บทที่ ๘

เหตุการณ์อันคนจำนวนมากพรั่นกลัวได้เกิดขึ้นตามความกลัว ฉอ้อนมีครรภ์แก่แต่ยังไม่มีกำหนดคลอด ในเวลาเช้าตรู่พอมีแสงเรื่อๆ ขึ้นที่ขอบฟ้า มีเสียงเคาะประตูเรียกคุณวิทูร ณ เรือนพักของสามีหนุ่มภรรยาสาวในบริเวณโรงทหารที่เพชรบุรี ฉอ้อนยังงัวเงียอยู่ในเตียงสามีก็เข้ามาเรียกให้ลุกขึ้น และออกคำสั่งสั้นๆ แต่เด็ดขาดว่า

“น้อง ลุกขึ้นเร็ว เก็บเสื้อผ้าสองสามชุดประเดี๋ยวจะให้พลทหารไปส่งที่บ้าน อยู่ที่บ้านนะ อย่าไปไหนเป็นเด็ดขาด อย่าลืมว่าท้องแก่ ไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น อยู่กับแม่ที่บ้าน”

โดยน้ำเสียงและท่าทีของเขา ฉอ้อนไม่อิดออด ทำตามคำสั่งของสามีทันที ระหว่างที่หล่อนหวีผมอย่างรีบๆ เขาก็เล่าให้ฟังเพียงสั้นๆ “เกิดปฏิวัติแล้วที่กรุงเทพฯ ผู้พันเรียกทหารทุกคน ต้องไปเดี๋ยวนี้ ฉอ้อนเคราะห์ดีกว่าใครที่มีบ้านอยู่เพชรบุรี พี่จะไปละนะ เดี๋ยวเจ้ามากมาให้มันพาไปทันที แล้วให้บุญล้อมตามไปทีหลังก็ได้” เขาลงจากเรือนไปอย่างรวดเร็ว

ไม่มีอะไรเกิดขึ้นแก่ตัวฉอ้อนที่จะทำให้หล่อนต้องหวาดหวั่น มีแต่เหตุกระทบน้ำใจนิดหน่อยหลังจากวันนั้นสองสามวัน พระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จหัวหินโดยรถไฟพระที่นั่งนิวัตเข้าพระนคร คุณพ่อกับแม่และเพื่อนบ้านหลายคนก็เตรียมตัวไปเฝ้าที่สถานีรถไฟเพชรบุรีตามที่เคยปฏิบัติหลายครั้ง แต่ในเช้าวันนั้น วิทูรให้พลทหารถือจดหมายมาบอกฉอ้อนว่าไม่ให้ไปรับเสด็จอย่างเฉียบขาด และให้ห้ามคุณพ่อและแม่ด้วย เมื่อฉอ้อนนำความไปแจ้งแก่คุณพ่อท่านตอบด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่ฉอ้อนไม่เข้าใจว่า

“พ่อจะไป ใครอย่าห้ามเสียให้ยาก แต่ว่า แม่เชิญน่ะ ยังมีลูกเล็กอีกสองคน แล้วหลานก็จะคลอดอีกคนอยู่บ้านเถอะ”

แม่ลงนั่งพิงฝา ยกชายผ้าแถบที่เป็นเครื่องห่มของแม่ประจำเมื่ออยู่กับบ้านขึ้นเช็ดน้ำตา “ฉันจะขอไปเห็นพระพักตร์ท่านมั่งไม่ได้รึ” แม่ถามเสียงเครือ

“อย่าเลย” คุณพ่อว่า “ฉันไปคนเดียว” คุณพ่อผู้ไม่เคยออกคำสั่งแก่แม่เลยพูดอย่างเด็ดขาดในวันนั้น

