บทที่ ๑๕

ดาวในจักรราศีที่เกี่ยวกับญาติกับมิตรคงจะมาต้องดวงชะตากำเนิดของคุณแจ๋วในระยะ ๒๔ ชั่วโมงนั้นจริง เพราะต่อจากญาติสาวที่มีชื่อเรียกเล่นว่าลำไย ได้ลาไปจากร้านแจ่มแจ๋วได้สัก ๕-๓ ชั่วโมง ขณะที่คุณแจ๋วนอนเปิดวิทยุฟังดนตรีอย่างไม่ตั้งใจ ปล่อยให้ความรู้สึกเข้าภวังค์ ใกล้จะหลับ ก็มีเสียงกริ่งที่หัวนอนอันเป็นกริ่งเรียกให้เปิดประตู ซึ่งรู้กันอยู่เฉพาะคนที่ร่วมชีวิตกับคุณแจ๋วที่สถานที่ประกอบอาชีพ มีหลานสาวชื่อ สอิ้ง คนใช้เก่าแก่สองคน นอกนั้นคุณแจ๋วได้บอกที่ไว้แก่คุณเกรินคนเดียว คุณแจ๋วลืมตาขึ้น ยังขี้เกียจขยับตัว พยายามคิดว่ามีใครที่อยู่ด้วยกันออกไปไหนในเวลาค่ำคืน ก็นึกไม่ออก เสียงกริ่งดังขึ้นอีก ไม่ดังนัก ดูเหมือนผู้ใช้กริ่งจะกดอย่างระมัดระวัง คุณแจ๋วเกิดความแน่ใจว่าผู้มาในเวลาวิกาลคือญาติชายผู้มีความสำคัญในชีวิตคุณแจ๋วอย่างยิ่ง คุณแจ๋วก็เปลี่ยนจากกิริยาเชื่องช้าไปเป็นกระวีกระวาด ปัดผ้าแพรที่คลุมหน้าอกออก ลุกขึ้นแล้วก็ก้าวลงจากเตียงและออกจากห้องลงไปที่ประตูหลังร้านอย่างคล่องแคล่ว

ฝนตกพรำๆ อยู่ภายนอกซึ่งผู้อยู่ในอาคารไม่สังเกต คุณแจ๋วเปิดประตูออกก็พบว่าการคาดคะเนไม่ผิด โดยไม่ถามคุณแจ๋วถ่างบานประตูออกไปเล็กน้อย ยืนแอบให้มีทางเข้าสะดวกขึ้น เมื่อผู้มาหาเข้ามาในประตูแล้ว คุณแจ๋วก็ปิดประตูสนิทแล้วจึงถามเบาๆ

“มีคนตามมาหรือเปล่า”

“เปล่า” เกรินตอบพลางหัวเราะน้อยๆ “ยังไม่ถึงอย่างนั้นหรอก ซ้อมไว้ก่อน”

“เอ๊ะ” คุณแจ๋วร้องสำเนียงแสดงความไม่พอใจ “อะไรกัน”

“ไปหาที่นั่งที่แน่ใจว่าไม่มีใครแอบได้ยิน” เกรินพูดค่อยๆ ใกล้หูคุณแจ๋ว “จะเล่าให้ฟังถ้าไม่ง่วง ถ้าง่วงก็ไปนอนเสีย ฉันก็อาศัยนอนถึงเช้าแล้วก็จะไป”

“วันนี้วันอะไร” คุณแจ๋วพยายามรำลึก “พรุ่งนี้จะเป็นวันอะไรนี่”

“วันนี้วันโกน” คุณเกรินตอบ จากแสงไฟดวงน้อยหน้าห้องน้ำคุณแจ๋วเห็นว่าเขายิ้ม เกิดความอุ่นใจจากอิริยาบถนั้น จึงพาเขาขึ้นบันไดไปยังห้องพิเศษของคุณแจ๋ว ที่เคยพาเขาไปในวันก่อน

พอเข้าไปในห้อง คุณแจ๋วปิดประตูเรียบร้อยและเปิดกลไกทำให้เกิดการปรับอากาศให้เย็นแล้ว เกรินพูดต่อ “นี่พวกแม่ค้าถ้าจะไม่รู้ว่าพรุ่งนี้วันพระ สู้ข้าราชการไม่ได้ เดี๋ยวนี้เขาเป็นอุบาสกอุบาสิกากันทั้งนั้น”

คุณแจ๋วเอามือเสยผม พยายามรำลึกถึงเรื่องราวให้สัมพันธ์กับที่ญาติและอาคันตุกะในเวลาวิกาลกล่าว ด้วยทีท่าที่ไม่ทำให้เกิดตระหนกตกใจ แล้วก็พูดว่า “ก่อนอื่น ขอไปหวีผม อย่าห่วงเรื่องนอน เพราะตาสว่างอย่างนี้เสียแล้วต้องไปอีกหลายชั่วโมงถึงจะง่วงใหม่” ซึ่งไม่เป็นความจริง เพราะคุณแจ๋วเกือบจะสั่งให้ตนหลับเมื่อใดในที่ใดก็จะได้เมื่อนั้น เมื่ออาคันตุกะไม่คัดค้าน คุณแจ๋วก็ขึ้นไปชั้นบนซึ่งเป็นที่อยู่ของคุณแจ๋ว จัดแจงทำหน้าตาให้ไม่น่ารังเกียจ แล้วก็กลับลงมาชั้นสองพร้อมด้วยกระติกน้ำร้อนใบหนึ่ง

