- คำนำ
- ภาค ๑
- บท ๑ รสหวานของความไม่พยาบาท
- บท ๒ ดูตัวเจ้าสาว
- บท ๓ วิวาห์การ
- บท ๔ ชีพอย่างชมจันทร์
- บท ๕ สองสามสุข
- บท ๖ แม่ปรุงเปนมารดา
- บท ๗ ความไม่พยาบาทเริ่มต้น
- บท ๘ พระกับมาร
- บท ๙ เมฆสว่างของชีพ
- บท ๑๐ ความทุกข์ของสาวพรหมจารี
- บท ๑๑ เมฆมืดของชีพ
- บท ๑๒ ตุ๊กกะตาฅอหัก
- บท ๑๓ นิราศบ้าน
- บท ๑๔ ภรรยา “ป่วย”-- สามีป่วย
- บท ๑๕ ข่าวลามก
- บท ๑๖ ข้าพเจ้าเจอภรรยา
- ภาค ๒
- หมายเหตุ การแต่งเรื่องนี้
บท ๒ ดูตัวเจ้าสาว
มันเปนการเหลือประมาณแก่ผู้ซึ่งเคยนึกว่าข้าพเจ้าตั้งใจผูกเจ็บแค้นแก่ผู้ซึ่งไม่เคยได้รับคำหวาน ไม่เคยได้รับทานมากสตางค์ มาได้ยินคำหวานแสดงกรุณาอารีเช่นนี้ มันเปนการเกินประมาณที่หล่อนจะหน่วงใจได้ แม่ปรุงจึงร้องหวีดสลบลงไป.
ข้าพเจ้าก็แลดูไม่อาจจะเต็มตาได้ พอแม่น้องรักร้องมาถามว่าเปนอะไรกัน.
หล่อนเห็นข้าพเจ้ากอดประคองผู้ที่ซุดโซมแล้ว ผู้ที่หักร้างแล้วนั้น จูบกอดร้องไห้อาลัยอยู่ แม่น้องก็ชงักถามว่า อะไรกันคุณคะ. ?
ข้าพเจ้าแลเห็นแม่น้องมีไนยตาบวม ๆ ก็ร่ำบอกหล่อนว่า “หญิงนี้มาขอษมา ได้รับคำษมาโทษเกิดปีติก็ล้มลงสลบไป จงไปเรียกหญิงสาวใช้ยกภิมเสนยาดมมาแก้ไขกันเถิด.”
แม่น้องก็ออกจากห้องไป.
ข้าพเจ้าได้สำผัศกายหญิงซึ่งข้าพเจ้าเคยรัก แต่ก่อนซึ่งเคยนิ่มเนื้อ บัดนี้เหลือแต่ก้าง แต่ก่อนเคยแช่มชื่น บัดนี้หน้ามีแต่คล้ำมัวทุกข์ตรอม ข้าพเจ้ากอดประทับไว้ใจหายวาบวับ บ่นดัง ๆ ว่า แม่ปรุงเอ๋ย ไม่ควรเลยเปนได้ถึงเพียงนี้ พลางก็ร้องไห้ซิกซี้อยู่.
พอได้ยินเสียงคนเดินตรงจะมายังห้อง ข้าพเจ้าจ้องดูแม่ปรุงเห็นกระดูกขึ้นมาทุกส่วนกาย ปากแห้ง กระบอกตาเขียว ป่วยไข้ออดแอดไม่รู้จักหาย เจ้าหล่อนทุกข์ตรอมผอมไผ่หายใจไม่ทั่วท้อง หล่อนทำตัวหล่อนให้เสียชื่อเสียเกียรติยศ คล้ายว่าทำตัวให้ตาย หาคนได้โดยยากจะหาน้ำอมฤตย์มารดให้หล่อนสดชื่นใหม่ได้ดังเก่า ข้าพเจ้าถอนสอื้นอยู่ เลยซบหน้าบนอกหล่อน.
พอได้ยินเสียงคนกระชั้นขึ้นมา ข้าพเจ้าเพ่งพินิศดูหน้าแม่ปรุงอิกที เลยจูบปากให้หล่อนเปนครั้งหลังอันห่างจูบกันมานาน.
พอสาวใช้หลายคนเข้ามาในห้อง ข้าพเจ้าบอกให้ปรนิบัติแก้ไขแม่คนสลบให้ฟื้น ข้าพเจ้าเองจะหยุดอยู่ดูไปไม่ได้ ก็ไถลขึ้นมานอนเขลงเศร้าสลดอยู่ในที่นอน รู้สึกริมฝีปากของหล่อน ซึ่งข้าพเจ้าได้จูบเมื่อกี้นี้เย็นปากเฉียบ ไม่ลืมความรู้สึกเปนปากซึ่งไม่ได้จูบกันมานาน.
ข้าพเจ้าซบหน้าสอื้นอยู่คนเดียว.
พอสักครู่น้องรักเข้ามานั่งประคองกอด บอกว่า “แม่ปรุงฟื้นแล้ว คุณพี่จะให้ทำอย่างไร. ?”
