บท ๖ แม่ปรุงเปนมารดา

ข้าพเจ้าได้ยินแว่วว่าตื่นเถิด ราวกะเสียงเตือนหูว่า ตื่นเถิด สองราเอ๋ย เราเกิดมาความสุขกับความทุกข์ย่อมไม่หนีห่างกัน การชังกับการชอบก็ติดพันกันไปด้วย อย่าประมาท แลอย่าไว้ใจคน ถ้าลืมความไม่ประมาท ย่อมจะรู้สึกผลระทมแรงกล้าค่าที่เผลอ.

เสียงเตือนให้ตื่นแว่วหูมาอิก ข้าพเจ้าก็ตื่นขึ้น ตวันได้ขึ้นสูงข้ามโค้งอากาศ พ้นยอดไม้โด่งไกลคุ้งขอบฟ้า เรามามัวนอนสาย แต่ก็เปนวันหยุดงาน ย่อมนอนตื่นล่าช้าเชือนได้ มองดูแม่ปรุงยังหลับสนิทอยู่ข้างกาย สองแก้มเพราพริ้มราวกะยิ้มอยู่ทั้งหลับ นอนหลับอย่างสุกรผ่อนย่อยอาหาร.

ข้าพเจ้าเปิดน่าต่างเห็นสว่างทั่วห้อง แม่น้องสิมีฉวีราษีงามยิ่ง นอนนิ่งขาวผ่องเปนยองใย ริมฝีปากยิ้มลมัยเหมือนเด็กอ่อนนอนฝันอาถรรพ์ตามเชื่อกันว่า “แม่ซื้อ” มาชวนชม หล่อนขาวผ่องนี่กระไร ราวกะสำลี ริมฝีปากแดง แต่น่าปลาดใจเส้นขึ้นเขียวไปหมด ทั้งขอบตาก็เขียวด้วย ข้าพเจ้าไปจูบต้องพอหล่อนลืมตาดำ ข้าพเจ้าถามว่า “ยังไม่ตื่นนอนหรือน้อง?” หล่อนแย้มยิ้มแสดงว่าชื่นชอบที่ปลอบประโลม แล้วลุกนั่งพูดแสดงว่า “เมื่อย, ช้ำ, ระบม, เหนื่อย.”

ข้าพเจ้าบีบข้อบางแห่งให้ เพราะเปนคราวเรกที่หล่อนบ่นว่าเมื่อย แล้วบอกให้นอนต่อไป. ข้าพเจ้าลาหล่อนพูดว่าสาวใช้เคาะประตูเรียกปลุกว่า “ใครมาหา.”

ข้าพเจ้าเปิดประตูมาล้างหน้าจัดกายในห้องหนึ่ง สาวใช้บอกว่า “ มีคุณอะไรมาหา.”

ขณะนั้นความหอมหวานชุ่มชื่นของเวลาเช้ายังไม่สูญหายไป.

ข้าพเจ้ามาน่าเรือนไม่เห็นมีใคร พอเห็นรถยนต์จอดอยู่น่าบ้านจึงรู้ว่ามีแขกมาหา แต่ไม่รู้ว่าแขกนั้นไปอยู่ไหน.

พอบ่าวบอกว่า “นายพิศพาท่านชายมาดูกล้วยไม้ บัดนี้ไปเที่ยวสวนที่หลังบ้านแล้ว.”

ข้าพเจ้าจึงตามไปที่หลังสวน เห็นนายพิศนำท่านชายผู้หนึ่ง รูปร่างโอ่โถงงดงาม เดินเที่ยวชมเขตสวนหลังบ้านข้าพเจ้าอยู่ ข้าพเจ้าก็ตามไปหา.

นายพิศบอกว่า “นี่เปนคุณภักตร์, เดิมเคยรับช่วงบิดาเปนเจ้าภาษีนายอากร แต่บัดนี้มีส่วนน้อยอยู่ในหุ้นของภาษีอากรนั้น.”

