- คำนำ
- ภาค ๑
- บท ๑ รสหวานของความไม่พยาบาท
- บท ๒ ดูตัวเจ้าสาว
- บท ๓ วิวาห์การ
- บท ๔ ชีพอย่างชมจันทร์
- บท ๕ สองสามสุข
- บท ๖ แม่ปรุงเปนมารดา
- บท ๗ ความไม่พยาบาทเริ่มต้น
- บท ๘ พระกับมาร
- บท ๙ เมฆสว่างของชีพ
- บท ๑๐ ความทุกข์ของสาวพรหมจารี
- บท ๑๑ เมฆมืดของชีพ
- บท ๑๒ ตุ๊กกะตาฅอหัก
- บท ๑๓ นิราศบ้าน
- บท ๑๔ ภรรยา “ป่วย”-- สามีป่วย
- บท ๑๕ ข่าวลามก
- บท ๑๖ ข้าพเจ้าเจอภรรยา
- ภาค ๒
- หมายเหตุ การแต่งเรื่องนี้
บท ๒๓ “ขายสาวพรหมจารี”
เขาเดินออกจากสถานโรงหนังไป เราค่อยด้อมตามมาด้วยใจเจตนาเหมือนอย่างพยัคฆาด้อมมฤคี เมื่อถึงถนนใหญ่น่าโรงหนัง สารถีบนรถขับม้าของเขาร้องทักว่า “กลับหรือขอรับ” นั่นเปนรถม้าของคุณพระ.
แต่คุณภักตร์ตอบว่า “ยังไม่กลับ เจ้าจงรออยู่น่าโรงหนังนี้.”
แล้วเขาก็เดินต่อไป.
นายขบวนกระซิบเสียงกระเส่าว่า “นั่นเขาเดินไปไหน.?”
ข้าพเจ้ากระซิบตอบว่า “เราจะไปดูให้ถึงที่สุด.”
แล้วก็ย่องตามมา.
คุณพระกับป๋าแม่ประไพเดินคุยกันไปข้างหน้า ตัวแม่ประไพเดินตามหลังไป. อนิจามันไม่นับถือหล่อนจนถึงให้หล่อนเดินตามหลัง.
เมื่อถึงหัวเลี้ยว เขาก็เลี้ยวเดินต่อไป แล้วก็เข้าไปยังโรงดื่มสุราอันสอาดสอ้าน แลพากันเข้าไปนั่งที่โต๊ะ.
นายภักตร์พูดว่า “ให้เราพักดื่มสุราสักครู่ก่อนเถิดแม่หนู นั่งลงก่อน เดี๋ยวกลับ” แล้วพูดกับคุณพระว่า “ถ้าผมจะไปหัวเมืองละก็ ได้พบใต้เท้าดื่มสุราด้วยกันเสียบัดนี้ก็เปนโอกาศดีหาน้อยไม่.”
พอบ๋อยเปิดสุรายกมาตั้งให้ขวดหนึ่ง กับโซดาแลน้ำแขงก็ยกเอามาให้ด้วย.
นายภักตร์จึงพูดว่า “ไปกินที่ชั้นบนดีกว่า คุณก็มักอายปาก ผมก็เคยดื่มไม่ค่อยให้ใครแลเห็น.”
เขาพากันขึ้นไปทั้งสามคน บ๋อยก็ยกขวดแลถ้วยแก้วตามขึ้นไปส่งให้แล้วก็ลงมา.
นายขบวนกระซิบว่า “มันให้แม่สาวน้อยไปนั่งดูปากมันดื่มสุราด้วย !”
ข้าพเจ้ากระซิบตอบว่า “มันทำได้ทุกอย่าง ไม่มีสิ่งไรที่มันจะทำไม่ได้ !”
พอเราเข้าไปบ๋อยถามว่า “จะดื่มอะไร.?”
เราตอบว่า “จะขึ้นไปนั่งข้างบนสักประเดี๋ยวจะส่่งคำสั่งมาว่าจะ “ออเดอร์” เอาสุราอะไร.”
