บท ๗ ความไม่พยาบาทเริ่มต้น

เรื่องความไม่พยาบาทเริ่มต้นอย่างพิศวง ท่านจะอ่านบทนี้ไปด้วยความพิศวงไม่น้อย เพราะเรื่องความไม่พยาบาทได้เริ่มต้นในบัดนี้แล้ว ท่านจะจับอ่านบทนี้ด้วยความปลาดใจ มันดูดดื่มในกระทงเรื่องนี่กระไร ใช่แต่บทนี้จะทำให้ท่านพิศวงแห่งเดียว แต่บทต่อไปยิ่งน่าพิศวงขึ้นทุกแห่ง เพราะเรื่องความไม่พยาบาทได้ตั้งต้นแล้ว !

คุณภักตร์ผู้ซึ่งรับอาสาเราเต็มขนาด จนเราทั้งหลายออกปากชมความอารีของเกลอทั่วคน เกลอเอนดูเด็กน้อยนั้นที่สุด ได้เกียรติยศเยี่ยมณที่อยู่ไฟ เยี่ยมเด็กในกระโจม เพราะเกลอดูท่วงทีตั้งใจใฝ่ฝันถึงพ่อหนูกุมารน้อยตัวกจิ๊ดริดนั้นมากมายเท่าคนทั้งหลายหรือยิ่งกว่า คราวแรกได้พบกับพ่อหนูในกระโจม—เปนครั้งแรกเมื่อเกลอได้รับเกียรติยศเยี่ยม “ไฟ” ได้นั้น เกลอดีใจได้เห็นเด็ก จับมือนิดจุ๊บด้วยปากดังจ๊วบ. ข้าพเจ้าไม่ได้สำนึก หรือตรัสรู้ได้เลยว่าลมปราณจากจมูกมาถูกมือเด็กนั้น ทำให้เด็กเปน—เปน—เปน—เด็กห่า.

ถ้าข้าพเจ้ารู้ว่าเกลอเปนของแสลงแห่งเหตุร้ายแล้ว อย่าว่าแต่จะให้จับหรือจุ๊บมือเด็ก หรือเยี่ยมณที่อยู่ไฟเลย, จนชั้นจะไม่คบค้าสมาคมให้เขาเหยียบย่านบ้านช่องของเราเสียอิก.

ท่านจะระลึกได้ว่า “เขาได้ออกอุทานสาบาลสองครั้ง ด้วยดวงจิตพลุ่งพล่านพลั้งออกมาจะยั้งวาจาไว้ไม่ได้ คือเมื่อเขาเห็นแม่ปรุงที่ท้ายบ้านเราเปนคราวเรก ในเวลาอากาศหอมหวานด้วยลอองไอในเวลาเช้า กำลังหน้าหล่อนชื่นบานด้วยนอนอิ่มเอิบ กำเริบสำราญ—ไปเที่ยวสำราญ— กลับมาพักสำราญเยี่ยงนิมิตร์ เช้าวันนั้นหล่อนยวนยีมีเสนหามากที่สุดแก่คนซึ่งหลงเมียสาวมากจำนวนเช่นคุณภักตร์นั้น ใจฅอไม่อาจจะกลั้นความตระหง่านใจในรูปโฉม แลความน่าพิศวาศของหล่อนในกาละเช้า, ในเทศะ “สวนสวรรค์” เช่นนั้นได้ เธอจึงออกอุทานออกมา อิกนัยหนึ่ง ซึ่งเกลอร้องคำพลั้งปากออกมานั้น โดยว่าเมื่อเหลือบเห็นหล่อนนุ่งผ้าโจมหัวอกอยู่นั้นเข้า เกลอก็ซวนกายระทวยไปไม่ยั้งสติได้ แล้วสาบาลออกมาเหมือนจะว่า “พะผ่า ข้าไม่ยักรู้ว่า······”

ซึ่งเขาเห็นหล่อน “วิการ” แก่จัด แลออกอุทานเปนโดยอารมณ์เขาพล่านจริง เพราะแสดงปกปิดการพลั้งปากต่อมาอย่างแนบเนียน แต่ชอบชำเลืองตาดูแม่ปรุงกะส่วนกะหมายอย่างไรพิลึก แลเขายิ้มลมัยอยู่ในหน้าแลกลืนความยิ้มไว้ได้บ่อยๆ เขาพูดคำหวานแก่หล่อน—หวานเท่าที่ปราไสยแก่ข้าพเจ้า เขาคงรู้ความในเราหลายอย่างจากนายพิศ แลเขาได้สาบาลอิกครั้ง เมื่อเกลอมาในเวลาบ่าย ได้ข่าวว่าแม่ปรุงป่วยเต็มแก่ คล้ายจะว่า “พะผ่า ป่วยไวจริง.”

แท้จริง เขาได้สาบาลก่อนพบแม่ปรุงในเวลาเช้าวันนั้นเสียอิก คือได้สาบาลในราตรีเมื่อข้าพเจ้ายืนคอยแม่ปรุงอยู่ที่ซุ้มจุดดวงไฟฟ้านั้น พอแม่ปรุงขี่รถม้าคู่มา ข้าพเจ้าสังเกตดูท่านชายตามรายทางเหลียวดูโดยเพ่งตาตามรถหล่อนมาหลายคน แต่ข้าพเจ้าได้สังเกตรถยนต์คันหนึ่งตามหลังรถแม่ปรุงมาด้วย พอเห็นรถม้าของแม่ปรุงหยุด รถยนต์ก็รอช้าจะหยุดเหมือนกัน แต่พอคนในรถยนต์เห็นท่านหญิงอันงามติดตาเขานั้นลงยืนอยู่ข้างกายชายผู้อื่นเสีย รถยนต์นั้นจึงไถลเลยไปห่างแล้วก็เลยหยุด แลถัดเราไป ข้าพเจ้าจำได้ว่าท่านชายหมู่หนึ่ง ยืนอยู่ข้างถนน เปนคนในกระทรวงซึ่งนายขบวนแลนายพิศอยู่ร่วมกัน เหตุต่อมาอันได้เกิดแล้ว คือรถยนต์นั้นได้เก็บนายพิศขึ้นรถด้วยอิกคนหนึ่ง แล้วติดตามรถม้าคู่ซึ่งเรานั่งอยู่แต่ห่าง ๆ แล้วก็หายไป ตามเหตุซึ่งนายขบวนบอกข้าพเจ้าคราวหลังต่อนั้นนานอิกปีหนึ่ง ข้าพเจ้าจึงทราบความชัดว่าคุณพิศจารไนบอกคุณภักตร์ในรถยนต์สารพัดทุกอย่าง จนคุณภักตร์ผู้หลงกามนั้นร้อนใจตลอดรุ่ง มุ่งมาแต่เช้าโดยนายพิศคนรู้จักเก่าของข้าพเจ้าเปนผู้นำมา.

