บท ๑๔ ภรรยา “ป่วย”-- สามีป่วย

ข้าพเจ้ามีแต่ขุ่นขรึมซึมเซ่อ งงงวยไปด้วยเหตุน่าอนาถ ให้รู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ หายใจไม่ทั่วท้อง บางทีก็วิงเวียนศีร์ษะ, เพราะข้าพเจ้าวิตกโศกเศร้าถึงภรรยาแต่วันแจ้งเหตุนั้นมา. จนได้มาอยู่ในที่นี้ได้สองอาทิตย์แล้ว ก็ได้รับจดหมายจากนายขบวนอิกฉบับหนึ่ง เปนจดหมายซึ่งทำให้ข้าพเจ้าป่วย.

นายขบวนจดหมายมาว่า “ผมหมายว่าคุณได้ข่าวที่ผมบอกว่าภรรยาจะเจ็บไข้ไม่สบายนั้น คุณจะรีบด่วนลงไปกรุงเทพฯ ทันที ไม่ทราบว่าคุณจะนอนใจเช่นนี้เลย กลับเร็วเถิดเพื่อน, กลับเร็ว ขอบอกให้ทราบว่าภรรยาคุณไม่ป่วยเลย มีสุขสำราญหน้าตาชื่นบาน แต่คุณแม่ท่านป่วยออดแอดแต่ไม่กล้าจดหมายมาบอกคุณ เพราะกลัวจะเสียใจทำให้เสียราชการ แลหวังว่าไม่ช้าคงจะได้กลับ.

“ฝ่ายข่าวในภรรยาคุณนั้นผมไม่บอกในจดหมายฉบับก่อน เพราะหวังว่าคุณได้ข่าวป่วยๆ ไข้ๆ ก็จะรีบกลับบ้านเยี่ยมภรรยาก็จะได้ข่าวเองโดยผมไม่ต้องบอก บัดนี้ผมจะอมความไว้โดยคิดเกรงใจไม่บอกให้คุณทราบก็อมอยู่ไม่ได้เสียแล้ว จดหมายของคุณนั้นผมได้รับแล้ว คุณสั่งผมให้บอก ผมต้องบอก อย่าว่าหมิ่นประมาทภรรยาคุณ หรือว่าผมปากบอน.

“คุณภักตร์เปนทุกข์ด้วยเรื่องหนี้สินมากเพียงไร ก็ใฝ่หาการรื่นเริงเพื่อจะดับความทุกข์ที่อยู่ในใจ, ยิ่งทวีรื่นเริงมากขึ้นมาก ภรรยาคุณก็ใฝ่หาความสนุกเพื่อดับทุกข์เหมือนกัน เพราะฉนั้นจึงชอบไปดูเขาร้องลำทำเพลงในบ้าน “นามร้าย” นั้นเสมอ ๆ คุณภักตร์ยิ่งทวีหาความสนุกในสุรานารีมากขึ้น แลยิ่งบำเรอความสนุกให้ภรรยาของคุณมากขึ้น จนภรรยาของคุณเพลิดเพลินใจในการบรรเทิงขับขาน เพลินการเลี้ยงดูแลการบำเรอที่มีในบ้านนั้น จนชั้นได้ไปดูหนังกับคุณภักตร์ในราตรีสักสองสามครั้งแล้ว กลับเร็วเพื่อน, กลับเร็ว ในที่สุดนี้······”

ข้าพเจ้ารู้ข่าวนี้ ข้าพเจ้าป่วย ข้าพเจ้าใจหาย ข้าพเจ้าทุกข์โศกเซาซม อัดอั้นตันใจทุกอย่าง, ข่าวร้ายแรงเร็วอย่างฟ้าผ่า บาดใจอย่างลมกรด. ร้องไห้หลั่งน้ำตาเท่าไรก็ไม่หายแค้นขมระทมทุกข์ ข้าพเจ้าป่วยหนัก แต่สู้ทำการตามน่าที่โดยแขงใจ แต่ภายในอาการไข้ทวี ภายในแรงอ่อนทวี. ข้าพเจ้าป่วย ข้าพเจ้าจะตาย ใจจะขาดรอน ๆ.

ขอบอกท่านทั้งหลายให้ทราบ ว่าป่วยอะไรจะยิ่งกว่าป่วยใจ ปวดอะไรไม่เท่าปวดใจเลย หากปวดหัวอยู่ ถ้ามีอารมณ์ดีการปวดหัวก็ได้สำนึกน้อย แต่ถ้าเมื่อป่วยใจอยู่ด้วยแล้วก็ย่อมสำนึกปวดหัวทวี ข้าพเจ้านี้หัวใจสั่น, มีอาการไข้, ให้ปวดหัว, แสบไนยตา, ทั้งแน่นแค้นน่าอก, ทั้งการป่วยได้ทำให้สำนึกว่าปวดไปทั่วสรรพางค์กายด้วย. ข้าพเจ้าอยู่ไปด้วยความทุกข์ทนทรมาน คิดถึงบ้าน คิดถึงภรรยาเหลือแสน แค้นสิ่งที่หวงห้ามนั้นเกิดลามลวนขึ้น ถ้าแม่ปรุงไปเที่ยวดูหนังตามอำเภอใจกับผู้ปองสวาทนั้น, เปนโอกาศของมันมากมายที่จะชวนไถลไปอื่น แลเปนที่ครหาแก่ผู้ที่แลเห็นแลสามีเปนที่น้อยหน้ามาก.