ต่อจากนั้น ฉอ้อนก็ไม่รู้สึกว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงในบ้านเมืองหรือแก่คนที่หล่อนรู้จัก แม้แต่ “ท่าน” ก็อยู่บ้านทำกับข้าว จัดดอกไม้ ไปวัด อย่างปรกติ คุณพ่อก็มีคนมาหาพิณพาทย์ ในจังหวัดเพชรบุรีก็มีงานศพ งานทำบุญงานแต่งงานกันต่อไปอย่างธรรมดา นอกจากนั้น ในเดือนธันวาคม คุณแจ๋วก็ออกมาเยี่ยม “ท่าน” ค้างคืนอยู่เกือบสัปดาห์ ฉอ้อนไม่รอปรึกษาคุณวิทูร หอบเอาลูกอ่อนไปค้างคืนด้วย คุณแจ๋วได้เล่น “ตุ๊กตา” ตัวใหม่ด้วยความพอใจยิ่งนัก

คุณแจ๋วบอกแก่ฉอ้อนว่าจะไปศึกษาที่มหาวิทยาลัย “คุณพ่อว่า เปลี่ยนการปกครองแล้วอย่างนี้ ผู้หญิงยิงเรือ ต้องหาวิชาไว้เลี้ยงอาตมา ไม่รู้ว่าวันข้างหน้าจะเป็นยังไง คุณน้าไม่ค่อยชอบใจ แต่ก็ทัดทานไม่ได้ ส่วนตัวฉันเมื่อเขาเดโมคระซี่คระเซอกันอย่างงี้ ฉันก็ทำราชการได้ แต่ก่อนนึกไว้ในใจว่าอดตายก็ไม่ทำราชการ”

“มันเป็นไงคะ คุณแจ๋ว” ฉอ้อนซักด้วยความสนใจจริงๆ

“เวลาอยู่กรุงเทพฯ ไม่ค่อยรู้สึก” คุณแจ๋วว่า “เวลาออกหัวเมืองอย่างมาอยู่ที่บ้านคุณป้ายังจี้รู้สึกนิดหน่อยแต่ไม่มาก แต่ฉันเคยไปกับลุงเขย เจ้าพระยาสุเรนทร เป็นเจ้าพระยาได้ไม่ทันไรก็เกิดปฏิวัติ ไม่มีใครจะได้เป็นกันอีกละ ท่านเป็นข้าหลวงใหญ่ไปตรวจราชการแทนพระองค์ ตอนนั้นมีเรื่องอะไรเราก็ไม่เข้าใจ เห็นข้าราชการหัวเมืองแล้ว ทุเรศ”

“แหม คุณแจ๋วทำไมพูดยังงั้นล่ะ” ฉอ้อนพ้อโดยไม่เข้าใจว่าทำไมจึงไม่พอใจคำพูดนั้นอย่างมาก

“คำทุเรศนี่เพื่อนๆ ฉันเขาพูดกันไม่ได้หมายความว่าทุเรศจริงหรอก” คุณแจ๋วเดาเหตุแห่งความไม่พอใจของฉอ้อนว่าด้วยไวปัญญา “มันแปลว่า เอ้อ แปลว่า ค่อนข้างจะทุเรศ ก็อย่างงี้นะ เจ้าคุณเทศาก็พาคุณหญิงมารับรองคุณลุง ปราศรัยกันแล้วคุณหญิงเทศาก็นั่งบนเก้าอี้คู่สำหรับนั่งสองคน เก้าอี้เดี่ยวๆ พวกข้าราชการผู้ชายแก่ๆ ก็นั่งหมด ประเดี๋ยวคุณพระเจ้าเมืองก็พาคุณนายมา คุณนายเป็นหม่อมหลวงนะ ไม่กล้านั่งบนเก้าอี้กับคุณหญิงเทศา เอ้า ยืนขยับทางโน้นทางนี้ พวกผู้ชายไม่มีใครสังเกตว่าคุณนายเจ้าเมืองยังไม่ได้นั่ง ประเดี๋ยวพวกลูกหลานคุณลุงก็ออกมา มีแม่แจ๋วนี่ด้วย พวกข้าราชการถอยปรูดให้พวกเรานั่ง คุณพี่ใหญ่ ลูกสาวคุณลุงสุเรนทร์เธอเป็นแม่บ้านแทนแม่เธอมาแต่ไหนแต่ไร เธอเป็นนักจัดระเบียบ ก็เลยทำเป็นเจ้าของบ้าน เพราะว่าเราพักอยู่ที่เรือนรับรอง เธอก็เชิญให้คุณหม่อมหลวงของท่านเจ้าเมืองนั่งเก้าอี้เดียวกับคุณหญิงเทศา คุณหม่อมหลวงถึงได้นั่ง ทีนี้เมียข้าราชการอื่นก็มากันอีกหลายคน ไม่มีใครยอมนั่งเก้าอี้ตัวไหนทั้งนั้นลงนั่งกันบนพื้นกระดาน คุณพี่ใหญ่เธอเป็นคนศิวิลัยส์เธอไม่ยอมนั่งบนเก้าอี้ลงนั่งกระดานบ้าง เอ๊า ทีนี้โกลาหล”

