บท ๙ เมฆสว่างของชีพ

ถึงมีสุขสบายมีที่หมายได้ชมก็ดี ถ้าไม่มีใครรักรอบข้างก็ยังไม่ทำให้สำราญ แต่หมู่นี้เรามีผู้ชอบพอมาก แม่ปรุงนั้นมีผู้รักใคร่มาก ถ้ากระนั้นใครเลยจะไปตัดมิตร์ในตัวคุณภักตร์ได้ เพราะฉนั้น แม่ปรุงยังคงมีผู้รักมากหน้าหลายตารวมทั้งคุณภักตร์ด้วย.

หมู่นี้แม่ประไพได้มาเยี่ยมเราบ้าง แม่น้องชอบพอสนิทสนมกับแม่ปรุงมาก มิหนำชอบทารกน่าเอนดูนั้นก็ไม่น้อย แม่กลึงก็เหมือนกันมาหาทีไรก็ทึ่งพ่อหนูอยู่มาก จนออกปากว่าอยากมีลูกกระนี้บ้าง แต่หล่อนนั้นยังไม่ได้ตั้งต้นใฝ่หาบุตร์ถึงเพียงไหน เพราะหล่อนยังไม่มีสามี. แลพ่อแดงแทบจะมีพี่ป้าน้าอาว์เสียใหญ่ ด้วยแม่ประไพนั้นไล่วงศ์กันไป ๆ มาๆ เลยกลายเปนน้าพ่อหนู น้องแม่ปรุง นับเนื่องจาก “อาดำ” ตามเชื้อสาย แม่กลึงนั้นยอมเปนป้าพ่อหนู เพราะหล่อนแก่กว่าแม่ปรุง นับว่าเปนพี่สาวแม่ปรุงได้ โดยใช้นับเรียงญาติเกี่ยวดองกันมาจากนาง “ฮาวา.”

ครั้งหนึ่งเมื่อแม่ประไพมาหาแม่ปรุง เจอพร้อมหน้ากับแม่กลึงเข้าด้วย พ่อหนูอยู่หว่างกลาง ป้า, แม่, แลน้า, รุมกันสัพยอกหยอกฟัดอยู่ที่เก้าอี้ยาวใต้ต้นไม้ใหญ่ดูงามนี่กระไร งามคล้ายภาพของสามเทพธิดากำลังป้อนอาหาร นางกัณหา, พระชาลี.

ความสุขทั้งหลายจะหาไร้ราคีที่ไม่เจือทุกข์นั้นได้ยาก อามิศสุข คือสุขซึ่งมีของชมนั้นย่อมมีทุกข์กังวลมากกว่านิรามิศสุข ๆ คือสุขซึ่งปราศจากมีของห่วงใย.

เย็นวันหนึ่งข้าพเจ้ากลับจากทำงาน ข้าพเจ้าตรงไปยังห้องของหล่อนทันที ด้วยอยากพบหน้าอันแช่มชื่นซึ่งข้าพเจ้าใฝ่หามาหลายชั่วโมง ข้าพเจ้าเห็นหล่อนนั่งเก้าอี้มีพนักอยู่น่าโต๊ะเครื่องแป้ง เห็นรูปหนึ่งซึ่งหล่อนเอาเปนกังกลหยิบ ๆ วาง ๆ อยู่แล้วก็ถอนใจ.

ข้าพเจ้าทำเปนไม่ทันสังเกตรูป ถลันเข้าไปในห้อง หล่อนเห็นก็ดีใจให้สัมผัศแลชวนปราไสยตามเคย แต่ข้าพเจ้าถามว่านั่นรูปของใคร. ? หล่อนนั้นซ่อนรูปไม่ทัน จำต้องบอกตรงว่าเปนรูปของคุณภักตร์ให้มา.

ข้าพเจ้าเฉลียวใจว่าทำไมมานั่งหยิบๆ วางๆ รูปแลทอดถอนใจ ยิ่งคิดเพ้อใจก็ยิ่งแสยงเพ้อไปใหญ่ ถามว่าเกลอยื่นให้หล่อนเองหรือให้บุตรีส่งให้, เกลอกล่าวสิ่งไรคุมรูปมา จึงทำให้แม่ปรุงถอนใจใหญ่ แต่ข้าพเจ้าจะห้ามให้ทิ้งรูปหนึ่งรูปใดมิได้, ด้วยหล่อนได้รับรูปหญิงชายให้มาไว้ดูเล่นเปนที่ระลึก รวมทั้งรูปญาติด้วยตั้งร้อยรูปแล้ว.

ความแคลงถ้าแสดงในคำโป้ง ๆ แล้ว ก็กล่าวได้ว่าคุณภักตร์รักรูปแม่ปรุงเพียงไร น่าแคลงที่จะเป่ามนต์กำกับรูปเขามาให้ใจตรงกันอย่างนั้นบ้าง แต่หากแม่ปรุงอารีรักคนรอบข้างข้าพเจ้าจึงไม่เห็นแปลกอะไร.

การแคลงเช่นนี้ทำให้ทวีขึ้นอิก เมื่อวันหนึ่งที่ลับหูลับตาคน แม่ปรุงนั้นอุ้มพ่อแดงอยู่ ข้าพเจ้าผู้เคยสำนึกเสียวแปลบ ๆ ระลึกถึงภรรยาจนค้นคว้าหาตัวให้พบหน้าจึงหายเสียวแปลบ กลายเปนปลื้มปลาบ แล้วจึงค่อยคลายทุรนทุรายได้บ่อยๆ นั้น ลอบมาเดินวงอยู่พอแลลอดกิ่งไม้ใบโปร่งไป ก็เห็นเจ้าหนูถูกเปนของเล่นอยู่ แต่คุณภักตร์นั้นคลุกคลีต่อเด็กมากเกินไป จนมือเขาเฉียดเนื้อมารดาเด็ก แลหน้าเขาเฉียดหน้าหล่อน แลลมหัวร่อของเขานั้นกระทบแก้มหล่อน ข้าพเจ้าไม่พอใจที่ชายใดจะล้อเด็กจนเพลินไปเกินเหตุ เหมือนอย่างจูบลูกเกือบถูกแม่เช่นนี้ ข้าพเจ้าลอดตาส่ายดูเพื่อให้รู้ว่าแม่ปรุงจะชอบกลิ่นไอเขาหรือไม่ แต่ก็เห็นหล่อนก้มดูบุตร์หัวเราะเพลินไป ไม่เดียงษาแก่เหตุอื่นนอกจากบุตร์ ข้าพเจ้ากลัวหล่อนจะเดียงษาขึ้นมา จึงกระซิบสาวใช้ให้รีบไปบอกแม่ปรุงว่า “คุณพี่” เรียกหา.