เขาติดใจใบหน้าหล่อน แลสาบาลเมื่อเห็นกายหล่อนในเวลาเช้าซึ่งพบกันในบ้านข้าพเจ้า เขาสาบาลในเวลาบ่ายเมื่อได้ทราบว่าแม่ปรุงป่วย ด้วยว่าแปลนของเขาเสียไปในที่ไม่มีโอกาศ เปนผู้ขับรถยนต์ให้ข้าพเจ้าแลหล่อนขี่เที่ยวดูงานเฉลิมในเวลาราตรีต่อๆ มาอิก แลเขาได้สาบาลก่อนสองคราวนี้ก็เมื่อได้เห็นหล่อนยอดวิไลยน่ายียวนให้ป่วนใจ เขาจึงสาบาลมากใหญ่ที่จะหาเกียรติยศรับใช้แลอยู่ในรัศมีแม่โฉมศรีให้จงได้.

เขาปลื้มใจได้ใกล้หล่อน, เขาดีใจที่ได้อาสาช่วยเหลือเกื้อหนุน, เหตุเพียงนี้ควรเปนที่สรรเสิญความดีของเกลอให้มากที่สุด แต่เหตุที่คิดเลยจากนี้ไป ควรเปนที่ติเตียนความชั่วของเกลอให้มากที่สุด.

เกลอดีใจ ได้เห็นเด็ก ได้รับเกียรติยศเยี่ยมกระดานไฟ แลโดยที่เกลอติดพันรักใคร่พ่อหนูน้อยมาก เพราะเกลอว่าไม่เคยมีบุตร์ชายเลย มีแต่บุตริ์หญิงรุ่นสาวกับเขาคนเดียว มารดาก็ตายนานแล้ว เราต้องยอมให้เกลอเยี่ยมพ่อหนูได้ตามอำเภอใจ จนเราให้เกลอเปนผู้ “รับ” เด็ก ตามธรรมเนียมไทยที่โยนกระโด้งให้เกลอ “รับ” เด็ก แลเกลอให้ “ล๊อกเก๊ต” เพชร์ผูกมือเด็ก ถึงว่าเปนเพชร์เม็ดเล็ก ก็ยังเปนเพชร์ทั้งเม็ดน้ำกลอก รัศมีแวววามทุกความไหวเคลื่อนของมือเด็ก ทั้งรูปพรรณ “ล๊อกเก๊ต” ที่ผูกมือเด็กนั้นก็เปนรูปงาม ทำโดยฝีมือดีด้วย.

เกลอช่างชอบเยี่ยมเด็กนี่กระไร พอมาถึงก็ไม่ว่าเวลากลางวันหรือค่ำคืนเช้าหรือเย็นหรือกลางวัน เกลอต้องพลันเข้าห้องอยู่ไฟไปเปิดกระโจมดูเด็กทันที บางทีเกลอพบเด็กหลับ, บางทีพบเด็กตื่น, บางทีพบเด็กกินนม.

เกลอช่างชอบดูเด็กนี่กระไร แต่ความในมีลึกกว่านั้นไม่มีใครรู้เท่าได้ เกลอใฝ่มาดูเด็กนั้นโดยไม่ตั้งใจจำเภาะดูเด็กเสียเลย.

ข้าพเจ้าคิดได้ให้สยดสยอง ความปองของเกลอยิ่งกล้าแขง เพราะเราไม่กักใจเกลอไว้ให้คลายหลง เกลองวยงงไปโดยทำให้ปรากฎอย่างหนึ่ง แต่ใจคิดอย่างหนึ่ง จึงแอบมานั่งมองดูมารดาได้ง่าย แต่อาการไถลว่าดูเด็ก.

โอ้ ! ทำไมข้าพเจ้าย้อมใจเกลอเช่นนั้น ถ้าเกลอทำมารยาจนได้สมปองเข้าห้องได้ง่ายฉนี้ ความวิเวกอันเขาได้อยู่ด้วยแม่ดวงเนตร์ตามลำภัง ยิ่งย้อมใจเขาสักเท่าไร ? เราลืมการที่จะใฝ่ห้ามไม่ให้เขาเข้าห้อง “ไปรเวต” ได้ในเวลาที่นาง “แก้วกิริยา” อยู่ในสภาพอัน “ไปรเวต” เช่นนั้น. เราไม่หยั่งรู้ได้เลยว่าเขาชอบได้เห็นกายเด็กนั้น แท้จริงเขาได้เห็นกาย “มายเดียร์” ได้สมใจเขาปอง.

ถ้าคนอื่นไม่คิดชั่วช้า แต่เขาคิดชั่วช้า ก็เพราะเขาเห็นชีพ “ไปรเวต” ของห้องนี้ได้คนเดียว ถ้าเขาหลงคนเดียว ก็เพราะเขาได้ใกล้ชิดสนิทสนมได้ถึงเพียงนี้คนเดียว เขาคล้ายใส่หน้ากากแสดงอาการอยากดูเด็ก แต่ภายใต้หน้ากากนั้นเขาต้องการประสพผู้ใหญ่ซึ่งเขาพบ เมื่อนอนกระดานไฟ, เมื่ออาบน้ำ, เมื่อถูกลูกประคบ, เมื่อถูกนวดฟั้น, เมื่อนั่งย่างกาย, เมื่อสามีไปออฟฟิศ, หล่อนชายตาคมมาให้แขกซึ่งชอบเปิดกระโจมเด็ก.

โอ้! ข้าพเจ้าเปนเสมือนผู้ย้อมหัวใจให้เขากลุ้ม, หล่อนเหมือนเปนผู้ชวนเขาสวาท เจ้าเด็กสองแก้มเปนพวงนั้นเสมือนชวนให้เขามาทหมายใจคลั่งค้าความรัก.