ข้าพเจ้ารับคำนับคุณภักตร์แลแสดงว่า “เคยได้ยินชื่อเสียงคุณภักตร์จากเพื่อนข้าพเจ้าอยู่บ้างแล้ว “

“คุณภักตร์พูดว่านายพิศบอกว่า ที่นี่มีกล้วยไม้แปลกมากจึงได้มาดู แลซึ่งมาแต่เช้านั้นเพราะว่าเวลาต่อ ๆ ไปตัวต้องติดธุระ.

ข้าพเจ้าตอบว่า มีกล้วยไม้อยู่น้อยอย่างที่สุด.

จึงนำมายังที่ที่แขวนกล้วยไม้ชี้ให้ดู.

คุณภักตร์ชมพรรณกล้วยไม้ ด้วยภูมรู้ธรรมชาติอย่างลึกซึ้งของมันต่าง ๆ ในที่สุดขอกล้วยไม้ข้าพเจ้ากระเช้าหนึ่ง.

ข้าพเจ้าว่า กระเช้านั้นเปนพรรณซึ่งหายากที่สุด ทั้งมีอยู่น้อยที่สุด ไม่อาจจะแบ่งได้ แต่คุณภักตร์อ้อนวอนข้าพเจ้าจะขอเอาให้ได้ พูดว่า “อย่างอื่น ๆ มีดื่นแล้ว แต่แง่งน้อยพรรณนี้ไม่มีเลย.”

ข้าพเจ้าว่า “ ให้ไม่ได้ “ แต่คุณภักตร์ปลอบว่าจะให้กล้วยไม้ข้าพเจ้ามากมายหลายกระเช้า เอาที่แปลก ๆ แพง ๆ หายาก ๆ ทั้งนั้นให้ด้วย.

เกลอพูดด้วยใจดีมีอารี จนข้าพเจ้าขัดมิได้ก็ต้องให้เกลอ.

คุณภักตร์ขอบคุณข้าพเจ้ามากมาย พูดว่าจะยกพรรณหลาย ๆ กระเช้ามาให้ข้าพเจ้าตอบแทนให้ก่อนเวลาเย็นวันนี้ แล้วเกลอก็เที่ยวชมสวนต่อไป

ข้าพเจ้าขึ้นมาบนเรือนเพื่อจะดูว่าแม่ปรุงเมื่อยขบอยู่นั้นจะลุกขึ้นแล้วหรือยัง ข้าพเจ้าเห็นหล่อนประแป้งสวยเนื้อสวยตัวยิ้มรับน่าชม ดวงหน้างามสง่ายิ่งกว่าดอกไม้บาน.

ข้าพเจ้ารับขวัญให้ฟอด แล้วว่าไม่ป่วยไม่ไข้ฉันยินดี บัดนี้มีแขกมาหา ฉันต้องไปพบกับเขาอิก หล่อนจะไปท้ายบ้านด้วยกันหรือ.?

หล่อนตอบกว่า ประเดี๋ยวไป.

ข้าพเจ้าจึงมาหาคุณภักตร์ใหม่ เห็นคุณภักตร์กับนายพิศชมสวนอยู่เพลิน.

คุณภักตร์เด็ดดอกพุดซ้อนดอกใหญ่ถือไว้ดม พลางชมท้องร่องลำคลองน้อย แลต้นกล้วยไม้ “หวาย” อันออกดอกแลมีมือเลื้อยห้อยลงมาจากต้นไม้ใหญ่.

ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นใครพูดจาใจฅอกว้างขวางอย่างคุณภักตร์ พอออกปากอยากได้อะไรก็ว่าจะหาให้. ที่บ้านของเกลอยอมให้ไปเลือกเอาหมดทุกอย่าง เกลอแทบจะกล่าวว่ายกบ้านมาได้ก็แทบจะให้ทั้งเรือน เกลอพูดจาสนิทสนมกลมเกลียวมาก ฝีปากอารีแท้ ๆ ใจฅอกว้างขวาง อย่าว่าแต่ต้นไม้เลย ถึงจะขอยืมรถยนต์ขี่ โคมวอชิงตันใช้ติดน่าบ้านในงานเฉลิม หรือหีบเสียง หรือข้าไทบางคน เกลอก็จะอนุญาตให้สิ้น. ข้าพเจ้าฟังเกลอกล่าวว่าอย่างเพลิดเพลิน.