ข้าพเจ้าหวั่นใจว่าแม่ปรุงผู้มีใจเมตตากรุณาเผื่อแผ่จะพลอยสมเพชเวทนาเกลอผู้นี้ซึ่งมีชีพลับหลังอย่างน่าแสยงต่อผู้ปกครองหญิงอันบริสุทธิ์ แลตามคำกระซิบของนายขบวนนั้น เมื่อฟังดูเปนที่น่าสยดสยองนี่กระไร ในความประพฤติเหตุหลงไปในความบำเรอที่คุณภักตร์ฝักใฝ่ให้พอใจได้สดวกกว่าผู้ไร้ทรัพย์อับปัญญา.

ข้าพเจ้าเห็นแม่ปรุงนั้น อ่อนน้อมรักใคร่กลมเกลียวกับข้าพเจ้าอยู่หนัก ความรักก็แสดงต่อกัน ความลับก็แสดงต่อกันไม่ปิดปก แต่ข้าพเจ้าจะแสดงความลับอันหนักใจในเหตุนี้อย่างไรได้ เพราะข้าพเจ้าให้อิศรภาพแก่หล่อนผู้เปนแม่เรือน, เพื่อนของข้าพเจ้าหล่อนต้องรักเหมือนเพื่อนของหล่อน.

เราบอกว่าจะไปเยี่ยมอิก คุณภักตร์จึงส่งรถมาเวลาเย็น เราไปกับบุตร์แลแม่นมด้วย ในคราวนี้มิหนำเกลอชวนให้กินเลี้ยงอาหารอันโอชาด้วย เมื่อเราได้เที่ยวสวนสบายแลได้สนทนากันแล้ว บ๋อยก็จัดอาหารมาให้เราบนโต๊ะ.

ถ้าเวลาไม่พลบค่ำเราคงได้รับประทานกลางสนาม แต่เปนเวลาต้องการไฟฟ้า เราจึงกินอาหารในห้องกินเข้า เรากินอย่างโอชาที่สุด, นั่ง—หญิงอยู่ตรงหญิง ชายอยู่ตรงชาย ตรงกันข้าม, มีสี่คนทั้งเจ้าบ้านแลบุตรีกับแขกแลภรรยา.

จัดโต๊ะงามที่สุด อาหารอันโอชาที่สุด ผู้บริโภคได้รสเอร็ดอร่อยที่สุด บ๋อยจีนผู้จัดเจนคอยดูแลคนเดียว ไฟฟ้าสว่าง พัดลมเย็นสบายใจ มีน้ำแข็งกินเย็นชื่นใจ ทั้งมีไอสกรีมด้วย.

คุณภักตร์อยู่ในความน่าอนาถซึ่งเงินทองจะหมดเปลืองไปจนสิ้นตัว.

คุณภักตร์ทำความพิศวงให้เราไม่รู้สิ้น ในการเลี้ยงเราอร่อยเกินเหตุ แลการเลี้ยงการจัดงดงามเต็มที่เช่นนี้ เปนข้อนำมาซึ่งความพิศวงแลความปลื้มแก่เรามากมาย ดูท่าเกลอจะได้จัดเตรียมการไว้รับเราอย่างประณีตเกินการรับเจ้า. มีซุบ, มีสลัด, มีลิ้นโค มีตับ, มีหัวใจ, คล้าย ๆ เกลอชอบจะเชือดเอาหัวใจของเกลอมาพล่าให้เรารับประทานถ้าเกลอทำได้. ทั้งของหวานอันโอชา น้ำดื่มอันเย็นด้วยน้ำแข็ง ไอสกริมมีมากมายหลายห่อเกินต้องการ ทั้งผลไม้หวาน ๆ ซึ่งแพงมากในฤดูนั้น. ข้าพเจ้ายิ่งลานตา แม่ปรุงยิ่งลานใจ ต่างกินอย่างเพลิดเพลิน โอชาอย่างทิพยอาหาร ข้าพเจ้านั้นพอใจดูภรรยาซึ่งเยื้อนแย้มพิปรายชวนกินโอชาราวกะจะเอาดวงหน้าอันงดงามมาเชื่อมชูรส ทั้งการที่เห็นหล่อนกินตุ้ย ๆ ด้วยความพอใจ ชวนให้น่ารักน่าชมแท้จริง เปนสิ่งซึ่งทำให้เราทั้งหลายกินเพลิน ทั้งแม่รุ่นดรุณีผู้มีสง่านั่งเปนหลักแห่งความบริสุทธิ์อยู่ด้วยนั้นช่วยชูศรีในแสงไฟฟ้านั้นนักด้วย.

ความพิศวงของการเลี้ยงมีอยู่มาก แต่ข้าพเจ้ายังพิศวงอิกอย่างที่เกลอไม่ “เซีฟ” สุราบนโต๊ะเลย ดูเงื่อนรอยของสุราเมรัยทั่วทุกตรางเหลี่ยมของสถาน จะหาให้เห็นปรากฎจนชั้นกลิ่นก็ไม่ส่งมา เปนข้อพิศวงอันใหญ่ในอาการปรากฎตรงกันข้ามกับข่าวที่สหายข้าพเจ้าเล่าว่าเกลอดื่มเหล้าจุพิลึก.

