บท ๑ รสหวานของความไม่พยาบาท

ความไม่พยาบาทย่อมมีรสหวาน

“ อโกเธน ชิเน โกธํ,

อสาธุํ สาธุนา ชิเน ”

พึงชะนะความโกรธ (ของเขา) ด้วยความไม่โกรธ (ของเรา)

พึงชะนะความชั่ว (ของเขา) ด้วยความดี (ของเรา)

———

“ความพยาบาทเปนหวาน” นี้เปนคำตามฝรั่งกล่าวไว้ ผู้ซึ่งได้แก้แค้นสมหมายได้รู้สึกมามากแล้ว จนทำให้ฝรั่งตั้งประโยคไว้ประจำปากตลาดว่า “ความพยาบาทเปนหวาน” แต่ความพยาบาทซึ่งทำทดแทนเขานั้น ท่านที่ทดแทนย่อมปรุงกิจให้สมอาฆาฏได้โดยไม่ถูกทางของผู้ดี หรือผู้มีสัทธรรม แล้วก็คิดเดาเอาว่า “ความพยาบาทเปนหวาน” แท้จริงหาเปนหวานดังนึกไม่เลย จะรู้สึกหวานชั่วคราวแล้วก็รู้สึกขมขื่นกลืนไม่เข้า คิดร้อนเนื้อเดือดใจไม่เข้าเรื่อง เพราะฉนั้น ความพยาบาทซึ่งว่าเปนหวานนั้น ถ้าปฏิบัติไม่ถูก จะไม่เปนหวานโดยจริงเลย มีแต่จะทำให้รู้สึกขมขึ้นทุกที เห็นเปนการน่าทุเรศ น่าละอายใจแก่ผู้ซึ่งคิดอาฆาฏแก้แค้น มันเปนการขลาดต่อผู้แก้แค้นทดแทนเขา หาจะเปนประโยชน์ตนประโยชน์ท่านมิได้เลย เพราะฉนั้น ซึ่งว่า.”การแก้แค้นเปนหวาน” นั้นจะเปนหวานได้แต่ผู้ซึ่งต่ำชาติกว่าปราชญ์เท่านั้น แต่ผู้ใดชะนะต่อการพยาบาทได้ มีเช่นหักใจไม่พยาบาท หักใจไม่ทุศีล โดยไม่มุ่งทำร้ายทดแทนเขาได้นั้นแล้วจึงจะเรียกว่า เปนสุภาพบุรษจริง เปนผู้มีสัทธรรมมีความกล้าหาญจริง เปนผู้ชะนะแล้วซึ่งมารอันมาผจล ทำให้มารพ่ายแพ้แก่ตัว โดยชะนะโกรธด้วยไม่โกรธ ชะนะการร้ายด้วยความไม่อาฆาฏ เมื่อตัวพ้นเหตุการณ์ร้ายแล้วได้สุข ก็จะระลึกได้ถึงการที่ตัวชะนะต่อการร้ายโดยไม่มีความพยาบาท ก็จะรู้สึกหวานใจในสัทธรรม ในสุจริต คือในความกล้าหาญของตัว ในความเปนใหญ่แก่ใจตัว ซึ่งอาจจะสงบยั้งต่อกายกรรม ทำโทษโพยแก่ผู้ได้ทำผิดแก่ตัวไว้แล้ว ตัวก็รู้สึกหวานใจ มีความปีติโสมนัศในเหตุที่ตัวได้ประพฤติโดยสุภาพ ไร้ความพยาบาทไปแล้วก็จะรู้สึกหวานใจไม่รู้คลายจนสิ้นชีพ เพราะฉนั้น ข้าพเจ้าจึงว่า “ความไม่พยาบาทเปนหวาน” หาใช่ดังที่ว่า “ความพยาบาทเปนหวาน” ดังเขาว่าไม่