ข้าพเจ้าตอบว่า “ถ้าหล่อนป่วยหนักก็ให้พักอยู่ทีนี่เสียก่อน.”
น้องรักตอบว่า “แม่ปรุงไม่ยอมอยู่จะรีบกลับวัด.”
ข้าพเจ้าจึงสั่งว่าให้บ่าวนำไปขึ้นรถลาก แลให้น้องมอบใบแบงก์สิบบาทให้แม่ปรุงด้วย.
น้องรักก็กลับไปจัดการตามสั่ง แล้วเข้ามาหาข้าพเจ้า ถามว่า “ทำไมร้องไห้ไม่วายน้ำตา.?”
ข้าพเจ้าว่า ใจอ่อนเผลอกายไปจึงฟายน้ำตา แล้วแสร้งยิ้มกอดแม่น้องรักสรเสิญหล่อนว่า “ถ้าตัวพี่ไม่ได้น้องนี้มากอดประคอง น่าที่จะตรอมตายเสียด้วยความสมเพชใจ.”
แม่น้องรักชวนชื่นชอบปลอบใจ ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกนึกกรุณามากกว่าเก่า พอได้ยินเสียงกระดิ่ง ข้าพเจ้าถามหล่อนว่ากระดิ่งอะไร ?
แม่น้องรักตอบว่า “ฉันให้บ่าวจัดน้ำชากาแฟไว้ข้างล่าง คุณพี่จงมากินน้ำชาด้วยกันเถิด อย่าคุ้ยความเก่าเอามาโศกเล่นนักเลย.
ข้าพเจ้าก็ลงมานั่ง ดื่มน้ำชากาแฟกับแม่น้องรัก พลางรำพึงถึงคำซึ่งข้าพเจ้าได้จด กล่าวว่า “ความไม่พยาบาทเปนหวาน” นั้นช่างจริงนี่กระไร ถ้าข้าพเจ้ายังคงพยาบาทแม่ปรุงอยู่ ไหนเลยแม่ปรุงจะหวานใจจนสลบไปได้เล่า.
แต่ข้าพเจ้าจำจะต้องเล่าให้ท่านทราบว่า ข้าพเจ้าเปนใคร เรื่องราวมันเปนอย่างไรมาก่อนนี้ ท่านฟังยิ่งจะจับใจ จึงจะรู้รสความไม่พยาบาทอันเปนจารีตของเทวาได้ ดีกว่ารสความพยาบาทอันเปนรสของสัตว์ถุล.
ข้าพเจ้าชื่อนายเจียร ได้อยู่กับบิดามารดาที่ถนนสระปทุม ถนนนั้นยืดยาวไปจากสพานแม้นศรี ถึงสนามม้าสระปทุม แต่ข้าพเจ้าอยู่ย่านเกินสพานยศเสไป จะบอกบ้านโดยตรงก็ได้ แต่มันเปนการน่ารังเกียจแก่ผู้ซึ่งกำลังมาอยู่ใหม่ในบ้านนั้น ด้วยเรื่องราวจะแสดงนั้นท่าแสลงด้วยราคี.
ข้าพเจ้าได้ไปศึกษาวิชาณประเทศอังกฤษ โดยรัฐบาลสยามส่งให้ไป แต่ไปเร็วกลับเร็ว โดยไม่ใคร่รู้วิชาอะไรมาจึงรับราชการอยู่ในกระทรวง กระทรวงหนึ่งเบื่อข้าพเจ้าเมื่อใด ข้าพเจ้าก็ต้องไปกระทรวงอื่น เช่นนี้สองสามหน เพราะข้าพเจ้าไม่มีโอกาศได้ร่ำเรียนวิชาให้ลึกซึ้ง เพราะไม่มีเวลาเรียนพอ โดยจะขาดเงินหลวง หรือโดยเงินจำนวนของข้าพเจ้าควรจะได้แก่คนอื่นไปฝึกหัดเรียนวิทยาศิลปศาตสร์แทนข้าพเจ้าก็ไม่ทราบ ข้าพเจ้ามีเวลาเรียนน้อย กลับมาไม่รู้วิชาอะไรนัก ถึงกระนั้นก็ดี ข้าพเจ้าได้บทเรียนอันอื่นเช่นได้เห็นขนบธรรมเนียมแลความสัตย์ซื่อมั่นคงของชาวฝรั่ง เอามาเปนภูมรู้งู ๆ ปลา ๆ ก็ทำให้ข้าพเจ้าเกิดความกล้าหาญทนทาน ไม่มักพยาบาทใครด้วยเห็นเปนสิ่งขี้ขลาด ไม่ประหักประหารใคร ข้าพเจ้าชิงชังผู้ซึ่งรังแกกันแทนที่จะช่วยอุปถัมภ์กัน.