คุณแจ๋วหยุดเล่าเสียเฉยๆ ทั้งที่ฉอ้อนอ้าปากฟังด้วยความสนใจ แต่คุณแจ๋วไม่อยากเล่าเสียแล้ว ไปทักแม่ค้าที่หาบขนมขี้หนูมาขาย ต่อมาอีกหลายปีฉอ้อนก็เข้าใจถึงความรู้สึกของคุณแจ๋วอย่างแจ่มแจ้ง เพราะภาพเช่นที่คุณแจ๋วเล่าฉอ้อนได้ประสบบ่อยๆ

ในปลายปีหลังจากที่คุณแจ๋วไปเยี่ยม “ท่าน” ที่เพชรบุรี วิทูรได้ถูกย้ายไปนครราชสีมา ฉอ้อนได้พาลูกเล็กติดตามสามีไปด้วย ที่นครราชสีมาประมาณ ๗-๘ เดือนต่อจากที่ฉอ้อนไปถึง เหตุการณ์ที่เปลี่ยนวิถีชีวิตของฉอ้อนและสามีจึงเกิดขึ้น

ฉอ้อนจำได้แต่เพียงรางๆ เลือนๆ เพราะในเวลาที่เหตุการณ์เกิดฉอ้อนไม่เข้าใจ งุนงงพิศวงไปหมดทุกอย่าง เท่าที่จำได้ เวลากลางดึกคืนหนึ่งต้นเดือนตุลาคม ฉอ้อนตั้งครรภ์ที่สองแล้ว แต่ครรภ์ยังอ่อน ความสนใจของฉอ้อนอยู่ที่ลูกในครรภ์ ภาวนาทุกเช้าทุกเย็นอ้อนวอนเอาแก่สิ่งศักดิ์สิทธิ์สิ่งใดก็ไม่แน่ ขอให้ได้ลูกผู้ชาย ในเวลากลางดึกฉอ้อนนอนหลับไม่ค่อยสนิทเพราะฝันอะไรปนๆ กัน ก็รู้สึกตัวว่า มือของสามีมาลูบไล้หน้า ทรวงอก และเลื่อนไปทั่วร่าง หล่อนลืมตาขึ้นยังไม่ทันจะเห็นหน้าเขาถนัด ก็ได้ยินเสียงเขากระซิบ

“ฉอ้อน น้อง เมียพี่ ถ้าพี่คิดผิดคืนนี้ ยกโทษให้พี่นะจ๊ะ” แล้วเขาก้มลงจุมพิตหล่อนที่แก้มทั้งสอง และที่กลางทรวงอก และจุมพิตครรภ์ของหล่อนด้วย พอฉอ้อนรู้สึกตัวเต็มที่ เขยิบตัวจะลุกขึ้นจากที่นอน เขาก็หายไปจากห้องแล้ว ฉอ้อนลุกตามมาที่ระเบียงหน้าเรือน ไม่เห็นตัวเขาเลย ไม่รู้ว่าเขาปลาสนาการไปได้อย่างไร