อิกห้าวันข้าพเจ้าก็ได้รับจดหมายของนายขบวนอิก จดหมายจากบ้านข้าพเจ้านั้นไม่ได้รับเลยเว้นแต่ฉบับแรกฉบับเดียว ก็เปนสิ่งน่าปลาดใจอยู่ จดหมายนายขบวนคราวนี้มีมาทำให้ข้าพเจ้าผู้ป่วยงอมอยู่ภายในแล้วนั้นเข้าใจชัดว่าเหตุร้ายได้ลามใหญ่แล้ว ข้าพเจ้าสิ้นที่ประทังกายไว้ได้คราวนี้ จึงได้ล้มหมอนนอนเสื่อสิ้นฤทธิ์ที่จะทำงานการได้ เพราะในระหว่างอาการไข้ร้อนรุมอยู่ภายใน ข้าพเจ้าได้ทำการไปเปนปรกติตลอดมา แต่คราวนี้เสียใจจนสิ้นฤทธิ์สิ้นแรงก็ล้มป่วยลงจนทำการไม่ได้เสียทีเดียว.

ในจดหมายนายขบวนส่งมานั้นกล่าวว่า “เร่งกลับเร็ว คุณแม่ของคุณป่วยหนัก ภรรยาคุณจึงเที่ยวกับชู้ได้ตามอำเภอใจไม่มีใครขัดขวาง.”

แม่โว้ย, เขาเรียกชายว่า “ชู้” แล้ว เพราะฉนั้นก็แปลความว่า—

ทุก ๆ สิ่งข้าพเจ้าเสียหมดแล้ว ของที่รัก, ที่สวาท, ที่บูชา, ที่เชื่อถือ, ที่หวังใจ, ที่เอนดู, ที่เคยชม, ที่ชื่นใจ, เสียไปแล้ว ก็คือแปลว่าสิ่งเหล่าสูญหายหมด ทั้งเกียรติยศก็สูญหาย มีแต่จะขายหน้าได้ทุกข์ ขาดความสุขความสบายร่ำไป.

โอ้แม่ปรุงเอ๋ย ไฉนมาเปนไปได้ถึงเพียงนี้, เสียแรงรักกันมาดังจะกลืนกันได้ด้วยสวาท เสียแรงได้ถนอมใจสารพัน ใครเลยจะปรนิบัติจัดสรรให้หล่อนเกินตัวฉัน ใครเลยจะประคับประคองให้หล่อนเกินไป ใครเลยจะสัตย์ซื่อเกินไป ใครเลยจะเอาใจเกินสามี, ครานี้แม่คิดความงามหน้า ราวกะพล่าชีวิตฉันให้ออกจากร่างไป.

ข้าพเจ้าป่วยหนัก เปนโดยทำการหนักเมื่อยังไม่ล้มตัวป่วย ทุกนาทีเร่งรู้สึกใจเผาฉี่ ทุกนาทีอาการไข้ยิ่งแรง เมื่อจับไข้หนักข้าพเจ้าเพ้อถึงบ้านถึงภรรยา เจ้าคุณจัดหาหมอให้รักษา, ท่านมาเยี่ยมข้าพเจ้า แลกล่าวว่าจะกลับรักษาตัวที่บ้านก็ได้ เพราะบัดนี้ก็ล่วงมาถึงสามอาทิตย์แล้ว ราชการก็จัดแจงเสร็จหมดแล้ว ท่านจะอยู่พอได้เที่ยวป่าเขาสักน้อยเวลาแลจดหมายรายการสืบเหตุอิกบ้างเล็กน้อยเท่านั้น เมื่อข้าพเจ้าป่วยอยู่เช่นนี้ ถ้าอยากจะกลับก่อนท่านก็ได้ เพราะราชการนั้นเสร็จแล้ว.

อิกสองเวลาข้าพเจ้าค่อยยังชั่ว ข้าพเจ้าลาเจ้าคุณมาลงเรือแล้วมาขึ้นรถไฟ วิ่งวางมาตามทางยังกรุงเทพ ฯ.

ขากลับช่างผิดกับขาไปนี่กระไร ขาไปอากาศหอมเย็นชวนลห้อยคิดถึงยอดรักผู้ต้องห่างกายอยู่เฝ้าบ้าน ขากลับอากาศหมองไปหมดด้วยตามัว กลิ่นขมขื่นด้วยฅอขม, หัวใจแทนที่จะเบิกบานด้วยการเสร็จแลขยับเข้าใกล้ที่รักเข้าทุกที กลายเปนหัวใจทุกข์แค้นตรอมตรม คล้ายว่าชาตินี้เราสิ้นสุขสิ้นชื่อสิ้นเนื้อสิ้นตัวอะไรหมด. แต่จะต้องไปดูให้รู้แน่ว่าเหตุการณ์มันเปนไปแล้วเพียงไหน หากว่าทุกสิ่งยังดีพร้อมอยู่ ซึ่งข้าพเจ้าใจอ่อนกระนี้ก็เหมือนมาตีตัวก่อนตาย ควรจะต้องข่มจิตอย่าโศกเศร้าเสียใจนัก ต้องอดใจไปดูให้เห็นจริงเสียก่อน.