เมื่อข้าพเจ้ากลับมายังกรุงสยาม ก็ได้มาอยู่กับบิดามารดายังบ้านที่ถนนสระปทุมอย่างเดิม แลเมื่อมาทำราชการได้สามสี่ปี ผู้ใหญ่ก็อยากหาคู่ให้เปนธรรมดา ท่านดูคนโน้น, ดูคนนี้, พูดถึงหญิงคนนั้น, พรรณาถึงหญิงคนนี้, ที่ใกล้, ที่ไกล, มาหลายราย ท่านไม่ใคร่ชอบใจ จนพี่น้องท่านบ้านคลองบางหลวงมาพูดขึ้นถึงแม่คนนั้น, หลานคนนี้, ลูกสาวคนโน้น, จนเขยิบมาพูดถึงแม่ปรุงซึ่งนับว่าเปนสาวสวยที่สุดซึ่งเขาเคยได้เห็นมา.
เขานั้น คือลุงของข้าพเจ้าเอง มาบอกคุณแม่ข้าพเจ้าว่า แม่ปรุงลูกหลวงดำริห์ อยู่คลองบางไส้ไก่ เปนสาวรุ่นน่ารักน่าชมเปนอันมาก กิริยาพาทีดีพร้อม หลวงดำริห์เปนเพื่อนสนิทของคุณลุงข้าพเจ้า คุณลุงชวนบิดามารดาข้าพเจ้าไปดูตัวให้จงได้ บิดามารดาข้าพเจ้าติดใจในถ้อยคำ วันหนึ่งไปชวนลุงในคลองด่านแล้วก็เลยพากันไปในคลองบางไส้ไก่ไปถึงบ้านคุณหลวงดำริห์ ได้ชมเรือก, ชมสวน, ชมบ้านช่อง, ชมโฉมลูกสาวของคุณหลวงเปนที่ติดอกติดใจมาก.
คุณแม่ข้าพเจ้า เปนคนได้พูดจาสนิทชิดเชื้อกับแม่ปรุงลูกสาวหลวงดำริห์ผู้พิพากษาเสียแต่คราวแรก ติดอกติดใจคราวแรก แลรักหล่อนเสียแต่คราวแรกทีเดียว.
เมื่อกลับมาบ้านก็เล่าความให้ข้าพเจ้าฟัง ตามซึ่งได้ไปเที่ยวบ้าน, เที่ยวสวน, เที่ยวชมเคหะสถานบ้านช่องหลวงดำริห์แลลูกสาวของท่าน แลคุณแม่ชมโฉมแม่ปรุงว่างดงาม แลสรรเสิญแทบไม่วายคำ ว่าหล่อนงามจริตกิริยาอ่าโอ่รูปทรงน่ารัก ดีพร้อมทั้งวิชาความรู้การเย่าการเรือน.
ข้าพเจ้าก็ตั้งใจว่าจะต้องชอบในแม่ปรุง แต่ต้องชอบหล่อนโดยว่าถ้าหล่อนจะดีจริงงามจริงเหมือนดังกล่าว คุณแม่ก็เล่ารายเลอียดแห่งรูปโฉมให้เราฟัง แลก็ไม่วายรำพรรณจนหลาย ๆ วันด้วย ข้าพเจ้านั้นคะเณเข้าใจเอาเองว่า เราได้เคยเห็นฝรั่งแลต่างภาษางดงามมาก แต่ซึ่งว่าแม่ปรุงจะงามเลิศนั้นยังแคลงใจ แต่ก็ไม่ตัดสินว่าไม่เชื่อคำคุณแม่ ทั้งไม่ตัดสินว่าจะเชื่อได้แน่ด้วย เมื่อคุณแม่เห็นว่าข้าพเจ้ายอมพยักเพยิดไปด้วยแล้วจึงบอกว่าควรจะพากันไปเที่ยวบ้านหลวงดำริห์อิก แลจะให้ตัวข้าพเจ้าติดไปกับพวกที่ไปเที่ยวด้วย จะได้เห็นตัวแม่ปรุงด้วยตาข้าพเจ้าเอง แต่การเตรียมไปเที่ยวสวนบางไส้ไก่โดยทางเรือยังไม่รัดกุมเข้าได้ จนถึงวันหนึ่งมีผู้มาบอกว่า แรม ๒ คำเดือน ๑๒ มีงานชักพระวัดนางชี พวกเราจะไปด้วยไหม.
คุณแม่ข้าพเจ้าก็ตกลงทันที เตรียมได้เรือแจวสามลำ ทั้งพวกพ้องพี่น้องข้าพเจ้าทั้งชายหญิงเด็กผู้ใหญ่หลายคน ไปกันสองลำ อิกลำหนึ่งข้าพเจ้ากับสหายไปด้วย มีอาหารที่เราเอาไปด้วยเพื่อเลี้ยงกันกลางทางให้สนุกใหญ่ ตกลงกันว่าดูแห่ชักพระแล้วจะพากันเลยไปยังบ้านหลวงดำริห์ผู้พิพากษา บ้านคลองบางไส้ไก่ เพื่อได้ไปกินเลี้ยง “ปิกนิก” กันที่นั่น ทั้งจะได้เที่ยวชมสวนบ้านนั้น แลชมโฉมลูกสาวเขาบ้านนั้นเปนข้อใหญ่ ซึ่งเรียกกันว่า “การดูตัวของเจ้าหล่อน โดยให้เห็นแก่ตาของข้าพเจ้า.”
