บท ๑๑ เมฆมืดของชีพ

ดึกดื่นนักแล้ว น้องแก้วนอนหลับ. ข้าพเจ้าฝืนใจจะให้หลับก็ไม่หลับ เส้นประสาทได้ตื่นเสียแล้ว เส้นประสาทได้รู้สำนึกผิดปรกติ เส้นประสาทจึงไม่ระงับ ข้าพเจ้าตื่นจากหลับ ตื่นแล้วไม่หลับอิกได้.

เราสองราอยู่ในชีพอันสุทธิ บัดนี้ข้าพเจ้ารู้สำนึกว่าคนใกล้เราใฝ่ชอบสิ่งอันไม่เปนบริสุทธิ์ ข้าพเจ้ารู้ความลึกลับของบ้านนั้น— บ้านอันมีนามร้าย แลผู้ปกครองบ้านนั้นมาพันพัวเรา แลผู้อื่นจากคณะนั้นมาพันพัวด้วย หัวค่ำนี้ข้าพเจ้าใจหายมาก ดึกดื่นยังไม่วายตระหนก.

ข้าพเจ้าลุกขึ้นจุดไฟ นั่งมองดูแม่ยอดรัก หน้าแฉล้มในหลับดีนี่กระไร ยามตื่นหล่อนเคยหน้าชื่น, ชวนหายทุกข์ ยามหลับหล่อนชื่น, ชวนเคล้าไคล้ หน้าหล่อนไร้ราคีใจดีก็ไร้ราคีด้วย ข้าพเจ้านอนไม่หลับไฉน,? ไม่หลับเพราะเส้นประสาทตื่นเต้น รู้เห็นของแปลกตามาอย่างน่าสยอง ไม่มีสิ่งไรที่มนุษจะไม่เจตนาได้ ไม่ว่าชั่วหรือดี ความสงัดของเวลาดึกทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกความวิเวก ข้าพเจ้าต้องนั่งใกล้หล่อนพลางคิดพลาง.

แล้วคิดถึงแม่รุ่นดรุณีหนึ่งนั้น, น่าจะเห็นการสยดสยองอย่างไร จึงได้มีทุกข์หนัก โอ้ น่าสมเพช หล่อนฝากรักใครยังไม่ได้ ฝากกายใครยังมิดี มีแต่คนซึ่งหล่อนชิงชังนั้นมันมารักหล่อน จนทำความหยาบช้าของมันให้หล่อนช้ำทรวง.

ข้าพเจ้าตื่นขึ้นนี้เพราะอารมณ์เคยดี ครานี้อารมณเสีย ด้วยกังวลคิดการน่าปลาดจนทำให้รสพิศวาศฟางฝ้าไป จะตั้งใจจิตใจจ่อกับหล่อนเพื่อให้หายกังวลใจสักเท่าไร ๆ ไม่ยักข่มใจลืมการน่าสยองได้.

ข้าพเจ้ายิ่งมองดูหล่อน เห็นหายใจอยู่คล่องสบาย ข้าพเจ้ากระเถิบใกล้ชิดเข้าไปทุกที หญิงนี้ที่ให้ชื่นแก่ข้าพเจ้า ที่ได้สมัคสามัคคีรักใคร่กันยังไม่จืดจางในรสสามัคคี ข้าพเจ้ายิ่งมีใจกรุณาเปนอันมาก คราวนี้ต่อไปจะระวังภัยให้หล่อนทุกอย่าง จะปรนิบัติเอาใจทุกท่า ถึงว่าจะต้องขายที่ดินหลายแปลงเอาเงินมาปลูกตึกใหญ่ก็ยอม ขอแต่แม่คุณอย่ารู้จักอนาทร.

ข้าพเจ้าจะก้มลงจูบด้วยความพิศวาศ, ขณะนั้นมีเสียงลั่นดังผลัวะ.!

ข้าพเจ้าสดุ้งขึ้น เสียงได้สงัดเงียบนิ่งไป ความสงัดของยามดึกทวีขึ้นกว่าเก่า ทุกคนหลับใหล แต่ข้าพเจ้าได้ยินเสียงผลัวะผละดังสนัดอยู่แก่หู ข้าพเจ้าขนลุกซ่า อกให้หนาววาบ เมื่อเสียงดังแล้วแลดูก็ไม่เห็นมีอะไร ทำให้ยิ่งประหม่ากลัว.