ถึงกระนั้นเมื่อถึงสถานีกรุงเทพฯ ให้รู้สึกโผเผใจ, ๆ ฅออ้างว้าง ผิดกับคราไปนั้นมาก ขาไปพบหน้าญาติพี่น้องเพื่อนฝูงมาส่งเพื่อเปนเกียรติยศ มากหน้าหลายตา ขามาลงรถคนเดียว เหี่ยวใจก็เหลือจะเหี่ยวแห้ง ข้าพเจ้าขึ้นนั่งรถลากมาโดยให้เจ๊กยกกระเป๋าหนังใหญ่มาด้วยใบเดียว เข้าของเล็กน้อยนอกจากนี้เจ้าคุณจะนำกลับมาให้.

ข้าพเจ้าโซเซลงจากรถลาก ทั้งป่วยกายป่วยใจ, บ้านเงียบสงัด ไม่มี “ชีพ” แลไม่ร่าเริงเหมือนก่อนด้วยมารดาข้าพเจ้าป่วย ได้ปล่อยเด็กกลับคืนผู้ปกครองหรือจัดให้ไปพักที่อื่นเพื่อไม่ให้หนวกหูผู้ป่วย, เดิมคุณแม่ชอบป่วยอยู่ในที่เงียบ ก็พักอยู่ที่ท้ายสวนที่เรือนกระท่อมเล็กใต้ต้นไม้ครึ้มแต่เมื่อป่วยหนักได้มาพักรักษากายที่เรือนใหญ่ด้านหลัง ข้าพเจ้าย่างเท้าเก้ามาสู่เคหาด้วยความหวั่นหวาดทั่วไป เห็นสนาม เห็นต้นไม้ดูไม่ชื่นตาชื่นใจ. ภรรยาก็ไม่เห็นหน้าวิ่งร่ามาหาด้วยหน้าตาอันชื่นบานอันเคยทำให้ชื่นใจหายเหนื่อยยาก ทั้งไม่พบบ่าวที่น่าบ้านเลย ข้าพเจ้าย่างเท้าขึ้นเรือน ดูเรือนชานรู้สึกอ้างว้างเหมือนเรือนร้าง.

ข้าพเจ้าพบสาวใช้คนต้นห้องของข้าพเจ้า มันเห็นข้าพเจ้าก็ชงักตลึงไป ด้วยตกใจไม่รู้ว่ามาถึงแล้ว แลตกใจที่หน้าตาข้าพเจ้าเปลี่ยนแปลงไปมาก ถามว่านายผู้หญิงอยู่ไหน? มันตกประหม่ายังไม่หายก็นิ่งอยู่ สักครู่แล้วก็เข้ามากอดเท้าข้าพเจ้าร้องไห้รำพันว่า บัดนี้นายผู้หญิงไป “ปิกนิก” เรือ ไปตั้งแต่เช้าจนเย็นยังไม่กลับ บ่าวไพร่ที่บ้านนั้นไปหลายคนทั้งเด็กด้วย คุณแม่นั้นป่วยหนัก อยากเห็นหน้าแม่ปรุงเสมอ เมื่อได้เห็นหน้าหล่อนคราวไรก็ค่อยดีใจ มีหน้าตาเบิกบานแจ่มใส แต่แม่ปรุงไม่ใคร่มีเวลามานั่งพยาบาล ด้วยติดธุระไปไหนเสียเสมอ.

ข้าพเจ้าถามว่าแม่ปรุงไป “ปิกนิก” กับใครแลติดธุระเสมอนั้นหล่อนไปยังแห่งใด. บ่าวก็เล่าว่าหล่อนไปเยี่ยมบ้านคุณภักตร์ทั้งกลางวันกลางคืน ใช้คำเยี่ยมก็พอแล้ว คุณภักตร์เขาคงไม่นิ่งดูดาย คง “ปั้นวัวปั้นควาย” บูชาให้หล่อน ข้าพเจ้ารู้ข่าวในน้อยคำก็เสียวสท้านใจ ใจหายวาบวับ เสียภรรยา มารดาป่วย เสียภรรยาเหมือนอย่างเสียของสิ้นตัว บ่าวจะเล่าต่อไป ข้าพเจ้าฟังไม่ได้ ต้องไถลถามอาการคุณแม่ ใจข้าพเจ้าริก ๆ สลดถอยน้อยลงทุกที หน้ามืดตาฝ้า กายให้อ่อนเพลียหมดกำลัง วิญญาก็หลั่งไหลออกจากร่างไป, ข้าพเจ้ากำศรดระทดจะสิ้นแรง จะขาดใจ จะตายลงรอน ๆ

