บท ๑๘ “แม่หนูถูกเฆี่ยน”

ชีพของแม่ปรุงในระหว่างนี้นั้นดูเปนที่เข้าใจได้ว่าหล่อนถูกล่อลวงให้เพลิดเพลินโดยชายอันมักมากด้วยโลภเจตนาในเวลาที่สามีไม่อยู่ หล่อนเผลอไปโดยไร้ผู้ตักเตือน ครั้นรู้ว่าสามีกลับมา ได้คบหาสามัคคีอย่างเดิมแล้ว ก็เสียดายเหตุได้ทำลเมิดล่วงเกินไปแล้วนั้นมากนัก คิดเสียดายการ อยากจะทำความดีความเรียบร้อยไปอย่างเดิมใหม่ เพื่อแก้ตัวให้หายราคี จึงเห็นได้ว่าเมื่อสามีหล่อนกลับมา, เมื่อทำให้หล่อนตระหนกตกใจมาแล้ว แลได้ใกล้ชิดสนิทสนมกันใหม่ หล่อนก็มีความปลื้มใจเปนอันมาก อยากตั้งหน้าปรนิบัติสามีเอาเนื้อเอาใจให้หายกินแหนงต่อไป จึงได้ตั้งใจภักดีเต็มที่.

แต่หากวันต่อจากวันพบสามีนั้น ถูกชายชู้กักตัวนานเกินเหตุไปหล่อนก็เสียใจนักอยู่ ครั้นแจ้งเหตุว่าข้าพเจ้าตัดอาไลยจะไม่ร่วมสามัคคีด้วย ถึงอยู่กินโดยปรกติแต่ก็การภายในย่อมขาดเวนอยู่ร่วมกัน หล่อนก็คิดมีมานะสรัทธะตั้งใจว่าจะอยู่เดียวก็ได้ คล้ายให้เปนที่งดงามอย่างสาว ๆ ใหม่.

หล่อนแต่งตัวเพราพริ้ง งามสง่าจับตาข้าพเจ้าผู้อยู่ใกล้ร่วมเรือนกัน ดูช่างหมดจดสดใสน่ารักน่าชม ทำให้ข้าพเจ้านึกเอนดูแลสงสารหล่อน ในเหตุที่เปนไปแล้ว แลถ้าหล่อนจะแต่งล่อคอยยวนใจทั้งผาดทั้งพิศอยู่เช่นนี้ต่อไป นานเข้าหล่อนจะถึงความงามที่สุด ใครเลยจะหยุดรักพิศวาศในแม่งามขำได้ หล่อนคงจะหาคู่ได้ในไม่ช้า คือจะมีผู้รักใคร่กรุณา หวานกลืนขมกลืนในนามของข้าพเจ้าผู้เปนผัวเก่า แลยังเปนผัวเรื่อยมาแต่ในนามในบัดนี้.

แม่ปรุงแต่งล่อข้าพเจ้าช่างดูงามดีเช่นนี้สองสามวัน แลการอยู่เดียวเปนชีพสาวของหล่อนนั้นทำให้ดูงดงามแก่ตาน่ารักน่าสงสาร น่ากรุณาปราณีเปนอันมาก น่าชวนใจให้เข้าไปนั่งเกี้ยวพักใหญ่ ๆ เสียเต็มที แต่หล่อนนั้นเมื่อเห็นข้าพเจ้าไม่ใยดี หล่อนก็คิดแค้นใจน้อยใจ หาทันจะระงับให้สิ้นกลิ่นคาวก่อนไม่, หล่อนด่วนแค้นใจเปนหนักหนา นึกว่าถ้าสามีไม่ไยดีแล้วก็แล้วไป.

หล่อนจึงเริ่มทำการประชดใหญ่, ด้วยหญิงอันใจอ่อนยอมคิดน้อยใจได้ง่าย แลด่วนแค้นใจก่อนไต่สวน หล่อนก็ทำการประชด แต่งงามประชดให้ดู เตร่ไปให้เห็น ถึงกับเล่นชู้ประชดให้ !