เสียงนั้นถูกใบตองช่องน่าต่างก่อน แล้วคงกระดอนเข้าห้องทางช่องน่าต่างที่ปิดอยู่ ได้ยินเข้ามากระทบสิ่งของภายในแล้วหายเสียง ไม่รู้เปนสิ่งอะไร ข้าพเจ้าหวาดกลัวตามใจมันทำให้ยึดหน่วงไปหวาดผี ถึงข้าพเจ้าไม่เชื่อในผี แต่เมื่อถึงยามราตรีดึกเงียบสงัดเช่นนี้ ถ้าเกิดมีของปรากฎแก่หูแก่ตาผิดธรรมดาทำให้ใฝ่คิดไปถึงผีก็เปนไปได้.

ข้าพเจ้าหวาดใจ แลดูอะไรก็ไม่เห็นอะไรที่ได้แล่นเข้ามาในห้อง พอข้าพเจ้าดูไปถึงหม้อยี่ปุ่นซึ่งเคยปักดอกไม้ แต่วันนี้ไม่ได้ปักดอกไม้นั้น : แทบจะกล่าวยืนยันได้ว่าเห็นหม้อพื้นแดงลายทองนั้นโยกเยกสั่นอยู่ คล้ายกระทบอะไรโยกสเทือน ข้าพเจ้าแข็งใจเลื่อนกายห่างจากหล่อนที่เตียงนอนมาดูที่หม้อนั้นก็ไม่เห็นโยกสเทือนอะไร นึกได้สองอย่างว่าตาเราจะเห็นผิดไป มิฉนั้นหม้อได้หยุดโยกสเทือนเสียแล้ว.

เมื่อกำลังคิดฉงนอยู่กระนี้ก็ได้กลิ่นเหม็นชนิดหนึ่งเข้ามาทางจมูก, ข้าพเจ้ายิ่งปลาดใจ ข้าพเจ้ายิ่งหวาดกลัว, พอแม่ปรุงพูดขึ้นในหลับว่า “อย่าเล่นน่า อย่าเล่นน่า······” แล้วพูดต่อไปอิก ฟังไม่ถนัด แต่ข้าพเจ้ารู้ความได้ดี ว่าหล่อนรู้สึกรบกวนหรืออย่างไร จึงได้กล่าวกระนั้น ข้าพเจ้าไปใกล้หล่อนเพื่อจะกอดรับขวัญที่ได้ลเมอร้าย พอเหลียวมาดูหม้อดอกไม้, ก็แทบจะยืนยันได้เหมือนกันว่าข้าพเจ้าได้เห็นควันพลุ่งขึ้นแก่ตา.

พอแล้ว ข้าพเจ้าได้เห็นสิ่งปลาดผิดธรรมดาพอแล้ว ข้าพเจ้ากอดประทับหล่อนไว้ด้วยแสนสงสารสายสวาท หล่อนตื่นขึ้นตัวสั่นหวั่นไหว ผลักอกข้าพเจ้าบ่นว่า “ออกไป ออกไป.”

ข้าพเจ้าพูดว่า “ตื่นเถิด ลเมออะไร, ฉันเอง” หล่อนก็ลืมตาขึ้น เสโทซึมซาบ กวาดตามองดูทั่ว. ข้าพเจ้าถาม หล่อนตอบว่า ฝันไม่ดีคล้ายมีคนยื้อ. ข้าพเจ้าถามเพื่อจะให้เล่าไปให้เลอียด ว่าฝันเห็นใคร ทำอย่างไร สถานที่แห่งใด แต่หล่อนตื่นเต็มตัวเสียแล้ว หล่อนปิดความฝัน ยิ้มลมัยชวนชื่นฝืนให้หายอาวรณ์.

ข้าพเจ้าไม่พอใจจะให้หล่อนปิดความฝัน แต่จนใจที่จะซักไซ้ก็ไม่ได้ความ จึงถามว่าหล่อนได้กลิ่นเหม็นอะไรหรือเปล่า. ?