หากเขาทำผิดใหญ่ข้าพเจ้าจะ “ไม่มีความพยาบาท” ต่อเขาหรือ. ?

หากหักความแค้นไม่ได้ จะไม่นึกบ้างหรือ ว่าเรามิใช่คนยากเข็ญคนเดียว มีผู้ยากเข็ญทั้งกายทั้งใจมากหน้าหลายตา จนชั้นอ้ายลาวป่ายังขับเพลงลาวแพนแสดงเข็ญใจให้เราเมตตามันได้ ในคำว่า :—

“ผ้าทอก็บ่มีนุ่ง ผ้าถุงก็บมีห่ม
คาดแต่เตี่ยวเกลียวกลม หนาวลมเหลือแสน.—”

คุณภักตร์คลั่งรักขนาดใหญ่ จนทำให้ข้าพเจ้าถูกเหมาว่าบ้าเสียใหญ่ โดยเหตุอันน่าจั๊กกระเดียมเหตุหนึ่ง โดยเหตุการณ์อันนี้ ถ้ามาได้แก่ตัวคนอื่น นอกจากข้าพเจ้าแล้ว คงทำให้คุณภักตร์ผู้คลั่งนั้นชะนะข้าพเจ้า ผู้ถูกทำให้เปนบ้าได้อย่างสบาย ๆ ใจ.

แม่ปรุงอยู่น่าไฟได้กึ่งยุคสมัยของเวลาทั้งหมด ซึ่งคุณแม่บังคับให้อยู่ยี่สิบเอ็ดวันถ้วนสามอาทิตย์ โดยท่านว่า “ยิ่งอยู่นาน ยิ่งเลือดงาม.······”

ค่ำวันนั้นข้าพเจ้าอยู่ในห้อง “ไปรเวต” สัพยอกกล่าวปลอบแม่ปรุงว่า “วันที่หนึ่งเราดูเฉลิมกันสองคน วันที่สองก็พากันไปดูทั้งสามคนก็แล้วกัน”

หล่อนกำลังแย้มสรวลชวนสำราญอยู่ พอคุณภักตร์มีสาวใช้นำมาเข้าห้อง “ไปรเวต” เขาดูเด็กด้วยอาการสัพยอกอย่างร่าเริง แลจ๊วบมือเด็กซ้ายขวาสองซ้ำ แล้วเดินคุยกับข้าพเจ้าออกมาจากห้องแม่ปรุง เรามานั่งเก้าอี้ที่นอกชานสูบบุหรี่พลาง.

คุณภักตร์พูดขึ้นว่า “เออ, ฉันพบหญิงสำหรับเปนพี่เลี้ยงเด็กดีคนหนึ่ง รูปร่างหมดจด สมควรเลี้ยงเด็ก ผิวดีอย่างพ่อแดงฉนี้ เปนคนกันเอง ต้องการเมื่อไรได้เมื่อนั้น.”

ข้าพเจ้ารู้สึกว่าเกลอเปน “พ่อซื้อ” ของพ่อแดง คงได้ใฝ่ฝันในการหาพี่เลี้ยงให้ จึงถามว่า “คนนั้นใคร อยู่ที่ไหน.?”

เธอบอกว่า “อยู่ไม่ไกล เปนคนซึ่งเกณฑ์ได้ง่าย” เกลออธิบายถึงอายุพี่เลี้ยงว่าเท่าไรดี, อายุแม่นมเท่าไรดี, แม่นม ขาวมีน้ำนมอย่างไร, ดำมีน้ำนมอย่างไร, นมขนาดเล็กดี, หรือใหญ่ดี, เกลอพูดคล่อง ในที่สุดชวนให้ไปดูตัวนางพี่เลี้ยงคนนั้นสักครู่.

ข้าพเจ้าจัดกาย ให้สาวใช้ลาแม่ปรุงแทนว่า “ประเดี๋ยวข้าพเจ้าจะกลับมา” ข้าพเจ้าจึงขึ้นรถยนต์มากับคุณภักตร์ ๆ ขับรถยนต์เลี้ยวถนนวนเวียนมากหลาย จนทำให้ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าจะวกเวียนวนกี่หน เข้าถนนไหน.?

พอมาถึงถนนเงียบ ไฟฟ้าสว่างตอนล่าง ถึงรั้วซี่ห่าง ๆ เห็นต้นไม้ข้างในเปนพืด เกลอหยุดรถยนต์ก็พาข้าพเจ้าเข้าไป เราเดินไปทางราบรื่นสองข้างมีต้นไม้ระราย ถึงกระนั้นก็เดินวกเลี้ยวเคี้ยวคด ข้าพเจ้าเห็นแสงไฟลอดแสงอยู่ข้างน่าหลายดวง แต่ไกลตามาก แลมีแสงไฟดวงหนึ่งอยู่ข้างหนึ่งลอดออกจากกระท่อมตึกน้อยหลังหนึ่งนั้นอยู่ใกล้ คุณภักตร์นำข้าพเจ้าตรงไปยังดวงไฟที่ใกล้นี้ พื้นดินครึ้มต้นไม้มี ทำให้ข้าพเจ้าระลึกว่าเปนเขตคล้ายสวนพลู แต่ทางเดินเปนอิฐก่อปูนสิเมนต์บ้างเมื่อทางอยู่ใกล้ตึกน้อย แต่ต้น ๆ ทางเปนทางเดินก่อด้วยอิฐ.

เมื่อมาถึงตึกน้อยนั้นข้าพเจ้าเห็นได้โดยแสงสว่างดวงไฟฟ้านั้นมีอยู่น่าตึกดวงหนึ่ง ในตึกดวงหนึ่ง ที่น่าตึกมีลานปูพื้นดินด้วยปูนสิเมนต์ แลมีหย่อมสนาม มีต้นไม้ปลูกต่าง ๆ เปนต้นไม้ดอกจากเมืองฝรั่งแลมีพุ่มไม้ตัดเปนพุ่ม ก็เหมือนตึกน้อยนี้อยู่กลาง “ป๊าก” อันหนึ่ง ที่หย่อมสนามน่าตึกนั้นมีเก้าอี้ยาวตั้งอยู่ริม ๆ สนามสี่ด้าน แลเสาซึ่งตั้งชูดวงไฟฟ้านั้นอยู่ข้างหย่อมสนามนี้ แสงไฟส่องน่าตึกน้อยแลทั่วสนามน่าตึก.