ข้าพเจ้าตกใจเสียดายงาม หล่อนน้อยใจข้าพเจ้าลอบไปสู่ชู้ชายให้ชวนชม หล่อนโทษข้าพเจ้าไม่ปรนิบัติตามน่าที่ หล่อนสมัคให้ชู้เปนผู้ได้ปกครอง.

โอ, อกข้าพเจ้าจะหักด้วยรักแลเอนดู หล่อนน้อยใจหน่อย ถึงกับพล่ากายให้อดสูใหญ่จริงเจียวหรือ? ทำไมไม่ออมใจ, ทำไมไม่สงวนงาม ข้าพเจ้าต้องมาแหกตาดูเขาเล่นชู้ตำตากระนั้นหรือ. ?

แต่สัญญาต้องเปนสัญญา ข้าพเจ้าได้ตกลงแก่ภรรยาแล้วว่าเราต้องไม่ร่วมรสกันอิก ข้าพเจ้าต้องไม่ลงโทษหล่อน ถ้าไปสู่ชายอื่น ข้าพเจ้าจะถอนคำสัญญาไม่ได้ เว้นแต่เมื่อทนดูลามกหนักเข้าไม่ได้ ก็เหลือแต่จะไล่เสียเท่านั้น.

ข้าพเจ้าน้อยใจอยู่เหมือนกัน ที่หล่อนไม่ยับยั้งชั่งใจ ไม่ถนอมกายเพื่อหายคาว แล้วเราจะนิยมชมชื่นกันสักเท่าไรไม่ติดขัด, แต่นี่หล่อนไม่คอยให้หายราคีเช่นนั้น หล่อนด่วนน้อยใจว่าข้าพเจ้าเห็นหล่อนเสียหายบุบฉลายตรงไหนจึงไม่คบเหมือนอย่างเคย.

ข้าพเจ้าเสียใจจริง เห็นแม่โฉมงามตำตาระจมูกไป มิได้ชมชิมหล่อน ปล่อยให้หล่อนผ่านไปสู่ใครผู้อื่น เหมือนเห็นขนมหวานอันตัวไม่ใยดีจะหยิบยก, ปล่อยให้สุนัขสาธารณ์ขม้ำกินตามความพอใจ, ข้าพเจ้ายิ่งวิตก ถ้าแม่ปรุงขัดใจข้าพเจ้า จะไปออกตัวประชดความเสนหาลงให้แก่ชู้ เกิดเปนความร้ายทำโดยเปิดเผยไม่ปกปิดเช่นนั้นแล้วจะพากันอัปรยศอดสูใหญ่.

ข้าพเจ้าทนการนี้ไม่ไหว ก็บอกให้นายขบวนทราบ แลตกลงกันว่าจะต้องไปมองดูเขาอยู่ร่วมชมกัน แลลอบเข้าไปให้ทันจนจับได้คามือ เมื่อกำลังแม่สาวแสนกำลังแนบสนิทอยู่กับชู้ จะได้ชี้หน้าว่ากล่าวให้ได้อาย แล้วแม่สาวผู้น้อยใจคงกระดาก ไม่อยากพล่ากายให้ชู้เพื่อประชดผัวอิก จะได้สงวนงามถนอมกายของหล่อน จะเปนข้อระงับเหตุเอิกเกริกอันน่าอัปรยศเสียได้.

เราจึงคอยทีอยู่ ค่ำวันหนึ่งแม่ปรุงหายไปแต่หัวค่ำ เปนทีของเราที่จะไปด้อมจับตัวเขากำลังคาหลังคาเขา เพื่อประจานให้เขาได้อายอดสูกลับใจไม่ผูกพันธ์กันอิกได้.

ข้าพเจ้าเร่งไปยังบ้านนายขบวน ๆ ให้เด็กบอกคนให้ผูกรถ เราขี่รถม้ามายังบ้านคุณภักตร์ ซึ่งอยู่ตอน “ล่าง”

ข้าพเจ้ากล่าวว่าเขาคงอยู่ชมกันในตึกใหญ่.