หล่อนสูดจมูกสักครู่ แล้วร้องว้าย เสียงเบากระเส่าอยู่ในฅอ สีหน้าสลด กอดข้าพเจ้าไว้ด้วยความกลัว ข้าพเจ้าถามหล่อนกระซิบว่า “เมื่อตะกี้ฉันฝันร้ายแลเมื่อฝันนั้นก็ได้กลิ่นในสถานนั้นเปนกลิ่นอย่างนี้.”

ข้าพเจ้าจะบอกหล่อนตามที่ได้หวาดใจตัวเองก็กลัวหล่อนจะตกใจไปกว่าที่ตกใจอยู่แล้วจึงนิ่งเสีย ชวนหล่อนลูบตัวทาแป้งแลน้ำหอม แลมองชมจันทร์ตามช่องน่าต่าง เมื่อสบายแล้วข้าพเจ้าจึงกระซิบว่า แต่นี้อย่าไปใกล้คุณภักตร์. แลอย่าให้เขาถูกเนื้อถูกตัวหรือถูกเสื้อผ้าเปนอันขาด.

หล่อนสท้านใจถามว่าทำไม ข้าพเจ้าจึงกระซิบบอกว่า เผื่อเขาจะกระทำเวทมนต์คุณไสย หรือติดขี้ผึ้งเสน่ห์หรือทาป้ายน้ำมันพรายใส่หล่อนบ้าง.

หล่อนยิ่งพิศวงสงไสยในซึ่งข้าพเจ้าเปนไฉนจึงทายถูกตรงความจริง, ข้าพเจ้ากระซิบว่าเมื่อกี้ “ของคุณ” ได้กระเด็นมาดังผลัวะ เปนคุณเสน่ห์, ที่ใช้มนต์แลภูตผี ดีแต่ฉันก้มตัวลงบังหล่อนไว้ หาไม่น่ากลัวจะถูก.”

หล่อนขยับจะหวาดกลัวทวี, แต่ข้าพเจ้าพูดกลบเกลื่อนให้หายกลัว จนหล่อนพูดว่า “ถ้าก้มลงจะจูบยังค้างอยู่ละก็เลยสูดเสียอย่าให้ค้างก็แล้วกัน”

จึงได้เกิดสำรวลกันขึ้นในเวลาดึกกระนั้น.

รุ่งขึ้นข้าพเจ้าได้คิดว่าคนใจมักได้นั้น ถ้าไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็จะเอาด้วยกล, ถ้าไม่ได้มนต์ก็จะเอาด้วยอุบาย, ตามที่เขาว่ากัน. “ถ้ากระนั้นน้ำใจเราก็ไม่นิยมการอันลามกอย่างเขา ควรจะห้ามปรามตักเตือนคุณภักตร์เสียดีกว่า ไม่ให้เขามาปัวเปียเมียผัวซึ่งชอบอยู่เงียบ ๆ แลไม่ชอบการมักมาก.

เปนการดีกว่าที่จะห้ามปรามตักเตือนเกลอเสียบ้าง มิให้จาบจ้วงล่วงเกินแม่ปรุงดีกว่า ถึงเขาจะขัดใจทิ้งเราไว้เราได้ความสงบอันนั้นมาเปนผลก็ได้ แต่จะปริปากกล่าวห้ามปรามตัดรอนเขาอย่างไรดีนั้นข้าพเจ้ายังคิดตริตรองอยู่.