นายพิศบอกว่า เกลอมีตึกกว้านที่บ้านใหญ่โต มีทาสาทาสีมากมาย มีบุตร์มีภรรยาน้อยๆ สะสวย มีคนรู้จักมากหน้าหลายตา.

ข้าพเจ้าก็มีแต่จะขอบใจเกลอ- คุณภักตร์—ตามส่วนที่มีใจเอนดู.

คุณภักตร์ชำเลืองตามาตามที่ได้เคยชำเลือง. เห็นภรรยาข้าพเจ้ามา เขาร้องคำอุทานขึ้นคำหนึ่ง ถ้าไม่ใช่คำร้อง “โอ๊ย” ก็เปนคำสาบาลซึ่งตรงกับคำว่า “ห่า” แต่เกลอเสียใจที่พลั้งปาก ครั้นภรรยาข้าพเจ้ามาใกล้ เกลอยิ้มแย้มแจ่มใสพอใจเปนอันมาก ที่แม่ปรุงอุตส่าห์ “หิ้วท้อง” มารับแขกถึงปลายสวน.

เกลอคำนับเปนอันดี กิริยาท่าทางช่างเรียบร้อยยิ่งนัก, ปากคำเกลออารีมาก ภรรยาข้าพเจ้าชอบต้นอะไร ดอกอะไร ผลอะไร ๆ เกลอยอมหาให้สิ้น เกลอรู้จักเพื่อนไทยมาก ทั้งแขก, ฝรั่ง, จีน, ลาว เกลอก็รู้จักหลาย ๆ คน ทั้งหญิงทั้งชายเกลอว่าเกลอรู้จัก. ทั้งแม่กลึง, คุณแกลบ, กับคุณพระผู้บิดาหล่อนเกลอก็รู้จัก ทั้งห้างน้ำหอม, ห้างเสื้อผ้า, ห้างถ่ายรูปดี ๆ มากมายหลายราย ที่เกลอซื้อเชื่อโดยเซ็นชื่อได้ก็หลายแห่ง.

เกลอรับรองกว่าตอนบ่ายจะหอบต้นไม้มาตอบแทนให้หลายกระเช้า แลถามภรรยาข้าพเจ้าว่า “จะต้องการไม้ดอกชนิดใด. ?”

แม่ปรุงต่อว่ากับนายพิศว่า “นายพิศจะเอาต้นบุหงาลาเจียกมาให้ก็เหลวใหลไม่ได้เรื่อง.”

นายพิศว่ายังขอจากคุณภักตร์ยังไม่ได้.

คุณภักตร์หัวร่อร่าว่านายพิศไป “แตะ” ต้นไม้เกลอเพื่อจะมาเอาหน้าทางนี้ แล้วเกลอก็สัญญาจะให้ต้นบุหงาลำเจียกอันหอมยิ่งแก่แม่ปรุงโดยตรงตัว ทั้งรับคำว่าจะให้ กระดังงา, จำปาแขก, ยี่หุบ มลิซ้อน, มลิวัลย์, แก่หล่อนตามประสงค์.

ภรรยาข้าพเจ้าจะได้ไม้ดอกอย่างดีหลายชนิดก็ดีใจ เมื่อเกลอหิ้วกระเช้ากล้วยไม้อย่างหายากของข้าพเจ้ามาขึ้นรถยนต์ เกลอยังหัวร่อร่าพูดกับเราผู้ไปส่งจนถึงรถยนต์ว่า “ต้องการอะไรอิกไหม. ?”

เราสองสามีภรรยาตอบว่า ขอบใจ จะคิดเสียก่อนว่าจะต้องการอะไรภายหลังจึงจะบอก.

เกลอหัวร่อพลางก็เปิดหมวกคำนับยอบกายต่ำอย่างเคารพพิเศษแล้วก็ขับรถลาไป.