เราขี่เรือไปด้วยความร่าเริง มีแต่สรวลเสเฮฮา จนถึงได้เห็นแห่ชักพระจากวัดนางชี เดิมทีเรือเราทั้งสามได้เข้ากระบวนจูงเรือพระพุทธรูปด้วย ครั้นไปได้ไม่ไกล เรือเราทั้งสามก็ทิ้งจากสายเชือกโยงเสีย แวะเทียบขึ้นฝั่งยังลานวัดหนึ่งอันเปนที่โอฬาร พวกเราขึ้นจากเรือ แลยืนดูกระบวนแห่ชักพระแลเรือแพนาวา มีชายหญิงขี่เรือต่าง ๆ แต่งแฟนซีบ้าง แต่งสุภาพบ้าง มีสีต่าง ๆ ทั้งสาวแก่เด็กผู้ใหญ่ เปนการหรูหราน่าดูมาก ครั้นกระบวนแห่ชักพระพ้นไปแล้ว ก็ยังมีเรือใหญ่น้อยแจวพายติดตามขบวนไปด้วยอิกเปนอันมาก จนล้นหลามลำคลอง.
ต่อมาจึงมีเรือน้อยบางตาลงทุกที ขณะนั้นคุณแม่ซึ่งยืนดูอยู่ข้างฝั่งระหว่างพวกเรา ร้องขึ้นดัง ๆ ว่า “นั่นแหน้ะ , แม่ปรุง.” แลด้วยความดีใจของคุณแม่ ท่านชี้มือให้เราดู แลขานชื่อหล่อนเปนหลายหนมิหนำซ้ำลืมกายเรียกตะโกนชื่อ “แม่ปรุง ๆ” หลายหน.
เราทั้งหลายมองดูตามมือคุณแม่ชี้นั้นทุกคน ตาจับอยู่กับเรือบตยาว มีคนแต่งตัวคล้ายทหารเรือแจวหัวคนหนึ่งท้ายคนหนึ่ง หัวเรือสรวมพวงมาไลย กลางเรือมีท่านชายผู้ใหญ่นั่งพิงพนัก กับสาวสวยคนหนึ่งนั่งข้างท่านชาย แลมีเด็กหญิงหนึ่งชายหนึ่งนั่งที่เสื่ออ่อนปูลาด แลมีสาวใช้นั่งข้างท้ายอิกคนหนึ่ง.
ตาเราทั้งหลายจ้องอยู่แต่ที่ชิ้นอันสำคัญ คือแม่สาวนั้นรูปร่างระหงหน้าตาจิ้มลิ้ม แต่งตัวสง่าผ่าเผยมาก หล่อนนั่งโยกมาในเรือแจวมีสง่าพากภูมน่าดูน่ารักยิ่งนัก นอกจากความสวยงามของหล่อน ๆ ยังมีกิริยาท่าทางเปรื่องปราชญ์ เค้าเงื่อนน่ารักน่าชมนี่กระไร มันทำให้ข้าพเจ้าใจยวนป่วนปั่น ไม่นึกเลยว่าหญิงคนไทยจะงามสง่าโสภาน่ารักทั้งสาวทั้งสวยได้ถึงเช่นนี้ ยิ่งคิด ๆ ขึ้นมาว่า ผู้นี้แหละชื่อแม่ปรุงอันเปนผู้ซึ่งมารดาของข้าพเจ้า จะจัดแจงให้ได้เปนภรรยาข้าพเจ้าแล้วยิ่งทำให้ปลาบปลื้มตลึงงันไป.
ได้ยินเพื่อนใกล้ๆ กายบางคนพูดว่า “โชว์” ได้ บางคนว่างามจริง บางคนว่าพ่อเขาพา “โชว์” บางคนว่านี่เปนชิ้นเอกที่สุดของวันนี้ บางคนว่าชิ้นเอกเช่นนี้ทำไมมาหมกอยู่เสียกับเรือกกับสวน ต่างคนต่างดูหล่อนไปจนไกลตา ต่างคนคงหลงไปในจริตกิริยาของหล่อนเปนแน่ กะชั่งตามน้ำใจของข้าพเจ้าแล้วเขาน่าจะติดใจในรูปโฉมท่าทางของหล่อนไม่รู้จักจืดโดยแท้ เมื่อสหายข้าพเจ้าสองคนหันมาจับมือข้าพเจ้าเขย่าอวยพรว่า “ขอเกลอจงเจริญ” โดยให้พรในนามของแม่โฉมงามกับข้าพเจ้า ๆ ยิ่งตื้นตันใจด้วยความปลื้ม แต่ก็ยังไม่วางตาดูเรือบตลำยาวลำนั้น พอข้าพเจ้าได้สติขึ้นมาจึงร้องว่า เราลงเรือตามไปไม่ดีหรือ.?