แผนที่ของโรงเครื่องดื่มนี้ นายขบวนรู้อยู่แล้ว เพราะฉนั้นเมื่อเราขึ้นไปจึงได้นั่งอยู่ห้องกลาง หรือห้องที่หัวบันไดตามลำภัง, แต่นายภักตร์กับบริษัทนั้นได้เข้าไปนั่งดื่มในห้องที่อยู่ข้างๆ นั้น พอขึ้นไปถึงชั้นบนก็ได้ยินเสียงหญิงร้องหวีด ซึ่งเปนเสียงแล่นเข้าดวงใจข้าพเจ้า.
พอได้ยินเสียงนายภักตร์หัวเราะว่า “ห้ะๆ, คุณพระท่านหยอกหน่อยเปนไรไปเล่าแม่หนู.”
ได้ยินเสียงคุณพระหัวเราะ, ได้ยินเสียงถ้วยแก้วที่ใส่สุราดื่ม.
ได้ยินเสียงนายภักตร์คุยโอ้อยู่ว่า เขาเสียหายสิ้นเนื้อสิ้นตัวหมดแล้ว ไม่มีที่อยู่ ไม่มีที่กินหมด เขาขายหน้า จะหลบหลีกไปอยู่เสียหัวเมืองไกล เพื่อมิให้ใครเห็นหน้า เขาขอลาคุณพระเสียแต่เนิ่นๆ กับทั้งเขาขัดสนจนทุกที จะไปยังหัวเมือง เขาขอเงินคุณพระสักสองร้อยบาท.
“สองร้อยบาทเจียวหรือ!” คุณพระพูด.
“ขอรับ, ค่าเตรียมตัว, ค่าเดินทาง, ผมเห็นว่าสองร้อยบาทเปนพอ, ผมเห็นใต้เท้ารุ่มรวยจึงมาพึ่งสักครั้ง.”
“ฉันไม่มีถึงสองร้อยบาท”
“ตายจริง ใต้เท้ามีพัน, หมื่น, แสน—”
“ขอสองร้อยบาทมากนัก เดือนนี้เงินสดหมดเสียแล้ว.”
“ที่แบงก์อย่างไรขอรับ — ที่แบงก์”
“เดือนนี้ไม่มีเงินสด, เดือนน่าว่าไม่ถูก สองร้อยบาทมากนัก—”
“งั้นร้อยเดียวก็เอาเถอะขอรับ ผมอยากจะไปเร็ววันสักหน่อย ยิ่งไปเร็วยิ่งได้อายน้อย.”
“ร้อยเดียวก็ได้.”
“ขอบใจที่สุด.”
“แต่กันไม่อยากให้เกลอเปล่า ๆ เลย อยากได้ของตอบแทน ถ้าเกลอไม่มีตอบแทนก็ไม่ว่าหรอก แต่นี่แกก็มีของซึ่งจะตอบแทนให้เปนที่พอใจฉันได้.”
“ถ้ามีสิ่งไรให้ใต้เท้าพอใจผมต้องยกให้หมด.”
“ฉันเลงความถึงแม่ประไพลูกสาวแก—”
“งั้นซีขอรับ.”
“แกก็จะไปบ้านเมืองไกล มาฝากฉันเลี้ยงดูเปนไร.”
“อ๋อ, ข้อนั้นผมก็ตั้งใจมานานแล้ว พอใจจะยกแม่หนูให้เปนภรรยาใต้เท้า แต่เด็กมันไม่ยอม ผมก็ได้เฆี่ยนตีมันมามากแล้ว บัดนี้เราก็จนลงแล้ว แม่หนูยอมไปฝากตัวอยู่กับท่านไหม. ?”
แม่ประไพร้องไห้ปฏิเสธใหญ่ทันที.
คุณพระจึงออกความคิดว่าหล่อนยังดื้อดึงก็จงขึ้นรถไปด้วยกัน ถึงบ้านท่านแล้ว ท่านจะให้เงินแก่นายภักตร์ตามจำนวนขอร้อง ท่านจะกักตัวแม่ประไพไว้แลทำให้ยินยอมพร้อมใจเอง.