เกลอเหลียวหลังมาจ้องไม่วางตาแล้วยิ้มอย่างอาลัย. (ที่ไม่ได้ต้นไม้นั้นมาให้ทันใจ )

ทำให้ภรรยาข้าพเจ้าชอบใจในอารี, ในกิริยา, ในใจฅอกว้างขวาง, ของเกลออย่างมากมาย ทั้งในรูปโฉมโสภา แลการแต่งตัวหมดจดสดใสของเกลอ ทั้งในวาจาเฉลียวฉลาด แลความโอบอ้อมของเกลอมาก ๆ จนต้องออกปากชมเปาะ ว่าไม่เคยเห็นใครใจดี, พูดดี, รูปดี, เช่นนี้. เราดูรถยนต์ขับไปจนเลี้ยวคุ้งถนน สองตาจากรถยนต์จ้องมาดูเราไม่วางตา.

วันนี้เราไม่มีงานอะไร ตื่นสายได้แรง พระอาทิตย์ส่องแสงข้ามโค้งอากาศผาดแผดด้วยแสงกล้า แต่ว่าความ “หอมหวาน” ของเราเวลาเช้าไม่สาบสูญ น้ำค้างยังไม่แห้งผากจากใบไม้ น่าปลื้มใจแทนคุณภักตร์ สมจิตได้กล้วยไม้พรรณหายาก สมใจได้เห็นแม่ยอดรักของข้าพเจ้า อันมีหน้าอิ่มไปด้วยความตื่นนอน หอมน้ำอบกลบกลิ่นดอกไม้ ไนยตาอิ่มด้วยความปลื้มแต่ค่ำคืน ฝืนเดินนวยนาฎมาต้อนรับถึงท้ายสวน ให้เปนขวัญตาของคุณภักตร์ ท่าเกลอจะเห็นงามชวนสวาทนัก จนเกลอออกอุทานร้องโอ๊ย—หรือว่าร้อง.—

เรากินอาหารสายอร่อยใจ ปากบ่นสรรเสิญคุณภักตร์ไม่วาย รับประทานแล้วไปนั่งสูบบุรี่.

“อะไรนี่—ยอดรัก—แม่ถือมา? อ๋อ! รูปถ่ายหรือจ๋า ชายหรือหญิง ? นั่งตักฉันนิ่ง ๆ ซี จะเปิดซองดู แม่เจ้าโว๊ย, หญิงรุ่นสาว อายุคราวไหนหื่อ ไม่ใช่สิบสี่กว่า ๆ สิบห้าหย่อน ๆ หรอก สิบสี่ไม่ข้ามสิบสามไม่ถ้วนหน้ะจ้ะ ใครหื่อ. ?

“สวยไหมคะ?”

รูปนี้งาม แต่แม่ปรุงนั้นสวย.”

“จูบซี.”

“ม่ายน่า บอกก่อนว่าใคร.”

“ไม่รู้จักชื่อ รู้แต่ว่าเปนลูกสาวคุณภักตร์ แม่ตาย, แม่หนูอยู่ในวัง คุณภักตร์มีเมียใหม่ สาว ๆ แส้ ๆ แยะ.” “ใครบอก.?”

“เขาบอกเมื่อกี้อย่างไร ทาสีแยะหน้ะ คือเมียสาว ๆ แยะ รูปนี้หนูเสดให้ฉัน บอกว่าคุณภักตร์ชวนถ่าย ห้างนี้ถ่ายรูปดีนี่กระไร นี่เอามาให้ดูตัวอย่างทั้งจะได้รู้จักแม่หนู ซึ่งไม่ช้าบิดาจะให้ออกจากวังมาอยู่บ้านด้วย จูบรูปนี้สิเธอ.”

รูปนี้เปนรูปคุณภักตร์มอบคุณแม่ไว้ให้เรา เมื่อก่อนเราตื่นนอนได้พบกัน.

ข้าพเจ้าโอบกอดแม่คนบนตักซึ่งพลอดอยู่ หล่อนหัวเราะเมื่อได้รับ “สูด” ประชด พอหล่อนบอกเมื่อยแลเสียด หล่อนก็ถูกจูงมือมานอน.