คุณแม่ก็เห็นด้วย จึงออกคำสั่งให้ลงเรือ แลเรือทั้งสามลำก็ลอยออกจากท่าวัด แต่ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ จะลงเรือให้พร้อมกันได้ แลกว่าเรือจะออกจากท่าได้ ก็ไม่เปนเวลาเร็วพลันทันใจ.
เมื่อเราแจวติดตามมา ก็หาทันเรือของหลวงดำริห์ไม่ ทั้งมีเรือใหญ่น้อยซึ่งแจวพายเร็วกว่าเรือของเรามาแซกแซงแข่งขึ้นน่าไปก็มาก.
เราจึงทิ้งการไล่ตามเรือสำคัญนั้นเสีย ข้าพเจ้ามีความวิตกเสียใจอยู่ตงิดๆ คิดว่าถ้าเราติดตามเรือนั้นไปทันได้ คงได้ชวนหลวงดำริห์แวะเลี้ยงอาหารกันชายตลิ่ง ข้าพเจ้าก็จะได้ใกล้ชิด ได้เห็นแม่ปรุงอิกโดยตระหนัก ทั้งแทนที่ข้าพเจ้ามัวหลงรักรูปหล่อนอยู่ฝ่ายเดียวแล้ว ข้าพเจ้าก็คงทำให้หล่อนคิดรักข้าพเจ้าตอบสนองให้สมเล่ ด้วยว่ารูปร่างหน้าตาข้าพเจ้าก็มิใช่เลวเมื่อไร . หญิงใดเห็นก็ไม่มักเมินได้ง่าย ๆ แลข้าพเจ้าก็หวังคู่ชีวิตที่งาม ๆ ให้สมหน้าสมตาเหมือนกัน หาไม่สักแต่ว่าไม่ต้องเลือกแล้ว ก็คงได้แต่งงานเสียนานปีมาแล้ว.
แต่เมื่อไล่กวดเรือแม่ปรุงไม่ทันแล้วจะทำอย่างไรได้ ก็ต้องทำหน้าชื่นฝืนจากอกตรม พลอยสรวลเสเฮฮาไปกับเพื่อนเขาด้วย เขาหัวร่อ เราก็หัวร่อด้วย เขาแวะขึ้นตลิ่งกินเลี้ยงกัน เราก็ต้องกินด้วยชวนสนุกสนาน แต่ในใจข้าพเจ้านั้นยิ่งเห็นการเลี้ยง “ปิกนิก” กันสนุก ก็ยิ่งคิดเสียดายอาลัยหาแม่ปรุงไม่วายเลย.
เมื่อแม่ปรุงไม่อยู่บ้านเสียแล้ว พวกเราก็ไม่เลยไปบ้านหล่อนที่คลองบางไส้ไก่.
เรากลับมาตามทางจนถึงบ้านด้วยความร่าเริง ข้าพเจ้าคล้ายว่ามีชีวิตใหม่ จะนั่งนอนยืนเดินก็รำพึงถึงแม่ปรุงร่ำไป เวลาเช้า ๆ เย็น ๆ เห็นคู่ผัวตัวเมียที่ไหนเขา “โชว์” กัน ข้าพเจ้าก็หวนระลึกถึงแม่งามสง่าน่ารักนั้นว่าจะ “โชว์” ดีกว่าเขาเพียงไร เห็นหญิงใดแต่งกายมางดงาม ก็หวนระลึกถึงแม่ปรุงว่าหล่อนนั้นแต่งตัวขึ้นกว่านั่นนี่กระไร ความเสน่หาอาลัยเกิดลุกลามขึ้นมากเพียงไร ข้าพเจ้ายังระงับไว้มิให้แสดงกายผิดปรกติ ทั้งยังคิดกระดากอยู่ว่าได้กล่าวว่าเปนกลางไม่ใคร่จะ “แคร์” ในแม่ปรุงเยี่ยงคุณแม่เสียแล้ว คราวนี้ทำไมมาคิดยิ่งกว่า “แคร์” ไปอิกเล่า.
แต่ถึงจะนิ่งไว้เพียงนั้นคุณแม่ท่านก็รู้ทีได้ ทั้งตัวท่านเองก็ยิ่งเกิดรักแม่ปรุงมากขึ้นกว่าเก่าอิกมากมาย ด้วยท่านได้เห็นตัวแม่ปรุงแต่เมื่อแม่ปรุงมิได้แต่งกายให้เต็มที่ คราวนี้ท่านซ้ำได้เห็นหล่อนแต่งอย่างงามสง่า ท่านก็พูดสรรเสิญเล่าความแก่ผู้ไม่ได้ไปงานให้เขาฟังทวีขึ้นอิก.