นายภักตร์ก็ปลอบแม่ประไพว่า ซึ่งแม่ประไพอยู่กับป้าในสวนพลูเปนที่ลี้ลับกันดาร เช่นนี้เปนการลำบากไม่เปนฝารอบขอบชิด เปนการดีกว่าที่จะไปฝากตัวอยู่กับคุณพระในบ้านใหญ่โตระโหฐาน แลมันเปนการดีมีหน้ามีตามาก ที่จะได้เปนคู่ชมคู่รักของท่าน แลมันเปนการสุขสบายมากที่จะได้อยู่กินกับคุณพระ.
แม่ประไพยิ่งร้องไห้ปฏิเสธ แล้วก็ได้ยินเสียงร้องว้าย ได้ยินเสียงคุณพระหัวเราะว่าฉุดมือหน่อยก็ร้องด้วย ท่านเร่งออกความเห็นว่าให้พากันขี่รถไปส่งตัวหล่อนที่บ้านท่านดีกว่า แล้วท่านจะปลอบประโลมให้หล่อนยอมเปนภรรยาท่านจงได้
นายภักตร์เห็นดีด้วยจึงชวนแม่ประไพกลับ แต่แม่ประไพรู้ว่าจะต้องนำไปส่งที่ใดก็ไม่กล้าเขยื้อนออกมา ถึงกับฉุดยื้อตัวอยู่จนหล่อนร้องวี๊ดว๊าด.
นายภักตร์พูด “งั้นแม่หนูไม่กลับบ้านหรือ.?”
“โอ้, ฉันไม่ไป, ฉันไม่ไป, ป๋าช่วยด้วย” หล่อนตอบ, ร้องไห้พลาง.
ขณะนั้นคุณพระหัวเราะขึ้นพูดว่า “นี่แหน้, ป๋า, สาวรุ่นดรุณีไม่เคยผู้ชาย จึงทำงอนจัดนัก ถ้าจะชวนให้ไป หล่อนไม่ไป, แล้วเรามานั่งตามใจหล่อนก็ค่อนรุ่งเสียเปล่า ลองส่งตัวหล่อนให้ฉันสอนรักเสียในห้องในนี้ ไม่ช้าก็จะติดใจ ไปด้วยรี่ไม่ต้องเชิญ.”
นายภักตร์นิ่งนึกครู่ใหญ่ แล้วพูดว่า “ถ้าคุณมีเงินให้ผมเดี๋ยวนี้ ผมก็ยอมอนุญาตให้ได้.”
คุณพระตอบว่า “ได้สิ, เอาเดี๋ยวนี้ก็ได้ แต่ฉันมีครึ่งเดียว ให้เดี๋ยวนี้ครึ่งหนึ่ง ให้พรุ่งนี้อิกครึ่งหนึ่ง หรือจะให้ยืมเขาให้ที่น่าโรงหนังก็ได้.”
“ถ้ากระนั้นเปนตกลงยอมอนุญาตให้ดีๆ ทีเดียว แม่หนูเข้าห้องในสิ, ให้คุณพระท่านกอดครูเดียว แล้วเรากลับบ้านด้วยกัน.”
เสียงของเขาบาดหูบาดใจเราผู้ฟัง, อกข้าพเจ้ารุ่มร้อนขนลุกขนพองว่า ถ้าเราไม่ได้มาแล้ว แม่ประไพมิถูกทรมานแย่หรือ พอได้ยินเสียงยื้อยุดฉุดคร่ากัน มีเสียงสาวร้องไห้แลร้องหวีดหวาดด้วยความกลัว ข้าพเจ้าก็จู่ผลัวะเข้าไป ทั้งนายขบวนก็ตามเข้าไปด้วย.
เห็นแม่ประไพฟุบร้องไห้ที่เก้าอี้นั่งที่พื้น. คุณพระจับมือถือไหล่หล่อนอยู่ นายภักตร์นั่งเก้าอี้ดูอยู่. เขาทั้งสองจังงังไปเมื่อเขาได้เห็นเราถลันเข้าไป ข้าพเจ้ากำลังโกรธดาลโทโสร้องตวาดว่า “นี่เจ้ามาทำอะไรอยู่ เจ้ากำลังทำการเลวที่สุด ร้ายกาจที่สุด ไม่ปรานีเด็กบ้างเลย !”