“รับประทานไหมคะ โอวัลติน แจ๋วชงไว้เสมอบางทีตื่นขึ้นมาหิวเวลาดึกไม่รู้ทำไม”

“ถ้าไม่รบกวนเกินไป กาแฟดีกว่า ไอ้พวกผงๆ ก็เอาดี เนสกาแฟหรืออะไรนั่นล่ะ” คุณเกรินตอบ

“เห็นจะต้องเอาเนสกาแฟ จะเอาอร่อยกว่านี้เห็นจะยุ่งไปหน่อย” ญาติบอก แล้วก็ออกจากห้องกลับไปข้างบนและกลับลงมาพร้อมกับอุปกรณ์สำหรับเครื่องดื่มซึ่งได้จัดไว้รวมกันในถาดมีขนาดพอดี

“ใครนอนกับคุณแจ๋ว ขอโทษด้วยที่ถาม” คุณเกรินพูดอย่างสุภาพ สีหน้าของเขาราบรื่นเหมือนเมื่อแรกเข้ามา

“ยายอิ้งนอนใกล้ที่สุดมีฝากั้น แต่เตียงเกือบติดกัน อีกห้องหนึ่งด้านใกล้ถนน มีนายพักอุปัฏฐากคุณพ่อกับภรรยา ยายบัวกับลูกสาวลูกชายนอนข้างหลัง ข้างล่าง”

เกรินเที่ยวตรวจดูตามผนัง หน้าต่างและประตูของห้องที่เจ้าของบ้านพาเขาเข้าไปรับรอง แล้วถาม

“ห้องนี้ลับตาและลับหูด้วยใช่ไหม”

“ก็ท่านนายพล ก็ตรวจดูแล้วเห็นว่ายังไงล่ะคะ” คุณแจ๋วย้อนถาม เกิดอารมณ์สนุกตามอุปนิสัยขึ้นมา

“ต้องการคำรับรองเจ้าของที่เสียหน่อย” นายพลตอบ “เราจะคุยกันไม่ใช่เรอะ ไม่ต้องเกรงใจนะ ง่วงนอนละก็ ขอให้ขึ้นไปนอน ฉันจะนอนนกอยู่ในห้องนี้”

“เก้าอี้นอนอย่างดีก็มี ยกได้ง่ายเบาหวือ ที่นี่อุดมสิ่งของที่ไม่ต้องใช้แรงกาย มีอะไรคะเนให้ตัวเองยกได้หรือยายอิ้งยกได้ นายพักก็ไม่ใช่คนหนุ่มแล้ว”

“วันนั้นมาหาด้วยความคิดถึงจริงๆ ไม่ได้ตั้งใจจะมาหาที่สำหรับหลบซ่อน “เผอิญมาเกิดความคิดเผื่อไปอย่างนั้นเอง แล้ววันนี้ก็เลยลองดู”

“ลองหนีใคร คุณเกรินมีคนปองร้ายด้วยรึ เริ่มมีอำนาจแล้วงั้นรึ” นัยน์ตาคุณแจ๋วจับอยู่ที่หน้าญาติอย่างห่วงใย

เกรินถอนใจใหญ่น้อยๆ “เปล่า หนีเพื่อน ไม่ใช่หนีศัตรู” เขาว่า ขณะนั้นเขาได้นั่งลงยังเก้าอี้ใกล้โต๊ะว่าง ซึ่งเขาได้ใช้วางของรับประทานในวันก่อน เขาเอาข้อศอกเท้าบนโต๊ะ และเอาแก้มพิงฝ่ามือไว้เบา ๆ คุณแจ๋วเห็นหน้าเขายิ้มเศร้าๆ

“ใคร หนีเพื่อนคนไหน คุณวิทูรรึ” คุณแจ๋วเดาด้วยความวิตกและใจร้อน

เขาสั่นศีรษะค่อยๆ “ไม่ใช่อีก หนีคนที่เขาชวนฆ่านายวิทูร”

คุณแจ๋วผู้ซึ่งได้เดินไปเดินมา หยิบสิ่งนั้น เลื่อนสิ่งนี้ ลงนั่งบนเก้าอี้ตัวหนึ่งในระยะใกล้เกรินมาก จ้องหน้าเขาอย่างไม่เกรงใจและกล่าวชัดถ้อยชัดคำ “เล่าไปนะคุณเกริน ถ้าไม่เล่าให้แจ๋วรู้ความจริง คราวหน้า คราวที่ว่าไม่ใช่เป็นการซ้อม แจ๋วจะไม่เปิดประตูให้”

เกรินหัวเราะเบาๆ อย่างชอบใจ “มาอีกแล้วไหมล่ะ นิสัยดิกเตเตอร์ ทำไมหนอ เทวดาไม่ดลใจให้นายวิทูรเขามารักคุณแจ๋วตอนหนุ่มสาวด้วยกัน”