รับประทานแล้วเกลอให้ข้าพเจ้าสูบบุหรี่ที่แพง พอแม่ปรุงบ่นว่าคิดถึงลูก ลูกไปไหน? เจ้าบ้านหัวร่อตอบว่าพ่อหนูกินนมแม่นมจนอิ่ม หาวนอนจนหลับ หลับปุ้ยอยู่ข้างบน.

เกลอชวนเราขึ้นไปชั้นบนอิก ทุกห้องสว่างไสว ทุกห้องวิไลยตา ในใจข้าพเจ้าเร่งพล่านด้วยเพลินคเณได้ว่าแม่ปรุงคงใจฟุ้งสร้านลุ่มหลงงวยงงไปด้วยความสง่างามของสถานนี้มากนัก ทุกห้อง ๆ ดูงามในกลางคืนนี้กว่ากลางวันที่ได้เคยเห็น, แลน่าปลาดใจที่เกลอแต่งใหม่จัดใหม่วิไลยกว่าเก่า, กระถางต้นไม้ในหม้อเงินซึ่งเดิมไม่มี บัดนี้มีตั้งอยู่ ตู้งามเกิดขึ้นใหม่มีบ้าง ทั้งรูปใหม่, ม่านลูกไม้ใหม่, กรงนกคีรีบูนเดิมไม่มี บัดนี้มีสองกรง งามทันกันทั้งสองกรง ปลาทอง, เก้าอี้ยาว, พรมงาม, ของแขวนประดับ แลอะไร ๆ แปลกตามาใหม่ ๆ มาก.

ข้าพเจ้ากับภรรยากำลังตลึงหลงด้วยความโอฬารพอมาถึงห้องนอนที่เรียกว่าห้องพิเศษนั้น ดูในห้องมีเครื่องมุกต่าง ๆ บนเตียงนอนอันใหญ่มีมุ้งหมอนที่นอนซึ่งจัดแต่งงามกว่าเก่าเข้าแสงไฟฟ้า แลบนกลางที่นอนซ้อนอยู่บนเบาะนั้น พ่อหนูนอนหลับสนิท หน้าตาจิ้มลิ้มแก้มเปนพวง แม่นมนั่งคุกเข่าโบกปัดอยู่.

แม่ปรุงวิ่งเข้าไปก้มจูบทารกแลซบกอดไว้กับอก แสดงว่าดีใจที่ได้พบพ่อหนู ข้าพเจ้าแลดูตลึงไป สถานนี้ทุกแห่งมันยั่วใจให้เรากำเริบ ห้องนอนนี้มันยั่วใจให้เรารัญจวน ข้าพเจ้าตลึงดูแม่ปรุงนั่งบนที่นอนช้อนลูกน้อยขึ้นไว้กับอก ข้าพเจ้าตกประหม่าด้วยความสทกสเทิ้นใจฅอให้เกิดวูบ ๆ วาบ ๆ มีเหตุเปนสำคัญที่เห็นแม่ยอดรัญจวนนั้น นั่งรับขวัญเด็กน้อยอยู่กลางที่นอน— ที่นอนของบ้านอื่น ซึ่งข้าพเจ้าเห็นคราวก่อนทำให้สดุ้งคร้ามกลัวโดยไม่รู้เรื่องราวอะไร.

พอคุณภักตร์ยิ้มลมัย เดินเข้าใกล้จะจับพ่อหนู มันเปนการที่แทงใจข้าพเจ้ามากกว่าจะทนได้ ข้าพเจ้าสวนเข้าไปจับไหล่ภรรยาพูดว่า “กลับเถิด สงสารลูกซึ่งหาวนอน.”

หล่อนอมยิ้ม ช้อนเด็กขึ้นกอดแลจูบแลประทับไว้ เกิดเปนภาพแสดงธรรมรสอันย่อนโยน จนข้าพเจ้ายิ่งประหม่าใจ พอเหลือบมาเห็นเจ้าบ้านมองดูอยู่ด้วยตาถมึงทึง ข้าพเจ้ายิ่งขวัญอ่อน พอผู้ถมึงทึงตาดูหล่อนนั้นช้อนหางตามาเจอข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเห็นประกายไนยตาของเขาข้าพเจ้ายิ่งตกใจ พอแม่ปรุงเลื่อนไถลพรากจากที่นอนเดินประคองบุตร์น้อยออกมา ถึงตีนกระไดแม่นมก็มารับอุ้มต่อไป แม่ปรุงก็ใส่หมวกกันน้ำค้างให้เด็ก แล้วแสดงความขอบใจคุณภักตร์แลแม่ประไพเปนอันมาก แล้วก็ลาขึ้นรถยนต์ของเกลอกลับมา ข้าพเจ้าสืบสวนคราวนี้ก็ไม่ได้เค้าเงื่อนอิกครั้งในเหตุที่ว่าเขาเก็บสาว ๆ ไว้บำเรอเขามาก.

แต่ในราตรีวันนั้นข้าพเจ้าขวัญหาย ยิ่งกอด “แก้วกินรี” ยิ่งให้ใกล้ชิดตามแต่จะได้ ยิ่งหนาวใจไม่รู้ว่าภูตผีมาสังหรณ์หรือหลอกหลอนอย่างไรได้ แต่กอดกันไว้ให้ใกล้แก้ใจหนาว.

รุ่งขึ้นแม่ประไพมาหาในเวลาเย็น, เมื่อเยี่ยมแม่ปรุงแลทักทายปราไสยทั้งมารดาแลบุตร์แล้วกระซิบข้าพเจ้าว่าป๋าให้หาตัวข้าพเจ้าไปหาให้จงได้.

ข้าพเจ้าตระหนี่ตัวที่จะไปกับหล่อนแทนที่แม่ปรุง แต่ไหนๆ จะต้องไปรับเอาดอกไม้หอมๆ อันหายากมาให้แม่ปรุง แลข้าพเจ้าอาจจะนั่งข้างน่าข้างสารถีรถยนต์ในเมื่อแม่ประไพนั่งข้างหลังข้าพเจ้าจึงไป ก็ได้พบกับคุณภักตร์ ได้ต้นไม้ดอกหอม ๆ หายากมาให้แม่ปรุงอันเปนที่พอใจหล่อนเปนอันมาก.