ซึ่งข้าพเจ้ามีตึกกว้านบ้านช่อง มียศฐาน์บันดาศักดิ์พร้อมทั้งความสุขสำราญในบัดนี้ ก็เพราะความไม่พยาบาท ข้าพเจ้าได้เสพย์รสของผลความไม่พยาบาทอยู่บัดนี้ เต็มส่วนของผลซึ่งข้าพเจ้าระงับดับความไม่พยาบาท รู้สึกหวานใจ ซึ่งข้าพเจ้าได้ชะนะภัยเพราะไม่มีความพยาบาท เมื่อนั่งอยู่สบายใจด้วยความระงับจากการกังวลใดๆ แล้ว ทำให้ข้าพเจ้าคิดถึงการที่ข้าพเจ้าได้ชะนะภัยมาด้วยความไม่พยาบาท ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกสร้านซาบไปด้วยความโสมนัศ หาไม่จะได้มานั่งเสพย์ผลในอิศรยศสมบัติสมบูรณ์ที่ไหน ข้าพเจ้าอยู่เปนสุขสบาย ทั้งหทัยก็ปรอดโปร่งไร้จากราคี ข้าพเจ้าไม่ได้มั่วสุมด้วยความพยาบาท ไม่บีบขยำกล้ำกลัวด้วยการร้ายจากอาฆาฏ แลดูวงศ์ญาติเพื่อนฝูงมิตรสหายด้วยใจโปร่ง เขาเหล่านี้ได้พึ่งพาอาศัยข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้าไม่ริทำการอาฆาฏ ข้าพเจ้าแลดูบ่าวไพร่ต่างคนมีฉวีสีสันเปนน้ำนวล เขาทั้งหลายมาพึ่งบุญข้าพเจ้า ด้วยข้าพเจ้าใจดี ได้ฝึกหัดชะนะสมบัติผู้ดี เคยไม่มีอาฆาฏจนได้ชะนะมารแห่งใจของข้าพเจ้า แลดูอะไรก็ยิ่งนำมาซึ่งความปลื้มใจของผลอันไร้ความพยาบาท เร่งปลาบปลื้มขึ้นทุกที แต่กระนั้นยังมีสิ่งหนึ่ง ซึ่งนำปลื้มมาให้ยิ่งกว่าสิ่งอื่น สิ่งนั้น คือผู้หนึ่งซึ่งมีตาดำ ๆ เปนมันขลับ เปนคู่รักคู่ชีวีของข้าพเจ้าในบัดนี้ สุรเสียงเจ้าหล่อนเตือนสวาทใจหวาน เร่งให้คนึงถึงความไม่พยาบาทของข้าพเจ้า รูปเจ้าหล่อนเตือนตาเตือนใจ ให้เห็นเปนพยานในสิ่งซึ่งข้าพเจ้าได้ทำไปแล้วโดยกล้าหาญ หาชายอื่นจะทำอย่างข้าพเจ้าให้สุทธิเกินไปกว่าได้ยาก.

โอ้! พูดถึงตาดำ ๆ ขึ้นมาหละท่านเอ๋ย โอ้! ! ทำให้ข้าพเจ้าใจหวาม บางทีถึงน้ำตาตก ข้าพเจ้าผู้ซึ่งมีใจกล้า ได้อดทนทรมานมาจนชะนะต่อมาร ชะนะต่อความพยาบาทโดยไม่พยาบาท .แต่ใจกล้าถึงเพียงนี้แล้ว ยังอดน้ำตาร่วงไม่ได้ เมื่อคิดถึงเหตุการณ์ที่ได้ผจลชะนะต่อความไม่พยาบาทมาด้วยตนเอง.

โอ้! พูดถึงตาดำๆ แล้วข้าพเจ้าใจหวาม คิดได้ยิ่งสยดสยอง ไม่รู้ได้เลยว่าชายจะทำชายได้เช่นนั้น ไม่รู้เลยว่าหญิงจะทำชายที่รักที่พิศวาศได้เพียงนั้น ข้าพเจ้าขอกล่าวให้ท่านฟังเสียแต่ในครั้งนี้ ต่อไปขอข้าพเจ้าเสพย์ผลของความสุขโดยเงียบนิ่งดีกว่า เพราะยิ่งคิดยิ่งอาลัย.