นายขบวนว่าถ้าไม่อยู่ในตึกใหญ่ เราต้องไปตามที่อื่น.

ข้าพเจ้าว่าที่โรงเตี๊ยมเก่านั้นคงไม่เจอตัวเขาอิก.

นายขบวนว่าคนภูตนั้นหน้าด้านอยู่ บางทีอาจจะจู่พักสักครู่สักยามก็ได้ แลบอกกับนายโรงอาหารไว้ให้รู้เห็นเปนใจกัน เพื่อห้ามเราไม่ให้ขึ้นไป หรือให้สัญญาให้เขาทั้งสองหลีกหนีไปเสียก่อน.

แม่ปรุงหายไปแต่หัวค่ำ บัดนี้ก็ได้เวลายามหนึ่งแล้ว ถ้าเขาทั้งสองพักอยู่ในตึก ข้าพเจ้าก็รู้ได้ว่าจะจู่เข้าห้องไหน แลบอกนายขบวนว่าเราต้องเข้าทางหลังสวนดีกว่า เพื่อการลี้ลับสนิทสนมดี เพราะทางสวนหลังบ้านนั้น ข้าพเจ้าเคยได้ถูกนำเข้ามาทีหนึ่งแล้ว.

นายขบวนก็เห็นด้วย.

เราจึงให้รถม้าอ้อมไปยังถนน ซึ่งเปนถนนเปลี่ยวหลังบ้าน เราลงจากรถบอกให้รถแอบจอดคอยอยู่ใต้ต้นไม้ เราก็เข้ามาตามทางโดยผลักประตูนอกเข้ามาก่อน แล้วเดินตามทางเปลี่ยวเปนบริเวณสวนหลังบ้านนี้ เดินทางที่ปูอิฐก่อน แล้วก็มาถึงที่ใกล้ตึกน้อยก็ถึงทางที่โบกปูนสิเมนต์.

นายขบวนมีคบไฟฟ้าซึ่งเรียกว่า “กดกระดุมไฟแดง” นั้นมาด้วย แลเมื่อเขาลงรถข้าพเจ้าได้ยินเสียงในกระเป๋าเขากระทบอะไรดังกริก ข้าพเจ้าก็รู้ได้ว่าเขาพกอาวุธสำคัญมาด้วย แต่ข้าพเจ้านั้นมีไม้ตะพดอันเดียว.

แปลนยุทธวิธีของเรา คือจะลอบเข้าไปให้ถึงห้องนอนอันมีเตียงมุก โดยซุ่มตัวกำบังเข้าไปกรรโชกเขาทันที ให้สมในเวลาที่เขาจะร่วมชมกันนั้น เราก็จู่เข้าไป สอึกให้ถึงกาย ดูท่าเขาจะจนใจพิลึก เราจะประจานเขาให้ได้อายเต็มที่ ให้สมระหว่างที่เขาทำอนาจารเต็มที่เพื่อจะให้เขาได้อายเหนียมเต็มที่จงได้.

ที่ตึกใหญ่นั้นเงียบ โคมไฟฟ้าน่าตึกใหญ่สว่างอยู่ตามเคย ในตึกใหญ่จะมีไฟสว่างหรือไม่เราไม่เห็น เพราะเราอยู่ด้านหลัง ไม่ใช่ด้านน่า ที่ด้านหลังมิได้เห็นแสงไฟลอดน่าต่างออกมา แต่นายขบวนชี้ว่ามีห้องชั้นล่างสว่างอยู่ห้องหนึ่ง ที่ตึกน้อยอันเปนตึกเย็นที่นั่งเล่นของแม่ประไพซึ่งเรากำลังมายืนอยู่ใกล้ ๆ นั้นมีแสงไฟที่น่าตึก แต่ภายในนั้นไม่ได้เปิดไฟฟ้าจึงมืดอยู่. เราเห็นได้ว่าไม่มีใครอยู่ เพราะน่าต่างกระท่อมตึกนี้เปิดอยู่ทุกบาน.