ข้าพเจ้าต้องไปหาคุณภักตร์โดยแม่ประไพมาตามตัวอิกบ้างบางครั้งบางคราว แต่ไม่เปนการรังเกียจใจเท่ากับการที่แม่ประไพมารับตัวแม่ปรุงไปหาป๋า เพราะข้าพเจ้านั้นมีธรรมอยู่ในใจว่า ข้าพเจ้าไปด้วยแม่สาวพรหมจารีโดยกิจการของแม่ปรุง แต่ซึ่งแม่ปรุงต้องไปในบ้านเช่นนั้นคนเดียวกับสาวใช้ เปนการซึ่งทำให้ข้าพเจ้าวิตกมาก เพราะเหตุถึงว่าข้าพเจ้าสืบไม่ได้เห็นกับตาตามเขาว่าก็จริง แต่ซึ่งมีข่าวว่าคุณภักตร์เปนคนหลงโลกีย์อย่างไร แลบ้านนั้นเต็มไปด้วยสาวซึ่งชวนกันบำเรอล่อกาม โดยคุณภักตร์เปนผู้ชุบเลี้ยงเสียค่าโสหุ้ยการเลี้ยงดู มันก็นับว่าเปนบ้านซึ่งเสียชื่อแห่งสัตรี เรียกว่าบ้าน “ชื่อเสีย” ได้, ข้าพเจ้าจึงตกใจมาก.

นอกจากการไม่อยากให้หล่อนไปยังบ้านนั้น โดยรังเกียจแก่การอื่น ๆ แล้ว ยังมีข้อซึ่งข้าพเจ้าไม่ใคร่อยากให้หล่อนเห็นบ้านนั้น เพราะว่าตั้งแต่แม่ปรุงเห็นบ้านนั้นแต่ครั้งแรกแลครั้งต่อ ๆ มา หล่อนก็หลงลเมออยากจะได้วิมานงาม ๆ อยู่เล่นบ้าง หากข้าพเจ้าเปนสามีที่ดี หล่อนจึงระงับความทเยอทยานเสียได้บ้างชั่วคราว ข้าพเจ้าก็กล่าวแก่หล่อนว่าเมียเราไม่สุรุ่ยสุร่ายแล้ว ก็คงมีตึกงาม ๆ อยู่กับเขาบ้างได้ แต่เสียงปลอบของข้าพเจ้านั้นหล่อนฟังเปนคำกลวงไม่หนักแน่น คล้ายจะได้ยินเปนเสียงที่กล่าวว่า “ชาตินี้อย่านึกเสียเลย เราเอ๋ย.”

ข้าพเจ้ากลับจากงานเย็นวันนั้นรู้ข่าวว่าแม่ปรุงไปยังบ้านคุณภักตร์กับแม่ประไพ ข้าพเจ้าตกใจ ไม่รู้ว่าครั้งนี้เปนครั้งที่หนึ่งหรือที่สอง ที่หล่อนกล้าไปตามลำภัง ข้าพเจ้ามิทันพักผลัดผ้า ก็รีบขี่รถลากนั่งเดี่ยวนั้นเร่งมา ใจฅอหวั่น ๆ ถึงเมียรัก ยิ่งคิดถึงห้องท้ายสวนยิ่งสเทื้อน ยิ่งคิดถึงห้องเตียงมุกยิ่งสท้านยิ่งหวั่นใจ.

ข้าพเจ้ามาพบหล่อนกลางทาง นั่งอยู่พนักหลัง. สาวใช้นั้นนั่งน่าข้างคนขับที่เรียกกันว่า “ช็อฟเฟอร์” รถยนต์หยุดรับข้าพเจ้า ๆ ค่อยคลายใจ หล่อนยิ้มแย้มแจ่มใส ว่าจะได้ไม้เถาอิกมาก ข้าพเจ้านั้นกำลังหวามใจจึงพูดว่า ฉันไม่อยากให้หล่อนมายังบ้าน “นามชั่ว” นี้โดยลำภังเลย หล่อนชงักกิริยาร่าเริง ถามว่าทำไม, อย่างไร, เพราะเหตุใด, จึงว่าบ้านนามชั่ว.

ข้าพเจ้าไม่ได้นึกว่าจะต้องถึงกับอธิบาย หมายว่าหล่อนเข้าใจอยู่แล้ว ครั้นเห็นหล่อนไม่เข้าใจ ข้าพเจ้าก็นิ่งเสีย ไม่อยากจะชี้ทุกข์ให้แก่ผู้ไม่รู้ความ จึงเลยบอก “ช็อฟเฟอร์” ให้ขับอ้อมไปเที่ยวเล่นถนนอื่น ทั้งนี้ก็เพราะจะให้หายกลุ้มใจ ซึ่งกำลังเหือดหายไปทุกที่หายใจเข้าออก โดยกลิ่นหอมจากแม่แก้วแววตาซึ่งนั่งอยู่ข้างกายส่งมาให้บันเทาทุกข์ บันเทาระคายใจทุกหายใจเข้าออก.

เราพบคุณแกลบพี่แม่กลึง เขาขี่รถลากมากับด้วยหญิงหนึ่ง แทนที่เขาจะหลบหน้าอาย เขาเปิดหมวกให้ แม่ปรุงก็ก้มรับ ข้าพเจ้าก็ต้องรับเคารพเขาด้วยหมวกบ้าง แต่ทำให้คิดว่าท่านหนุ่มผู้นี้ซึ่งเปนผู้ดีซึ่งมีทรัพย์ ยังกล้าขี่รถลากมากับหญิงได้ก่อนเวลาตวันตกดิน ไม่กลัวถูกติฉิน ถึงว่าหญิงน่าดูนั้นจะเปนใครก็ดี.