รุ่งเช้าขึ้น ภายในค่ายทหารนครราชสีมานั้น มีความตื่นเต้นอยู่ทั่วไป ฉอ้อนไม่รู้อะไรมาก ถามเพื่อนบ้านชื่อคุณนายชื่น ได้รับคำตอบแต่ว่า “เขาเคลื่อนกำลัง เคลื่อนกำลัง พี่รันเขาบอก” หมายถึงร้อยเอกขุนจรัลเร่งโยธาผู้สามี ฉอ้อนเดินไปที่ถนนใหญ่บริเวณค่ายเห็นว่ามีการเคลื่อนไหวอย่างมาก มีนายทหารแต่งเครื่องสนามวิ่งมา มีพลทหารเดินเป็นแถว บ้างก็ขึ้นรถบรรทุก บ้างก็สะพายปืน บ้างก็ถืออาวุธแนบอยู่กับตัว ปืนใหญ่ซึ่งเทียบกับปัจจุบันนี้ก็เป็นปืนเล็กนิดเดียว ก็ถูกเคลื่อนย้ายไม่รู้ว่าใครจะเอาไปไว้ที่ไหน ทำไม

เมื่อถามใคร ก็ไม่ได้รับความเข้าใจตามปรารถนาฉอ้อนจึงกลับไปที่เรือนดูแลลูก และเก็บสมบัติเล็กน้อยที่มีติดตัวเข้าไปห่อที่อาจยกหิ้วได้ง่าย สายสร้อยข้อมือทองคำของลูกหญิง ซึ่งเป็นของทำขวัญของ “ท่าน” ฉอ้อนก็ถอดเก็บใส่ห่อและนั่งรอว่าเมื่อไหร่ใครจะมาบอกแก่หล่อนว่าให้ทำอย่างไร แต่ก็ไม่มีใครมาบอกที่จะเชื่อได้ มีเพื่อนภรรยานายทหารในค่ายมาที่เรือนหลายคน แต่คนเหล่านั้นบอกไม่ตรงกัน คนหนึ่งว่าทหารโคราชยกไปช่วยพระเจ้าอยู่หัว เพราะพวกกบฏในกรุงเทพฯ จะปลงพระชนม์ชีพ อีกคนหนึ่งบอกว่าทหารโคราชจะเข้าไปยึดอำนาจการปกครองคืน อีกคนหนึ่งบอกว่า พระองค์เจ้าเสนาบดีเก่าท่านมาขอกำลังไปปราบคอมมิวนิสต์ อย่างไรก็ตามสามีของเจ้าหล่อนทั้งหลายได้ปลาสนาการไปเช่นเดียวกับสามีของฉอ้อน บางคนก็ได้รับจดหมายเปิดผนึก มีลายมือเขียนที่ซองว่าให้เปิดในวันที่เท่านั้นเท่านี้ บางคนก็รับคำสั่งอย่างสั้นๆ “ถ้าพี่เป็นอะไรไป เอาลูกไปอยู่กับคุณปู่” หรือ “ถ้าพี่ไม่กลับมา กลับไปอยู่บ้านเก่าของน้อง” บางคนก็ได้รับจดหมายแสดงความอาลัยรัก และบอกให้รู้ถึงทรัพย์สมบัติพี่มีอยู่เท่านั้นเท่านี้ ภรรยาบางคนก็ไม่ได้รับคำสั่งหรือคำไว้อาลัยอย่างใดเลย

วันคืนล่วงไป ฉอ้อนอยู่ที่ค่ายตามปรกติ หล่อนมีเงินพอจะซื้อหาอาหารและหล่อนคงจะมีระบบประสาทอันแกร่งพอควร ไม่มีอะไรเกิดขึ้นทำความเดือดร้อนรำคาญไม่เหมือนเพื่อนภรรยานายทหารบางคน ซึ่งเกิดเป็นโรคต่างๆ ที่ไม่เคยเป็น เช่นเกิดท้องไม่ปรกติบ้าง เกิดหนาวสั่นเหมือนเป็นไข้บ้าง บางคนก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง มีข่าวมายังภรรยาเหล่านี้ทุกวัน บางวันก็หลายครั้ง ตอนแรกๆ ล้วนเป็นข่าวดีว่าทหารโคราชเข้ายืดกรุงเทพฯ ได้แล้ว ในวันต่อๆ มาข่าวสับสน บ้างก็ร้ายบ้างก็ดี ในตอนต่อๆ มาอีกมีแต่ข่าวร้าย บางทีก็ร้ายเกินไปจนเชื่อไม่ได้แต่ในที่สุดความจริงก็ปรากฏแก่ภรรยาเหล่านั้น สามีของเจ้าหล่อนทั้งหลายเป็นฝ่ายปราชัย บ้างก็ถูกจับเป็นนักโทษอยู่ในที่คุมขัง บ้างก็ลี้ภัยไปต่างประเทศ บางคนก็เสียชีวิต