ตึกนี้มีชานลาดด้วยปูนสิเมนต์ แลพื้นตึกก็อยู่กับดินลาดปูนสิเมนต์เหมือนกัน ทุกอย่างทำคล้ายโรงไว้รถยนต์ แต่กว้างกว่า, งามกว่า, มีน่าต่างอยู่ข้างตึกทึบนี้ แต่ปิดหมด เปิดอยู่สักด้านหนึ่งซึ่งไม่อาจจะมองดูลอดได้ง่ายเหมือนน่าต่างด้านอื่น ประตูเฟี้ยมน่าตึกนี้ปิดหมด เว้นแต่แง้มช่องไว้หน่อย เห็นไฟฟ้าภายในสว่าง.

คุณภักตร์พูดว่าเจ้าของห้องที่เราต้องการนั้นเห็นจะอยู่ เพราะไฟภายในสว่าง ถ้าไม่อยู่ก็มืด.

เกลอก็ชวนข้าพเจ้าเข้าไป.

ข้าพเจ้าย่างเท้าเข้าประตูเฟี้ยมไปแล้ว ก็ยืนตลึงพิศดูด้วยความพิศวงอยู่นาน พอรู้สึกกายก็ไม่เห็นคุณภักตร์ ผลักประตูก็ไม่เปิด เพราะเขาใส่กุญแจหรือสลักข้างนอกเสียแล้ว.

ความพิศวงตลึงไป ด้วยได้เห็นสิ่งปรากฎในห้องนั้น กับทั้งมีความตระหนกใจซึ่งรู้ว่าคุณภักตร์หายไป แลประตูห้องติดสลัก.

ในห้องตึกนี้ไม่ใช่ห้องอาศัยอยู่เลย มีแต่เก้าอี้พิงสองสามตัว เก้าอี้มีพนักมือก็มี เก้าอี้นวมยาว เก้าอี้ไม้ปุ่มคลุมหนังงามก็มี สำหรับนอนนั่งเล่นได้ มีโต๊ะเล็กมีหนังสือสองสามเล่ม มีถ้วยแก้วน้ำอยู่บนโต๊ะ พื้นปูนสิเมนต์กวาดเตียนรื่น มีพรมปูกลาง บนโต๊ะกลมเล็กสูงข้างผนังอิกตัวหนึ่งนั้นมีที่ปักดอกไม้เจียรไนยซึ่งเสียบช่อดอกไม้งามๆ หอมๆ ส่งกลิ่นมารวมเปนช่อใหญ่. ที่มุมหนึ่งมีฉากยิ่ปุ่นงามตั้งอยู่ เก้าอี้นวมยาวนี้อยู่ใกล้เหลื่อมกับฉากยิ่ปุ่น แลบนเก้าอี้นวมยาวนั้นมีผู้หนึ่ง ซึ่งบ่งความพิศวงมาให้มากที่สุด.

ผมยาว, หน้ารูปไข่, รุ่นสาวราวสิบห้าปีปลาย ร่างระหงรูปทรงนวยนาฎ, เอวกลม, มือเล็ก, เท้าเล็ก, แขนดังลำเทียน, ขาวผ่องลอองนวล น่าทำให้ชายหนุ่มใดๆ ป่วนใจ แตกเนื้อสาวอกสล้าง ฅอกลม คิ้วก่ง สยายผมดำเปนมันขลับเลื้อยปรายหลังแลข้้างน่า, ผูกโบที่ผม เสียบดอกไม้สดที่โบ นุ่งผ้าซิ่นสีสด ใส่เสื้อฅองามสง่า คล้ายใส่นุ่งเล่นอยู่กับบ้าน คาดเข็มขัดเงินแกมนาก เจ้าหล่อนถือดอกไม้สดก้านหนึ่งอยู่ในมือ หล่อนกำลังอ่านหนังสือ ข้าพเจ้าจำได้ว่าเปนเรื่องบทลครร้อง กำลังอ่านอยู่เพลินใจในราตรีวิเวกตามลำภังกาย ไม่รู้ว่าชายใดได้ล่วงล้ำเข้ามาหา.

ท่านทั้งหลายเอ๋ย ท่านต้องทายความรู้สึกของข้าพเจ้าผิดหมด.

โอ, ท่านไม่ทราบโดยแท้ว่าข้าพเจ้ารู้สึกอย่างไร? จะทายเดา ๆ ก็ย่อมผิด ด้วยท่านไม่เคยมีภรรยาอย่างแม่ปรุง.

แทนที่ข้าพเจ้าจะแขงขึงปลื้มใจ ข้าพเจ้าอ่อนเพลียละเหี่ยใจ ยิ่งรู้สึกว่ามาอยู่ที่ใด กับผู้ใด ยิ่งร้อนใจจนตกประหม่า ใจข้าพเจ้าหายวาบวับรู้สึกใครจับมาลงอวิจีแทนที่จะรู้สึกว่าใครจับมาใส่ในสวรรค์.

โอ, ข้าพเจ้าตื่นใจ ไม่รู้สึกยิ้มย่องกะลิ้มกะเหลี่ยได้ ข้าพเจ้ารู้สึกนึกว่าข้าพเจ้ามีโสโครกร้ายคล้ายคนเปนโรคเรื้อน ลอบทุจริตต่อแม่ดวงใจอันพักอยู่น่าไฟร้อนรมณที่บ้าน ข้าพเจ้ารู้สึกการบาปไต่ลามข้าพเจ้าขึ้นมาจากบาทาตลอดเศียร.

โอ้, แม่ปรุงเอ๋ย ตัวพี่มิริเล่นเช่นนี้เลย ตัวพี่ไม่ละเมิดแม่ดวงใจ ไม่ลอปใฝ่รักอื่นแอบชื่นชม.

ข้าพเจ้าสท้านหวั่นไหวใจ ด้วยภัยแห่งลามกอกเต้นตึก ๆทำให้รู้สึกเกลียดชังใคร ๆ หมด คิดเกลียดตัวของตัวเอง ไม่ยำเยงต่อข้อมั่นใจในสัญญาแห่งแม่ยอดรักร่วมชีวาพี่ที่บัดนี้ห้อง “ไปรเวต” แห่งเย่า.