เหตุอันนั้นจึงเปนการไม่ช้าที่ข้าพเจ้าได้โอกาศไปยังบ้านแม่ปรุงอิก โดยเวลาบ่ายวันอาทิตย์วันหนึ่ง คุณแม่จัดแจงเรือได้ก็ลงเรือไปกับข้าพเจ้า พร้อมทั้งบ่าวชายหญิงกับน้าสาวข้าพเจ้าคนหนึ่ง แลเพื่อนสนิทข้าพเจ้าคนหนึ่งชื่อนายขบวน กับเด็กเล็กลูกของแม่น้านั้นอิกคนหนึ่ง คราวนี้คุณแม่จัดของกำนันไปด้วยสองถาดใหญ่ ถาดหนึ่งมี พริก, กะปิ, หอม, กระเทียม, เต็มสุ่มถาด อิกถาดหนึ่งมีน้ำตาลปึกเต็มถาดเหมือนกัน เปนเสบียงกรังสำหรับบ้านสวนเปนอันดี.
เมื่อเรือถึงบ้านสวนบางไส้ไก่ คุณแม่ชี้ให้จอดที่สพานนั้นบอกว่าเปนท่าน่าบ้านคุณหลวงดำริห์ ข้าพเจ้าแลเห็นแต่ไกลว่ามีหญิงสาวยืนอยู่หัวสพานแลคนนั้นเปนตัวแม่ปรุงเองยืนอยู่กับเด็กหญิงหนึ่งชายหนึ่ง ข้าพเจ้าจ้องดูไม่วางตายิ่งเห็นงามสง่าถึงภายใน กล่าวคือเห็นรูปทรงองค์เอวอ้อนแอ้นสมทรวดทรงนี่กระไร ราษีฉวีวรรณขาวผ่อง แลเห็นคิ้วก่ง, ผมดำ, มือแลเท้าน่ารัก, แลแขนของหล่อนนั้นน่าพิศวาศนี่กระไร เพราะเมื่อรูปทรงเปนอันน่าพิศวาศเช่นนั้นอยู่แล้ว มาได้มีแขนกลมเรียวงามไปด้วยสวยสมรูปทรง จึงทำให้ดูแขนแถมทวีความพิศวาศขึ้นหนักหนา.
เมื่อแม่ปรุงแลเห็นคุณแม่ข้าพเจ้าเทียบเรือเข้ามา หล่อนดีใจร้องว่า “คุณแม่มาแล้ว” แล้วหล่อนก็ไม่ถอยหนี คอยยืนรับคุณแม่ข้าพเจ้าอยู่ แลหล่อนเองนั้นไม่มีมารดาโดยได้ดับสูญไปเสียแล้ว ซึ่งมาเรียกมารดาข้าพเจ้าว่าเปนคุณแม่ของหล่อนนั้น ก็เปนนิมิตร์อันดีที่เราจะได้ร่วมญาติกัน.
หล่อนยืนรับคุณแม่ข้าพเจ้าแลนำขึ้นเรือน คุณหลวงเห็นก็ดีใจ แลขอบใจในของกำนันของคุณแม่เปนอันมาก ในระหว่างสนทนากัน ท่านสั่งให้บ่าวขึ้นหมากที่น่าฝาดแลมะพร้าวห้าวไปพลาง เพื่อจัดตอบแทนให้แก่คุณแม่ อาการที่สนทนากันนั้นดูราวกะว่าสนิทกันกว่าญาติ แม่ปรุงมาพูดจาด้วยโดยสุภาพเรียบร้อย แล้วไปสั่งบ่าวให้จัดอาหารหุงเข้าต้มแกงตำน้ำพริก โดยคุณหลวงดำริห์ชวนให้พวกเรารับประทานอาหารเวลาเย็นเสียก่อนแล้วจึงกลับบ้าน.