ขณะนั้นดูเหมือนฟ้าเปิด ส่งกำลังมาให้ข้าพเจ้า, ข้าพเจ้ามีแรงขึ้นทันที ดวงใจข้าพเจ้าหรี่ ๆ ไม่ถึงดับ ไม่ถึงตาย บัดนี้คล้ายได้น้ำมันมาเติมหล่อไส้ตะเกียงใหม่ ตะเกียงไม่ดับ ดวงใจไม่ดับ, ข้าพเจ้าไม่ขาดใจตาย ข้าพเจ้าแรงกล้าแขงขึ้น, ข้าพเจ้าไม่ต้องนอนป่วยคอยเวลาขาดใจตาย บัดนี้ได้แรงขึ้นใหม่ทันที แรงเกิดขึ้นนี้โดยความมานะเกิดขึ้น คิดมานะว่าอย่า— อย่า— อย่าเพ่อขาดใจตาย จงคงชีพอยู่ก่อน ด่วนใจอ่อนไฉน ตัวเราก็เปนกระทาชาย ต้องมีมานะอย่าเสียใจเกินไปจนสิ้นแรง ต้องแขงใจดูเหตุดูการไป ผิดนักเมียคน เราตัดใจให้ได้ เขาตัดใจได้ เราตัดใจได้ ต้องแขงใจดูไปดีกว่า เราจะดูไปถึงที่สุด ทนทุกข์ทนแค้นไปจนถึงที่สุด จะไม่ด่วนทำใจอ่อนย่อท้อ, เราจะดูต่อไป จะได้เห็นของแปลกตา แปลกเกินกว่าที่ได้คาดเคยเห็น ประสาชั้นชั่วของที่แปลกนั้น มีนางยอดวิไลยยอดเสนหากระทำการมีชู้ ซึ่งไม่เคยนึกฝันเลยว่าจะมีชู้ นี่ก็เปนสิ่งแปลกอยู่อย่างหนึ่ง มือหล่อนอันเปนสิ่งหวงไม่ให้มือใครฉุด แขนหล่อนซึ่งเปนที่หวงไม่ให้ใครยุดยื้อ ถูกฉุดถูกยื้อก็เปนการปลาดอิกเปนเคารบสอง ฯลฯ ฯลฯ. ของในโลกนี้มีแปลก ๆ ต่าง ๆ หลาย ๆ อย่าง จะไม่ให้ข้าเจ้ามีชีวิตอยู่ดูของแปลกปลาดต่างๆ เหล่านี้ต่อไปอย่างไรได้.

บ่าวนำข้าพเจ้าไปหาคุณแม่ ท่านนอนป่วยหลับอยู่ ข้าพเจ้ากราบแลไหว้ท่วมศีร์ษะ เห็นท่านนอนอยู่ดายไม่มีใครปรนิบัติ ทั้งของใช้รอบกายก็ขาดแคลนดูเปนบ้านกันดาร ท่านนอนหลับหายใจเรื่อย ๆ หน้าตาเผือดลง ทั้งร่างกายก็ซูบผอม ท่านเปนโรคชรา ออดแอดมาแต่ครั้งบิดาข้าพเจ้าตาย ท่านเคยร่วมทุกข์ร่วมยากรักใคร่กันมา ด้วยเคยเปนคู่ชิดสนิทเสนหาเหมือนอย่างแม่ปรุงกับข้าพเจ้า ครั้นคู่รักนั้นห่างไปท่านจึงตรอมใจอาไลยโศก โรคชราก็ซ้ำเติม ทั้งหลานชายน้อยโฉมงามทรามสวาท ก็พลอยตายไปเสียด้วย คล้ายหน่วยตาท่านร่วงหล่นหายไป ท่านป่วยลงบัดนี้ท่านไม่เห็นใครเลย นอกจากจะได้เห็นหน้าบุตรสะใภ้ผู้ที่ยอดเสนหา ค่อยพาความชื่นมาให้ได้ เพราะแม่ปรุงเปนตัวการซึ่งอาจจะทำให้หลานเกิดใหม่ให้ท่านได้ชมแทนคนเก่าได้.

ท่านเคยรักใคร่นับถือหล่อนมาแต่เดิมนี่อย่างไร ท่านก็ยังสนิทเสนหารักใคร่นับถืออยู่อย่างนั้น ท่านไม่รู้ความลับอันร้ายของแม่ปรุงว่ามีเปนฉันใด จนชั้นผู้รู้เหตุประจักษ์ใจแล้วยังไม่น่าเชื่อว่าจะเปนไปได้.

ข้าพเจ้าเห็นคุณแม่นอนป่วย หน้าซีด กายซูบอยู่เดียวดาย คล้ายอนาถา ข้าพเจ้าน้ำตาไหลพรากหน้า เวทนามารดา เวทนาตัวข้าพเจ้าเอง.