เขาทั้งสองตลึง นายภักตร์นั้นอายใจมากที่รู้ว่าเราได้แอบยินความ แลจู่มาเห็นการแห่งใจดำของเขา แล้วนายภักตร์หัวร่อแก้เก้อว่า “ห้ะๆ ท่านทั้งสองนี้ตั้งบริษัทมองดูเสียจริง ๆ ไม่มีช่องใดรูใดซึ่งท่านทั้งสองจะไม่ใฝ่ลอดตามองดู.”
ข้าพเจ้ามุใจ จึงมีกระทู้ถามว่า “นายภักตร์แกอาจมีใจอำมหิตจนถึงกับขายบุตร์น้อยให้เสียตัวแก่ชายแก่เพื่อเอาค่าน้อยตำลึงเจียวหรือ?”
เกลอภักตร์ถอนใจใหญ่พูดว่า “ฮื้อ ฉันก็เวทนาลูกน้อยนี้เหมือนกัน หมู่นี้ไม่ว่าเห็นใครเวทนาหมด ถ้าแม่ของแม่หนูยังมีชีวิตอยู่ ฉันก็จะไม่ต้องเสียหายถึงกับล้มละลายเลย, แม่หนูนี้คนเดียวเปนพิมพ์ซึ่งทำให้ฉันนึกว่าถ้ามารดาหล่อนมีชีวิตอยู่ไปแล้ว ฉันไม่ต้องย่อยยับถึงเพียงนี้เลย.”
“ทำไมแกขืนใจต่อเด็กที่น่าเอนดู.”
“พะผ่า ฉันก็เอนดูแม่หนูมาก ๆ นี่หากจนเต็มแก่แลท่านผู้นี้ก็ต้องการชมแม่หนูสักเตื้อด้วย.”
“เจ้ามีใจยักษ์มักะสันอย่างไร จึงอาจจะทนฟังเสียงลูกสาวน้อยของเจ้าร้องครางอยู่ข้างห้อง ในขณะเมื่อชายสูงอายุฉุดคร่าข่มขืน.”
พูดคำนี้เกลอภักตร์ตกตลึงไป, มันเปนคำที่แทงใจเกลอโดยเฉียบแหลม เกลอได้ตกทุกข์รู้โทษอยู่มาก เกลอรู้สึกว่าเกลอยังไม่เปนถึงสัตว์ มาเจอเหตุอย่างเช่นนั้นเข้า เกลอเสียวใจทันที, เกลอโกรธคนใจร้ายผู้ชวนริการข่มขืนใจเด็ก เกลอถ่มน้ำลายถุย พูดว่า “จริงซี, ไม่มีมนุษใดจะอดฟังเสียงลูกน้อยถูกข่มขืนได้ แลไม่มีมนุษใดจะเลวจนถึงกับจะฉุดคร่าลูกสาวน้อยของเขาทำทุราจารต่อหน้าบิดาได้ มันนั้นมีแต่สัตว์เดรฉานอย่างเดียวที่จะทำลงฅอได้—”
คุณพระขัดเคืองพูดว่า: “เจ้ายอมขายลูกน้อยให้ข้าแก้ความเปนสาวพรหมจารีออกเสียเอง จะมาโทษข้าได้หรือ.?”
ข้าพเจ้าร้องว่า “ท่านก็สูงอายุ ไม่ควรจะมาลุ่มหลงด้วยการประเวณีสัตรีรุ่น ควรจะคิดถึงตัวดีกว่าว่าไม่ช้าจะตายโหง.”
“นี่แหน้ะ! กิจการอะไรของท่าน” คุณพระเอ็ด แล้วพูดต่อไป—
“คนโซคนนี้มันขายพรหมจารีให้ฉัน ฉันก็ยอมให้เงินเปนกอง แล้วท่านจะมาบ่นเอากับใคร ก็เมื่อเขาขายความเปนอยู่แห่งพรหมจารีกันเพียงน้อยบาท เขายังพอใจกันที่ขายได้ไงแกไม่ไปว่าเขาเล่า. ?”
ข้าพเจ้าว่า “คุณไม่ต้องหมิ่นประมาทแม่ประไพโดยกล่าวเช่นนั้น, เหตุที่เปนไปแล้วแสดงให้เห็นว่าคุณมีใจอย่างสัตว์ถุล แลพอใจทำการอย่างสัตว์ถุล.”