ข้าพเจ้ารำพึงจดมาได้ถึงเพียงนี้ ขณะนั้นมีแม่ตาดำคนหนึ่ง คือคนซึ่งข้าพเจ้ากล่าวแล้วว่าบัดนี้กำลังมาร่วมสุขกับข้าพเจ้า แลซึ่งเปนตัวพยานอันจะนำความระลึกเรื่องเก่ามาให้ข้าพเจ้าหวานใจเสมอนั้นเข้ามา.

หล่อนเห็นข้าพเจ้านั่งน้ำตาไหล หล่อนชงักยืนสเทินอยู่แล้วชวนยิ้ม เชิงยิ้มปลอบ พลางถามว่า “คุณมานั่งร้องไห้ทำไม.?”

ข้าพเจ้าสดุ้งขึ้นพูดว่า “ฉันมานั่งร้องไห้อยู่จริงหรือ? น้ำตาไหลเองหรอกหล่อนจ๋า ฉันยังไม่รู้สึกว่าฉันร้องไห้.”

หล่อนหัวเราะ มานั่งข้างข้าพเจ้าถามว่า “คิดอะไรจึงน้ำตาไหลจนไม่รู้สึกตัว ?”

ข้าพเจ้าหลงคว้ากายหล่อนรวบมากอดไว้ เนื้อเจ้าหล่อนนุ่มนิ่ม อายุพึ่งย่างเข้ายี่สิบ แต่อายุข้าพเจ้าสองเท่าของหล่อน หล่อนโฉมงามตาดำ ๆ แลเปนพยานของความไม่พยาบาท ข้าพเจ้าก็กอดรัดไว้เลยจูบให้กี่ครั้งก็ไม่รู้ ยังปลื้มใจจนน้ำตาไหล กระซิบบอกหล่อนว่า “ฉันคิดอะไรไม่น้ำตาไหลเลย นอกจากคิดถึงความที่ไม่พยาบาทจึงน้ำตาไหล.”

หล่อนร้องขึ้นคำหนึ่งแทนที่ร้องหวีด แล้วก็ซบหน้าลงบนกายข้าพเจ้าสอึกสอื้นไห้ น้ำตาไหลร่วงหยดถูกกายข้าพเจ้าซาบซึม แล้วหล่อนสอื้นพูดว่า “โอ้ ! คุณคะ จงยกโทษให้พ่อฉัน.”

ข้าพเจ้ากอดประทับรับขวัญพูดดัง ๆ ว่า “ฉันยกโทษให้บิดาหล่อนนานมาแล้ว รู้ไหมเล่า ?”

หล่อนสอื้นพลางก็พูดวอนด้วยอ่อนหวานต่อไปว่า “คุณยกโทษให้ฉันด้วยนะคะ”

ข้าพเจ้าตอบว่า หล่อนไม่มีผิดอะไรเลย “หากว่าจะมีพลั้งฉันก็ยกโทษให้หมด แลลืมหมดแล้ว”

หล่อนกอดฅอข้าพเจ้าเงยหน้าไนยตาเปียก พูดว่า “ฉันขอบพระเดชพระคุณ ขออยู่รับใช้คุณตลอดวันตาย.”

ข้าพเจ้าเลยจูบให้ แสดงการรับคำขอบคุณ.

หล่อนนิ่งอยู่ครู่ใหญ่แล้วบอกว่า “บัดนี้มีคนมาคอยอยู่ข้างนอกจะขอพบกับคุณ.”

ข้าพเจ้าถามว่า “ใคร.?”

หล่อนบอกว่า “ แม่ปรุงมาหาโดยว่าหล่อนจะไปบวชเปนชีอยู่ที่วัด แต่มาขอเงินบ้างเพื่อเตรียมบวช.”

ข้าพเจ้าว่า “แม่ปรุงมาหรือ? หล่อนหายหน้าไปกว่าปี นี่หายไปไหนมา.”

ข้าพเจ้าพูดเท่านี้ แล้วพูดไม่ออกอิกต่อไป มีสิ่งไรมาจุกฅอหอยเสีย.

ข้าพเจ้ากลายเปนเช่นเด็ก ร้องไห้สอื้นออกมาดัง ๆ แม่ตาดำก็ร้องไห้ แต่หล่อนใจแขงกว่า.