แม่ปรุงช่างทิ้งคุณแม่ได้ ช่างทิ้งข้าพเจ้าได้ ไม่คิดถึงความรักที่ได้มีไว้เปนหนักหนา ไม่คิดถึงความสวาทยังอุ่นอยู่สด ๆ ร้อนๆ ไม่ทันเย็นชืดจากดวงจิต กลิ่นไอความรักยังไม่หายเหือดจากการที่คลาศข้าง ห่างไปได้เพียงยี่สิบเอ็ดราตรีรสชมยังเผาจี้อยู่ในหัวใจ ปลาบปลื้มยังไม่คลายจากนาสา กลิ่นชื่นยังติดสำนึกแก่นาสิก หล่อนหรือช่างมีใจพลิกเพลงจนถึงร้างแก่ผู้มุ่งแต่รัก จนถึงทิ้งคุณแม่ผู้บูชา, เสนหา, มีคุณ, ให้อยู่เดียวดาย ไม่ใฝ่ใจนั่งเฝ้ารักษาพยาบาลแทนบุตรชายท่านซึ่งได้ฝากท่านไว้กับหล่อน.

ข้าพเจ้าร้องไห้ร่ำรักในแม่ปรุง, ในคุณแม่, ในลูกแม่ปรุง, ในคุณพ่อข้าพเจ้า, ในอกชายทั้งหลายซึ่งมีอกช้ำเหมือนเช่นข้าพเจ้านี้ ข้าพเจ้าฟูมฟายน้ำตา. สิ้นแม่บ้าน ข้าพเจ้าเปนคนอนาถา สิ้นสุขสำราญ ข้าพเจ้ามีแต่จะตั้งหน้าฝ่าทุกข์ไป, ไม่รู้ว่าความทุกข์ภายน่าจะนำมาซึ่งความคับแค้น แลความทรมามากสักเพียงไหน.

พอฤทธิบนสวรรค์นั้นหยาดมาต้องข้าพเจ้า กล่าวคือพอคิดถึงความมีมานะได้อิก ข้าพเจ้าก็กลับใจเปนกล้าแขงทันที ข้าพเจ้าจะดูของปลาดต่อไป ข้าพเจ้าจะไม่ขยาดต่อความทุกข์ ซึ่งจะต้องบากบั่นไปภายน่า ข้าพเจ้าจะทนชีพไปด้วยใจกล้าหาญไม่อ่อนแอ.

ข้าพเจ้าบอกสาวใช้ผู้สนิท มิให้บอกผู้ใดว่าข้าพเจ้ากลับมาแล้ว ข้าพเจ้าจะปิดความ, ข้าพเจ้าจะสืบเอาความจริง ข้าพเจ้าจะจับชู้ชายให้ได้คามือ จึงบอกสาวใช้ผู้ร่วมใจ (ชื่อนางเสดหรือเศรษฐ์) ให้ปิดความ แลข้าพเจ้าจะพักอยู่บ้านนายขบวน ให้มันไปส่งข่าวคราวให้ที่บ้านนายขบวน ข้าพเจ้าจะจัดหาหมอดีมาให้รับอาสารักษาคุณแม่ด้วย.

ข้าพเจ้าย่างเท้าเก้าออกจากเคหา ด้วยไนยตาสว่าง เมื่อขึ้นเรือนนั้นหน้ามืด บัดนี้รู้ว่าเหตุเปนจริงแล้ว แลข่มอารมณ์ได้แล้ว ข้าพเจ้าตาสว่าง เบาตัว เบาศีร์ษะ หายปวดหัว, ได้หลั่งน้ำตาแทนคุณมารดา แลภรรยา แลอกชายอื่นให้พอใจแล้ว ข้าพเจ้าจะแขงใจคงชีพไปเพื่อดูการปลาดในสิ่งซึ่งเราห่อหุ้มไว้ด้วยความรักอันแน่นหนา เหมือนอย่างกำแพงแก้ว ถูกทำลายกระทั่งกำแพงแก้วแตกฉาน ให้ขะโมยมือบอนลักล้วงเอาไปเปนอื่นไกลได้.

ดูชายสนามหญ้าให้สำนึกว่าจะไม่ได้นั่งสบายอิก ดูต้นไม้นั้นแขงสื้อไปเปนตุ๊กกะตาไม่น่าชวนให้ผาสุกได้ เสียงลมไม่กระซิบหวานหูอิกแล้ว ดูเย่าเรือนเห็นเปนที่ซ็อมซ่อ ตั้งไว้ล้อเย้ยหยันว่าบ้านช่องของเจ้านั้นก็หาใช่ของเจ้าไม่ ทั้งสมบัติพัศถานแลลูกเมียซึ่งเปนของเจ้านั้น ก็ไม่ใช่ของเจ้าด้วย.

ข้าพเจ้าให้เจ๊กรถลากคันใหม่ยกกระเป๋าหนังข้างสนามขึ้นรถอิกครั้ง ให้กางประทุนขึ้น ให้รีบลากไปเร็วตามแต่จะได้ เข้าในพระนคร ข้าพเจ้าชอบแอบ ๆ หน้า, ดูใครไม่เต็มตา อากาศทั่วไปดูมัวหมองไม่แจ่มใสเหมือนแต่ก่อน.