นายขบวนถามว่า เตรียมตัวพร้อมหรือย้ง ? ข้าพเจ้าว่าพร้อมแล้ว.

นายขบวนจึงว่า ถ้าดังนั้นเร่งนำลู่ทางเถิด จะรอช้าอยู่ทำไมเล่า.

เราจึงเดินมาด้วยกันแลมาในการนี้ต้องการ ๆ ย่องเบา ๆ มาก เราจึงใส่รองเท้าอันมีฝาเท้าทำด้วยยางอินเดียรับเบอร์ สมควรมากสำหรับย่องขึ้นชั้นบนจู่เข้าห้องมองดูตามรูกุญแจได้สดวกมาก.

พอนายขบวนหูไวกระซิบว่านั่นมีเสียงคนอยู่ที่ห้องชั้นล่างที่สว่าง ข้าพเจ้าก็พยักหน้าว่าได้ยินด้วยแล้ว.

นายขบวนถามว่า จะทำอย่างไร ?

ข้าพเจ้าจึงว่าข้าพเจ้ารู้ที่ทางอยู่มาก จะย่องไปดูว่าห้องสว่างนั้นมีใครอยู่บ้าง ถ้าแลพบชู้เกี้ยวสาวอยู่ที่นั่นได้ก็จะเข้า “โชว์” การประจานได้สดวกดีมาก.

นายขบวนย่องตามข้าพเจ้ามา พอได้ยินเสียงตวาดดังขึ้นสองครั้ง ข้าพเจ้าหยุดกระซิบว่าเจ้าภูตนั้นมันตวาดภรรยาข้าพเจ้าด้วยเรื่องอะไร เราคิดกันอยู่ไม่ได้ความถนัด เพราะภรรยาข้าพเจ้าเชื่องกับเกลอภูตนั้นอยู่แล้ว ไม่ต้องตวาดขู่เขญเพื่อให้ขึ้นห้องเตียงมุกที่ชั้นบนก็ได้ สงไสยอยู่กระนี้ ก็พอได้ยินเสียงว้ายหวีดหวาด ทำให้ข้าพเจ้าสาบาลว่าอ้ายนั่นมันจะหักฅอยอกำด้นภรรยาข้าพเจ้ากระมัง.

พอเราขยับจะวิ่งจู่เข้าไปดูให้ถึง ก็พอได้ยินเสียงเฆี่ยนขวับ มีเสียงผู้หญิงร้องไห้ ในทันใดก็วิ่งหนีมา มีชายใจภูตผีหวดไม้เรียวขวับ ๆ ไล่ติดตามมาด้วย.

นายขบวนผลักข้าพเจ้าเข้าที่กำบังกาย หญิงนั้นก็วิ่งหนีผ่านเราไป ชายนั้นก็ถือไม้— ซึ่งต่อมาเห็นเปนหางกระเบนเส้นเรียวเล็กไล่หวดตามมา หญิงนั้นวิ่งร้องไห้ด้วยความกลัวเข้ากระท่อมตึกซึ่งมืดอยู่ ชายนั้นวิ่งถึงประตูกระท่อมตึกก็ชงักแลขู่เรียกให้เร่งออกมา เมื่อหญิงไม่ออกมาชายนั้นก็ถลันเข้าไป เปิดไฟฟ้าสว่างหวดหางกระเบนเฆี่ยนหล่อนร้องเสียงอึง.

ข้าพเจ้าร้องว่า “นั่นคือแม่ประไพ, หล่อนถูกเฆี่ยนเรื่องอะไร เร่งไปช่วยเร็ว.”

ข้าพเจ้าวิ่งตบึงมาจนถึงที่, นายขบวนก็วิ่งติด ๆ ตามมา ข้าพเจ้าถลันเข้าไปในกระท่อมน้อย เห็นเกลอภักตร์หวดด้วยหางกระเบนลงก้นอันงามงอนของแม่รุ่นดรุณี พอเงื้อจะหวดอิกทีข้าพเจ้าร้องตวาดว่า “ช้าก่อน !”