เมื่อเวลากลับมาจากงานเวลาเย็น เดินทางมาพลางก็คิดว่าการที่เขาทำเมื่อคืนนี้ โดยล่วงมารับตัวเอาแม่ปรุงไปนั้น ส่อให้เห็นได้ว่าเขาแสร้งให้แม่ประไพมารับข้าพเจ้าไปเสียทางโน้น เขาโจนมาหาแม่ปรุงทางนี้ แต่ก็อาจจะแก้ตัวได้ว่าเขามาเพื่อความสนุก จะชวนไปพร้อมกันเพื่อดูการสนุก แต่ซึ่งชวนหล่อนไถลเข้าห้องนอนเช่นนั้น ไม่เห็นควรที่เราจะคบเขาอย่างปรกติต่อไปได้ ทั้งเขาได้พยายามทั้งรูปธรรมนามธรรม คือกายเขาก็แสดงรักใคร่ผูกพันธ์หล่อนแล้ว ทั้งยังได้ทำคุณการเสน่ห์อันน่ากลัว เปนการทำแผนสกดดวงจิตหญิงบริสุทธิ์ให้ลุ่มหลงเพื่อเหตุอันไม่สมควร ถึงอย่างไรก็ดี คนที่ชื่อเสียแลอยู่ในบ้านอันมีนามของบ้านเสียด้วยนั้น เปนที่ไม่พอใจเราอยู่เอง เปนการดีที่จะชี้แจงแก่เขาว่าเราไม่ชอบการคลุกคลีตีโมงกับเขา.

ข้าพเจ้าคิดเช่นนี้ พอมาถึงบ้านข้าพเจ้ารีบไปหาแม่ปรุงในห้อง เพื่อจะดูว่าหายการตระหนกจากความหวาดเสียวเมื่อคืนนี้ดีเปนปรกติแล้วหรือยัง เมื่อไม่เห็นแม่ปรุงบนเรือน ข้าพเจ้าถอดเสื้อแล้วก็ไปยังสวนหลังบ้าน ดูแต่ไกลก็เปนการปลาดเสียแล้ว

ม้ายาวมีพนักใต้ต้นไม้ใหญ่นั้น แม่ปรุงนั่งอยู่สุดปลาย กำลังพยายามกระเถิบหนีห่างออกไปอิก อิกปลายหนึ่งคุณภักตร์นั่งอยู่ เขาแต่งตัวหมดจดสดใสมาก กำลังฉุดมือแม่ปรุงไว้ จูบมืออยู่พลางด้วยหล่อนจะหดก็หดไม่ได้ เขายึดข้อมือไว้แน่น แลเชยมืออยู่ตามสบายใจ พูดเกี้ยวไปพลาง คงมานั่งเกี้ยวอยู่นานแล้วด้วย. !

ข้าพเจ้าอมถ้อยคำแลอมโทโสไว้แต่ก่อนแล้ว เมื่อมาเห็นแก่ตาเช่นนี้ใจก็พล่านขึ้นทันที ข้าพเจ้าเดินรี่ตรงไปถามว่า “นี่คุณภักตร์ทำอะไรกับแม่ปรุงนี่?”

เกลอปล่อยมือ หัวเราะพูดตอบแบ่งเบาเปนทีเล่น แต่โมโหข้าพเจ้าได้มีมาเต็มเสียแล้ว ข้าพเจ้าจึงว่านั่นไม่ใช่กิริยาดีที่จะฉุดยื้อมือหญิงเล่นสนุกได้ตามอำเภอใจ, เกลอตอบว่าจับหน่อยจะเปนอะไรไป ไม่รู้ว่าจะถือ, เพราะเคยจับลงรถยนต์บ่อยไปอย่างไรเล่า.

ข้าพเจ้าเห็นเกลอพูดด้าน ๆ จึงว่าจับแล้วทำไมจูบด้วยเล่า ? เกลอว่า เห็นหรือที่ว่าจูบ.?

ข้าพเจ้าอยากพูดตัดด้วยเต็มใจในขณะขัดเคืองจึงว่า “นี่แหน้ะ คุณภักตร์, ผมยอมให้คุณมาที่นี่ก็เพราะเข้าใจว่าเปนสุภาพบุรุษเหมือนชายทั้งหลายที่มานี่ แต่บัดนี้เห็นคุณผิดจากชายทั้งหลาย เพราะฉนั้น เปนการไม่ถูกใจผมซึ่งจะได้เห็นคุณมาเที่ยวที่นี่ โดยอุตริผิดมนุษต่าง ๆ.”