คุณพระโกรธร้องว่า : “นี่แหน้ะ, นายภักตร์แกยากจนลงแล้ว ทำไมจึงเอาลูกสาวมาล่อข้าเล่นด้วย.”
นายภักตร์ตอบว่า : “ผมเสียใจมาก ได้ทำคุณคนมามาก ไม่มีใครรู้คุณเลย นี่แน่นายขบวน, จงเห็นใจเถิด ผมได้เลี้ยงดูเพื่อนทั้งเหล้าทั้งเข้า ให้ของกำนัน ให้เงินหยิบยืมใช้แก่เพื่อนทุกคนไป ครั้นยากจนๆ สตางค์ไม่มีติดตัวจะขอทานเขาผู้มั่งคั่งก็ไม่ได้ ถ้าเขาจะให้เขาต้องขอดวงใจตอบแทนค่าเงินของเขา. ผมนี้ใช่ว่าเปนใจสัตวเมื่อไร แต่ด้วยความขัดสน เขาติดสินบนจึงยอม แท้จริงลูกน้อยนี้ผมเอนดูมันมากที่สุด.”
ขณะนั้นก็มีน้ำตาหลั่งไหลออกมา จากดวงตาของภูตผี น้ำตาไหลรี่ลงแก้มคล้ายกับเราได้เห็นมารร้ายมีเลือดตากระเด็น.
นายขบวนสงสารจึงพูดประชดเสือเถ้าว่า “ป๋าหล่อนสงสารลูกสาวน้อยจนร้องไห้แล้ว คุณยังจะจ้องทำอนาจารบุตรีเขาเอาอะไรอิกเล่า.?”
คุณพระขัดใจพูดว่า “อ้ายเวรมันยัดเยียดลูกสาวให้ ข้าจึงได้ทำตามใจมัน.”
ข้าพเจ้าจึงว่า “นายภักตร์ยังจะยอมปรนิบัติตามคุณพระอิกหรือ, ?”
เกลอตอบว่า “ไม่เอาแล้ว—”
ข้าพเจ้าจึงว่า “ถ้ากระนั้นก็ไล่ท่านไปเสียซี ท่านอยู่ทำให้เด็กตกใจเปล่าๆ”
นายภักตร์จึงว่า “เชิญใต้เท้ากลับบ้านเสียเถิดขอรับ ผมจะกลับกับลูกผมตามลำภัง.”
คุณพระโกรธจัดไนยตาแดง.
นายขบวนจึงพูดประชดว่า “หญิงรายนี้ไม่สำเร็จเสียแล้วขอรับ, คุณว่ารายอื่น ๆ ราคาค่าปรนิบัติถูกกว่านี้มาก จงไปหารายอื่นชื่นใจดีกว่าขอรับ.”
คุณพระถือหมวกเดินไปที่ประตู ไนยตาขุ่นด้วยความโกรธ ท่านค้อนเรารอบห้อง หันมาพูดว่า “ดีหละ, ท่านจะรู้ได้ว่าฉันไม่ใช่เปนคนสำหรับท่านล้อเล่นง่ายๆ” แล้วก็ก้าวกุกกักลงบันไดไป.
ข้าพเจ้าถามว่า “นี่นายภักตร์จะไปเมืองไหน.?”
เกลอตอบว่า “จะไปเมืองไกลให้พ้นจากการอับอายเขา.”
ข้าพเจ้าถามว่า “แม่ประไพอยู่ที่ไหน. ?”
เกลอตอบว่าอยู่กับป้าที่ในสวนพลู ตัวเกลออยู่กระท่อมข้างบ้านเก่าของเกลอ.
ขณะนั้นเรานั่งอยู่ที่เก้าอี้ แม่ประไพมากอดฅอข้าพเจ้าน้ำตาไหล, ดีใจที่ได้พบเห็นแลขอบใจที่ได้ช่วยให้พ้นจากการร้าย, ข้าพเจ้าป่ายแขนขึ้นบนหลังหล่อนให้คิดลห้อยใจอาไลยสงสารยิ่งนัก น้ำตาไหลก็เมินหน้าไปเสียข้างหนึ่ง ในระหว่างซึ่งนายขบวนกับนายภักตร์ชวนคุยกันอยู่.