เกลอเหลียวมาเห็นข้าพเจ้าด้วยความปลาดใจ ตกตลึงไป แลก็ยิ่งปลาดใจที่เห็นสหายข้าพเจ้าตามเข้ามาด้วย.

พอเกลอได้สติ เกลอแสร้งหัวเราะดัง แลถามว่า “นี่จู่มาเมื่อไร ฉันไม่ทันรับรองท่าน.”

ข้าพเจ้าพูดเสียงแขงว่า “จงหยุดรบกวนแม่ประไพ หาไม่แกกับฉันจะได้เห็นดีกัน.”

“นี่ลูกของฉัน มันดื้อ” เกลอว่า.

“ไม่มีบิดาใดจะตีบุตรสาวสำอางถึงอย่างนี้.”

“ห้ะ ๆ นี่ไม่ใช่การของคุณเลย, มานี่จะมาดื่มสุราหรือมาคุยกันฉันจะปฏิบัติตาม.”

“ฉันไม่ชอบดื่มสุรากับท่านเลย ฉันรังเกียจท่านตลอดชาติ.”

คราวนี้เปนคราวซึ่งเกลอได้พบข้าพเจ้าหน้าต่อหน้าเปนครั้งแรก เกลอทำไถลพูดว่า “กลับมาเมื่อไรทำไมไม่บอก.”

ข้าพเจ้ากล่าวว่า “ข้าพเจ้าเดินมาทางนี้ได้ยินเสียงเฆี่ยนตีกัน เปนน่าที่ของเราจะต้องมาป้องกันสาวน้อยไม่ให้ถูกประทุษร้ายจึงแวะมาดู ถ้าเกลอขืนไม่หยุดรบกวนแม่ประไพจะต้องขัดใจกัน.”

สหายข้าพเจ้าจึงว่า “ถ้ามิฉนั้นจะต้องเรียกพลตระเวรมาจับไปไต่สวน แล้วก็จะเกิดลำบากใหญ่ที่จะต้องถูกหาคดีรายอื่น ๆ ด้วย.”

เกลอหัวร่อว่า ถ้าข้าพเจ้าทำให้แม่ประไพหายดื้อได้นั่นแหละจึงไม่ควรเฆี่ยนตี, เพราะเด็ก ๆ เท่านี้ขัดใจผู้ใหญ่จะว่าไม่ดื้ออย่างไร ในคราวนี้เกลอขี้เกียจไปดมอากาศในโรงพัก เกลอจึงยอมงดมือให้เพื่อเปนเกียรติยศแก่ข้าพเจ้าอันพึ่งกลับมาจากราชการหัวเมือง. พูดแล้วเกลอยื่นมือมาจะจับเขย่ากับข้าพเจ้า ๆ ไม่ยื่นมือให้ เกลอได้แต่จับเขย่ากับนายขบวนแทนตัวข้าพเจ้าเท่านั้นแล้วก็หัวร่อกลับไป แลชวนให้มาดื่มสุรา.

เมื่อเขากลับไปแล้ว ข้าพเจ้ามาดูแม่ประไพ เห็นหล่อนนั่งร้องไห้สอึกสอื้นไห้ หล่อนสอื้นฮัก ๆ ด้วยน้อยใจ น้ำตาไหลพราก ๆ แสดงว่าโศกทวี นี่เปนคราวแรกที่ข้าพเจ้าได้เห็นหล่อนนับตั้งแต่ข้าพเจ้ากลับมาจากหัวเมือง ข้าพเจ้าแสนสงสารหล่อนซูบผอมหน้าเศร้า ที่แขนแลที่แข้งนั้นถูกหวดลายเปนรอย ที่ก้นแลน่าขานั้นต้องลายมากแน่ไม่ต้องบอก ข้าพเจ้าเวทนาด้วยความเอนดูหล่อนนี้มากนัก ถึงนายขบวนก็ใจตื้นด้วยความสงสารที่ได้เห็นเด็กหญิงอันน่ารักเช่นนี้จะถูกตีถึงกระนั้น.