ข้างสนามที่ประชุมแห่งหนึ่ง เราเห็นนายขบวนนั่งตากลมอยู่ เขาดีใจที่ได้พบเห็นเรา เมื่อเราหยุดรถจอดเพื่อนั่งตากลมเล่นบ้าง นายขบวนมาหาเรา แสดงสีหน้าตาเต็มไปด้วยความยินดี เขามาเกาะรถยนต์สนทนากับข้าพเจ้าแลแม่ปรุง ชวนหัวร่อต่อกระซิกกันแล้ว ข้าพเจ้านั้นเพลินใจเกินไป ก็เลยลงจากรถยนต์ เดินคุยกันเล่นไปมาตามสบาย ข้าพเจ้ากระซิบว่า “บ้านเสียชื่อ” นั้นได้ไปตรวจแล้ว ไม่เห็นมีสิ่งไรจะทำให้เสียชื่อ นายขบวนหัวเราะแล้วพูดว่าแล้วจึงค่อยเห็นเถิด แล้วท่านสหายเลยขยายความ มีใจความว่า เมื่อแม่ปรุงชอบเยี่ยมบ้านสหายนั้น ข้าพเจ้าก็ชะนะหล่อนมิให้ไปเตร่ได้โดยเชิญสหายต่าง ๆ มาร่าเริงที่บ้าน บัดนี้แม่ปรุงชอบอยู่ตึกรามใหญ่ ทำไมข้าพเจ้าไม่เร่งสร้างตึกเล่า.

ข้าพเจ้ายิ้มถามว่ารู้ความในใจของแม่ปรุงมาจากไหน ท่านสหายตอบว่า เมื่อเขาไปหาที่บ้านนั้นแม่ปรุงบอกเขาถ้วนถี่ตามอารมณ์อยากของหล่อน แลบอกถึงสองหนแล้ว โดยหล่อนพูดเพ้อเจ้อถึงการมีตึกราม การมั่งคั่งต่าง ๆ เปนอันมาก, ถ้าข้าพเจ้ากรุณาภรรยาก็จงเร่งจัดการสร้างตึกอยู่เปนสุขเถิด.

ข้าพเจ้าถอนใจใหญ่ บอกเขาว่าข้าพเจ้ามิใช่ขุนนาง ทั้งยังไม่ถึงเวลาต้องการอยู่ตึก เพราะเรือนแลบ้านซึ่งอยู่เดี๋ยวนี้สุขสบายมากอยู่แล้ว นายขบวนตอบว่าถ้าแกไม่ต้องการเอง เมียแกต้องการมาก ๆ

แล้วเขาถามว่า จะขวนขวายสร้างตึกรามจริง ๆ จะไม่ได้เจียวหรือ ข้าพเจ้าถอนใจใหญ่ตอบว่าสร้างก็ได้ แต่ต้องขายที่ดินหลายแปลง เขากำชับว่าขายก็ขายเถิด แล้วซื้อเอาใหม่.

คำอันนี้ถ้าข้าพเจ้าทำตามคำของเขาเสียแล้วก็จะดีนี่กระไร แต่ข้าพเจ้าไม่ได้ทำตาม ก็เหมือนอย่างว่าเสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย ครั้นรู้ตัวเข้าสิเลือดตาก็แทบกระเด็นไปแล้ว แลยังคิดได้ว่าเมื่อคราวแม่ปรุงได้รับทุกข์ขนาดใหญ่นั้น ถ้าข้าพเจ้าเปนสามีดีจริงก็ก่อรากสร้างตึกปลอบหล่อนเสียก่อนทุกข์หนัก “เลยเถิด” ก็จะดีนี่กระไร.

แต่เทพยเจ้าไม่ผลักคนเคราะห์ร้าย ให้เข้าช่องเคราะห์ดีได้ ทั้งก็ไม่ผลักคนบาปออกจากบ่วงบาปได้เหมือนกัน เพราะโชคมันหันไปเหมือนเครื่องจักร.

เมื่อข้าพเจ้าเดินมาจะขึ้นรถยนต์ นายขบวนกระซิบว่าค่ำมืดในที่เปลี่ยวจงระวังตัวนะ ข้าพเจ้าเฉลียวใจอยากจะถามต่อไป พอมาใกล้รถยนต์, นายขบวนหัวร่อพูดว่าไม่เปนไรขอรับ ไม่ต้องกลัวเจ็บป่วย ยิ่งกินเข้าได้อิ่ม ยิ่งไม่ตาย.

พอข้าพเจ้าลาท่านสหาย แม่ปรุงถามว่าจะกลับหละหรือ ? ข้าพเจ้าผู้หิ้วท้องจึงร้องว่า “ฉันหิวเข้า.”

รถยนต์จึงเร่งกลับมาบ้าน เรารับประทานอาหารยิ่งโอชาเพราะว่าได้ไปตากลม.

วันต่อมา ข้าพเจ้ารู้ตระหนักว่าทำไมนายขบวนจึงกำชับกำชา.

เย็นวันหนึ่งข้าพเจ้ากลับมาจากทำงาน ผลัดผ้าแล้วไม่เห็นหน้าแม่ปรุง ข้าพเจ้าเดินไปหายังที่หล่อนกังวลปลูกต้นไม้ใหม่ ข้าพเจ้าเห็นหล่อนอยู่สองคนกับคุณภักตร์ข้างสระ คุณภักตร์นั้นนุ่งม่วงแต่ถือเสียมเดินมานั่งข้างหล่อนณที่พนัก ข้าพเจ้าปลาดใจที่เห็นเขากล้าจับมือแม่ปรุงถือไว้ พูดอะไรกับหล่อนข้าพเจ้าไม่ได้ยิน แม่ปรุงไม่ยักสบัดมือ เปนนานจึงหดมือมาได้ หล่อนยิ้มก่อน แล้วฟังต่อไป หล่อนสบัดหน้าแลค้อนควัก. ข้าพเจ้าไม่พอใจในเยี่ยงนี้เปนอันมากจึงเดินตรงเข้าไป แม่ปรุงเห็นข้าพเจ้ามาแต่ไกลก็ดีใจเดินมาหา หล่อนคงดีใจที่ได้ปลดออกจากถ้อยคำอะไรซึ่งดึงยุดให้หล่อนอยู่กับที่ ข้าพเจ้าเห็นหล่อนประหม่า แต่หล่อนชิงพูดว่าต้นไม้เถานั้นปลูกแล้วจะให้ไต่ขึ้นร้านข้างสระ.