เกลออายข้าพเจ้า แลอายแม่ปรุง ก็ขัดใจ จึงตอบว่า “ท่านนี้บ้าเสียแล้ว ใครเลยจะไปรู้ว่าขี้หึง จนใส่ความเอาเราว่าไม่ใช่มนุษ เราไม่อนุญาตให้คนที่มีเมียงามหลงงมอย่างท่านว่าแก่ใคร ๆ เพ้อ ๆ ไปได้โดยไม่ถูกกล่าวตอบ.”

ข้าพเจ้าฮึดขึ้นมาจึงว่า “จริงหละ, คุณเปนมนุษที่ดีจริง ๆ จนเอาเงินโปรยหว่านหาหญิงมาเข้าซ่องร้ายของคุณ ฉันรู้แล้วว่าคุณเปนคนมักมาก ยังไม่ใคร่จะพอใจในร้อยในพัน ฉันจึงไม่อยากคบค้าสมาคมกับคุณ เพราะกลัวว่าความมักมากจนไม่มีที่สุดจะทำให้คุณตาลายจนถึงกับจะฉุดคร่ากันง่ายๆ อย่างเมื่อกี้.”

เกลอว่า “อย่ามาหมิ่นใส่ความเราง่ายๆ สิ คนอย่างแม่ปรุงนี่ถ้าเกลอชอบใจก็จงบูชาไว้เถิด กันไม่ชอบแยแสก็ได้กะอีคนหน้าพรรณนี้ จะจ้างมาคืนละกี่คนก็ได้.”

ข้าพเจ้าขัดใจเกลอที่ว่าแม่ปรุง จึงตอบว่า “เรารู้กันอยู่แล้วว่าคุณจ้างกันมาคืนละมาก ๆ แต่เรานี้ไม่ชอบ ไม่เห็นดีอย่างการลามกของคุณ จะเข้าใกล้ก็เสียสง่าราษี เปนการดีกว่าที่คุณจะออกไปเสียให้ไกลเราทันที, มิฉนั้น เพื่อนบ้านจะหมายว่าเราพอใจในการลามกของเกลอด้วย.”

เกลอโกรธ เกลอตอบว่า “อย่าดูถูกคนง่าย ๆ สิพ่อเอ๋ย รู้ว่ากันลามกที่ตรงไหน หน้าเราไม่ดีกว่าหน้าเจ้าหรือ เมียแกหน้าเปนเทวดามาอย่างไร แกจึงได้ว่าเราง่าย ๆ แลเหมาเอาเราเฉย ๆ.”

ข้าพเจ้าหัวเราะเยาะเกลอว่า “ตัวเจตนาไม่ดีสิ ยังกล้าพูดไม่กระดากปาก คนที่แอบมองเขาอยู่ไฟ มองเขาอาบน้ำ ลวงเขาเข้าห้องนอน ทำเสน่ห์ให้เขาหลง แล้วนึกว่าหล่อนหลงเต็มที่ นิแอบมาชักชวนเพื่อทำไม่ดีไม่ใช่หรือ.?”

เกลอขัดใจ พูดหมิ่นประมาทแม่ปรุง ๆ ฟังไม่ได้ ร้องว่าตายจริง ข้าพเจ้าก็ตวาดไล่ส่งไป เกลอมีตาแดงดังแสงไฟ, นิสัยร้ายแสดงออกมาหมดเหมือนอย่างสัตว์ร้ายที่ถูกทำให้โกรธ เกลอสาบาลว่า จะแสดงให้เราเห็นว่าเราเลวกว่าเกลอ แลไม่กล้าจะหมิ่นเกลอได้ต่อไป แล้วเกลอก็หนีออกจากบ้านไปเสีย.

แม่ปรุงน้ำตาร่วง ข้าพเจ้าชวนมาบนเรือนกาชับว่าอย่าไว้ใจเกลออิก ต่อนั้นมาเกลอห่างหายหน้าไป.

เหตุส่วนตัวเรานั้นก็ยังไม่สิ้นร้ายได้ ถึงว่าเราตัดมิให้มารมาผจลเราได้ในฝ่ายผู้กำเริบ แต่บ่อเกิดของเคราะห์เราย่อมหมุนเวียนไปตามยถากรรม.