“คงจะดีเหมือนกัน” คุณแจ๋วว่าอย่างไม่ขุ่นเคือง “แต่ตอนนี้ยังไม่สนใจเรื่องนั้น เออ แต่มันก็เกี่ยวกัน นายวิทูรนี่เขามีแผนจะเป็นดิกเตเตอร์ด้วยรึ”

“เอ้อ คุณแจ๋ว” เกรินถอนใจอีก “อะไรทั้งนั้น ถ้าความจริงมันประจักษ์ออกมาชัดๆ มันก็ไม่ลำบาก ทุกวันนี้ไม่มีใครรู้ความจริงของใครสักคน มีแต่นักเดานี่ซิมันทำให้คนอย่างฉันได้แต่หนี”

“ถ้าปรากฏว่านายวิทูรมีแผนจะเป็นดิกเตเตอร์แล้วคุณเกรินจะยิงได้ไหม” คุณแจ๋วถาม

เกรินส่ายหน้าน้อยๆ “ยิงใครก็ได้ ถ้าจำเป็นต้องยิง แต่ปัญหามีว่าถ้ายิงแล้ว ผลที่ตามมาจะเป็นยังไง”

“เวลานี้เรื่องมันไปแค่ไหน และคุณเกรินต้องหนีใคร”

“เวลานี้คนเกลียดนายวิทูรนี่มันพะรึกพะเรอ” เกรินตอบ “พวกหนึ่งเกลียดเป็นส่วนตัว มีเรื่องอาฆาตกัน พวกหนึ่งโกรธเพราะผลประโยชน์ขัดกัน อีกพวกหนึ่งเห็นว่านายวิทูรเป็นคนทำลายชาติ”

“ผลประโยชน์ขัดกันน่ะคือยังไง” คุณแจ๋วซักแสดงอาการใจร้อน

“ที่เขาว่านายวิทูรเป็นก้างขวางคอ ก็คือพวกค้าทองดำ รู้จักไหมว่าเขาแปลกันว่าอะไร”

“เป็นครั้งแรกที่ได้ยิน แต่ก็พอเดาได้ คนไทยเรานี่แปลก ตัวจริงไม่ค่อยกลัว มักกลัวชื่อ”

“ไม่ใช่ คนไทยเป็นกวี ชอบตั้งชื่ออะไรให้น่าสนใจต่างหาก” คุณเกรินเถียง

“เอาเถอะ ยอมตกลงด้วยค่ะ” คุณแจ๋วทำตัวเป็นคนหัวอ่อน และไม่เว้นระยะ ถามต่อทันที “ทีนี้ไอ้ที่ขัดกับพวกนี้ ขัดเพราะปราบ หรือเพราะแย่งกันขาย”

“มีทั้งสองอย่าง แต่อย่างหนึ่งรู้จากตัวเอง อีกอย่างหนึ่งรู้จากการบอกเล่า ที่ว่ารู้ด้วยตัวเองก็คือ เคยได้รับหนังสือของวิทูร ในฐานะผู้บังคับบัญชา แต่มีถึงเป็นส่วนตัว ว่าให้ร่วมมือกับตำรวจปราบพวกนี้รายหนึ่ง ฉันก็ให้ลูกน้องไปกับตำรวจอย่างเงียบๆ เพราะเข้าใจว่า คงไม่อยากให้เรื่องอื้อฉาวถึงไม่มีหนังสือเป็นทางราชการและก็จับได้จริง ราวกับตาเห็น แต่เมื่อเขาจับกันไปได้แล้ว เขาจะเอาไปทำอย่างไรกัน เราไม่รู้”

“ทีนี้อีกพวกหนึ่งล่ะ”

“ก็มีคนมาเล่า รูปการณ์คล้ายกับที่เคยรู้แก่ตนเองว่าเมื่อจับไปได้แล้ว ก็ไปเข้ากระเป๋าคนจับบ้าง กระเป๋าคนที่ถูกจับบ้าง ซึ่งก็ติดตารางเสียปีหนึ่งหรือสองปี และบางส่วนก็เข้ากระเป๋าคนสั่งจับ คือวิทูร”

“แล้วคุณเกรินเชื่อไหม”

“คนที่เล่าเคยทำงานร่วมกับวิทูรหลายอย่าง แต่ก่อนเป็นลูกน้องของท่านคนใหญ่ในปัจจุบันนี้ด้วยกัน แต่โปรดปรานไม่เท่าวิทูร ภายหลังแตกกัน เสียแต่นายคนนี้มาพูดเรื่องนี้ทีไรก็เมามาทุกที”

“เรื่องคอขาดบาดตายถึงเพียงนี้ เขาพูด คิด ทำ โดยอาศัยแอลกอฮอล์กันด้วยหรือ คุณเกริน”

“นี่ละ ฉันถึงคิดหนีไว้ก่อน” คุณเกรินตอบ

“คุณเกรินหนีมาที่นี่ แน่ใจว่าเขาจะตามไม่พบรี”