หล่อนนั่ง ๆ นอน ๆ หายเมื่อยบ้าง, ไม่หายบ้าง, หายเสียดบ้าง, ไม่หายบ้าง, ถูกมนต์เป่าหายบ้าง, ไม่หายบ้าง, หล่อนยิ้มบ้าง, หัวร่อบ้าง, จุปากจุกเสียดบ้าง, พอนั่งคุยถึงการเที่ยว “โชว์” เมื่อคืนนี้ ยังไม่ทันรู้จักสิ้นจักสุดเรื่อง หล่อนก็ป่วนเจ็บท้องกดไม่หาย.

บอกความให้สิ้นเรื่องง่าย ๆ แม่ปรุงป่วนท้องเปนกำลัง ทุกนาทีเร่งเร้า ด้วยเข้าตอนบ่ายแล้ว คุณแม่วุ่นวายมากที่สุด ข้าพเจ้าตื่นใจมากที่สุด.

ขอกล่าวในที่นี้ว่าคุณภักตร์มาช่วยให้อุ่นใจ, อุ่นเรือน, มากที่สุด ด้วยเกลอหอบกล้วยไม้บรรทุกรถยนต์มาหลายกระเช้า หมายจะเอามาปลอบใจเราผัวเมียให้ปลื้มใจ ก็พอเกลอได้ข่าวว่าแม่บ้านไม่สบายขนาดใหญ่เสียแล้ว เกลอเอ่ยอุทานสาบาลอิกครั้ง, แต่ช่วยเหลือดีเหลือเกิน ด้วยคุณแม่กล่าวว่า “ท้องสาวไว้ใจไม่ได้” เกลอจึงไปตาม หมอไทย, หมอฝรั่ง, มาอิก เพิ่มจำนวนยายแก่สองคนของคุณแม่. เกลอให้หมอเหล่านั้นขนหยูกยาแลเครื่องมือมาแยะ สักครู่ไพล่ไปเอาหมอยิ่ปุ่นมาเติมให้อิกคน ในอาการกะตือรือล้นของเกลออาจจะแสดงให้เห็นได้ว่า ถ้ามีหมอตำแยชาติแขก, ชาติลาว, ชาติญวน, อิกแล้ว เกลอคงเอารถยนต์ไปขนมาทุกชาติทุกภาษา.

คุณหลวงดำริห์บ้านบางไส้ไก่ก็ได้มาโดยเร็วไวได้ก็เพราะบ่าวขี่รถยนต์ของเกลอไปลงเรือจ้างได้เร็วไว ขากลับขี่รถม้าของเพื่อนเกลอที่วางไว้ที่ชายแม่น้ำ รับคุณหลวงดำริห์มายังบ้านลูกสาวของท่านได้เร็วอิก.

ขาดเหลืออะไร รถยนต์ของคุณภักตร์วิ่งหาได้เร็วทันใจ จนชั้นหยิบเงินซื้อจ่ายไม่ทันที คุณภักตร์มีพอก็ออกจ่ายให้ก่อน เกลอจึงได้รักเจ้าหนูน้อยนั้นนัก หากทารกรู้จักความ มันคงรักคุณภักตร์เท่ากับเกลอรักมัน.

คุณภักตร์ทำบุญคุณให้เราใหญ่โต จนชั้นเกลอจะทำบุญคุณให้ข้าพเจ้าอิกอย่างหนึ่ง เปนข้อความลับมาก จนชั้นแม่ปรุงยอดรักข้าพเจ้าก็ไม่บอกหล่อนได้.

ท่านผู้อ่านทั้งหลายเจ้าข้า ท่านฟังเรื่อง, ท่านได้รู้ความรอบข้าง, แต่ผู้ใดผจลมาในเรื่องแล้วนั้นไม่ได้รู้รอบข้างเลย บางทีมีเหตุลึกลับก็จะรู้ได้แต่เมื่อกาลล่วงเลยมานาน ๆ แล้ว.

เมื่อแม่ปรุงอยู่ไฟ ย่างกายโดยฟืนสะแกเสียใหญ่นั้น คุณภักตร์มาพูดความลับแก่ข้าพเจ้า จนทำให้ข้าพเจ้าเห็นขันหลายอย่างหลายประการ.

