ข้าจะให้โปลิศจับแกว่าเปนผู้พยายามทำร้ายร่างกายข้า ให้โปลิศจับแกเพื่อป้องกันชีวิตข้า แต่แกจงไปให้พ้นกรุงเทพ ฯ ไปดี อยู่ดี กินดี อย่าทำบาป ข้ายกโทษให้แก !”
เจ้าภูตของมารน้ำตาไหลร้องไห้คิดถึงตัว มันพึ่งได้บทเรียนว่าเกิดมาเปนผัวก็มีหึงษาทุกคน แต่ไม่ต้องพยาบาทฆ่าฟันกันทุกคน. มันร้องไห้ มันถูกคำอ่อน มันถูกคำหวานต้องใจมันหวาน มันร้องไห้สอื้น มันยกมือประสานกันชูขึ้นว่า “โอ้, ยกโทษให้หล่อนด้วย ยกโทษให้หล่อนด้วย เหมือนยกโทษให้ฉัน หล่อนไม่มีผิด คนอย่างหล่อนผิดไม่ได้ หล่อนเปนเทวดา โอ้, จงยกโทษให้หล่อน – หล่อนที่ฉันรัก นึกว่าเมตตา.”
“ยกแล้ว หยุดร้อง นี่แกจะไปหัวเมืองไหน?”
“ไปให้ถึงเชียงใหม่.”
“จะไปทำการสิ่งไร?”
“ไปเปนคนพยาบาลโรคเรื้อน.”
“ไม่รังเกียจหรือ?”
“โอ้, ฉันทำเพื่อบุญ ฉันได้ทำลามก ฉันต้องทรมานทำกุศลแก่เพื่อนมนุษที่มีกายตัวลามก ฉันไปสมัคเปนคนพยาบาลโรคเรื้อนกับฝรั่ง ที่โรงพยาบาลเมืองเชียงใหม่ ฉันทำบุญ เอากุศลเพื่ออุทิศให้หล่อนไม่ให้ลงอเวจี โอ้, เพื่อนเอ๋ย จงยกโทษให้หล่อน จงสวดมนต์กรวดน้ำให้หล่อน อย่าให้หล่อนลงอเวจี โอ้, นรกบนโลกนี้นี่ฉันรู้สึกทรมานกายมา มันแสนสาหัส ฉันหวาดกลัวความทรมานที่ชั้นล่าง ตัวฉันเปนชาย ยากเย็นเปนตายก็ก้มหน้าไปตามกรรม โอ้, แต่ว่าหล่อนนั้นเปนหญิงสำรวย โอ้, เพื่อนเอ๋ย จงช่วยกันทำบุญทำทานปัดเป่าหล่อนนั้นอย่าให้ไปได้เสวยทุกข์.”
คำเหล่านี้ทำให้ข้าพเจ้ากลั้นน้ำตาไม่ได้เลย มันทำบุญทำทานในนามของหล่อน มันนี้รักหล่อน ยอมทนทุกขเวทนาทรมาทรกรรมให้หล่อน ขอให้หล่อนได้เสวยสุข ขอให้หล่อนพ้นกองทุกข์ ตัวมันผู้อาสาถึงจะยากเย็นเปนตายคับแค้นอย่างไร ๆ มันไม่ว่า.
มันนี้แสดงพรหมวิหารอันใหญ่ ขอทนทุกข์ช่วยผู้อื่นซึ่งมันรักให้พ้นภัยได้เสวยสุข มันนี้แสดงธรรมแก่ใจข้าพเจ้า มันนี้แสดงตัวอย่างอันใหญ่ มันแสดงให้เห็นใจรักใจจริง มันย่อมรักผู้อื่นมากกว่าตัวมัน, มันใจอ่อนกลัวผู้ซึ่งมันได้ทำประจานนั้นจะเกิดทุกข์ มันขอสวดมนต์ภาวนาทรมานกายขอให้หล่อนได้เสวยสุข.
ข้าพเจ้าเร่งรู้สึกหวานใจ ใจอ่อนโน้มไปถึงสวรรค์ชั้นฟ้าอันซึ่งเทวดาให้อภัยโทษแล้ว ให้หล่อนอยู่สุขในวิมานโดยปราศจากราคีแล้ว, แลข้าพเจ้าก็ไปขึ้นสวรรค์ด้วย ได้แลเห็นรูปโฉมชมเชยชื่นตา เสวยสุขไปจนกว่าจะได้พ้นวิบากลุสำเร็จผล เข้าสู่พระปรินิพพาน เปนที่ซึ่งพระอรหันตบุคคลไปสู่แล้วไร้ทุกข์ ๆ มิได้แผ้วพาน ทุกข์ไม่เจือระคนด้วยสุขอันบริสุทธิ์เลย.
ข้าพเจ้าตะโกนอนุโมทนา ด้วยไนยตาหลั่งชลไนย— ลงพราก ๆ ว่า “จงไปเถิดโดยดุษดี ข้ายกโทษให้เจ้า ข้ายกโทษให้หล่อนแล้ว !”
ข้าพเจ้าอ่อนกายฟายน้ำตา เซลงนั่งในเก้าอี้ที่ข้างกาย พลางร้้องไห้แข่งขันกับชายอิกคนหนึ่งนั้น เปนชายผู้ได้ร่วมชมกันในหญิงอันเดียว หลงรสติดใจในสวาทด้วยกัน รักกายหล่อนอันเดียวกัน มุ่งสวาทไว้ในฐานเดียวกัน เร่งสงสารหล่อนด้วยกัน — หล่อนซึ่งเรารักเราชมรสชื่นแต่ยิ่งขมขื่นเพราะประดังกัน.
บัดนี้ร่วมใจกัน จะอุทิศบุญกุศลให้หล่อนทุกๆ โอกาศตามแต่จะอุทิศได้ แลข้าพเจ้ากลัวว่าอ้ายชายผู้นี้จะอุทิศให้หล่อนอย่างเต็มแรงที่สุด เต็มใจที่สุด แลเต็มกายทรมานของมันที่สุด.
ข้าพเจ้าลุกขึ้นตามัวด้วยมัวชลไนย ข้าพเจ้าว่า “ลาก่อน เจ้าจงไปดี ข้าไม่มีอาฆาฏจองเวร.”
มันว่า “ลาก่อน, อยู่ดี ขอฝากลูกสาวน้อยฉันด้วย ฉันรักแม่หนูเต็มใจ ขอท่านเลี้ยงดูหล่อนให้สมใจฉันรัก ขออย่าให้ฉันต้องห่วงใย แม่หนูอยู่กับคุณฉันจะวางใจ จงเลี้ยงหล่อนไว้ให้ดี ฉันจะขอบพระเดชพระคุณจงมาก โอ้, จงรักแม่หนูน้อยจงหนัก โอ้, จงรักให้เท่าภรรยา –”
มันใจอ่อน มันสอื้น พูดต่อไปไม่ได้ด้วยสอื้นจุกฅอหอย มันร้องไห้ มันหวานใจในความไม่พยาบาทซึ่งมีรสหวาน.
ข้าพเจ้าก็ลาออกมา.