คุณภักตร์ลาไปแล้ว เรารับประทานอาหารเสร็จแล้ว ข้าพเจ้าคิดระงับใจจะไม่ถามแม่ปรุง ก็อดระงับใจไม่ได้ เมื่อมานั่งสูบบุหรี่เล่นที่น่าบ้านใกล้แม่ปรุง ข้าพเจ้าจึงถามด้วยอ่อนหวานว่าคุณภักตร์ได้พูดอะไร.

หล่อนสดุ้ง แล้วตอบว่าคุณภักตร์เปนแต่บอกว่าจะเอาไม้เถามาให้อิก แลอยากปลูกเอง.

ข้าพเจ้าไม่วางใจในน้ำคำนัก แต่ข้าพเจ้านิ่งเสีย เพราะข้าพเจ้าได้เห็นแก่ตาแล้วว่าแม่ปรุงไม่มีความพอใจในถ้อยคำของเขา.

ก่อนที่ข้าพเจ้าจะถึงคราวมุทลุดุดันสหายนั้น ยังมีเหตุอิกอย่างหนึ่งก่อน คือวันหนึ่งเปนวันอาทิตย์ด้วยซ้ำ เปนวันซึ่งข้าพเจ้าอยู่บ้านกับภรรยา แต่ในเวลาบ่ายแม่ปรุงถูกตามตัวโดยแม่กลึงณบ้านคุณพระให้แม่ปรุงไปหา พาบุตร์ไปด้วย เพราะสหายในวังอยากเห็นบุตร์นัก แม่ปรุงอยาก “โชว์” บุตร์ก็จะไปให้ได้ ข้าพเจ้าสั่งว่าจงกลับเร็ว แล้วก็ส่งหล่อนขึ้นรถม้าซึ่งมารับหล่อนไปกับบุตร์แลแม่นม.

เย็นสักหน่อยแม่ประไพมาหา ถามข้าพเจ้าว่าแม่ปรุงไปไหน พอหล่อนทราบว่าแม่ปรุงไม่อยู่, ไปหาสหายเสียที่บ้านแม่กลึง หล่อนก็ร้อนใจอยากจะพบตัวแม่ปรุงให้จงได้ เมื่อปราไสยกับข้าพเจ้าแล้วหล่อนก็ลาไป พูดว่าคิดถึงแม่ปรุงนัก จะกลับบ้านนี้คงจะอ้อมไปแวะให้เห็นหน้าแม่ปรุงเสียก่อน เพราะหล่อนมารถยนต์ไปมาได้รวดเร็ว.

ข้าพเจ้าคอยแม่ปรุงเห็นนมนานยังไม่กลับก็คิดวิตก จนเย็นมากนั่งคิดถึงบุตร์ภรรยาอยู่ในห้อง กำลังเอารูปของหล่อนที่ฉายไว้หลายท่ามานั่งมอง ช่างทำให้เพลิดเพลินเจริญตา คิดว่าถ้าชายใดเห็นคงหลงใหลอยากพบตัวจริง แต่ผู้ที่หลงใหลอยู่แล้วนั้น เมื่อได้เห็นรูปจะทำให้คลั่งใจในสวาทเพียงไร แลเมื่อได้คิดว่าผู้หนึ่งแขวนรูปแม่ปรุงไว้ใหญ่น้อยมากมายที่บ้านเขานั้น คเณว่าเขาจะหลงสวาทเพียงไหนเปนเกินจะกะวัดได้ ข้าพเจ้าก็สท้านใจให้ระลึกถึงผู้หวังสวาท ซึ่งได้เห็นเขาอาจจับมือแม่ปรุงถือไว้แลบรรจุคำสวาทใส่หูหล่อนด้วยณที่ท้ายสวนเมื่อวันก่อนนี้ เปนเหตุที่ทำให้ข้าพเจ้าสทกสท้านทวีขึ้น พอเหลือบมาเห็นรูปอันแย้มเยื้อนชวนปลอบให้ชอบชื่น ข้าพเจ้าจึงคิดได้ถึงความสัตย์สุจริตของหล่อน ความจงรักภักดีอันมีต่อข้าพเจ้า ข้าพเจ้ายิ่งปลื้มใจ ยิ่งคิดถึงอาการที่หล่อนแสดงไม่พอใจในคำสวาทของคนอื่น ข้าพเจ้านึกขอบใจแม่ปรุงเปนอันมาก

พอได้ยินเสียงรถยนต์ ข้าพเจ้าวางรูปไว้ยังที่. มาที่ประตูบ้าน เห็นแม่ปรุงหน้าบานย่างเท้าลงมาจากรถยนต์, หน้าบานชวนชื่นแล้วมิหนำยังซ้ำตรงมาหาข้าพเจ้า พูดฉอเลาะขอโทษที่ไปช้า เพราะสหายชวนสนทนาไม่วายคำ แลพากันอุ้มฟัดบุตร์สุดสวาทไม่ขาดมือเปลี่ยนกันทุกคนไป.

หล่อนได้ความสำราญมาก กระปรี้กระเปร่าดีเนื้อดีใจ ซึ่งสหายพากันนิยมชมชื่นในหล่อนแลในบุตร์. แต่ความในยังมีความปลื้มอิกซ้ำ ซึ่งข้าพเจ้ารู้ได้ในวันหลัง คือหล่อนได้เพชร์เม็ดใหญ่ ถึงเม็ดเดียวก็จริง แต่ถ้าหาเข้าคู่กันได้อิกเม็ดหนึ่งได้ก็จะมีประโยชน์ทวี, เพราะฉนั้นบัดนี้จึงใส่ได้แต่แหวน ถ้าได้คู่จึงค่อยเปลี่ยนแปลงเปนตุ้มหู.