“มันต้องลองหลายๆ แห่ง แต่ที่ร้านนี้ดูเหมือนจะดีกว่าที่อื่น” ญาติของคุณแจ๋วตอบ “ที่ชอบมาพากลก็คือมีญาติสาวท่วงทีวาจาพอจะอภิรมย์ยินดีได้ สมัยนี้ที่เขามียศสูงขึ้นก็มักจะเอาอยากเปลี่ยนภรรยา หรือถ้าเปลี่ยนไม่ได้ก็มีสำรอง พอจะเข้าสมัยได้”

เกรินไม่ได้สังเกตว่าหน้าของญาติหญิงเปลี่ยนไปเป็นสีค่อนข้างเขียว คุณแจ๋วลุกจากที่นั่งเดิม ไปหาช้อนชงเครื่องดื่มใส่ถ้วยตน เกรินเห็นก็ส่งถ้วยของเขาให้และพูดว่า

“เออ ขออีกถ้วยก็ดีนะ แม่คุณ” และเมื่อได้รับกาแฟอีกถ้วยหนึ่งสมประสงค์แล้ว ก็พูดต่อไป “นี่จะไม่เสียงานเสียการรึ พรุ่งนี้ต้องทำงานหนักอีก ไม่ได้หยุดกับเขาเหมือนข้าราชการ ไปนอนเถอะไป๊ ไม่ต้องห่วงจริงๆ”

ญาติหญิงกลับมานั่งยังที่เดิม และเริ่มซักอีก

“เวลานี้ เรื่องที่เกี่ยวกับคุณเกรินไปแค่ไหน แล้วคุณเกรินให้ทางบ้านรู้อะไรไว้แล้วบ้าง”

“เรื่องยังไม่ถึงแค่ไหน แต่ก็เริ่มจะก่อตัวขึ้นมาไรๆ เท่าที่ฉันได้ยินจากไอ้เพื่อนขี้เมา มันว่าฉันเหมาะที่จะยิงนายวิทูร เพราะเขาไว้ใจ แต่เขายังไม่ได้พูดเป็นการชักชวน เรื่องอย่างนี้ ถ้าถูกเขาชวนวันไหนแล้วเราไม่เอากับเขาก็ทำพินัยกรรมฝากลูกฝากเมียได้ เมียของฉัน เคราะห์ดีที่ศรัทธาหลวงพ่อแน่วแน่ ฉันบอกว่าฉันแขวนคอหลวงพ่อไม่มีลืม อย่าใจวอกแวกหวั่นเกรงอะไร ประเดี๋ยวจะทำให้หายขลัง เขาก็หน้าตาแช่มชื่นทีเดียว”

“ที่ถามน่ะ ไม่ได้หมายถึงเรื่องอันตรายอย่างเดียว ถามถึงเรื่องที่คุณเกรินจะมาที่นี่บ่อยๆ ในเวลาค่ำคืน ทำความเข้าใจกันดีแล้วเหลอ เรายิ่งเคยหมั้นเหมิ้นกัน ไม่เหมือนพี่น้องคนอื่นๆ” คุณแจ๋วพยายามให้น้ำเสียงราบเรียบที่สุด แต่ก็ยังต่ำกว่าเสียงปรกติที่พูด

“ก็ทำเท่าที่จะทำได้ ฉันบอกเขาว่า ญาติคนที่ฉันจะไปพึ่งนี้ พึ่งได้จริงๆ ถึงจะเป็นผู้หญิงก็ไม่ค่อยเหมือนผู้หญิงทั้งหลาย ใจเขาหนักแน่นเหมือนหิน อย่าได้ระแวงอะไรเลย” เกรินพูดอย่างร่าเริง

คุณแจ๋วยิ้มแห้ง ๆ แต่แสงไฟไม่สว่างพอที่เกรินจะเห็นหน้าคุณแจ๋วถนัด คุณแจ๋วพยักหน้าสองสามหน ทำให้เกรินรู้สึกว่าเขาพูดถูกใจญาติด้วย และทำให้คุณแจ๋วเองหายใจคล่องขึ้นด้วย แล้วคุณแจ๋วก็ถามต่อไป

“เท่าที่เล่านี่ยังไม่หมด ใช่ไหม ถ้าเพียงเท่าที่เล่าคงไม่ถึงกับจะต้องซ้อมหนี”