หล่อนพูดว่า “ ฉันมาทำให้คุณร้องไห้หรือคะ ?”

ข้าพเจ้าพูดว่า “ใครเลยจะอดได้ โอ้! น้องรักเอ๋ย แม่นี้รู้จักแม่ปรุง แลเรื่องของแม่ปรุงตลอดแล้วสิ.”

น้องรักสอื้นพลางพูดว่า “โอ้! คุณคะ คุณยกโทษให้ใครๆ ก็ยกได้ คุณยกโทษให้แม่ปรุงด้วยอิกคนไม่ได้หรือ ?”

“ยกแล้ว แม่เอ๋ย ยกโทษให้แล้ว ยกโทษให้ทั้งชาตินี้ ชาติน่า เมื่อนี้ เมื่อน่า ไม่มีใครที่ฉันยกโทษให้มากกว่าแม่ปรุง แต่ความหลังมันช่างแสนสาหัส ยิ่งกว่าเลือดตาจะกระเด็น พ้นที่ตัวพี่จะกลั้นน้ำตาได้ เมื่อได้ยินว่าแม่ปรุงมา.”

“เชิญคุณลงไปหาหล่อนสักหน่อยสิคะ.”

“ไม่ได้แล้วน้องรัก พี่ลงไปไม่ได้แล้ว ถ้าเห็นหน้าแม่ปรุงเข้า อกพี่จะหักพังออกไปเสียแน่”

“จะไล่หล่อนไปเสีย ควรหรือคะ.?”

“แม่น้องรักจงหยิบเงินไปให้หล่อนสิบบาท แล้วบอกว่าขาดเหลือจึงค่อยมาขอใหม่ วันนี้พี่ไม่ใคร่สบาย วันอื่นจึงค่อยมาหาพี่ จงบอกหล่อนตามพี่สั่งนี้เถิด.”

“เชิญคุณไปพบหล่อนสักหน่อยเถิดคะ เสียแรงหล่อนบากหน้ามาหาทั้งนี้.”

“ไม่ได้แล้วน้องรัก ขืนเห็นหน้าแม่ปรุงใจพี่จะขาดเสียเปนแน่.”

“ยังงั้นคุณไหนว่าจะยกโทษให้หล่อน ครั้นหล่อนมาหาสิ คุณจะไม่ไปดูหน้า จะเรียกว่ายกโทษให้หล่อนอย่างไร? งั้นคุณพี่ยกโทษให้ฉันมิไม่จริงใจด้วยหรือคะ.?”

ข้าพเจ้านิ่งอ้ำอึ้ง จึงกอดรัดแม่ยอดสร้อยแล้วจึงปลอบว่า “ถ้าหล่อนอยากจะเห็นใจจริง พี่ก็จะไปหา จงพาพี่ไปเถิด.”

หล่อนว่า “ไปซี เช็ดน้ำตาเสียก่อนเถิดคะ” แล้วหล่อนก็จูงมือข้าพเจ้าลงมาข้างล่าง แลนำข้าพเจ้ามาที่หอนั่ง เปิดประตูให้ข้าพเจ้าเข้าไปในห้องรับแขก ที่ห้องนั้นมีโต๊ะงาม, เก้าอี้งาม, ตู้งาม, แลดวงโคมไฟฟ้างาม, ตั้งอยู่ ดวงไฟยังไม่จุดด้วยเปนเวลากลางวัน แลมีเก้าอี้นวมยาวซึ่งเรียกว่า “โซฟ็า” ตั้งอยู่ข้างผนังแลที่น่า “โซฟ็า” มีพรมปลาดอยู่ แขกเหลื่อทั้งหลายที่มาในห้องนี้ก็นั่งบนเก้าอี้หรือเก้าอี้ยาวนั้น แต่แขกผู้นี้ไม่นั่งบนเก้าอี้ ไพล่ไปนั่งพับเพียบจุกเจ่าอยู่ที่บนพรมน่า “โซฟ็า” หล่อนแต่งตัวเก่า ๆ นุ่งเก่า, ห่มเก่า, สใบเฉียงผ้าเก่า, ไม่ใส่เสื้อ หรือไม่มีเสื้อจะใส่ มีกระเป๋าหมากอย่างเลวคร่ำคร่าผูกผ้าเช็ดปาก.