เกลอถามว่า “ทำไมมีเมียคนเดียว” เริ่มต้นก่อน ซึ่งเปนคำขันอยู่แล้ว แล้วว่าถ้าเมียอยู่ไฟเสียนาน ๆ กระนี้ ใครจะปรนิบัติวัดถากสามีแลช่วยหยิบฉวยใช้สอย.

ข้าพเจ้าว่ามีแม่ปรุงคนเดียว รักคนเดียวพอแล้ว ไม่พอใจใครอิก.

เกลอสาบาลมาว่า “เกลอเวทนาข้าพเจ้านัก ลูกสาวเกลอซึ่งพึ่งกลับมาอยู่บ้านนั้น เกลออาจจะยกให้ปรนิบัติข้าพเจ้าได้ แลข้าพเจ้าจะพอใจในลูกสาวเกลออย่างมากที่สุด เพราะสวยดี, กิริยาดีพร้อม เมื่อข้าพเจ้าสั่นศีร์ษะนิ่งอ้ำอึ้ง เกลอกระซิบ “ฉันจัดห้องในตึกฉันให้เธอ ถ้าเธออยากไปเยี่ยมหาแม่ประไพทุกวัน.”

ข้าพเจ้าตัวสั่นสท้านหนาวใจวาบโดยได้ยินถ้อยคำนี้ แต่พูดปฏิเสธโดยถ้อยคำว่า “ไม่ขอฟัง” ดูท่าเกลอทำไนยตาตื่นปลาบสายตาอย่างน่ากลัว ข้าพเจ้าคิดเสียว่าเกลอมีความละอาย จึงได้ทำหน้าเฝื่อนแลไนยตาตื่นเช่นนั้น แต่ในฉับไวเกลอมีสีหน้าแจ่มใส่ร่าเริงทันที เกลอหัวร่อต่อกระซิกกลบเกลื่อนความอาย แล้วกระซิบเปรียบเทียบแม่สาวน้อยกับแม่ปรุงณที่หูให้ฟัง ข้าพเจ้าออกขวยใจคลื่นไส้ในถ้อยคำเต็มที.

ที่เห็นขันนั้น คือข้าพเจ้าพึ่งรู้จักกับคุณภักตร์ใหม่ ๆ อย่างหนึ่ง ยังไม่อยากเอาเกลอเปนพ่อตาอย่างหนึ่ง ไม่อยากมีเมียน้อยตัวนิดนั้นอย่างหนึ่ง— ถึงว่าแม่ประไพจะวิไลยตา แลคนหมดโลกควรรู้ว่าข้าพเจ้ารักแม่ปรุงคนเดียว แลหวังใฝ่ในตัวหล่อนคนเดียวทั้งหมดโลกนี้ ที่คุณภักตร์พูดนี้เปนเวลาซึ่งแม่ปรุงเปนมารดาได้เจ็ดวัน นับเวลาซึ่งเรารู้จักกับคุณภักตร์ได้เต็มอาทิตย์หนึ่ง แลซึ่งข้าพเจ้าตัวสั่นสท้านหนาว แล้วต่อมาได้แอบร้องไห้—ร้องไห้ให้แก่หล่อนยอดรักโดยอาลัยภาพ หาใช่หัวร่อยิ้มรับสาวน้อยอันเปนคู่ จะมาเปนศัตรูซึ่งความรักจากแม่ปรุงไม่เลย.

ข้าพเจ้าได้ร้องไห้สอื้นเพราะเหตุอันสมควรสอื้น เพราะข้าพเจ้าเมื่อเห็นหล่อนปวดป่วนอยู่นั้น ข้าพเจ้ารู้สึกสลดใจร้อนตัวเปนทุกข์ยิ่งนัก รู้สึกว่าตนได้ทำความปวดป่วนทรมานให้ จนลอบแอบไปกระซิบว่า “เห็นป่วยมาก จะรักมาก” จนหล่อนค้อนให้ ตอบประชดว่า “เปนเปนเปน ตายเปนตาย” ซึ่งแปลว่า “หัวขาดตีนเด็ดก็ไม่โทษข้าพเจ้า” ข้าพเจ้าเหงาอุราอยู่อย่างนี้ไม่รู้วาย เมื่อได้เห็นเงารูปภาพว่าข้าพเจ้าทิ้งหล่อนไว้ในทุกข์ ไปหาสุขมีเมียรุ่นให้หล่อนใจหาย ที่รู้ว่าเพื่อนร่วมใจคลายรักหนี······ข้าพเจ้าก็ร้องไห้อาลัยรักหล่อน.—