ถึงบ้านนายขบวนไม่ช้าเพื่อนก็กลับมาจากทำงาน เพื่อนเห็นข้าพเจ้า, ปลาดใจเท่านางเสดสาวใช้ ด้วยไม่นึกว่าจะมา แลทั้งหน้าตาร่วงโรยแปลกตามาก แต่เพื่อนพูดว่า “ไม่อัศจรรย์อะไร ที่ได้เห็นคุณมา เพราะข่าวร้ายในจดหมายของผมต้องทำให้คุณด่วนมา.”

“บอกฉัน— ถึง –เรื่องภรรยา” ข้าพเจ้าพูดกระเส่า.

“นี่คุณป่วยหรือ กลับมาอย่างไร บอกผมก่อน ว่าแต่กินอาหารเสียก่อนจึงคุยกันดีกว่า หน้าคุณเหมือนได้ป่วยมาสามปีแล้ว”

นายขบวนจัดอาหารให้ข้าพเจ้ากินอย่างโอชา แทบจะไม่ลืมคุณสหายที่ได้ทำให้กินอร่อย ด้วยว่าข้าพเจ้าควรได้นั่งกินกับภรรยาด้วยกัน กินอาหารอันโอชาซึ่งหล่อนควรจัดทำรับรองผู้ที่รักอันห่างไปได้กลับมาอิก แต่นี่กลับมาใกล้หล่อนแล้วยังต้องลับหน้าหล่อน มิได้ฟังเสียง มิได้เห็นหน้า มิได้กลิ่นไอให้ชื่นใจ แต่ข้าพเจ้าไร้อาหารอันโอชามานานจึงกินได้มาก.

นายขบวนยังจัดน้ำชากาแฟขนมนมเนย อันเปนของชูกำลังให้อิกด้วย นับว่าเราได้กินอิ่มหนำสำราญเปนที่พอใจ แก่ข้าพเจ้าแลนายขบวนซึ่งยินดีแรกพบกันเปนที่ยินดีด้วยกันทั้งสองฝ่าย.

ข้าพเจ้าบอกความตามซึ่งตั้งใจจะมาขอพักอยู่บ้านสหาย นายขบวนถามว่าไม่พักอยู่บ้าน จะมาอยู่เสียที่นี่นานสักเท่าไร? ข้าพเจ้าบอกว่านานตามแต่จะอยู่ได้. สหายก็บอกว่าจะอยู่สักกี่ปีก็ได้. ข้าพเจ้านั้นรู้สึกว่าจะอยู่สักสองสามปีจนหายแค้น.

เมื่อข้าพเจ้ารับประทานอาหารได้แรงแล้ว ข้าพเจ้าคิดถึงภรรยาเปนอันมาก มิได้เห็นหน้านวลของภรรยา แลใคร่ใจอยากเห็นมานานทุกวันทุกคืนทุกนาที มาบัดนี้ก็มาถึงกรุงเทพ ๆ แล้ว อยากจะเห็นหน้าตาอันยั่วยวนของหล่อนยิ่งนัก ข้าพเจ้ามีใจกระวนกระวายระหายอยากเห็นดวงภักตร์ที่เคยรักใคร่เท่าดวงใจ จึงบอกเหตุให้นายขบวนทราบว่าอยากเห็นหน้าแม่ปรุงเหลือเกิน ทำไฉนจะได้เห็นสักที.

นายขบวนร้องว่าทำไมไม่มองดูหน้านั้นซึ่งบัดนี้อยู่ในเรือนซึ่งเคยอยู่ ข้าพเจ้าได้บอกแล้วว่าจะแอบกายไว้สืบเหตุการณ์ก่อนยังไม่อยากด่วนไปเจอหน้าหล่อนก่อน ทำให้นายขบวนกล่าวว่า ถ้าอายหน้าละก็อยากไปดูหน้าทำไม ข้าพเจ้าแสดงว่าไม่มีที่ใดซึ่งข้าพเจ้าจะแอบบังกายให้เห็นหล่อนเมื่อผ่านไปได้ที่ไหนบ้างหรือ?

นายขบวนตอบ :— “ได้แน่ทีเดียว เย็นๆ เช่นนี้ภรรยาคุณเคยขี่รถยนต์ออกจากบ้านไป ผ่านตึกแถวหนึ่งไป ถ้าคุณจะไปคอยแอบมองดูอยู่ในตึกนั้น ก็จะได้เห็นหล่อนผ่านไปได้ถนัด ตึกแถวห้องนั้นเปนห้องสหายผมเอง แต่ถ้าจะให้พบเห็นหล่อนจะต้องรีบไป จะชักช้าไม่ได้ จะคลาศกันไป.