ตามเสียงท่านพูดนั้น บ้านท่านเดิมอยู่ในพระนคร เปนผู้พิพากษาที่หัวเมืองบ้าง ที่กรุงเทพฯ บ้าง ครั้นออกนอกราชการจึงได้มาซื้อบ้านอยู่ที่สวนนี้ เมื่อแรกย้ายบ้าน แม่ปรุงอายุได้สิบห้าปีอยู่โรงเรียนฝรั่ง เมื่ออายุหล่อนได้สิบเจ็ดปีหล่อนออกจากโรงเรียน คุณหลวงก็คิดสงสารหล่อนที่ไม่ได้อยู่ฝั่งฟากตวันออก อันครื้นเครงด้วยความสนุกสนาน แต่โดยแม่ปรุงเคยอยู่ขลุกณโรงเรียนมา ครั้นมาอยู่ยังบ้านสวนจึงไม่รู้สึกเหงาใจอะไรมาก ถึงกระนั้น บางครั้งบางคราวท่านต้องพาลูกสาวไปฝั่งตวันออกเพื่อดูการรื่นเริงบ้างเหมือนกัน บัดนี้แม่ปรุงอายุได้ยี่สิบสองปีแล้ว เคยมีชาวสวนมาสู่ขอ แต่แม่ปรุงไม่ชอบใจ แม่ปรุงมีน้องชายเล็กอิกคนหนึ่ง แม่ปรุงเปนบุตรีใหญ่คนเดียว จึงเปนที่ยอดเสนหาของบิดา มารดาหล่อนได้ตายเมื่อคลอดน้องชาย ท่านมารดานั้นงดงามมาก แลคุณหลวงได้พยายามจะให้ได้เปนคู่กับท่านโดยอาการแลเรื่องราวแปลกปลาดมาก. (ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกในปัจจุบันนี้ว่าแม่งาม ลูกสาวก็งาม แม่มีเรื่องโลกีย์อย่างวิปลาศ แลลูกสาวก็มีเรื่องโลกีย์อย่างวิปลาศด้วย)
ตามเสียงฝ่ายคุณแม่เล่านั้นความว่า ข้าพเจ้านายเจียรอายุได้สามสิบสองปีแล้ว ไปเมืองนอกกลับมาแต่อายุได้ยี่สิบเจ็ดปี แต่กลับเร็วไม่ใคร่รู้วิชาอะไร ทำกระทรวงนั้น ย้ายไปกระทรวงนี้บ่อยๆ บัดนี้ทำในกระทรวงหนึ่งในน่าที่นอกยุนิฟอม ใจฅอมั่นคงดี รักพ่อ, แม่, พี่, น้อง, ไม่เที่ยว, ไม่เตร่, เปนคนมีกตัญญู เจ้าคุณที่ใช้อยู่นั้นท่านรักมาก การจะให้มีเย่าเรือนนั้นนายเจียรไม่ใคร่ชอบใจใครง่าย ๆ
พอแม่ปรุงมาอาสาว่าจะพาไปเที่ยวบริเวณสวน คุณแม่แลข้าพเจ้ากับแม่น้าแลเด็กก็พากันไป แม่ปรุงช่างพูด เสียงไพเราะห์ ข้าพเจ้ามาได้เห็นหล่อน ได้ยินหล่อน, ได้เดินใกล้หล่อน, ราวกะความฝันไว้ได้เปนจริงขึ้นมาอย่างนฤมิตร์ ลมเย็น ตวันรอนๆ เวลาเย็น ในเขตสวนอันวังเวงวิเวกไม่อื้อฉาว มีแต่เสียงนกขับขาน ทำให้ใจข้าพเจ้ามึนเมาไปด้วยความพิศวาศ ข้าพเจ้าได้หลง รูป, เสียง, กลิ่น, รส, ของหล่อน ไม่เปนสมประดีทันที.
ขณะเมื่อใจอนาถที่สุด คือเมื่อจะเก้าลาลงเรือ เมื่อจะแลลับเรือน, ลับสวน, ลับคลอง, ลับท่าน้ำ, ลับหน้าแม่ยอดพิศมัยนั้น เปนขณะอันน่าอาลัยอาวรณ์อันยิ่ง ขณะนั้นแหละได้ประทับตราแก่ใจข้าพเจ้าไว้ ต่อนั้นมา ข้าพเจ้าไม่มีความสบายใจในบ้านข้าพเจ้าอิกเลย ยิ่งเวลาเย็นตวันรอน ๆ ยิ่งสลดระทดใจคิดถึงบ้านสวนคลองบางไส้ไก่ หนาวใจ, หนาวอารมณ์, ข่มไม่ไหว.······
แม่ปรุงทักข้าพเจ้าก่อน เปนคราวซึ่งได้พูดกันครั้งแรกเมื่อนำให้เราชมสวน พวกเด็กแลสาวใช้เก็บผัก แม่ปรุงหักดอกบัวให้ข้าพเจ้า เมื่อหล่อนยื่นดอกบัวให้ ข้าพเจ้าเห็นไนยตาหล่อนโดยตระหนักเปนคราวแรก ตากลมกับคมขำเปนมัน เปนไนยตาอันมีเสน่ห์ยิ่งนัก หล่อนมอบรักไว้ให้เต็มขนาด โดยใช้อาการมองต้องตาเท่านั้น.
หล่อนว่า “นี่ข้ะ, ดอกไม้, คุณชอบไหม.?”
ข้าพเจ้าตอบว่า “ชอบที่สุด ขอบใจที่สุด.”
หล่อนว่า “นี่ดอกไม้ไทยแท้ มีประโยชน์มากที่สุด ด้วยว่าดอกบัวเปนดอกไม้สำหรับถวายพระ กลีบบัวมวนบุหรี่ก็ได้ เกษรบัวทำยาก็ได้.”
ข้าพเจ้าตอบว่า “เม็ดบัวอ่อนให้เด็กกินได้ เม็ดบัวแก่ต้มน้ำตาลกิน.”