โอ, ชายเอ๋ยชาย ย่อมรัก, ย่อมชม, ย่อมสมใจ, แล้วทิ้ง, แล้วขว้าง, แล้วห่างไกล, ช่างทำได้ทั่วกันไปทุกแห่งหน.

มีข้อสนเท่ห์ใจว่าทำไมคุณภักตร์จึงสมัคจะยอมยกบุตร์สาวของเกลอให้ แต่เห็นเกลอกรุณาวุ่นวายให้เราได้ใช้คนตัวปั่น เกลอตั้งใจอาสาโดยเต็มตัว รู้จักกันวัน, รู้จักกันพรุ่ง, ก็เหมือนได้รู้จักกันนานปี, ควรขอบคุณที่เกลอมีแก่ใจที่จะให้ลูกสาว แต่ข้าพเจ้าคิดว่าเกลอช่างหยาบคายนักที่ไม่รู้จักรักลูกรุ่นวิไลย ควรติโทษเกลอ ว่าเกลอมักง่ายไม่ดีจริง ๆ เจียว.

“ช่างเขาเปนไร” ข้าพเจ้าคิด.

บัดนี้ข้าพเจ้าแสนเกษมแสนสุขใจ แม่ปรุงสบายดี ทำให้ข้าพเจ้ามีกรุณาทวีสวาท ด้วยว่าครั้งแพ้ท้องนั้น หล่อนทำให้ข้าพเจ้าตกใจ แล้วก็แถมรักทวีชม. ครานี้ข้าพเจ้าตกใจในหล่อนหนักหนา มิใช่? บัดนี้หล่อนสุขสบาย มิใช่? ข้าพเจ้าปลื้มใจเหมือนได้ขึ้นสวรรค์ เหมือนผู้ได้ชิมรสขมนั้นได้รู้สึกรสหวานเมื่อภายหลังทวีกว่าเก่า ข้าพเจ้ายิ่งทวีรักแถมพิศวาศขึ้นเปนอันมาก กับทั้งเห็นพ่อหนูน้อยนั้นสวยนี่กระไร, ขาวนี่กระไร, น่ารักนี่กระไร, แลอยู่สบายด้วย ไนยตาดำแจ๋วแหววทีเดียว แรกเกิดมาราวกะจะรู้ภาษามนุษ แทบเอออวยยิ้มลมัยกับผู้ใหญ่ได้ ทำให้ท่านย่าแลมารดาบิดาของพ่อหนูนั้นพะวงใจรักใคร่ในมันนั้นหนักหนา จนชั้นคุณภักตร์สาบาลว่า “น่ารักที่สุด.”

แลเกลอไล่ความรักในเจ้าหนูมันทันพ่อแม่ของมันด้วย.

จะพรรณนาความรักแทบไม่รู้จักสุดสิ้น ชั่วแต่ให้เราท่านทราบว่าคุณแม่รักแม่ปรุงที่สุดหมดโลกนี้ แลย่อมรักเด็กนั้นดังแก้วตา ไม่ใช่ว่ามันแสนน่าเอนดูอย่างเดียว แต่ว่าเปนบุตร์แท้ของแม่ปรุง แลเปนคนแรกหัวปีที่พึ่งฉู่ออกมาด้วย.

ข้าพเจ้าก็เหมือนกัน ยังซ้ำแสนทวีสวาทในมันเปนพิเศษออกไปอิก—เห็นแม่ปรุงหลงรักในมันดังดวงตาดวงใจ ทำให้ข้าพเจ้ายิ่งกรุณาแก่ “เจ้าทิดสึกใหม่” นี้ยิ่งนัก ข้าพเจ้ารักมันในนามของมัน, ในนามของมารดา, แลในนามของคุณย่า.