ข้าพเจ้าก็ตลีตลานจัดกาย สองนายก็ขี่รถลากรีบไปยังตึกแถวนั้น ข้าพเจ้าขึ้นอยู่ชั้นบนกับนายขบวน ใจฅอตึกเต้นไม่รู้ว่าถ้าได้เห็นหน้าภรรยา ซึ่งข้าพเจ้าเคยฝากดวงใจแลมอบเกียรติยศแลความสุขให้นั้น จะทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกอย่างไร เมื่อได้สบหน้าหล่อนในครั้งนี้ จะโกรธแค้นนัก หรือจะค่อยคลายใจได้ชุ่มชื่นขึ้น หรือว่าจะทำให้ใจหายจนสลบไป···

เมื่อได้ยินเสียงรถผ่านมาก็ยิ่งทำให้หัวใจเตือนเต้น พอนายขบวนพูดว่าคุณจงอยู่ชั้นบน ผมจะไปคอยดูข้างล่าง ถ้าได้เห็นรถของหล่อนผ่านมาแต่ไกลจะให้สัญญาเตรียมตัวคอยเลงตาดู แลถ้ามีโอกาศจะทักหล่อน หรือเรียกให้หยุด ให้หล่อน “โชว์” รูปแก่คุณนาน ๆ ก็ได้. ว่าแล้วนายขบวนก็ลงไปน่าตึกชั้นล่าง ครั้งหนึ่งเขาเห็นรถยนต์ผ่านมาก็บอกสัญญาขึ้นแต่ไกล ข้าพเจ้าค่อยแหวกม่านหูรูดสีแดงมองดูด้วยตั้งใจ เห็นรถฝรั่งนั่งคู่กับแหม่มผ่านไป รู้สึกว่านายขบวนให้สัญญาผิด พอได้ยินเสียงตะโกนขึ้นมาว่าครานี้ไม่ผิดแล้ว ระวังตัวเถิด ข้าพเจ้าก็ค่อยแหวกม่านผ้าแดง มองจ้องด้วยสองตาพ้นสิ่งกำบัง เสียงรถยนต์ขับมาช้า ๆ เรื่อยๆ มาใกล้กระชั้นเข้าทุกที อกข้าพเจ้าเต้นดังตึง ๆ โลหิตสูบแล่นโดยเร็ว ตัวสั่นอยู่เทิ้ม ๆ.

พอรถยนต์ผ่านมาเห็นคนรถแลสาวใช้ ก็จำได้ พอแลถึงที่นั่งข้างหลังก็เกิดใจปลาบเสียวเหมือนสายฟ้าลามเลียแลบเข้าหัวใจ ข้าพเจ้าแลตลึงมือเท้าอ่อน สิ่งที่ได้เห็นเปนสิ่งอันน่าพิศวงงงงวยอย่างยิ่ง ท่านหญิงสาวแสนสวยเอวบางท่าทางหน้าตาเก๋ น่ารักน่ายียวนนี่กระไร นั่งพิงพนักดูท่วงทีมีสง่า, หล่อนแต่งตัวน่ารัก น่าพิศวาศจริง หากจะแต่งหรูหรากว่านี้สักเท่าไรก็ไม่มีเก้อเขิน คราวนี้หล่อนก็แต่งหรูหราพอดู ดูทีน่ายียวน น่าสงวน งามสง่ายิ่งนัก พิศภักตร์รูปทรงโออ่า หน้าแฉล้มจิ้มลิ้มพริ้มเพรา.

อันจริตกิริยาท่าทางแต่ก่อนเก่าหาจะเปรียบการงามงอนในคราวนี้มิได้ เค้าเงื่อนเหมือนชวนประโลม แย้มเยื้อนยิ้มย่องน่ายวนใจ ตาดำคิ้วก่งเปนวงขอบ ยิ่งทำให้ดูช่างเปนท่าเจ้าชู้ชวนชูชมนี่กระไร.

ข้าพเจ้าก็รักในรูปภรรยาข้าพเจ้าทันที !

แม่ปรุงเคยเปนภรรยา เคยเปนมารดามีความรู้ดีทวีสง่า แต่ครานี้ท่าจะได้ความรู้มาจากชู้มากจนวางท่าชูโรงยิ่งกว่าเก่า ผมเผ้าก็ขริบตัดสมเปนวงหน้า แต่งกายมาก็คงเปนการแต่งประกวดชู้ ช่างน่าดูน่าชมจริงๆ !

ข้าพเจ้าแลดูติดตา ดูท่าหล่อนเริงร่า หาเศร้าโศกเหมือนข้าพเจ้าไม่. ดวงหน้าอันเริงร่าของหล่อนรวมทั้งในตาคมชวนให้มีเสน่ห์ นายขบวนเปิดหมวกรับ หล่อนก้มรับแลยิ้มเผล่มาให้ ช่างน่าดู ช่างงดงามนี่กระไร จะเอื้อนปาก จะไหวกายช่างชวนสวาท ข้าพเจ้าอกเต้นดังขึ้นทุกที กำลังดูเพลิน ภาวนาขอให้รถยนต์หยุด เพื่อท่านหญิงได้หยุดทักทายนายขบวน แต่หาเปนเช่นนั้นไม่ ท่านหญิงยิ้มชำเลืองตาคมก้มรับคำนับพลางแล้วรถยนต์ก็เลื่อนเลยไป แสงเพชร์ทั้งเม็ดที่ตุ้มหูหล่อนใส่ยังปลาบเข้าตาข้าพเจ้าให้งวยงงมืดหน้าไป ด้วยความเสน่หาอาไลยทำให้รู้ได้ว่าคุณภักตร์เขาจัดหาตุ้มหูให้หล่อนได้แล้ว โดยหาเพชร์มาเข้าคู่กันได้อิกเม็ด แลช่างสมหน้าหล่อนที่สุด.