ข้าพเจ้ามาอยู่ในห้องอันยั่วการโลกีย์ ข้าพเจ้ามาอยู่ตรงหน้าสาวพรหมจารีอันมีโฉมชวนสวาท ข้าพเจ้ามาอยู่ในห้อง, ในแคว้นลี้ลับกับหล่อนสองต่อสอง, อยู่ในภาพอันชื่นตา มามั่วระคนกับการเมถุนอันครอบให้เสพย์ อันเกลือกกลั้วมั่วสุมในสถานที่ทางอันไร้จากตัวแม่ปรุง. !

ตายจริง ! ข้าพเจ้าทุศีลหรือ ? ข้าพเจ้าไม่สัตย์ซื่อต่อภรรยาหรือ? ข้าพเจ้าเปนชายไม่มีสัทธรรมหรือ ? ศีลกาเมแตกแล้วหรือ.? โอ, แม่ปรุง—แม่ปรุงที่รัก จงรีบมาช่วยด้วย.

ข้าพเจ้าป่วนใจจนสิ้นแรง ด้วยความประหม่าเปนอันมาก รู้สึกเร่าร้อนราวกะไฟใน···มาสุมไหม้ข้าพเจ้าทุกเส้นขน จะหนีออกไปก็ไม่พ้น ข้าพเจ้ายืนตลึงแขงแล้วร้องขึ้นว่า “คุณพระช่วยด้วย.”

แม่ดรุณีเงยหน้าขึ้น แลเห็นข้าพเจ้าด้วยไนยตาดำขลับของหล่อน ๆ เข้าใจว่าข้าพเจ้ากล่าวเกี้ยวด้วยไม่ทันรู้ความทรมานใจของข้าพเจ้า.

หล่อนพูดเบา ๆ โดยอาการเฉยๆ ว่า “อ้อ, นี่หรือแขกคนนี้ที่จะมาหา ต้องการอะไรก็เชิญนั่งก่อนซีคะ ดีฉันขออ่านน่านี้ให้จบหน่อย.”

หล่อนนั่งขึ้น อ่านหนังสือไปพลาง ชำเลืองตาดูข้าพเจ้าพลาง ถ้าเปนใจชายหนุ่มทั้งหลายจะยอโฉมนี่กระไร จะปลื้มนี่กระไร ที่ได้มาอยู่ใกล้หล่อน แต่ข้าพเจ้ารู้สึกตรงกันข้าม ข้าพเจ้าตัวแขงเก้าขาไม่ออก รู้สึกเร่าร้อนเหมือนอย่างตัวข้าพเจ้าเปนนาง “ภิกขุนี” อันมีผู้มาแสดงการโลมให้เห็นเพื่อชวนหรือข่มขืนให้ลงใจเข้าสมทบด้วย.

ข้าพเจ้าเก้าขาไปใกล้หล่อนไม่ได้ ราวกะทุกเก้าที่เขยิบใกล้เหมือนอย่างใครผลักให้เขยิบเข้าใกล้เหว.

ข้าพเจ้าแขงใจพูดว่า “โอ้—อย่าขังฉันเลย.”

หล่อนชำเลืองมาพยักหน้าแล้วอ่านต่อไป.

ข้าพเจ้าเสียใจน้ำตาไหลสงสารบุตร์แลภรรยาอันถูกประมาทให้ถอยเกียรติยศ กระถดจากความรักมั่นโดยถูกแบ่งรัก ข้าพเจ้าน้ำตาไหลสอื้นฮัก ๆ.

หล่อนเห็นข้าพเจ้าร้องไห้ ก็วางหนังสือบ่นว่า “เชิญนั่งซีคะ นั่นร้องไห้ทำไม ? ไหนพ่อว่าคนดีจะมาหา นี่เอาคนบ้ามาทำไม.?”

ข้าพเจ้าเห็นหล่อนจ้องดูข้าพเจ้ายิ้มลมัย วงภักตร์จับแสงไฟ ดูน่าสงวน ข้าพเจ้าสงสารแม่สาวน้อยคนนี้อิกต่อหนึ่ง จึงมีน้ำตาไหลอิก.

ข้าพเจ้าแขงใจว่า “แม่คุณเอ๋ย, ฉันเสียใจจริงๆ ที่ไม่อาจจะปฏิบัติตามใจประสงค์หล่อนได้ ฉันเห็นหล่อนโฉมงามฉันก็แสนสมเพชเมตตานี่กระไร ซึ่งไม่รับอาสาหล่อนได้นั้นใช่ว่าจะไม่ปราณี แต่ฉันไม่อาจจะสอนการประเวณีหล่อนได้ ด้วยความจำเปน ถ้าหล่อนต้องการชายสักคนหนึ่งแล้ว จงหาคนอื่นนอกจากฉันเถิด.”

หล่อนฟังคำ แล้วหล่อนนิ่งคิดความ แล้วหล่อนเห็นขัน กลั้นหัวเราะไม่ได้ ก็หัวเราะคิ๊ก ๆ ดูหน้าช่างแฉล้มแช่มช้อยพิลึก แต่ข้าพเจ้าหน้ามืดด้วยความกลัวบาป (ที่หยาบช้าต่อภรรยาคู่ชีวี) ข้าพเจ้าไม่เห็นอะไรหมด พอหล่อนพูดขึ้นว่า “นี่พูดอะไร ฉันไม่เข้าใจ ฉันอ่านหนังสืออยู่ท้ายสวนดี ๆ ล่วงเข้ามา แล้วยังมากล่าวหยาบช้ากับฉันได้ เขาบอกฉันหรอกว่าเย็นนี้จะมีผู้ดีมาหาฉัน, ฉันก็ไม่เอาเปนอารมณ์, ค่ำแล้วก็มาพักสบายที่นี่ ที่คุณจู่มานี่หน้ะ, ถ้าเขาไม่บอกล่วงน่าเสียก่อนว่าเปนคนดี ฉันคงไล่ไปเสียแล้ว แต่เขาสั่งไว้ว่าแขกผู้ดีจะมาหาเวลาเย็น ให้ฉันรับรอง ฉันจึงไม่ไล่คุณไป แต่นี่ก็ผิดเวลาค่ำมืดแล้ว คุณจะต้องการอะไร. ?”