ข้าพเจ้ายืนจังงังตลึงไป นี่หรือแม่ปรุง? ซึ่งเคยขี่รถยนต์แต่งตัวเก๋ไม่มีใครสู้ เครื่องประดับแต่งหรูอยู่เสมอ น้ำอบหอมฟุ้งตัว หน้านวลเปนใย ผมไปล่อยู่เสมอ เคยมีบริวาร เปนแม่บ้านแม่เรือนใหญ่โต นี่คราวนี้เสื้อก็ไม่มีใส่ เงินก็ไม่มีติดตัว ไม่อาจจะนั่งเก้าอี้ นั่งแต่ที่พื้น หล่อนเคยเปนผู้สิเนหาของข้าพเจ้า ของคนอื่น ๆ แลเปนที่สรเสิญรูปโฉมของคนทั้งหลาย หล่อนเคยมีเพื่อนฝูง เคยมีบริวาร บัดนี้ช่างผิด เปลี่ยนไปกว่าแต่ก่อนนี่กระไร.

อายุหล่อนหย่อนสามสิบปี แต่ดูราวกะจะแก่ตัวลงไปมาก สง่าราษีหมดไป ผิวเนื้อเผือดคล้ำดำลง นี่หรือเปนแม่ปรุงซึ่งเคยเบิกบานส่งกลิ่นหอมฟุ้ง ถ้วนน่าสรเสิญเยินยอรูปโฉม นี่หรือแม่ปรุงผู้ประเปรียวเฉลียวฉลาด กลายเปนหน้าซีดผิวเผือด เปลี่ยนแปลงไปมาก ยังจะมีสิ่งเปลี่ยนแปลงมากในรูปโฉมที่หล่อนมีหน้าตาออกฝีหนาทึบไปทั้งตัว แต่ก่อนฉวีสีหน้าหล่อนเปนใยไม่มีฝ้า นี่หล่อนไปป่วยเปนฝีดาดออกฝีที่ไหนมา จนหน้าปรุเต็มไปด้วยรอยฝีดาดทั้งนั้น.

ข้าพเจ้าตลึงจังงังอยู่ มีใจอ่อนอยู่แล้ว มาได้พบสิ่งอันเปนทุเรศเช่นนี้ยิ่งมีใจตื้น ด้วยว่าหล่อนเคยเปนคนที่ยอดสนิทเสน่หาของข้าพเจ้า เมื่อรักกันอย่างจะกลืน มีหรือแม่ปรุงมาเหลืออยู่แต่เท่านี้ ทั้งรูปโฉมแลอายุเปลืองหายไปหมด ข้าพเจ้าไม่กล้าจะเก้าขาเดินเข้าไปได้ เหลียวมาดูแม่น้องรักเพื่อจะเอาเปนเพื่อนตัว ก็เห็นหล่อนหายไปเสียแล้ว ต่อมาจึงรู้ว่าหล่อนหลบข้าพเจ้า ไปแอบร้องไห้อยู่เสียคนเดียวให้พอใจ ทิ้งข้าพเจ้าไว้ให้ประจันหน้ากับความทุเรศในนามของแม่ปรุงนี้.