แม่หนูทอดถอนสอื้น หายใจฮักๆ ข้าพเจ้าได้สัมผัศกายให้คิดเวทนาเปนอันมาก อยากจะอุ้มกอดรับขวัญไว้ให้สมใจ แต่เกรงใจบิดาหล่อนๆ ก็ยิ่งกอดฅอข้าพเจ้าไว้แน่น ราวกะจะขอฝากกายฝากตัวจนวันตาย ข้าพเจ้าก็ลังเลใจไม่รู้ว่าจะห่างจากไปดีหรือ หรือจะกอดรับขวัญสายใจไว้ไม่รู้จักห่างดี ข้าพเจ้าลอบเช็ดน้ำตาด้วยผ้าเช็ดหน้า ถอนสอื้นใจหายคิดถึงพ่อแม่ลูกแลเมียยิ่งเสียใจ กอดแม่หนูไว้อุ่นอกจนหลงใหลปลื้มกายด้วยอนาถใจ พอรู้สึกว่าหล่อนยิ่งร่ำร้องไห้โศกีที่ข้าพเจ้าจะจากไป แลที่หล่อนอยู่ในการน่ากลัวอันตราย ก็ยิ่งกอดข้าพเจ้าร้องไห้ค่อย แล้วก็เลยร้องไห้ดัง ๆ ครางครวญ.
ข้าพเจ้าได้สติอารมณ์ขึ้นมาจึงกระซิบที่หูหล่อนว่า “อย่าร้องไห้ จะไปเยี่ยม.”
นายขบวนถามนายภักตร์ว่าจะจัดแจงส่งแม่ประไพกลับไปบ้านสถานใด. ?
นายภักตร์ตอบว่า เกลอจะไปส่งลูกที่บ้านป้าแล้ว ตัวเองจะกลับมายังกระท่อมของตัว.
นายขบวนถามว่ามีเงินเช่ารถแล้วหรือ.?
เกลอสั่นศีร์ษะพูดว่า มีสตางค์แทบจะไม่พอค่ารถลาก.
นายขบวนจึงบอกว่าไม่เปนไร.
นายภักตร์พูดต่อไปว่า “พรุ่งนี้จะไปขอเงินเพื่อนอิกสองแห่ง ถ้าได้เงินเร็วจะไปหัวเมืองโดยเร็ว.”
ข้าพเจ้าจึงบอกว่า ถ้าต้องการเงินก็ได้แต่ขออย่าวุ่นวายกวนใจแม่ประไพอิกเลย ถ้าสัญญาว่าจะไม่รบกวนแล้ว ข้าพเจ้าจะให้เงิน.
เกลอสาบาลว่ารักลูก แลไม่อยากกวนใจหล่อน.
ข้าพเจ้าก็วางใบแบงก์ราคาใบละสิบบาทรวมสี่ใบเปนเงินสี่สิบบาท ลงบนโต๊ะให้แก่เกลอ แทนที่เกลอจะกระดาก เกลอตะครุบเอาทันที เหมือนอย่างสุนัขตะครุบกระดูกต้ม เกลอพลิกดูแล้วก็ใส่กระเป๋า มีหน้าตาค่อยชื่นบานขึ้น.
ข้าพเจ้าถามว่าพอแล้วหรือยัง. ?
เกลอบอกว่าพอเดินทาง, แต่จะลองหาเติมจำนวนอิก.
ข้าพเจ้าสั่งว่า ถ้าต้องการอิกจงมาเอาที่นายขบวน จะมอบเงินไว้ให้ไม่น้อยกว่ายี่สิบบาท.
เกลอก็ขอบใจ รับคำว่าถ้าไม่พอจึงจะมาขอเอา. แต่ต่อมาเกลอมิได้มาเบิกเอาอิกเลย.
แล้วเราก็ชวนกันออกมา นายขบวนคิดค่าสุราออกให้แทนคุณพระผู้ตระหนี่หนีไปยังไม่ “เพย์”
แม่ประไพเกาะข้าพเจ้าแจด้วยตกใจกลัวอยู่เปนอันมาก ในที่อันน่ากลัวแห่งราตรีกาลเช่นนี้.