ข้าพเจ้าฉุดหล่อนขึ้นนั่งเก้าอี้ยาวตัวซึ่งหล่อนชอบนั่งนั้นมานั่งด้วยกัน แลถามว่าถูกเฆี่ยนตีเพราะเหตุไร.?

หล่อนสอื้นตอบว่า “จะให้— ฉัน—เปนเมีย— ตาแก่ ฉัน— ไม่เอา ก็— เฆี่ยนฉัน” บอกความแล้วก็ซบหน้าที่ตักข้าพเจ้าร้องไห้.

ข้าพเจ้าใจตื้นกลืนโศกี หล่อนบอกเท่านี้ทำให้รู้ความได้ดีตลอด หล่อนถูกบังคับจะให้ทำสิ่งอันยิ่งกว่าน่าชังซึ่งหล่อนทำไม่ได้ เพราะฉนั้น จึงถูกเฆี่ยน ซึ่งหล่อนทนไม่ไหวทั้งหล่อนไม่ใช่มีเนื้ออย่างคนทรหดอดทน หล่อนเคยอยู่แต่ในวังเปนสุขสบาย.

น้ำตาเปียกอันอุ่น แลเนื้ออันอ่อนนุ่มมาถูกกายข้าพเจ้า ยิ่งทำให้น่าสงสารจับใจ เห็นสอื้นหอบครวญเหมือนราวกะจะทำให้อกใจข้าพเจ้าแตก ข้าพเจ้ากลั้นน้ำตาไม่ได้ก็พลอยฟูมฟายน้ำตา ไม่รู้ว่าน้ำตามันชั่งไหลมาจากไหนเปนกองสองกอง.

ข้าพเจ้าคิดถึงตัวว่าเราเปนผู้ใหญ่ เมื่อได้ทุกข์ทนยังโศกตรมถึงเพียงนั้น ข้าพเจ้าเคยสำนึกสงสารภรรยา เคยโศกาอาไลย แต่แม่ประไพนี้เปนผู้บริสุทธิ์อยู่ดี ๆ อยู่เรียบร้อยโดยปรกติ หล่อนไม่มีโทษในตัวซึ่งเราจะโทษหล่อนสิ่งใดได้สักอย่าง มาทุกข์ตรมโดยไม่ใช่โทษของหล่อนเลย, เมื่อมาต้องร้องไห้ครวญครางเช่นนี้ จะไม่ให้ข้าพเจ้าแสนที่จะสงสารหล่อนอย่างไรได้.

น้ำตาข้าพเจ้าไหลพราก ๆ สัมผัศเนื้อหล่อน คล้ายให้สำนึกว่าสัมผัศเนื้อแม่ที่รัก ข้าพเจ้าก็โอบอุ้มหล่อนกอดรัดไว้แทนปลอบ ก็เลยจูบให้เปนกองโดยหลงเลมอ พิษรักพิษสงสารยิ่งทำให้กลัดกลุ้มนี่กระไร ข้าพเจ้าให้คิดเสนหาอาไลยในเด็กน่าเอนดูนี้เปนอันมาก.

นายขบวนนั้นคงแลดูด้วยความสงสารใจตื้น ครั้นเห็นเด็กหญิงถูกเคล้าคลีเช่นนั้นเข้า, เธอถูกสกิดใจก็ไถลดูรูปแม่ปรุงที่ข้างฝา กำลังมองดูหล่อนยิ้มยวนชวนพยักหน้าอยู่เพลิดเพลิน.

ข้าพเจ้าสอบถามแม่ประไพในเรื่องความนี้อิกที. หล่อนบอกเหตุตามซึ่งป๋าจะยกหล่อนให้เปนเมียคุณพระ หล่อนนั้นขัดใจไม่ยิงยอมพร้อมใจหลายหนแล้ว ค่ำวันนี้ป๋ามาพูดอ้อนวอนอิกแล้วเลยไล่เฆี่ยนตีเอา.

ข้าพเจ้าปลอบฟอดๆ ให้อิกพักแล้ว ถามนายขบวนว่าจะจัดแจงอย่างไรดีในแม่ประไพนี้.