นอกจากได้เงินเดือนขึ้น ข้าพเจ้ายังได้ข่าวต่อมาในคราวนี้ว่าจะได้ยศศักดิ์อิก โดยเจ้าคุณแห่งกระทรวงเมตตาข้าพเจ้ามากแลสนิทสนมกับท่านนัก ท่านพอใจใช้การแลพอใจใช้ให้สนิทสนม แลรำพึงว่าคนที่ไปนอกกลับมาถึงจะมีความรู้งู ๆ ปลา ๆ ก็ควรได้บันดาศักดิสูงกว่าคนสามัญ แลท่านรับรองจะชุบเลี้ยงให้ดีขึ้น ในโอกาศน่าข้าพเจ้าอาจจะหวังใจเชื่อในบารมีเจ้าคุณท่านได้มั่นคงว่าการสนับสนุนคงไม่เหลวไหล.

แต่เปนโดยลาภเช่นนี้ยังไม่มาถึงมือ ข้าพเจ้าจึงบอกแม่ปรุงแต่น้อย.

ข้าพเจ้ามีบิดา แต่ไม่ได้กล่าวให้ท่านทั้งหลายทราบก็เพราะท่านอยู่หัวเมืองไกล รับราชการอยู่ห่างบ้าน จึงไม่ได้มาอยู่ใกล้ชิดเราเหมือนคุณแม่ ข้าพเจ้าจึงยังไม่ได้กล่าวให้ท่านทั้งหลายทราบ บิดาข้าพเจ้าไม่มาในงานวิวาห์ของข้าพเจ้ากับแม่ปรุง เพราะนัดวิวาห์กันเร็ว มาไม่ทัน แลเมื่อเราอยู่บ้านสวนท่านก็ยังไม่ได้มาเยี่ยมเรา จนกว่าข้าพเจ้ากับภรรยามาอยู่บ้านถนนสระปทุมแล้วนั้น บิดาข้าพเจ้ามีโอกาศมาเยี่ยมบ้าน ท่านได้พบญาติพี่น้องเปนสุขสบาย แลโสมนัศในการที่ข้าพเจ้ามีสุขสำราญ ได้สมเจตนาอยู่ร่วมกับแม่ปรุงอย่างเกษมสันต์ ท่านย่อมรักแม่ปรุงมาก รักสมกับที่งามหน้า แม่ปรุงก็รู้ใจ คิดถึงคุณท่าน แลส่งจดหมายไปถึงท่านที่หัวเมืองบ่อย ๆ ท่านก็ชอบจดมาถึงแม่ปรุง.

เมื่อพ่อแดงเกิดได้ไม่กี่เดือนท่านซึ่งรู้ข่าวว่าหลานเกิด มีลักขณาโสภาน่ารัก ท่านลงมาเยี่ยมเราครั้งหนึ่งแล้ว อิกครั้งหนึ่งเล่า ยิ่งรักหลาน ยิ่งทวีเสนหาในสะใภ้ ทั้งหลวงดำริห์ก็ชอบพอชอบคุยกันได้ทนนานๆ. เพราะฉนั้น ข้าพเจ้ามีบิดายังไม่ได้บอกท่านทั้งหลายเสียก่อน พึ่งบอกในบัดนี้ แลบอกพร้อมกันกับคราวท่านตายทีเดียว.

ท่านป่วยหนักมาจากบน ลงมารักษาตัวที่บ้านสิบวันกว่าก็ถึงกาลกิริยาตาย เราได้แต่ตั้งศพทำบุญด้วยความอาไลย.

ข้าพเจ้าไม่อยากกล่าวยืดยาวถึงการโศกเศร้้าโศกา การคร่ำครวญร้องไห้ ข้าพเจ้ารู้สึกผู้มีคุณอันยอดนั้นดับขันธ์ แม่ปรุงก็เหมือนกัน รู้สึกด้วยอิกว่าผู้รักอย่างบิดาบังเกิดเกล้าได้ล่วงลับไป เราผัวเมียย่อมอาไลย แต่คุณแม่นั้นโศกเศร้าหนักไป แลไม่หักใจเสียด้วยเลย คุณแม่ทุกข์ตรมมากที่สุด เสียดายเนื่องจากความเก่า, เสียดายที่ลูกเต้ายังไม่มีบุญวาศนากับเขา, ลูกเต้าด่วนมาเปนกำพร้า.