ไม่มีใครให้ข่าวแก่ฉอ้อนเลย ไม่มีใครเห็นว่านายร้อยโทวิทูรได้เข้ารบในสนามใด อยู่ใกล้กับใครจะเป็นหรือตายหรือหลบลี้ไปต่างประเทศแล้ว ฉอ้อนไม่รู้จะทำอย่างไรได้แต่รอไป รอไป จนภรรยานายทหารทุกคนได้รับข่าวเกี่ยวกับสามีหมดแล้ว ฉอ้อนก็ยังไม่รู้ว่าสามีของหล่อนเป็นตายร้ายดีอย่างไร

จนกระทั่งวันหนึ่ง พี่วงศ์ก็ไปปรากฏตัวที่โคราช พี่วงศ์กระซิบบอกว่าวิทูรให้ไปรับฉอ้อนกับลูกลงไปอยู่ที่นนทบุรี และไม่ยอมบอกอะไรมากกว่านั้น ภายหลังที่ต้องฝ่าฟันอุปสรรคในการเดินทางอย่างมาก ในที่สุดฉอ้อนก็ลงมาถึงกรุงเทพฯ แล้วก็ไปอยู่บ้านพี่วงศ์ที่นนทบุรี

หลายสัปดาห์ต่อมา ฉอ้อนจึงได้ทราบว่า วิทูรไม่ได้ร่วมในกองทัพ และการที่ฝ่ายรัฐบาลเรียกว่า กบฏ “บวรเดช” ตรงกันข้าม วิทูรได้มีส่วนในการรบร่วมกับฝ่ายรัฐบาลผู้มีชัย เขาได้รับบาดเจ็บไม่มากนัก รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลทหารในพระนคร แต่จำเป็นปิดเป็นความลับเพราะกลัวว่าเพื่อนร่วมกองพันทางโคราชอาจมีความโกรธแค้นและทำร้ายฉอ้อนและลูก

เขาไม่ได้มีชื่อเสียงว่าเป็นคนมีความชอบ ชื่อของเขาเงียบหายอยู่ในความว้าวุ่นของเหตุการณ์ หลายเดือนต่อมาฉอ้อนจึงได้รับคำสั่งจากสามีว่า ให้ตามไปอยู่กับเขาที่ค่ายทหารพระนครศรีอยุธยา

วิทูรไม่ได้รับพิจารณาความชอบในการรบที่เสร็จสิ้นไป แต่ฉอ้อนสังเกตว่าสามีของหล่อนได้เปลี่ยนแปลงจากนายทหารหนุ่มผู้มีความพยายาม ใคร่จะมีความสำเร็จ โกรธง่ายหายเร็ว พูดจาเข้าที มีมารยาทและรูปโฉมเป็นเสน่ห์ต้องใจคน กลายเป็นนายทหารที่มีความเชื่อมั่นในตนเอง และมีความสำนึกว่าตนมีอำนาจอะไรอย่างหนึ่งอยู่ในตัว เขายังมีมารยาทเป็นเสน่ห์ต้องตา รูปโฉมของเขางามยิ่งขึ้นเพราะเดิมเขาค่อนข้างจะผอมไปนิดๆ แต่เขาได้อวบขึ้นหน่อยพอได้สัดส่วนเหมาะขึ้นอีก นัยน์ตาของเขาเป็นนัยน์ตาที่คมปลาบ ยิ่งกว่าเมื่อเขามองดูฉอ้อนในแอ่งน้ำใต้ต้นจิก ในระยะที่กล่าวถึงนี้ นัยน์ตาของเขาคมด้วยความรู้สึกแรงอย่างหนึ่ง ซึ่งเขาสามารถควบคุมให้อยู่ในอำนาจของเขาได้ ในเรื่องความรัก ออกจะชอบแสดงพลังประหลาดแต่ดูดดื่มยิ่งขึ้น และบางเวลาเขาก็อ่อนโยนหวานซึ้งต่อภรรยาและลูกของเขา