นายขบวนว่าต้องปล่อยไว้ให้บิดาเขาก่อน นี่ไม่ใช่ลูกของเรา ค่ำวันนี้คงจะรู้สำนึกอายใจ, คงไม่ทุบตีอิกหรอก.

ข้าพเจ้าถามหล่อนว่าวันนี้แม่ปรุงมานี่หรือเปล่า? แม่ประไพบอกว่ามา แต่ว่าพึ่งไปเมื่อตะกี้นี้ พอหล่อนไป ป๋าจึงได้ดุดันเฆี่ยนตีหล่อนโดยไม่ยิงยอมในการที่ได้สนทนาด้วย.

ข้าพเจ้าก็รู้ได้ว่าแม่ปรุงได้ออกไปทางโน้น, คลาศกับเราซึ่งได้เข้ามาทางนี้ ครั้นจะถามต่อไปว่าเขาชวนกันขึ้นห้องบนหรือเปล่า ? ก็คิดได้ว่าแม่ปรุงมาแต่หัวค่ำจนถึงยามกว่าพึ่งกลับไป มีโอกาศที่จะนั่งนอนกันในกี่ห้อง ๆ ก็ได้โดยไม่ต้องสงไสย.

ข้าพเจ้าจะลาแม่หนูมา ให้คิดห่วงใยอาไลยนัก. หล่อนนั้นอารามกลัวราวกะจะเกาะตัวข้าพเจ้าไว้ ไม่ปล่อยให้กลับมา เพื่อให้อยู่ด้วยช่วยเปนเพื่อน แต่เราปลอบว่าป๋าคงจะไม่ทำอันใดอิกแน่แล้ว แล้วก็สั่งลาหล่อนเดินสท้อนใจออกมา ลมราตรีนอกกระท่อมตึกกระทบกายหนาวเย็นซ่า ยิ่งเตือนใจให้เกิดคิดเอนดูนัก หล่อนไม่มีเพื่อนเลยในบ้านนี้ มีแต่บิดาก็ใจร้ายยิ่งหนัก ทำให้ข้าพเจ้าพิพักพิพ่วน พอได้ยินเสียงร้องไห้ออกมาจากที่นั้น ข้าพเจ้ายิ่งคิดอาไลยลาน ย่างเท้าก้าวกลับมาจะปลอบหล่อนเพื่อกอดไว้ไม่คลาย.

พอนายขบวนเหนี่ยวบ่าไว้กระซิบว่า ยอมให้แม่หนูอยู่คนเดียวก่อนเถิด คราวน่าจึงคิดอุบายถ่ายเทใหม่.

ข้าพเจ้าก็แขงใจเดินออกมาทางหลังสวน แต่นายขบวนนั้นกระซิบบอกว่าจงเดินระวังตัว แล้วก็ถือปืนพกนั้นกุมไว้ ฉายแสงไฟซึ่งเปน “อังแพลมไฟฟ้า” นั้นนานๆ กวาดดูซ้ายขวาในที่ตะคุ่ม ๆ ซุ้มเซิงที่สงไสย ข้าพเจ้าก็กุมไม้ตะพดเดินตามมา.

ครั้นขึ้นรถได้ รถก็ขับมา ข้าพเจ้าเหลียวหลังไปดูเห็นความมืดแห่งราตรีทำให้เล็งดูสวนนั้นเปนที่วังเวงใจ ข้าพเจ้าคิดห่วงอาไลยในแม่หนูยิ่งนัก ดวงจิตที่ตรอมอยู่แล้วนั้นทำให้ทวีสลดใจ.

พอนายขบวนกระซิบว่า “นี่เปนการจวนตัว จนถึงต้องตีลูกสาวบังคับบัญชา.”

ข้าพเจ้าก็เข้าใจได้ว่าคุณภักตร์ซึ่งถูกฟ้องให้ล้มละลายนั้นจะแก้ตัวให้รอดไม่ได้ทันทีเสียแล้ว เปนการจวนตัวจะบังคับให้ลูกสาวลงใจในท่านชราไม่ได้ จึงต้องถึงใช้อำนาจเฆี่ยนตี.