“น้องสาวฉันฉลาดเกินไป ไม่น่าจะเป็นผู้หญิงหรือไม่ยังงั้นก็ไม่น่าจะเป็นผู้หญิงสมัยนี้” เกรินกล่าว แววตาของเขาแสดงความนิยมด้วยใจจริง “แต่ฉันว่าเรื่องอย่างนี้ คนที่รู้ไม่ปลอดภัย และเรื่องก็ยังคลุมเครือ แต่ว่ามีอะไรที่น่าจะบอกไว้เหมือนกัน ถ้าบังเอิญเกิดหายไปไม่รู้ใครเขาเอาไปหมกเสียที่ไหน คุณแจ๋วลองไปถามคนคนนี้ เป็นญาติกันห่างหน่อย แต่ก็น่าจะรู้จักกัน นี่จำได้ไหม ดูแล้วจะฉีกเสีย บ้านของเขาจะไปได้โดยจำแผนที่อันนี้” เกรินหยิบสมุดปฏิทินเล็กๆ ออกมาจากกระเป๋าเสื้อปล่อยเอวที่เขาสวมอยู่ และเขียนชื่อ นาถ ณ บ้านหลวง และทางที่จะเข้าไปบ้านของเขาในถนนซอยเล็กๆ แห่งหนึ่งในจังหวัดธนบุรี เมื่อคุณแจ๋วดูและฟังคำอธิบายของเขาจนเข้าใจดีแล้ว เขาก็ฉีกบัตรนั้นเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แต่หยิบนามบัตรออกมาอีกใบหนึ่ง และเขียนคำ ๒ คำบนบัตรนั้น แล้วก็ส่งให้คุณแจ๋ว “ถ้าไปถามหาฉันกับเขา เขาสั่งให้พูดคำนี้”

“เออ มีโคดลับโคดเลิบอย่างนี้น่าให้อาศัยหน่อย” คุณแจ๋วอ่านแล้วพูด “อัญชัญขาว อือ ฟังราวกับเรื่องนักสืบอะไร ฉีกเสียก็ได้ ไม่ลืมหรอกค่ะ”

“เก็บไว้เถอะ ไม่มีใครเข้าใจหรอก เอาไว้เผื่อยุ่งๆ จะจำผิดเป็นอัญชัญม่วง อัญชัญน้ำเงินอะไร คนๆ นี้เป็นคนแปลก เขาเคยใกล้ชิดกับท่านวิทูร แล้วยังไงปุบปับวิทูรฟ้องให้ถูกปลด ไอ้เพื่อนขี้เมาของฉันมันพาไปให้รู้จัก พูดกันไปสักประเดี๋ยวก็รู้ว่าเกี่ยวดองกับเราห่างๆ มาอยู่กรุงเทพฯ นี่จะว่าดีก็ดี ที่จะได้รู้อะไรต่ออะไร แต่ว่าจะดีก็ไม่ได้ เพราะรู้อะไรๆ นี่ก็อาจตายเร็วเข้า”

“น่าเสียดาย เป็นทหารทั้งทีน่าจะตายเพราะอริราชศัตรูหรืออะไรอย่างนั้น นี่จะมาตายเพราะเขาแย่งอำนาจกัน อย่าเอาชีวิตไปสละเสียอย่างนั้นนะคุณเกริน”

“ก็พยายามที่สุดนี่ละ” คุณเกรินตอบ ทำสีหน้าขรึมก่อนแล้วก็ยิ้มตามมา

“หมั่นไส้” คุณแจ๋วว่า ทำให้เกรินมองอย่างแปลกใจ “สนุกใช่ไหม เรื่องอย่างนี้ ดูชีวิตเป็นชีวิตขึ้นอีกเยอะ”

“นั่นแน่ ก็ตัวเองยังว่ามีโคดมีเขิดทำให้น่าสนใจอย่างไร” คุณเกรินย้อนว่าบ้าง “จะว่าไปก็จริง มันทำให้ชีวิตคึกคัก จะให้ฉันทำยังไง ให้ทำหน้าโศกเศร้างั้นเหลอ”

“มันบ้ายังไงไม่รู้ ที่จริงเรื่องมันน่าเศร้า แต่เรามันหน้าทะเล้น อดขันไปพร้อมกันไม่ได้” ญาติหญิงพูดเหมือนรำพันกับตัวเอง “ที่จริงมันก็เหมือนกันทุกคน เมื่อกี้คุณเกรินก็ดูเหมือนจะเศร้าหน่อยๆ แต่พอนัดสัญญาลับก็เลยเกิดสนุกขึ้นมา แต่ว่าจะว่าไปอีกทีก็น่ากลัว ดูเป็นเด็กๆ ยังไงอยู่นี่”

“หมายความว่าคนที่คิดอะไรเป็นเด็กๆ นี่น่ากลัวหรืออย่างไร” คุณเกรินถาม ครั้นญาติสาวพยักหน้า เขาก็พูดต่อไป “น่ากลัวจริงๆ คนที่คิดอะไรอย่างเด็กๆ เช่นตัวเราเองนี้ กับคนที่คิดอะไรว่า ง่าย ง่าย น่ากลัวทั้งนั้น เพราะทำให้เพื่อนฝูงฉิบหาย เออ แล้ววันก่อนได้พบกับวิทูรสองต่อสองนานพอใช้ เขาพูดให้ฟังเป็นนัยเหมือนกับจะให้รู้ความลับของเขา แต่ประเดี๋ยวก่อน อยากจะบอกเสียก่อนว่าเมื่อกี้ที่ยิ้มน่ะเพราะนึกขันว่า เราขอไม่แต่งงานกัน ครั้นเรื่องเป็นเรื่องตาย หรือจะว่าเป็นเรื่องคึกคักของชีวิตก็ตามที ฉันก็กลับมาพึ่งคุณแจ๋ว ดูราวกับว่ามันทิ้งกันไม่ได้”