ข้าพเจ้าแทบจะจำแม่ปรุงไม่ได้ แต่แม่ปรุงเงยหน้ามาเห็นข้าพเจ้า ไนยตาต่อไนยตาสบกัน ไนยตาหล่อนนั้นคมสันเปนประกายเท่าเก่า ข้้าพเจ้าเห็นก็จำไนยตาได้ดี ๆ เพราะไนยตาของหล่อนไม่เปลี่ยนแปลงไปเลย ถึงหล่อนจะเปลี่ยนรูป เปลี่ยนสภาพไปอย่างไรก็ดี ไนยตาหล่อนก็ยังเปนแสงปลาบแปลบเหมือนอย่างเคย แสดงเข้าไปถึงในวิญญาณ แลความรู้สึกของมนุษบุถุชนว่ายังคงมีสำนึกเท่าเก่า ถึงว่าสภาพจะได้เปลี่ยนแปลงไป ไนยตาคมของหล่อนเคยทำให้ข้าพเจ้าปลาบปลื้ม ในเมื่อหล่อนได้อยู่ร่วมสุขร่วมทุกข์กับข้าพเจ้า ในเมื่อข้าพเจ้าได้รักหล่อนราวกะจะกลืนได้ ในเมื่อข้าพเจ้าบูชาหล่อน อาวรณ์ร้อนสวาททุ่มถมความรักใส่ลงในหล่อนจนหมดใจแลวิญญาณ ไนยตาหล่อนบัดนี้ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกถึงเวลาที่ยังสามัคคีรสกัน แต่ดูหน้าแลตัวหล่อนช่างผิดกับไนยตาโดยได้เปลี่ยนแปลงไป แต่ไนยตาหล่อนหาเปลี่ยนแปลงมิได้.

ใจข้าพเจ้าหายวาบ รู้สึกว่าภายใต้ไนยตานั้นมีใจแลวิญญาณซึ่งรู้สึกทนทุกขเวทนานี่กระไร ทำให้ข้าพเจ้ายิ่งอาลัยน้ำตาไหลพรู กายแทบจะซวนล้มลงไปคว้าหาแม่น้องรักเพื่อยันกายก็ไม่ได้ตัว ก็จับข้างประตูยันไว้ยืนตลึงอยู่.

หล่อนช้อนตาขึ้นมองดูข้าพเจ้า ทำให้เหมือนอย่างชูแว่นให้ข้าพเจ้าส่องเห็นดวงใจของหล่อน ข้าพเจ้าจุกฅอหอยน้ำตายิ่งย้อยหยด แสนสมเพชแสนอาลัยในหญิงยอดรัก ซึ่งบัดนี้เจ้าหล่อนต้องตกอับ แลซึ่งข้าพเจ้าจะช่วยค้ำจุนไม่ได้ต่อไป.

หล่อนมองดูตาแขง แล้วก็ช้อยหางตาไปมา ทำให้สูบน้ำตาข้าพเจ้าออกมาอิก พอหล่อนพูดว่า “คุณคะ อิฉันสู้มาหา.”

เสียงของหล่อนข้าพเจ้าจำได้ นอกจากเสียงทุ้มลงไปหน่อย แลมีเครือนิด ๆ แล้วไม่ผิดกับเก่าเลย เปนเสียงซึ่งข้าพเจ้าได้สดับหวานใจมาหลายหน ข้าพเจ้าจะล้มลงเสียให้ได้ด้วยใจอ่อน แต่สู้แขงใจตะกายไปนั่งถึงที่เก้าอี้นวมยาวใกล้หล่อน พูดขึ้นได้ว่า “เหลือแม่ปรุงอยู่เท่านี้เองหรือ?” คล้าย ๆ จะกล่าวว่าความงดงามของแม่ปรุงเหลืออยู่แต่เท่านี้เองหรือ? แล้วข้าพเจ้าก็อดกลั้นโศกาไว้ไม่ได้ ก็เลยโศกาลัยสอื้นไห้อยู่ฮัก ๆ

หล่อนมองดูด้วยตาแขง คงปลาดใจว่า “ผู้ซึ่งไม่นำพาหล่อนเสียแล้วนั้น ทำไมจึงได้มาร้องไห้สมเพชหล่อนเปนหนักหนา” แต่เห็นข้าพเจ้าร้องไห้ร่ำไร หล่อนอดไม่ได้ก็น้ำตาไหลร้องไห้กระซิก ๆ ตามลำภังตัว โดยไม่หมายจะอยากร้้องไห้ให้ใคร ๆ เห็น.

ข้าพเจ้าถามว่า “ออกฝีที่ไหน?”

หล่อนตอบว่า “ออกฝีดาดเกือบตาย ถึงปลูกแล้วก็ออกใหม่ ไม่ใคร่มีใครรักษาพยาบาล เดชะบุญยังไม่ถึงที่ตายจึงรอดชีวิตได้.”