ฉอ้อนได้ถามถึงคุณเกริน เร็วที่สุดที่โอกาสอำนวยให้ถาม ก็ได้รับคำตอบทำให้เบาใจ

“โชคดีฉิบหาย เจ้าเกริน” วิทูรบอกหล่อน “ทหารเมืองเพชรบุรีถูกจับหมด เพราะประกาศเข้าข้างพวกกบฏ แต่เจ้าเกรินดันไปเจ็บเป็นไตฟอยด์อยู่ที่ราชบุรี เดี๋ยวนี้เขาย้ายไปรักษาการณ์อยู่ที่นครสวรรค์”

ฉอ้อนคลอดบุตรชายที่พระนครศรีอยุธยา คลอดช้ากว่ากำหนด คล้ายกับจะรอคอยคุณยายให้ไปช่วยดูแลแม่ให้อุ่นใจ คุณป้าวงศ์ก็ไปช่วยดูแลด้วย วิทูรภาคภูมิใจมากที่ลูกคนนี้เป็นผู้ชาย เขาเที่ยวปรึกษาพระภิกษุ ผู้มีความรู้ทางโหราศาสตร์ ผู้มีความรู้ทางอักษรศาสตร์ ในที่สุดจึงเลือกชื่อที่ถูกใจให้แก่บุตรชายชื่อนั้นคือ ชัยฤทธิ์ บุตรีหรือลูกหัวปี เขารักมากเหมือนกัน แต่ไม่ค่อยเอาใจใส่เท่ากับบุตรชาย ลูกสาวเขาหาชื่อให้ว่า โฉมชื่น แต่ญาติมิตรติดใจเรียก ฉอเลาะ ตามที่คุณแจ๋วเป็นคนเริ่มเรียกเล่น

ลูกชายของเขาคนนี้ วิทูรบอกว่าเขาอยากให้ชื่อว่า ชัยมงคล แต่ไม่เพราะหู จึงเลี่ยงไปใช้ชื่อที่ใกล้กับเหตุการณ์ที่สำคัญในชีวิตของเขา ซึ่งฉอ้อนไม่ได้ถามว่าเขาหมายความอย่างไร มีอะไรซ่อนลึกอยู่ในจิตของหล่อนทำให้ไม่ถาม ในขณะเดียวกัน ฉอ้อนก็กำลังวุ่นอยู่กับลูกทั้งสองคน และพอคลอดลูกคนที่สองได้ไม่นาน “ท่าน” ก็ถึงแก่อนิจกรรม

ฉอ้อนร้องไห้เสียใจหลายครั้งจนถูกสามีดุ นอกจากจะเสียดายผู้ที่ฉอ้อนรักแล้ว ฉอ้อนยังไม่ได้ตอบแทนพระคุณด้วยการไปขมาศพ และช่วยทำงานในการกุศลที่เนื่องในงานศพ ทั้งนี้เพราะวิทูรว่ามีความผันผวนทางการเมือง ไม่เต็มใจให้ภรรยาผู้มีลูกอ่อนเดินทางไปจากที่อยู่และญาติมิตรทั้งฝ่ายของสามี และของฉอ้อนก็ไม่สนับสนุนให้ฉอ้อนไป ด้วยพากันกลัวไปตามคำของวิทูร ฉอ้อนจึงได้แต่เขียนจดหมายไปถึงคุณแจ๋ว ในจดหมายฉบับนั้นฉอ้อนถือโอกาสถามถึงผู้ที่ฉอ้อนรู้จักคุ้นเคยทุกคนที่เพชรบุรีและที่บ้านคุณแจ๋ว