คุณแจ๋วสะบัดหน้าเบาๆ “ดีแล้ว ดีสำหรับร้าน ให้ลือกันว่าเจ้าของร้านมีแฟนเป็นนายพล คงจะมีลูกค้าขึ้นกันใหญ่ แต่ฉันไม่อยากฟังเรื่องนี้ มีเรื่องน่าตื่นเต้นกว่า เล่าไปซิ คุณเกริน อย่ามัวรีรอ เรื่องความลับของท่านวิทูร เห็นไหม ดิคเตเตอร์แท้หรือยังล่ะนี่”

“ส่วนหนึ่งไม่เป็นความลับแล้ว ตั้งแต่วิทูรช่วยนายใหญ่ทำรัฐประหาร” ญาติชายตอบ “คุณแจ๋วจำได้ไหมเมื่อคราวที่มีกบฏ ทหารนครราชสีมาแตกฉานซ่านเซ็น ทำไมนายวิทูรไม่โดนอะไร เขาหนีมาเข้าข้างรัฐบาล เขาตัดสินใจรวดเร็วล่วงหน้ามาก่อน แต่กำลังชุลมุน ทหารของเขามันเคลื่อนกำลังออกมาเองตามเพื่อนในกองร้อยอื่นๆ เขาบอกว่าเขาเสี่ยงมาก แล้วก็จริงตามที่เขาคาด ทหารนครราชสีมาเข้าคลองผิด ไปยึดบางซื่อไม่ทัน เลยทำการไม่สำเร็จ ต้องเรียกว่านายวิทูรเป็นคนแหลมจริงๆ ทีนี้ตอนความลับแท้ เขาไม่ได้พูดตรงๆ นะ เขาเข้าหานายใหญ่คนนี้ มีโอกาสนอนด้วยกันในสนามรบเลย นายใหญ่ทำคู่แข่งของตัวที่เป็นพวกเดียวกันตาย จะจงใจหรือเปล่าไม่รู้ แต่ก็ต้องบอกว่าถูกปืนฝ่ายกบฏ วิทูรไม่เคยพูดอะไรเลย แต่นายใหญ่รู้ว่าวิทูรรู้ วิทูรถึงเปรียบเหมือนถือไพ่ตัวสำคัญมาเป็นเวลานาน เพราะอย่างนั้นที่มีเสียงว่า นายวิทูรนี่มันไม่ได้คิดจะเป็นท่านรองต่อไป มันกำลังวางแผนจะเป็นท่านใหญ่เสียเอง ฟังจากน้ำเสียงและทีท่าอาการฉันก็ชักจะเชื่อ และเห็นวิธีที่เขาไม่ค้านท่านใหญ่ต่อหน้าเลย กลับยุให้ทำอะไรที่คนไม่บ้าเขาไม่ทำ อาจเป็นแผนสูงของวิทูรให้แสดงบ้ามากๆ เขาจะได้เข้าแซะออกง่ายขึ้น เวลานี้ตัววิทูรบำเพ็ญกรณียกิจต่างๆ ทหารบางพวก พลเรือนบางพวกชมกันเกรียว และหนูฉอ้อนของเราก็เสริมสร้างบารมีผัวได้มาก ได้ยินแต่น่ารัก น่ารัก ข้างนางฉอเลาะมันก็น่ารักจริงๆ”

“แหม พูดถึงฉอเลาะ เลยนึกขึ้นมาได้” คุณแจ๋วเอ่ยขึ้น “นี่คุณเกริน วันนี้เองลำไยลูกคุณพี่กลางมาหามาพูดเรื่องลูกท่านรองวิทูรนี่แหละ รู้จักไหมว่าลำไยน่ะใคร”

“ลูกพี่กลาง พี่ริม บ้านไหนก็ไม่รู้ละ เดาว่าลูกหลานรุ่นหลังคนหนึ่ง ว่าไปซิ ฉันชอบฟังเรื่องเด็กรุ่นนี้ มันทำให้เราเข้าใจลูกของเราง่ายขึ้น”

คุณแจ๋วหาวนิดหน่อยแล้วก็พูดต่อไป “อย่าเป็นห่วงนะ หาวไปยังงั้นเอง จะนอนสายนอนเช้าไม่มีใครว่า เป็นอิสระแก่ตน ลำไยเป็นหลานตาคุณลุงสุเรนทร์ฯ ทางข้างพ่อแกมาเป็นญาติสนิทกับพี่เพ็ญเข้าอีกชั้นหนึ่ง พี่เพ็ญกับลูกสาว ยายเฉิดฉัน เห็นจะไม่ต้องสาธยาย ญาติใกล้ๆ ของคุณเกรินเอง เขาว่าอะไรรู้ไหม ลำไยว่าตาฤทธิ์มาติดยายเฉิดฉัน”

“อ้าว ลูกพี่เพ็ญนี่เขามีลูกมีผัวแล้วไม่ใช่รึ” เกรินถาม “ฉันจำได้ เพราะฉันต้องซื้อของขวัญแต่งงานส่งมาให้เขาจากเชียงราย”