หล่อนบอกว่า “หล่อนป่วยอยู่หลายเดือนไม่มีใครดูแล พ่อแม่ขายหน้าไม่ใยดี พี่น้องพลอยชิงชัง แลตั้งแต่หล่อนทำให้ชื่อเสียงเสียไปนั้น ไม่มีใครคบหาสมาคมกับหล่อนอิกเลย แลหล่อนก็ไม่อยากพึ่งพาอาศัยญาติพี่น้องเหมือนกัน.”

หล่อนยิ่งเล่าข้าพเจ้ายิ่งสมเพชเวทนา หล่อนว่า “มาหาข้าพเจ้าครั้งนี้ ก็เพราะหล่อนจะบวชเปนชี จะอาศัยอยู่ตำบลใกล้วัดบรมนิวาศ แต่ยังหนักอกหนักใจอยู่อิกอย่างหนึ่ง อยากจะให้ดวงจิตผ่องใสเสียก่อนบวชเปนชี.”

ข้าพเจ้าถามว่า “หล่อนยังหนักอกหนักใจอาลัยอะไรหรือ.?”

หล่อนตอบว่า “ฉันจะบวชเปนชีคราวนี้โดยตั้งอกตั้งใจจริง แต่อยากถามคุณอิกทีว่า คุณจะยกโทษให้ฉันโดยเต็มใจไหม? ฉันบวชเปนชีจะได้ไม่ห่วงใยเรื่องนี้อีก.”

ข้าพเจ้าบอกว่า “ฉันยกโทษให้หล่อนนานแล้ว หล่อนก็รู้แล้วว่าฉันยกโทษให้หล่อนมาตั้งแต่ต้นจนปลาย บัดนี้จะมาถามอิกเรื่องอะไรเล่า.”

“ฉันขอถามเปนครั้งสุดท้ายให้รู้แน่ว่าคุณยกโทษให้ฉันเปนแน่.”

“แน่ซี! แม่ปรุงเอ๋ย”

“จงหยั่งใจดูว่าคุณยกโทษให้ฉันด้วยเต็มใจ.”

“ฉันยกโทษให้ด้วยเต็มใจเสมอ ทำไมมาซ้อมคำทำไมอิก.”

“ฉันหมายว่าคุณจะกลับใจไม่หายแค้น”

“ฉันยกโทษให้ฉันต้องหักใจหายแค้น แต่ความอาลัยแลสมเพชนั้นฉันหักใจไม่ได้เลย.”

“ถ้ากระนั้นฉันก็เปนที่พอใจว่าคุณยกโทษให้ฉันโดยเต็มใจแน่แล้ว ฉันจะได้ตั้งใจบวชชี ฉันขอลาคุณก่อน.”

แม่ปรุงลุกขึ้นจะไป ถือกะเป๋าหนังเก่าของหล่อนไว้ ข้าพเจ้าแลดูสีหน้าหล่อนค่อยผ่องใส คงดีใจด้วยเรื่องความวิตกของหล่อนได้ปลดไปเสียได้แล้ว หน้าตาหล่อนค่อยร่าเริง ไนยตาเปนประกายคล้ายได้มหาลาภมหาทานอันใหญ่ ดีใจที่ความผิดความชั่วของหล่อนนั้นมีผู้ยกโทษให้แล้ว หล่อนจะได้ตั้งใจถือวิเวก ปฏิบัติใจให้แน่แน่วไปสู่สวรรค์ได้เปนปรกติ.

หน้าชื่นแกมโศกของหล่อนทำให้ข้าพเจ้าเกิดสลดใจ ยิ่งทำให้นึกถึงคราวเมื่อหล่อนเคยยิ้มย่องชวนให้ชื่นใจด้วยฉวีสีหน้ายิ้มลมุนลมัย ครานี้หล่อนมีหน้าร่าเริง แลไนยตาเปนประกายราวกะมูลเถ้าของหน้าไม่กลบถ่านไฟของตาให้มิดได้.