หล่อนนิ่งตลึงขึงตาดำกลมมาดูข้าพเจ้า เห็นข้าพเจ้าหน้าซีดตัวสั่น ดูอาการรู้ว่าป่วยก็ตกใจจึงลุกขึ้น เดินมาถามว่า “ป่วยเปนอะไรคะ? หน้าจึงเผือดเลือดไม่มี ตัวสั่นริก ๆ.”

เมื่อหล่อนขยับลุกมาใกล้นั้น ข้าพเจ้าใจหายวาบ รู้สึกว่าเหวแห่งเปลวไฟซึ่งข้าพเจ้าถอยหนีนั้นบัดนี้ (เหว) นั้นได้รุกใกล้ข้าพเจ้าเข้ามากระชั้นทุกทีแล้ว พอหล่อนลุกขยับมาหา ข้าพเจ้าก็ใจหายวาบ แรงสูญหายไป ลมจับใจ ร้องครางล้มลงก้นกระแทก หน้ามืดเวียนศีร์ษะเหงื่อออกไหลซิก ๆ.

หล่อนยกถ้วยน้ำมาให้ข้าพเจ้าดื่ม โดยฉุดมือให้ลุกขึ้น ช่อดอกไม้ในมือหล่อนนั้นส่งให้ข้าพเจ้าดม. ดอกไม้นั้นงามมาก เจือดอกพุทธชาติ เสียบก้านยาวเข้าผูกมัดร่วมช่อกับดอกไม้อื่นอันหอมโหย แลปรุงน้ำอบฝรั่งอย่างช่อบุหงาด้วย ทำให้ข้าพเจ้าดมได้รับคุณจากกลิ่นหอมนั้นมาก ค่อยคลายวิงเวียนศีร์ษะ หายหน้ามืด หายเหงื่อไหล หายเปนลม.

หล่อนจูงให้ข้าพเจ้านั่งเก้าอี้มีพนัก ข้าพเจ้าทิ้งก้นลงได้—ก็หายใจเร็วคล้ายหอบ.

หล่อนเปิดน่าต่างหนึ่งออกสองบานแล้วมานั่งเก้าอี้อิกตัวใกล้ข้าพเจ้า นั่งมอง, นั่งยิ้ม, นั่งคิดปลาดใจ.

สักครู่หล่อนพูดว่า “คุณต้องบอกฉันว่าเปนใคร ทำไมกลัวจนป่วยน่ากลัวตาย ทำไมมาในเวลาค่ำคืนถึงที่นี่.?”

ข้าพเจ้าพูดเสียงกระเส่าว่า “โอ้, แม่หนูจ๋า ขอเปิดประตูปล่อยให้ฉันไปเถิด.”

หล่อนยิ่งยิ้ม หล่อนยิ่งเห็นขัน หล่อนตอบว่า “นี่ใครเขาปิดขังคุณไว้เล่า.?”

ข้าพเจ้าตอบว่า เขาปิดประตูนี้ขังเสียแล้ว.

หล่อนปลอบว่า “อย่ากลัวจะออกไม่ได้เลย ประตูห้องยังมีอิกทาง ฉันจะเปิดให้ไป แต่คุณต้องเล่าเรื่องไปว่าทำไมมาในเวลาค่ำ มาแล้วตกใจอะไร จนป่วยเปนลม.?

ข้าพเจ้าดีใจที่รู้ว่ายังมีช่องทางจะออกได้ซึ่งหล่อนจะปล่อยให้ไป ข้าพเจ้าค่อยมีใจกล้าขึ้นหน่อย. จึงถามว่า ถ้าฉันบอกตามจริงหล่อนจะเปิดประตูห้องปล่อยให้ไปหรือ.?

หล่อนหัวเราะแล้วนิ่งตรึกสักครู่ อยากรู้ความในของข้าพเจ้าเปนประมาณ หล่อนหายกลัวข้าพเจ้า ที่เห็นว่าข้าพเจ้า “กลัว” หล่อนจนอ่อนใจ หล่อนพูดสัพยอกเพื่อจะให้ข้าพเจ้าบอกความหล่อนว่า “ถ้าคุณไม่เล่าเรื่องละก็ดีฉันไม่ปล่อยไปหละ.”

ข้าพเจ้าตอบว่า ซึ่งร้องไห้นั้นเพราะคิดถึงภรรยา.

ไม่มีอะไรจะน่าขันกว่าคำตอบนี้ หล่อนหัวร่อก้ากใหญ่ แล้วหยุดชงักการหัวร่อ ใช่ว่าจะระงับอิริยาบถอย่างเดียว เปนโดยหล่อนรู้ความในอยู่บ้าง แลเชื่อข้าพเจ้าว่าพูดคำจริงใจ ไม่มีสิ่งไรจะน่าหัวเราะ.

หล่อนเลยถามว่า ทำไมกลัวจนเปนลมล้มลงเหงื่อแตก.?

ข้าพเจ้าก็ตอบว่าเพราะคิดถึงภรรยา.

คำตอบนี้ถึงจะอดหัวเราะอย่างไร หล่อนก็อดไม่ไหวจึงได้หัวเราะออกมา, แต่พูดเสิมคำว่าช่างรักเมียจริงหนา.

หล่อนเห็นข้าพเจ้าซื่อหนัก สุภาพนัก ก็เลยพูดจาด้วยโดยไม่มีสทกสท้าน แต่เหตุซึ่งข้าพเจ้านึกเหยียดเอาหล่อนเปนเหวเพลิงนั้น เปนสิ่งซึ่งหล่อนจะไม่เข้าใจแลซึ่งข้าพเจ้าปกปิด.

“คุณชื่อคุณเจียร บ้านถนนสระปทุมใช่ไหม.?”

“นั่นแล้วจ้ะ.”

“อ้อ, ถ้ากระนั้นดิฉันขออภัยที่ฉันเหมาว่าเปนบ้า ป๋าสรรเสิญคุณว่าอัธยาศัยดีนัก มีบุญมีคุณแลสนิทกับป๋า.

“อ้อ นี่หล่อนชื่อแม่ประไพ ลูกคุณภักตร์ ออกจากวังมาอยู่บ้านนี้หรือ.?”

หล่อนยิ้มพลางถามว่าทำไมรู้.

“คุณภักตร์บอกฉัน.”

“ป๋าก็บอกฉันว่าคุณมีอัธยาศัยดีนัก แลมีภรรยาสวยที่สุด.”