“ก็มีแล้วน่ะซิ แต่นายฤทธิ์ก็ไปติดจนได้ เคยเห็นนายฤทธิ์ตั้งแต่มันกลับจากอเมริกาแล้วหรือยัง”

“เคยเห็นแล้ว มันหล่อกว่าพ่อมันเมื่อหนุ่มๆ ไปอีก” คุณเกรินตอบ พลางก็มีอาการถอนใจน้อยๆ ตามมาด้วย ซึ่งคุณแจ๋วสังเกตโดยเจ้าตัวไม่รู้สึก คุณแจ๋วจ้องหน้าญาติชายเหมือนจะมองให้ทะลุเข้าไปในหัวใจ ตอนนี้เขารู้สึกขึ้นมา จึงถามว่า “อะไร จ้องทำไม”

“ขอโทษ จ้องใจลอย” คุณแจ๋วปด “จ้องคิดไปถึงเด็กๆ พวกนี้เมื่อมันเล็กๆ ตาฤทธิ์นี่เล็กมาก พอเขาย้ายไปอยู่ทางเหนือๆ เราก็ไม่ได้พบ แต่ฉอเลาะมักพบเป็นครั้งคราว สวยพอใช้ แต่ที่สำคัญนั้นจริตกิริยา ดูเหมือนจะเลือกเหมือนพ่อเหมือนแม่ตรงที่เข้าที รูปร่างสูงโปร่งกว่าแม่ หน้าตาเค้าแม่แต่คมกว่าเพราะเหมือนพ่อ” เมื่อพูดจบแล้ว คุณแจ๋วก็ลอบถอนใจเหมือนกัน แต่เกรินกำลังจินตนาการไปไกลกว่าที่ญาติหญิงพูด จึงไม่ได้สังเกต เขาย้อนกลับไปถึงเรื่องที่สนทนาไว้

“แล้วยังไง ตาฤทธิ์ เวลานี้มิหมายปองกันทั้งพระนคร ทำไมต้องมาติดยายเฉิดฉัน”

“แกอาจติดไปอย่างงั้นเอง สนุกๆ” คุณแจ๋วออกความเห็นเดา “แต่ไอ้จุดสำคัญมันอยู่ที่ตรงนี้ ได้ยินจากลำไยว่ากลัวกันเสียเหลือเกิน คืออย่างงี้ สามียายเฉิดฉัน เขาชื่อ วรชาติ ณ บ้านหลวง เขาก็หึงซี ข้างยายเฉิดฉันบอกว่าคบกับตาฤทธิ์น่ะดี เผื่อจะได้ช่วยราชการของตาวรชาติไปด้วย อีตอนนี้นายวรชาติออกจะโมโหบอกว่าถ้าต้องใช้เมียเป็นเครื่องให้ก้าวหน้าทางราชการเขาจะลาออกจากราชการเสียดีกว่า ที่จริงผัวเมียทะเลาะกันจะพูดยังไงก็พูดได้ แต่ปรากฏว่าพี่เพ็ญกลัวมาก ถึงกับมาหาคุณพี่ใหญ่ ขอให้เรียกนายวรชาติมาอบรมไม่ให้พูดอย่างนั้นอีก เพราะจะมีอันตรายแก่ตัว อะไรกัน ท่านวิทูรนี่ถึงแค่นี้แล้วจริงรึ ใครว่าอะไรไม่ได้ ลูกชายจะไปผิดลูกผิดเมียใคร ผัวเขาจะหึงไม่ได้ถึงอย่างนั้นเชียวรึ”

“ไอ้ท่านรองวิทูรมันอาจจะนอนหลับไม่รู้นอนคู้ไม่เห็นก็ได้” คุณเกรินหัวเราะเบาๆ อย่างอารมณ์ดีทั้งที่เขาทำท่าทางไม่ให้ญาติครั่นคร้ามในตอนที่เขาเข้ามาในสถานอาศัยของคุณแจ๋ว แต่ก็อาจเห็นได้ชัดจากน้ำเสียงที่หัวเราะและแววตาในขณะนี้ ว่าความรู้สึกดีขึ้นกว่าตอนแรกมาก ประสาทของเขาผ่อนคลายไปจริง ไม่ใช่ถูกบังคับทำให้ดูเหมือนคลาย “คนที่กลัวคนมีอำนาจนี่มันหลายอย่าง บางคนกลัวเพราะเกลียด เห็นเหมือนอมนุษย์ ทำอะไรก็กลัวทันที ไม่ไว้ใจสักอย่างเดียว บางคนกลัวเพื่ออ้างเป็นเหตุ เช่นพี่เพ็ญ อาจไม่ชอบลูกเขยมาก่อน พอเกิดเรื่องนี้ก็เอาความผิดประเดไปที่ลูกเขย ยังมีอีกพวกหนึ่งกลัวเอาไว้ขู่คนอื่น คนอื่นจะได้หลบหลีกออกไป ตัวจะได้อยู่ในระยะใกล้ ซ้ำยังอวดได้อีกด้วยว่าฉันเก่ง ฉันมีดี ฉันได้รับความกรุณาพิเศษ”