ข้าพเจ้าถอนใจใหญ่ บ่นว่า “เห็นลายรอยเฆี่ยนไหม? ที่แขนที่ขาแม่ประไพ.”

ท่านสหายตอบว่า “เห็นเท่านั้นหรือยังทำให้อ่อนใจ แนวที่ก้นยังอิกแยะ แต่มันเปนการยังไม่สมควรที่จะชัณสูตรดูไว้ให้ทั่วกายหล่อน เพื่อจะจดจำเอาคำไปแจ้งความเปนพยานได้.”

ข้าพเจ้าว่า “ภูตตนนั้นใจมันร้าย เสียดายไม่ได้ไปประจานมัน, เราเข้าทางหลังบ้าน, แม่ปรุงได้ออกกลับบ้านทางน่าบ้านเสียแล้วจึงคลาศแคล้วกัน.”

“ทำไมไม่ไปดูหน้าภรรยาที่บ้านให้สมใจ” นายขบวนกล่าว.

“ดูหล่อนเมื่อพรากจากกายชู้แล้วจะสนุกอะไร” ข้าพเจ้าตอบ.

ทำให้นายขบวนหัวเราะหึ ๆ.

เมื่อข้าพเจ้ามาถึงบ้าน ให้คิดวิตกถึงแม่ประไพเปนอันมาก หากป๋าหล่อนใจดุร้ายถึงกับเฆี่ยนตีหล่อนได้แล้ว จะไม่ดุร้ายถึงจะบังคับบัญชาให้แม่หนูทำถึงซึ่งไม่พอใจได้อย่างไร เด็กหญิงอันไม่เคยทุกข์ยากตรากตรำ ถ้าถูกคับอกคับใจถึงเช่นนี้น่าที่จะทุกข์ตรมยิ่งนัก.

เมื่อข้าพเจ้าเข้านอน ใจร้อนเปนห่วงเปนใยหล่อนเปนอันมาก ข้าพเจ้าก็อยู่เดียว รู้สึกหนาวใจอยู่แล้ว, แลรู้สึกการลามกว่ามันเปนสัมผัศอันชั่วเลวขมขื่นนี่กระไร, แม่ประไพต้องรู้สึกหนาวใจโดยไม่มีสหายจะช่วยตัว, แลย่อมรู้สึกการชั่วร้ายอย่างจะได้ผัวตาแก่นี้เปนสิ่งอันไม่พอใจหล่อนที่สุดที่จะเปนไปได้.

คราวนี้เปนคราวแรกที่ได้แนบเนื้อหล่อนโดยเจตนา แลได้ปลอบหล่อนโดยเต็มใจ ข้าพเจ้าจึงรู้สำนึกสัมผัศแนบเนื้อหล่อนยังติดกายไม่หายเพียงไร ก็รู้สึกสงสารหล่อนเหมือนได้เห็นมาร้องไห้รำพรรณอยู่ตราบนั้น จนจะทำให้ข้าพเจ้าเองกลั้นน้ำตามิได้ ทั้งรู้สึกว่าหล่อนจะถูกบังคับให้ชีพหล่อนเปนไปโดยไม่พอใจ โดยให้เปนไปโดยทนทุกข์ตลอดชาติ ก็ยิ่งใจหายนึกเอนดูหล่อนนัก ข้าพเจ้าเปนชายถ้าเหงาใจได้ถึงเพียงนี้ หัวอกสาวน้อยนั้นจะหนาวใจได้ถึงเพียงไหน.

ทั้งได้ยินข่าวตระหนักขึ้นด้วย ว่าคุณภักตร์จะต้องล้มละลาย เปนก็น่าอนาถใจที่ได้คิดถึงแม่ประไพ ถ้าไม่ถูกบังคับบัญชาผลักไสให้ไปพึ่งบุญใครก็จะอยู่ระเหระหน ไม่มีบ้านช่องอยู่เปนที่สุขสบาย ทั้งจะมีแต่ขายหน้า.

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