ข้าพเจ้าคิดถึงแม่ปรุงขึ้นมาอิก แลรู้สึกราคีที่มานั่งฉอเลาะกับสาวคนอื่นนอกจากหล่อน ก็สดุ้งใจจนแม่ประไพแลเห็นปรากฎ จนหล่อนถามว่า “เมียสวยต้องปิดความด้วยหรือ. ?”

ข้าพเจ้าคิดเห็นว่ารีบบอกความแล้วรีบลาจึงจะได้รีบกลับมาหาแม่ปรุงได้โดยเร็ว. จึงตอบว่าไม่ปิดความหรอก แม่ประไพก็ทราบว่าฉันกำลังร้องไห้คิดถึงภรรยางามอยู่ เพราะฉนั้น จะลาไปได้หรือยัง.?

คำนี้ขันใหญ่ แม่ประไพหัวร่อใหญ่ แท้จริงใครได้ยินก็อดหัวร่อไม่ได้.

หล่อนว่า “ฉันนี้ไม่สู้สระสวยหรือ? จึงไม่สมควรพูดกับคุณ.”

ข้าพเจ้าแทบจนคำ แต่ตอบได้ว่า “แม่ประไพสวยเหมือนกัน แต่ฉันพ่อลูกอ่อน.”

แม่ประไพหัวร่ออิก ถ้าข้าพเจ้าปล่อยประโยคขันเช่นนี้ไม่วาย จะทำให้หล่อนไม่วายหัวเราะเหมือนกัน.

หล่อนถามว่า “แม่ปรุงกับฉันใครจะสวยกว่ากัน.”

ในใจข้าพเจ้านึกตอบว่า ข้าพเจ้ารักแม่ปรุงร้อยเท่า แต่ไม่รักแม่ประไพ แต่คำนี้ไม่มีใครเขาใช้พูด แลมักไม่เปนจริงได้ ด้วยแม่ประไพก็น่ารักอยู่ครัน ข้าพเจ้าจนคำนิ่งอ้ำอึ้ง.

การนิ่งก็เปนขัน หล่อนก็หัวเราะ.

หล่อนเล่าความว่าพึ่งมาอยู่บ้านได้น้อยวัน จะอยู่บ้านนี้ต่อไปเสมอ คุณพ่อบอกหล่อนถึงข้าพเจ้าว่าใจดีอัธยาศัยดี มีภรรยางามยิ่งนัก จะหาหญิงใดน่าประโลมกว่าเปนไม่มี หล่อนอยากพบหน้าแม่ปรุงด้วยเหตุนี้, คุณพ่อหล่อนว่าวันนี้นายเจียรจะมาหาเวลาเย็น ขอให้รับรองให้ดี แล้วคุณพ่อกับหล่อนจะไปกับข้าพเจ้าเยี่ยมแม่ปรุง ครั้นเย็นแล้วไม่มีใครมา หล่อนก็สิ้นความหวังใจ หล่อนมาพักหาความสงัดในกระท่อมตึกหลังสวน, พออ่านหนังสื่อเรื่องกำลังถึงตอนสนุกก็เห็นท่านชายเข้ามายืน ซึ่งหล่อนคเณเอาได้ว่าเปนนายเจียร แต่ไม่ทราบว่าสทกสท้านด้วยเรื่องอันใด.

ข้าพเจ้าบอกว่า แม่ปรุงอยู่ไฟได้สิบเอ็ดวันครึ่งแล้ว ลูกชายขาวอ้วนสวยน่ารัก ถ้าแม้แม่ประไพอยากพบเห็นแม่ปรุงให้ได้ ก็ไปกับคุณภักตร์เมื่อไรก็ได้.

ข้าพเจ้ารู้ความได้ว่าแม่ประไพนั้น รูปโฉมโนมพรรณงดงามนัก ครั้นหล่อนรู้ข่าวว่ามีหญิงสาวสวยยิ่งหล่อนจึงอยากเยี่ยมเยียนให้เห็นแก่ตา ว่าจะสวยกว่าหล่อนปานใดไหม. ความระหายของหญิงโฉมงามมีอยู่เช่นนี้ไม่เหือดหาย. ข้าพเจ้าถามว่า บ้านคุณภักตร์ทำไมเข้าทางท้ายสวน. ?

หล่อนยิ้มตอบว่า น่าบ้านอยู่ท้ายถนนสี่พระยา หลังบ้านมีสวนออกถนนสกัดสายอื่น ซึ่งข้าพเจ้าเข้ามานั้นทางท้ายบ้าน ตึกใหญ่อยู่น่าบ้านทางโน้น.

ข้าพเจ้าขอบใจหล่อน แลขอให้เปิดประตูปล่อยตัว หล่อนเปิดประตูหลังห้องเรียกสาวใช้ซึ่งมาหาแล้วก็ไปดูที่ปากทาง บอกว่ามีรถม้าคอยส่งข้าพเจ้ากลับบ้าน. แม่ประไพจึงให้สาวใช้เอาตะเกียงลานมานำส่งให้ข้าพเจ้าขึ้นรถ. ข้าพเจ้าลาแม่ประไพมา หล่อนแสดงความขอบใจในที่ได้สนทนาอย่างน่าสนุก เพราะหล่อนไม่ได้หัวร่อใหญ่หลายครั้งเช่นนี้มานานแล้ว.

ข้าพเจ้าได้ทำให้ตัวของตัวเปนตลกไปแล้วจริง แต่ถึงกระนั้นก็ยังได้มีประโยชน์แก่หญิงรุ่นซึ่งทำให้หล่อนโล่งหทัยได้หัวร่อออกมาเสียได้บ่อย ๆ.

สาวใช้นำโคมลานมา ข้าพเจ้าเหลียวหลังมาดู เห็นแม่ประไพยืนเกาะประตูหลังห้อง ซึ่งเปิดปล่อยให้ข้าพเจ้าออกมานั้นอยู่ดูดวงหน้าขาวโพลง สยายผมดำประบ่า ดูรุ่นสาวสวยราวกะเจ้าป่าหรือนางไม้ แต่งตัวเปนลาวมายืนตากลมอยู่ในเวลาราตรี ถ้าชายหนุ่มใดนอกจากข้าพเจ้าแล้ว จะหลงใหลในเล่ห์ประเวณีลุ่มหลงงงงวยไปในรูปทรงอันยวนยีของหล่อน.