เพชร์นี้ข้าพเจ้ายังไม่รู้ว่าใครให้, ยังไม่รู้ว่าหล่อนได้มามันเปนความลับ ข้าพเจ้าดีใจหล่อนมาฉอเลาะขอโทษที่กลับมาช้า เพราะเพลินอยู่กับสหายมาก เขาอยากจะอุ้มพ่อแดงต่อ ๆ ไป ข้าพเจ้าดีใจที่หล่อนได้ปลื้มใจมา จึงลืมกายไปกอดแม่ปรุงไว้เลยซัดให้ฟอดหนึ่ง ซึ่งทำให้หล่อนแดงขึ้นทั้งปากทั้งแก้ม.

พอข้าพเจ้าได้สำนึกสิ ที่ไหนเล่าฟอดได้เสร็จแล้วไปแล้ว ยั้งไม่ทัน, ไม่ทันได้ดูข้างหลังเสียก่อน บัดนี้ที่ข้างหลังนั้นมีสองตาดำเปนมันขลับจ้องดู เปนไนยตาดำมันจริง ๆ กลมจริง ๆ น่ารักจริง ๆ ไนยตานั้นค้อนข้าพเจ้า แทงใจข้าพเจ้าปลาบ.

ข้าพเจ้าพูดกลบเกลื่อนว่า “อ้อ, นี่แม่ประไพมาส่งพี่สาวหล่อนด้วยหรือ นึกว่าไปบ้านแล้ว.?”

หล่อนตอบว่า “ฉันเอารถยนต์มาส่งแม่ปรุงให้ถึงทันใจ รถม้านั้นไปส่งคนที่วัง.”

ขณะนั้นแม่ปรุงร้องว่า “แม่ประไพ จงมาในห้องฉันนี่ ต้องการผ้าอะไร ฉันจะให้.”

แม่ปรุงก็พาแม่ประไพขึ้นเรือนเข้าห้อง ข้าพเจ้านั่งที่เก้าอี้ข้างสนาม อุ้มชมพ่อหนูสักครู่แล้วให้แม่นมพาเด็กไปนอน พอแม่ปรุงซึ่งถอดเสื้อแล้ว เหลือแต่เสื้อฅอซับใน นุ่งผ้าเดิม แต่คาดเข็มขัดเอวกลมงามดังรุ่นสาวพรหมจารี เดินหัวร่อต่อกระซิกมานั่งเก้าอี้ซึ่งข้าพเจ้าได้นั่งอุ้มเด็ก ตัวข้าพเจ้าได้ไปมองดูที่ปากสระแก้ว ข้าพเจ้าเห็นแม่ประไพถือห่อผ้าม้วนในกระดาด ภายในคล้ายผ้าริ้วหรือผ้าสะไบ เข้าใจได้ว่าแม่ปรุงคงให้แก่แม่ประไพโดยเมตตา.

แม่ปรุงชวนฉอเลาะต่อไป แต่แม่ประไพนั้นดูท่าขรึมมาจากบ้านแม่กลึง คล้ายว่าได้รับความทุกข์ร้อนอะไรมาจากบ้านนั้น โดยสีหน้าบอกว่าไม่สเบย ถามแม่ปรุงว่าชายนั้นชื่อไร หญิงนี้ชื่อไร แล้วก็ลาไป.

เมื่อกินเข้าแล้ว แม่ปรุงจึงได้บอกว่าคุณภักตร์ให้เพชร์แก่หล่อนโดยกำชับบัญชามาให้แม่ประไพยื่นต่อมือหล่อนให้จงได้ แม่ประไพมาหาแม่ปรุงไม่พบที่บ้าน จึงจำใจไปหายังบ้านแม่กลึง เพราะหล่อนได้ของมีค่าก็เปนห่วงใจจนกว่าจะยื่นของนั้นให้แก่แม่ปรุงแล้วจึงหายห่วง.

แม่ปรุงนำเพชร์มาให้ดู ทำอยู่ในรูปพรรณแหวนซึ่งใส่นิ้วนางแม่ปรุงพอดี หล่อนบอกว่าคุณภักตร์ได้ช่วยคนผู้ยากไว้ ครั้นมันขัดสนจึงขายให้ราคาถูกที่สุด เพียงร้อยเศษเท่านั้น ถ้าแม่ปรุงไม่ให้ค่าแหวนเพชร์นี้คุณภักตร์จะทดรองไปให้ก่อน แล้วแม่ปรุงจะใช้เงินร้อยเศษให้คุณภักตร์เมื่อไร หรือใช้ให้ไม่เต็มก็ตามใจ.

ข้าพเจ้าพิศดูเพชร์รู้ได้ว่าราคาเม็ดเดียวกว่าพันบาท หาใช่คนผู้ยากจะมีไว้เปนสมบัติมิได้ เพราะวงแหวนเรือนน้อยเปนของทำกันฝีมืออย่างใหม่ แลเปนรูปพรรณพึ่งทำใหม่ ๆ ข้าพเจ้ากริ่งใจว่าคุณภักตร์ต้องการตอบแทนอะไรในแม่ปรุง จึงจัดหาของราคาแพงให้แม่ปรุง แลว่าซื้อมาราคาถูก.

ข้าพเจ้าจะห้ามแม่ปรุงไม่ให้ดีใจ แลไม่ให้รับแหวนก็ไม่ได้ ต้องปล่อยให้หล่อนดีใจไปตามประสาซื่อ ข้าพเจ้ามีแต่ต้องระวังระไวแลลอบบอกคุณแม่ข้าพเจ้าให้ระวังภัยอันจะมีมาแก่แม่ปรุงด้วย.