คุณแม่ช่างรักใคร่ใคร ๆ ก็รักมากจริง ๆ ด้วย แต่คราวโศกก็โศกหนักเสียจริง ๆ ด้วย.

เมื่อบิดาข้าพเจ้าป่วยหนัก คุณภักตร์ไถลมาเยี่ยม มาหาคุณแม่ ทั้งช่วยหาหมอดีให้ด้วย เมื่อท่านผู้ใหญ่ผู้นี้เสียลง เธอมากับแม่ประไพเยี่ยมศพ แลวางพวงมาไลยซึ่งเรียกว่าพวงหรีด อันงามมาก ๆ ที่หีบศพ คุณแม่ไม่รู้ว่าเราโกรธกัน เพราะฉนั้นท่านไม่กินแหนง ข้าพเจ้านั้นรู้สึกว่าโกรธกัน แต่ปราไสยตามเคย เว้นแต่ใจกินแหนง ส่วนแม่ปรุงนั้น หล่อนไม่กล้าทักเขามากคำ แลเขาแสดงท่าทางเสียใจที่ได้พูดคำหยาบใส่หน้าหล่อน.

ในสองอาทิตย์หีบศพถูกฝากไว้ยังที่วัด เราพากันทำบุญมากในหมู่นี้ นอกจากการเลี้ยงพระเปนพิเศษ เราตักบาตรวันพระ ไปบูชาศพวันพระ แลทำบุญถวายของแก่พระ แต่คุณแม่นั้นโศกมาก ทำบุญมากแลสวดมนต์มากด้วย เพื่อจะตั้งใจการกุศลสวดมนต์เต็มที่ ท่านไปอยู่อาศัยที่กระท่อมสวนท้ายบ้านตามลำภัง ทั้งให้แม่ปรุงเปนจ่าบ้านจ่าเรือนเสร็จสิ้น.

ข้าพเจ้านั้นได้ข่าวว่าไม่ช้าเจ้าคุณจะอุดหนุนให้ข้าพเจ้าได้รับยศศักดิ์แทนตำแหน่งบิดา แต่ที่ “หลวง” ยังไม่มา ข้าพเจ้าจึงพูดได้น้อยที่สุด.

เมื่อแม่ประไพมากับป๋าคราววางพวงหรีดนั้น ข้าพเจ้าได้เห็นหล่อนหน้าตาไม่สบายสเบย ข้าพเจ้ามีความวิตกด้วยใจสมเพชมาก ข้าพเจ้าให้นายขบวนลอบสืบการในบ้านนั้น.

แม่ประไพมาเยี่ยมหาเราสามีภรรยาอิกที หล่อนไว้ทุกข์เหมือนเราแลบอกว่าป๋าจะเอาไว้ทุกข์ด้วยชั่วคราว. หล่อนบอกว่าป๋าป่วย ทำให้แม่ปรุงสงสารกลัวจะป่วยไข้ใจ จึงเขียนจดหมายมอบแม่ประไพไปให้คุณภักตร์ แสดงว่าแม่ปรุงเสียใจที่ทราบว่าคุณภักตร์ป่วย, เขียนจดหมายทั้งนี้ก็เพราะเห็นแก่แม่ประไพ.

ข้าพเจ้าต้องจำบอกว่า แม่ปรุงโศกอาไลยถึงพ่อผัว แลไม่สบายใจที่มีทุกข์ไม่อาจจะมีการสนุกแลการบรรเทิงได้ ทั้งบัดนี้ไม่ใคร่มีใครป้อยอ แลคนที่สรรเสิญชมเชยหล่อนนั้นขาดไปเสียคนหนึ่ง ขาดผู้ที่เปน “ขาใหญ่” ทั้งหล่อนไม่ได้ขี่รถยนต์ด้วย ซ้ำตึกงามที่ใฝ่ฝันถึงก็ยังเปน “หอในอากาศ” อยู่.

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