ข้าพเจ้าเห็นภรรยาข้าพเจ้าครู่เดียว แต่ก็ได้เห็นพอแล้ว หล่อนงามสรรพจับตา หล่อนยั่วกามาทำให้ใจข้าพเจ้าวกลงมาหาโลกีย์ใหม่ เดิมข้าพเจ้าคิดมานะแขงใจจะทนสู้ต่อความยากไป จะแสวงหาสุขในทางสวรรค์โดยตั้งใจในขันตี ดวงจิตจะไม่โยกไม่คลอนไม่หลงเล่ห์ประเวณี จะตัดสวาทก้มหน้าไปตามกรรม คอยอยู่ปรนิบัติมารดาตามลำภังตนก็ได้ บัดนี้รูปโฉมภรรยามาหยาดในหัวใจข้าพเจ้า ให้หลงเคลิบเคลิ้มไปในการโลกีย์รสเล่ห์ประเวณีให้เกิดซึมซาบอาบอุราเส้นประสาท ในรูป, ในเสียง, ในกลิ่น, ในรส. ได้ถูกปลุกตื่นเต้นไปทั่วแล้ว รู้สำนึกว่าของที่สงวนชมนั้นถูกช่วงชิง รู้สึกถูกหมิ่นประมาท ถูกเขาปรามาศให้ข้าพเจ้าไร้รสต่างๆ ที่ได้เคยมา รู้สำนึกว่าเสียของไปอันหาอื่นจะแทนใหม่มิได้ ยิ่งรัก ยิ่งหลง ยิ่งทวีขึ้นเท่าไร ยิ่งแค้น ยิ่งขัดอัดใจทวีขึ้นเท่านั้น.

หมายว่าจะสงบใจได้ แต่รูปทรงของแม่งามมาตำตา ข้าพเจ้าคิดฤษยาทุกเส้นขน เสียดายงามทุกอวัยวะ เผลอไปคิดว่านี่สาวที่ไหนหนอ ชีวิตไม่ตายจะพยายามสู่ร่วมหล่อนให้จงได้ รสรักที่เคยมาแล้วเก่าใหม่บันดาลใจขึ้นมาโดยเต็มกำลังของมัน, ข้าพเจ้าเกิดหลงเล่ห์เสนหา เกิดหลงใหลในพิศวาศแก้วกานดา เกิดใคร่อยากจะชมภรรยา.

แล้วคิดว่าไฉนเราหลงรักใคร่ในหญิงนี้ ป่านนี้เปนของผู้ใดแล้วก็ไม่รู้ ความสำนึกใฝ่ชมอันนี้ที่เกิดแก่ข้าพเจ้าเท่าไร จะไม่เกิดแก่ชายอื่นเท่านั้นหรือ? ข้าพเจ้าผู้ใจ “พระ” ยังได้หลงสวาทถึงเพียงนี้ ถ้าเปนใจ “มาร” อย่างภูตในบ้านนามร้าย อันเข้าใกล้สิ่งที่ยั่วยวนใจล่อให้หลงกระนั้นมัน, จะอดได้ที่ไหน เมื่อคิดถึงฉนี้ยิ่งท้อใจ เราผู้สามีทำไมได้ไปห่างไกล ทำไมได้หมิ่นแก่การ ทำไมได้ประมาทต่อเสน่ห์เล่ห์ชู้ บัดนี้เสียอะไรสิ้นตัวหมด แลรู้สึกเสียสิ่งหนึ่งซึ่งไม่มีอะไรในโลกนี้จะแทนได้. แลที่เคยรู้สึกมามีหน้ามีตา บัดนี้รู้สึกน้อยหน้าใคร ๆ หมด.

ข้าพเจ้าอ่อนกาย, อ่อนใจ, สุดอนาถ, สุดคิด, สิ้นฤทธิ, สิ้นแรง. ตะแบงฟุบลงบนเตียง น้ำตาไหล มันช่างจุกอกขัดใจเสียจริง ๆ นายขบวนขึ้นมาข้างบน ถามล้อเล่นว่า “ยังไง, สวยไหม ไนยตาคมจับใจกันพิลึก ทำไมคุณไม่ลงไปจูบ หมายจะจูบแทนให้เสียแล้ว.”

พอสหายเห็นข้าพเจ้าหอบพลางเสโทไหล, ตาเหลือก, หน้าซีด, ปากซีด. เขาจึงถามว่าเปนอะไร? ข้าพเจ้าตอบว่ารีบกลับบ้านเถอะ เขาจึงเรียกรถมาพาข้าพเจ้ากลับบ้านเขา.

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