ส่วนแม่ปรุงนั้นหลงรักในบุตร์น้อยยิ่งนัก ไนยตาในใจของหล่อนจับอยู่ที่ในกระด้ง, ที่เปล, ที่มุ้งน้อย, หูจับอยู่ที่เสียงอันลั่นออกจากปากของความบริสุทธิ์อันยังไม่รู้จักกิเลศแลลามกนั้น หล่อนมีสุขในความปลื้มที่หล่อนเปนเจ้าของมีกรรมสิทธิ์ในตุ๊กกะตาอันมีชีพอันนี้ หล่อนปลื้มที่ให้ฝีมือหล่อนเปนกำนันแก่ข้าพเจ้าแก่คุณแม่, แก่คนทั้งหลาย, ทั้งคุณภักตร์ด้วย, ในการแสดงภาพตุ๊กกะตาอันมีชีวิตนี้ หล่อนสุขน่าเสียวสร้านในโสมนัศ.

โอ้— เราผาสุกนี่กระไร แม่ปรุงชื่นบานแล้วก็เร่งบ่มความงาม ใครจะว่าแม่ลูกอ่อนหย่อนงามกว่าสาวอย่างไรได้ หล่อนสุขกว่า, หน้าชื่นบานกว่า, น่ารักทวี, ทั้งได้ชิมลองความรอบรู้ทวีขึ้น สีหน้ายิ่งแสดงความฉลาดชวนเสนหา เดิมหล่อนรู้จักรักใฝ่เดียวดาย บัดนี้หล่อนรู้จักเชิงรักสองฝ่ายทั้งเด็กแลสามี เมื่อดูเค้าดูหน่วยก้านหล่อนนั้นยิ่งน่าสงวนยวนยี หล่อนอยู่ไฟได้—ได้โดยคุณแม่บังคับ แลเอาเนื้อเอาใจดี—ฉวีหล่อนขาวเหลืองเรืองรองโลหิตบริบูรณ์บ่มผิว.

แม่ปรุงเปนคนใหม่ สวยกว่าเก่า งามกว่าเก่า, เมื่อสาวเปนตุ๊กกะตาอันวิไลยตา อันมีชีพชวนชื่นชอบ เมื่อคราวหล่อนเปนมารดา หล่อนมีชีวิตโดยรอบ เปนผู้ตื่นจากหลับ เปนเทพธิดาซึ่งงามสรรพเต็มไปด้วยความรู้สึกไหวพริบแลชีพชีวิตในทุกส่วนของเลือดเนื้อทุกเส้นของเกศา.

โอ—ข้าพเจ้าพรรณานี้เพราะจำใจต้องพรรณา พรรณาถึงความรักบุตร์แลความโสภาของหล่อน เพราะมันเกี่ยวกับเรื่องบรรยายนี้เปนข้อใหญ่ เพราะความ “หวาน” อันมีรสเปนมหันต์นี้มันนำมาซึ่งความ “เปนลม” อย่างร้ายกาจนี่กระไร.

การเลี้ยงดูพ่อหนูผู้เปนที่สุดสวาท เปนไปโดยดีถึงขนาด แม่นมดี, พี่เลี้ยงดี, เบาะดี, มุ้งดี, ยาสำรองดีมีไว้, จัดให้พ่อหนูกินดี, นอนดี, อาบน้ำดี, ได้รับความประคับประคองดีที่สุด คุณแม่ข้าพเจ้าผู้ช่วยประคับประคองมากส่วนที่สุด จะไม่รู้จักเหนื่อย, ไม่รู้จักเบื่อหน่ายเสียเลยสักเท่ายองใย, จนชั้นท่านเห็นฟืนไม้สะแกซึ่งกองเหลืออยู่จากการอยู่ไฟ ท่านชี้มือแก่ข้าพเจ้ากล่าวว่า “นั่น ฟืนเหลือ, สำหรับเด็กคนใหม่”

เออแหน้ะ !···!···!

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