แม่ปรุงนั้นกำลังร่าเริงแลบนบานศาลกล่าวขอให้คุณภักตร์พบเม็ดขนาดนี้เข้าคู่กัน หรือเราพบเองก็จะซื้อเข้าคู่กันโดยออกเงินซื้อเองให้จงได้ แล้วก็จะมีประโยชน์เปนอันมาก.

เรื่องแหวนนี้ข้าพเจ้ารู้เหตุแต่เพียงเท่านี้ แต่วันรุ่งขึ้นเวลาข้าพเจ้ากลับมาจากทำงานในเวลาเย็นเห็นพิรุทจึงได้ความลับในเรื่องแหวนอิก.

ข้าพเจ้ากลับจากงานรีบถลันมาห้องของตัว เมื่อถอดรองเท้าแลเสื้อนอกแล้วก็ด่วนเดินไปห้องแม่ปรุงเพราะข้าพเจ้ากลับจากทำงานทีไร ก็ชอบเห็นหน้าแม่ปรุงก่อนเห็นสิ่งอื่น วันนี้ข้าพเจ้าจึงตามหาจะให้พบหน้าชอ้อนนั้นตาม “โปรแกรม” ข้าพเจ้าเปิดประตูผางเข้าไปคล้ายอยากจะโถมเข้าหาตัว ผิดสมบัติผู้ดีไปหน่อยไม่ทันเคาะประตูให้เจ้าของห้องรู้สำนึกเสียก่อน หล่อนจะได้จัดแจงเตรียมเนื้อเตรียมตัวทัน—ถ้ายังไม่ได้เตรียม.

โอ— ข้าพเจ้าเห็นหล่อนอ่านจดหมาย หล่อนสดุ้งขึ้นแล้วทำกลบเงื่อนพับจดหมายใส่ลิ้นชัก คล้ายว่าเปนจดหมายธรรมดา ซึ่งเคยได้มาจากเพื่อนสาว ๆ ข้าพเจ้านั้นไม่เอาเปนอารมณ์ในจดหมาย ข้าพเจ้ากอดตวัดคนแลชวนมาปราไสยบอกว่าเจ้าคุณแห่งกระทรวงจะขอขึ้นเงินเดือนให้.

เรากินเข้าแล้วมานั่งน่าบ้าน ข้าพเจ้าลืมบุหรี่, มาห้องบุหรี่เอง หล่อนกอดบุตร์นั่งหยอกเล่นคงที่ ข้าพเจ้านั้นสงไสยอยู่แล้วว่าไม่ใช่จดหมายธรรมดาที่มาจากเพื่อนสาว เพราะการสดุ้งแม่ปรุงเปนพิรุทอยู่ในตัว ข้าพเจ้าอยากทราบความในจดหมายไม่วายคิด อยากทราบตลอดเวลาที่ปราไสยบอกเหตุเงินเดือนขึ้นแลตลอดเวลากินเข้า. ข้าพเจ้ามาห้องข้าพเจ้าจึงเลยไปยังห้องหล่อน จะเก้าเข้าห้องเมื่อเจ้าของไม่อยู่รู้สึกหนักใจในเหตุที่มันเปนการอันไม่สมควร แลขะโมยจดหมายเขาดูเปนการผิดใหญ่ ข้าพเจ้าจะทำผิดต่อคู่ร่วมชีวีจึงรีๆรอๆอยู่ หากว่าไม่เคยเห็นการปั่นป่วนของเหตุที่เปนไปในเร็วๆ นี้ ก็คงไม่ร้อนใจพอที่จะขะโมยดูจดหมาย แต่นึกเสียว่าบัดนี้แม่ปรุงเปนที่ทำให้ข้าพเจ้าคิดว่าอยู่ใกล้อันตราย เปนน่าที่ของข้าพเจ้าจะป้องกันภัยให้หล่อนในการที่จะสืบสวนเหตุร้าย มีเช่นลอบดูจดหมายฉบับนี้เปนต้น.

ข้าพเจ้าแขงใจเข้าห้องเปิดลิ้นชัก ชักจดหมายกวาดตาอ่านตลอดโดยด่วน ทั้งขึ้นน่าแลลงท้ายของจดหมายก็เห็นหมดแล้วรีบกลับมาห้องของตัว.

มือเท้าให้อ่อนเพลียละเหี่ยใจ ด้วยเห็นมันเปนจดหมายของคุณภักตร์จดมาให้ ใช้คำหวานคล้ายฝากรักแลกล่าวความว่าเพชร์นั้นถ้าหาคู่กันได้ เกลอจะหามาให้ แลเงินนิดหน่อยร้อยเศษนั้นแม่ปรุงจะไม่ใช้ให้เลยก็ได้ แลกล่าวว่าขอผ้าห่มซึ่งแม่ปรุงเคยห่มแล้วสำหรับเกลอห่มพอให้แก้หนาวใจในสวาท แลเกลอขึ้นต้นใช้คำ “รัก” แลลงท้ายจบก็ใช้คำ “รัก.”

น่าอ่านน่าจับใจ ถ้าเปนความบอกให้ของกำนันเท่านั้นแล้ว แม่ปรุงคงไม่พักต้องอ่านสองหน ดูท่าคำมันจะจับใจนักหล่อนจึงก่นอ่านบ่อยๆ.

แลผ้าสะไบบางนั้นหล่อนอบปรุงมอบให้แม่ประไพ ไม่ใช่ให้แก่แม่ประไพเอง แต่มอบแม่ประไพไปให้ป๋า.

แลผ้าริ้วไหมนี้ ข้าพเจ้าเคยให้หล่อนเมื่อหล่อนเหงาใจก่อนวันวิวาห์ เปนผ้าซึ่งหล่อนรัก หล่อนชม, หล่อนห่มคลายหนาวใจ, ห่มคลายระทมตรมที่นึกถึงคู่ที่รัก บัดนี้หล่อนตัดใจเอาผ้าผืนที่รักนั้นไปให้แก่ชู้. ชู้รักไม่ใช่ชู้ชม. !

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