นายภักตร์เดินหน้า ข้าพเจ้ากับแม่ประไพเดินกลาง นายขบวนเดินตามหลัง กำลังเราจะหารถลากให้บุตรีแลบิดาอยู่, ก็พอหนังฉายได้ถึงเวลาเลิก ผู้คนแลยานต่างๆ ออกันอยู่แจจัน.
นายขบวนจึงว่า รถม้าของเราก็มีพอที่จะขี่สี่คนได้ เราไปพร้อมกันมิดีหรือ. ?
ข้าพเจ้าก็พอใจเปนอันมากที่จะได้ไปส่งแม่ประไพให้ถึงที่, เราจึงพากันมายังที่ซึ่งรถม้าของเราจอดอยู่.
เกลอภักตร์กับแม่ประไพขึ้นนั่งสบายแล้ว เราสองสหายก็นั่งน่า รถก็ขับมายังสวนพลู ต้องเข้าไปในตรอกมืดหน่อย.
คุณป้าออกมารับตัวแม่ประไพ.
ข้าพเจ้าฝากฝัง.
แล้วเรามาขึ้นรถม้าต่อไป พอถึงทางแยกใกล้ย่านบ้านเก่า เกลอภักตร์ว่าต่อนี้เกลอจะเดินไปเอง เกลอจึงลาเราลงรถเดินมา นายขบวนก็มาส่งข้าพเจ้าถึงบ้านแล้ว นายขบวนจึงกลับไปกับรถม้ายังบ้านของเธอ
รุ่งขึ้นข้าพเจ้าระลึกถึงแม่ประไพไม่วาย จึงชวนนายขบวนเช่ารถม้ามายังสวนพลูนั้น คุณป้าหล่อนซึ่งมีสามีเปนจีน แต่สามีล่วงลับแล้วนั้นรับรองเราเปนอันดี มิหนำมอบเอาพลูใบงามๆ ให้เรามาด้วยเปนกอง ทำให้ข้าพเจ้าคิดถึงแม่ปรุงว่า ถ้าเห็นพลูงาม ๆ เช่นนี้จะยินดีนี่กระไร.
ป้าบอกว่าเปนป้าห่างๆ แต่มีใจกรุณาต่อแม่ประไพมาก แลรักหล่อนเท่ากับบุตรในอุทร แลกระซิบบอกว่าเข้าของเครื่องแต่งตัวของแม่ประไพนั้น ก็อยู่กับตัวหล่อนโดยปรกติ ไม่เสียหายไปไหน ทั้งเสื้อผ้าแหวนทองทุกอย่าง แลภาชนะในหีบปัดบางสิ่งก็อยู่พร้อม คุณป้ารักษาไว้ให้ดิบดี แลแม่ประไพอยู่สบายดี ข้าพเจ้าไม่ต้องเปนใยห่วง.
เราขอบใจคุณป้าแล้วก็ลามา แม่ประไพตามส่งเราจนพ้นสวนพลู.
หล่อนยึดข้าพเจ้าไว้แล้วพูดว่า “โอ้ คุณพี่ ฉันร้อนใจกลัวนี่กระไร ได้ยินข่าวว่าคุณพระท่านคิดจะทำร้ายฉันด้วยใจท่านพยาบาท.”
ข้าพเจ้าบีบมือหล่อนยิ้มปลอบว่าอย่าตกใจเลย จงระวังกาย ถ้าต้องการสิ่งใดให้ป้าแกไปบอกฉัน.
หล่อนกอดเอวข้าพเจ้าไว้ด้วยความอาไลยที่จะจากไป ข้าพเจ้านึกได้ถึงเวลาเมื่อคื่นนี้ตอนดึกเมื่อข้าพเจ้าเข้านอนนั้นข้าพเจ้าได้รู้สึกว่าอย่างไรต่อมา บัดนี้จะห่างไกลจึงก้มจูบให้โดนที่หน้าผาก ทำให้แก้มหล่อนแดงขึ้นด้วยความยินดี.