ข้าพเจ้ายิ่งสมเพชอัดอั้นตันใจ ซึ่งจะกลับให้หล่อนเปนคนเห็นโลกสนุกใหม่ได้นั้น จะต้องคุ้ยเขี่ยขี้เถ้าที่ปกคลุมให้ถดถอย คือจะฟื้นแม่ปรุงให้สุขโดยปลดความทุกข์นั้นยากเต็มที คล้ายเปนคนละคนเหมือนตายแล้วจากคนไปเกิดใหม่ คล้ายเปนภูตผี.

ข้าพเจ้ายิ่งดู ๆ ยิ่งสลดสยดสยองใจ ด้วยได้เห็นรูปของหล่อนมาสิงอยู่แก่ตาข้าพเจ้า เมื่อหล่อนทำยิ้มเพื่อแสดงความขอบใจ ซึ่งข้าพเจ้าออกปากยกโทษให้หล่อน การยิ้มของหล่อนในหน้าอันคล้ำมัวเช่นนั้น ทำให้ข้าพเจ้าเกิดสมเพช น้ำตาข้าพเจ้าไหลหยดด้วยได้ระลึกถึงความเก่าแก่เมื่อครั้งหล่อนยิ้มแย้มในคราวดวงหน้าผ่องใส ข้าพเจ้าก็อัดอั้นตันใจ.

พอหล่อนจะเก้าเท้าเดินไป ข้าพเจ้าจึงถามว่า “หล่อนต้องการเท่านั้นเองหรือ.?”

หล่อนหันหน้ามายิ้ม ตอบว่า “ต้องการแต่เท่านั้นแล้ว”

ข้าพเจ้าพูดว่า “ไหนว่าจะต้องการเงินสิบบาทอย่างไร. ?”

หล่อนว่า “อ้อ, เขาบอกคุณด้วยหรือด้วยเรื่องเงิน.”

ข้าพเจ้าว่า “เขาบอกฉันแล้ว หล่อนไม่เอาหรือ?”

“คุณจะให้ฉันหรือ.?”

“ให้ซีจ้ะ อย่าว่าแต่สิบบาทเลยยี่สิบบาทก็ได้ ต่อไปเมื่อขัดสนจะมาเอาอิกก็ได้.”

หล่อนยืนตลึงด้วยประหม่าพูดว่า “คุณจะให้ฉันเท่านั้นเจียวหรือ? ตลอดปีนี้ฉันไม่เคยมีเงินถึงตำลึง จะขอใครได้สักบาทก็แสนยาก คุณกล้าให้หลายตำลึง ไม่คิดเสียดายหรือ. ?”

“โอ๊ย! ไม่เสียดาย.”

“แม้! ยกโทษให้ฉันก็เปนพระเดชพระคุณแล้ว ยังให้เงินด้วยความเต็มใจอิกหรือ. ?”

“เต็มใจจ้ะ.”

“คุณไม่รังเกียจฉันที่ได้ทำให้คุณร้อนใจ เสียเกียรติยศ, เสียศักดิ, เสียรัก, เสียอะไรๆ ทุกอย่างหรือ.?”

“ลืมแล้วแม่ ลืม, ลืม.”

“คุณอาจจะให้ทานฉัน อันเปนคนซึ่งคุณเคยรักดังดวงใจแล้วฉันไปทำชั่วคบชู้สู่ชาย.”

“โอ! อย่าพูด มันเปนกรรมของฉัน.”

“ฉันไม่คิดถึงคุณ ได้ไปคบชู้สู่ชาย ได้ทำให้คุณลำบากทุกข์ตรอม แลเมื่อมีท้องกับชู้ฉันผู้กาลี ยอมให้ชู้นำไปหาหมอ······ ตัดเสียไม่ให้เกิดบุตร คุณยอมลืมเจ็บลืมแค้นหรือ. ?”

“ลืมจ้ะ ลืม, มันเปนโทษของชู้·· มันเปนผู้ร้าย.”

“บัดนี้จะให้เงินฉันอิก ยกโทษให้ฉันด้วย.”

“จ้ะ จ้ะ.”

หล่อนร้องโอ้ แล้วยืนโซเซสักครู่ก็ร้องหวีดล้มลงสลบไป.

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