หล่อนหัวเราะ.—
หน้าชื่นบานจากหัวเราะทำให้ยั่วยวนนี่กระไร เสียงหัวเราะของหล่อนอันกระทบดวงใจ หน้ารื่นเริงเมื่อหัวเราะของหล่อนอันกระทบดวงตา ทำให้ข้าพเจ้าไม่ลืมเลยทั้งสองอย่างจนหลายวัน ทั้งคิดว่ามันเปนบุญคุณของหล่อนนี่กระไรที่ได้ทักทายปราไสย แลให้ของกำนันดอกบัวซึ่งเรียกว่า “ดอกไม้ของพระ บูชาพระ” เพราะเมื่อข้าพเจ้าเหงาง่วงด้วยความสวาทเมื่อไร ถ้าคิดถึงถ้อยคำหล่อนเหมือนเปนคำปลอบนั้น ก็ค่อยชื่นใจหายหวั่นอารมณ์ทุกที.
คุณหลวงดำริห์ลงมาตามถึงท้ายสวน เชิญให้เราไปกินอาหาร สำรับกับเข้ายกจัดวางอยู่พร้อมแล้ว แต่สหายของข้าพเจ้าบอกคุณแม่ว่ากินที่หย่อมสนามน้อยข้างเรือนดีกว่ากินบนเรือน คุณแม่ก็เห็นดี คุณหลวงจึงออกคำสั่งให้ปูเสื่อวางสำรับต่าง ๆ ที่สนามน้อยนั้น ได้เลี้ยงกันทั้งไพร่นายสนุกแลอิ่มหนำสำราญมาก แล้วรับประทานของหวานแลผลไม้ คุณแม่ชวนแม่ปรุงกินด้วยสำรับหนึ่งต่างหาก แต่หล่อนปฏิเสธ.
ต่อมาเมื่อเพื่อนข้าพเจ้ากับข้าพเจ้ามานั่งพิงโคนไม้ สูบบุหรี่กันสองคนนั้น ท่านสหายสาบาลว่าหล่อนนั้นเปนสาวสวยที่สุด แลเข้าทีที่สุด แลสมกับข้าพเจ้าที่สุด.
ต่อมาเรามานั่งเข้าวงใหญ่คุยกันด้วยเรื่องแห่ชักพระวัดนางชี.
คุณแม่บอกว่าได้เห็นแม่ปรุงกับคุณหลวง.
แม่ปรุงเสียใจที่ไม่ได้เห็นคุณแม่ หาไม่จะแวะเข้ากั๊กด้วย.
คุณหลวงดำริห์เล่าถึงรายการแห่ชักพระ ทั้งคุณแม่แลแม่ปรุงก็เล่าสู่กันฟัง จนชั้นสหายข้าพเจ้าเล่าถึงการ “ปิกนิก” ของเราให้ฟังก็ยังได้ฮาเปนหลายหน.
เมื่อบ่าวขนหมากแลมะพร้าวลงเรือแล้ว เราก็ลาลงเรือ คุณหลวงแลแม่ปรุงกับบ่าวยืนออกันที่หัวสพานดูเราถอยเรือ.
ข้าพเจ้าอยากจะทักทายแม่ปรุงอิกสักคำก็ไม่ได้ช่องโอกาศ.
พอคุณหลวงร้องลงมาว่า “ถ้าว่าง ๆ เชิญนายเจียรมาเที่ยวเล่นที่นี่บ้าง.”
ข้าพเจ้าก็ตอบว่า “ขอรับแลประนตไหว้ลาท่าน.”
แม่ปรุงจึงร้องว่า “ลืมดอกบัวไว้หรือเปล่าคะ.?”
ข้าพเจ้าตอบว่า “เปล่า ขอบใจมาก ค่าดอกบัวนั้นฉันจะส่งของตอบแทนมาให้เปนกำนัน.”
การที่ได้พูดเสียได้เปนที่พอใจแลสมใจยิ่งนัก แต่คราวตวันรอน ๆ แม่สาวที่รักหน้าชอ้อนมายืนเบิ่งดูข้าพเจ้าจะจากไปไกลนั้น ทำให้ดวงใจข้าพเจ้าพิพักพิพ่วนมากนัก รู้สึกหวนละห้อยที่จะต้องจำไกลไปจากโฉมงามอันน่าประโลม สิ่งใดไม่อนาถเท่ากับเมื่อเรือมาห่างแล้วนั้น ข้าพเจ้าเหลียวหลังไปดูครั้งสุดท้าย เห็นใคร ๆ กลับจากที่สพานน้ำหมดแล้ว เหลือแต่แม่ปรุงยืนชะเง้ออยู่คนเดียว ดูท่าหล่อนชอ้อนอาลัยราวกะจะว่าทำไมทิ้งฉันไว้ในสวนอยู่เดียวดายไม่ปราถนาอยู่เพื่อน แลเมื่อหล่อนเห็นข้าพเจ้าเหลียวจ้องมองมาข้างหลัง ข้าพเจ้าสำเหนียกได้ดูเหมือนว่าหล่อนยิ้มพยักฝากรักอาลัย ถึงตัวไปขออย่าลืมลับกายไปนาน เหตุอันนี้ติดตาข้าพเจ้ามาก แลเตือนใจไม่วายเลย.