สาวใช้ร่ำลาถือโคมกลับ คนขับออกรถซึ่งข้าพเจ้านั่งมา สารถีคนไทยปลอมเปนแขกมลายูถามข้าพเจ้าว่าทำไมมาคนเดียว? ข้าพเจ้าว่าไม่มาคนเดียวจะมากับใคร. เขาตอบว่าทำไมไม่เกี้ยวสาวให้ได้ หรือว่าได้เสียกันในสวนเสร็จแล้ว ข้าพเจ้าเอะใจถามว่าใครบอก? สารถีตอบว่าคุณผู้ชายบอกว่าท่านชายจะพาแม่รุ่นไปนอน “โฮเต็ล.”

ข้าพเจ้านิ่งด้วยขัดใจไม่พูดว่ากระไร ด้วยว่าข้าพเจ้ายังไม่มีราคีที่นอกละเมิดแม่ปรุงเลย ข่าวเหม็นนั้นด่วนส่งกลิ่นมาไร ๆ แล้ว ถึงอย่างไรก็ดี มนุษไม่เห็น, เทวดาย่อมเลงเห็น.

ข้าพเจ้าโกรธ จึงยกช่อดอกไม้ในมือดมแก้โกรธ ค่อยหอมชื่นใจ ยิ่งหวนคิดถึงเมียรัก ว่าลามาเพียงครู่รึกลับจนดึก. ข้าพเจ้าก็อนาถใจอาลัยอาวรณ์คิดถึงหล่อนแม่มิ่งมิตร์ นี่ข้าพเจ้ามีราคีติดมาบ้างไหมหนอ.

ข้าพเจ้าได้พูดปลอบหญิงอื่น ได้พูดฉอเลาะกันสองต่อสองลับหลังแม่ปรุง โอ—เมื่อได้คิดว่าแม่สาวดรุณีได้ประคองกอดแลถูกต้องข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าสท้านสั่นกายหนาวเย็นใจยะเยือก โอ—ราคีที่ได้สัมผัศหญิงอื่นนี้จะรู้จักเหือดหายไปหรือไม่.

ข้าพเจ้ายกช่อดอกไม้หอมเย็นใจนั้นขึ้นดม กลิ่นทำให้ซาบทรวงรู้สึกว่านี่เปนของแม่ประไพให้ดมแก้เวียนศีร์ษะ ข้าพเจ้าถือติดมือมา ช่อบุหงาหอมกำซาบใจ กลิ่นไอแม่รุ่นยังติดตามมา ยังรู้สึกเสียวสร้านซ่าในทุกส่วนมังสาที่แม่ประไพสัมผัศแตะต้องประคองรับด้วยกลัวข้าพเจ้าจะป่วยหนักไป ช่อดอกไม้นั้นจะไม่ทิ้งก็เอียนใจ จะทิ้งเสียก็เสียดาย ในใจคิดลังเลอยู่ก็พอรถมาจอดส่่งตรงประตูบ้าน. ข้าพเจ้าก็ลงจากรถเดินซึมเซ่อซ่ามา, รถก็ขับกลับไป.

ข้าพเจ้ารีบผลัดผ้า ใจเตือนให้รีบมาหาแม่ดวงใจ พอเข้ามาในห้อง “ไปรเวต” พบหล่อนนอนเหยียดสบายในความอบอุ่นตลบห้องด้วยถึงคราวดึกคุณแม่ออกคำสั่งให้เร่งไฟ ถ้าเวลากลางวันแดดร้อน ท่านสั่งให้ซาไฟ นี่เปนเวลาจวนดึก ในห้อง “ไปรเวต “ เงียบสงัด ทุกสิ่งเปนกิจลักษณะดูเรียบร้อย ไฟสว่างไสวดี, แม่ปรุงยอมอดทนด้วยใจกล้า.

พอเสียงกุก หล่อนก็หันมาพบหน้าข้าพเจ้า หล่อนนั่งยิ้มลมัย ข้าพเจ้าแสนปลื้มลืมสวาทสิ่งใด ๆ หมดในโลกนี้. ดวงหน้าของหล่อนเปนสิ่งซึ่งให้น้ำเลี้ยงชีวิตของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าตรงเข้าไปกอดรับขวัญไว้ แม่ปรุงเห็นข้าพเจ้ากะลิ้มกะเหลี่ยมากไปก็เกิดสนเท่ห์ แต่การยวนยีทำให้เกิดความเอนดูสิ้นสงสัย. หล่อนก็ยิ้มลมัยดีใจที่ได้มาแนบชิดกันอิก.

ข้าพเจ้ากระซิบว่า “ขอโทษฉันได้ไหม, ที่กลับช้าไป.”

หล่อนตอบว่า “ฉันยกโทษให้คุณเสมอ.”

ประโยคนี้ทำให้ข้าพเจ้าจำได้จนวันตาย เพราะว่ามธุรสของคำนี้หวานใจข้าพเจ้าไม่หาย. มันเปนประโยคต้นแบบฉบับ ให้ข้าพเจ้าพิเคราะห์เห็นความยกโทษเปนของเอกมหันต์ในโลกนี้ แลแม่ปรุงเปนผู้ให้ความระลึกอันนี้โดยกล่าวประโยคนั้น.

ข้าพเจ้าสงสารภรรยาน้ำตาไหล แล้วตกใจกลัวหล่อนจะเห็นเปนการแปลก ข้าพเจ้าจึงลาเลี่ยงออกมาเสีย ก็ทอดกายลงกลางที่นอนโศกาลัย กลิ่นหอมจากช่อดอกไม้เจ้ากรรมนั้นก็ส่งเข้าจมูกให้ซึมซาบใจไม่วาย, ยิ่งรื่นกลิ่นก็ยิ่งกอดหมอนน้ำตาไหล ไม่รู้ว่าจะสอื้นไห้ไปด้วยเรื่องอะไร เห็นจะเปนโดยรู้สำนึกว่าตัวได้นอกเลมิดหล่อนที่รัก แล้วกลับมาคิดพิพักพิพ่วนสงสารนิ่มนวลเหลือจะจินตนา จึงโศกาเพราะว่าทวีสวาทมากขึ้นนี่กระไร.

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