คุณแจ๋วฟังอย่างตั้งใจ สายตาแสดงความนิยมในตัวผู้พูด “มันแปลก ตลอดเมืองไทย ตั้งแต่ในกลุ่มเล็กที่สุดจนใหญ่ที่สุดในประเทศ มีภาวะอย่างที่คุณเกรินพูดนี่ ฉันทำงานมาหลายอย่าง ถ้าที่ไหนมีนาย ต้องมีไอ้พรรณนี้มากบ้าง น้อยบ้าง แล้วแต่ตัวนายกับแล้วแต่งาน ทีนี้ยายลำไย แกมาบอกว่า คุณเกรินน่ะ ใครๆ เขาว่าเป็นเพื่อนสนิทของท่านวิทูร จะช่วยเหลือเรื่องนี้บ้างได้ไหม”

ถึงตอนนี้เกรินหัวเราะออกมาดังๆ “รู้ไหมคุณแจ๋ว ตั้งแต่มาอยู่กรุงเทพฯ ๓ เดือนนี้ มีคนมาหา มาพูดว่าเป็นเพื่อนสนิทของท่านวิทูร ขอให้ช่วยเรื่องนั้นเรื่องนี้สัก ๑๐ รายแล้ว ถ้าคิดจะรวย รายหนึ่งๆ ก็เรียกเป็นหมื่นได้โดยไม่ต้องคอรัปชั่น ไม่ต้องทำทุจริตในหน้าที่ราชการอะไรทั้งนั้น เพียงแต่รับว่าจะเข้าไปพูดกับท่านให้เท่านั้น เอามาวางให้เอง เปิดห่อขนมเปียออกมา มีธนบัตรใบแดงๆ อยู่ในนั้นปึกหนึ่ง”

“แล้วคุณเกรินทำยังไง” คุณแจ๋วถามด้วยใจร้อนพอถามออกไปแล้วก็โกรธตัวเอง ว่าน่าจะฟังเขาเล่าต่อไปให้จบเนื้อความของเขาเอง

“ไอ้รายธนบัตรในห่อขนมเปียนี่ ไม่รู้จะทำยังไงเพราะจำชื่อก็ไม่ได้ จำที่บ้านก็ไม่ได้ เขาให้บัตรไว้พอเขาออกจากบ้าน เราก็เชิญลงถังส่งให้เทศบาลไป ฉันก็เลยเอาเงินไปทำบุญให้สภากาชาด รายอื่นๆ มันเชื่อง่ายหน่อย พอบอกว่ามีหนุ่มๆ ด้วยกันนั้นสนิทกันจริง แต่ได้ห่างเหินกันมานาน ไม่ได้คบเป็นเพื่อนกันเสียแล้ว รู้จักกันอย่างผู้บังคับบัญชากับลูกน้อง เขาก็ถอนตัวออกไป บางคนก็ถอนเร็วจนน่าหัวเราะ”

“ถามหน่อยนะ คุณเกริน หวังว่าจะไม่โกรธ” ญาติหญิงของเกรินพูดเสียงค่อนข้างอ่อน “เงินที่ไม่เอาน่ะจำนวนมันเท่าไหร่ ถ้าจำนวนมันมากจริงๆ จะเสียสละให้สภากาชาดได้ไหม และถ้าเรากำลังลำบากอยู่ เช่นเป็นหนี้เป็นสิน เราจะทานมันไหวไหม ไอ้สิ่งที่มันมาล่ออยู่ตรงหน้า”

“เออ ฉันก็ถามตัวเองนะคุณแจ๋ว” ญาติชายตอบ “แล้วก็ได้แต่สวดมนตร์ภาวนา ขออย่าให้เราเข้าตาร้ายถึงอย่างนั้น ฉันมีวิธีการระวังไม่ให้โดนอย่างนี้หลายวิธี หนึ่งก็พยายามไม่เป็นหนี้ สองก็พยายามไม่พบกับคนแปลกหน้า และที่ฉันมาซ้อมหนีมาหาคุณแจ๋ว ก็เพราะจะหนีคนแปลกหน้า ไม่ได้แปลกไม่รู้จัก แต่แปลกกันที่ใจ เราไม่สามารถรู้ชัดว่าเขาจะชวนเราไปทำอะไรด้วยความสุจริตหรืออย่างไร ถึงต้องซ้อมหนี ถ้ามันคนแปลกไปเสียเลย ก็ไล่ออกจากบ้านได้ง่าย แต่ไม่ไหวแล้ว คุณแจ๋วหาวหลายหนแล้ว ดึกมากนะนี่ ไปนอนเสียไป๊”

คุณแจ๋วเอาศอกเท้าโต๊ะแล้วเอาหน้าลงวางบนฝ่ามือ ที่จริงคุณแจ๋วไม่ได้รู้สึกง่วง และรู้ว่าถึงไปนอนก็คงไม่หลับอีกนาน แต่คุณแจ๋วเกิดเหนื่อยขึ้นมาทั้งกายและใจ จึงลุกขึ้นไปจัดที่ให้ญาติได้พักนอนพอสบาย แล้วตัวเองก็ลาเขาขึ้นไปห้องนอนของตน

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