คุณแจ๋วตอบจดหมายฉอ้อนโดยเร็วพอใช้ ข้อความคล้ายๆ ดังนี้

“ฉอ้อนที่รักมาก

ได้รับจดหมายของฉอ้อนแล้ว เห็นใจที่ฉอ้อนเสียใจว่าไม่ได้มาช่วยงานศพคุณป้า แต่อย่าเสียใจให้มากนักเลย คุณป้ามีบุญมากที่สุด ท่านตายสบ๊ายสบาย ถ้าฉันได้ตายอย่างคุณป้า ฉันจะพอใจมาก คือท่านตายไปเฉยๆ รับประทานข้าวแล้วก็ออกมานั่งเล่นที่ระเบียงชมจันทร์แล้วก็ใครรู้ไหมมาหาท่าน ตาเฌอของฉอ้อนนั่นและท่านนั่งคุยกับตาเฌอสักประเดี๋ยวแกก็กราบลาท่านไป อีกสัก ๑๕ นาที คุณเถ้าแก่จ่าง ต้นกุฏิของท่านก็นึกไงไม่รู้ออกไปดูท่านว่าทำไมเงียบ ไม่เห็นเรียกเอายากันยุง หรือหมากหรืออะไร ก็พบท่านนอนตะแคงๆ อยู่บนเสื่อพิงอยู่กับลูกกรงระเบียง แกเอะใจเข้าไปประดอง แกบอกว่าตัวยังอุ่นๆ แกก็นึกว่าเป็นลมไป เพราะตอนหลังนี่ท่านเป็นบ่อยๆ แกก็ให้พ่อเจ้าประคุณเชิดของแกไปตามหมอไชย กับให้บอกคุณหลวงกล้าด้วย นายเชิดเขาเป็นคนคล่องมาก เขาไปขอยืมมอเตอร์ไซเพื่อนเขาที่ข้างวัด ขับไปเรียกหมอตามคำสั่งของแม่ หมอก็มาทันที แต่ก็ต้องช้าหน่อยเพราะรถยนต์ไม่มี นั่งสามล้อมา คุณหลวงกล้าก็มาถึงพร้อมๆ กัน หมอมาถึงก็บอกว่าท่านหมดลมไปแล้ว ฉันเดาว่าพอถึงตรงนี้ฉอ้อนก็จะร้องไห้ อย่าร้องเลยฉอ้อน คุณพ่อท่านบอกฉันเมื่อฉันร้องไห้ตอนที่รู้ว่าคุณป้าสิ้นว่า จะมีอะไรๆ ในบ้านเมืองให้เราต้องร้องไห้กันอีกมากนัก คุณป้าท่านมีบุญท่านไม่ต้องอยู่เห็น แต่ใครๆ เขาพูดกันว่า ตั้งแต่เพื่อนฝูงท่านถูกจับหมดที่่เมืองเพชรท่านไม่แจ่มใสเหมือนแต่ก่อน เอาแต่นั่งสวดมนตร์นานๆ ไม่ค่อยทำกับข้าว ไม่ค่อยชวนใครมาบ้าน ไม่ค่อยคุยซักไซ้อะไรเหมือนแต่ก่อน เขาว่าท่านคุยด้วยคนเดียว คือตาเฌอ

พูดถึงตาเฌอ แกโตขึ้นผิดหูผิดตา แกจะเรียนจบมัธยมหกอยู่แล้ว รูปร่างท่าทางเข้าที ไม่ค่อยพูด ฉันแปลกใจอยากซักแกจังว่าแกคุยกับคุณป้าเรื่องอะไร จะถามแกก็เกรงใจแกไม่มีโอกาส ฉันไปอยู่เมืองเพชรสามวันเท่านั้น เพราะต้องกลับไปเรียน กลัวสอบตกจะแย่

คนที่ฉอ้อนถามถึง ก็มีคุณเกริน ซึ่งอยู่นครสวรรค์ฉันก็ไม่ได้พบ นานๆ ถามข่าวจากบ้านซังฮี้ก็บอกว่าสบายดี ไม่เห็นมีอะไร

ส่วนอีกคนหนี่งคือคุณสำรวย ฉันเสียใจมากที่จะต้องบอกว่า เขาน่าสงสารมาก คุณจำลองถูกจับเมื่อสองสามวันนี้เอง ข้อหาคืออย่างไรก็ไม่มีใครรู้ พวกที่อยู่สงขลาถูกกันหลายคน เรื่องที่เกิดๆ กันเหล่านี้เขาเรียกว่าเรื่องการเมือง ฉันยังไม่เข้าใจว่ามันการเมืองยังไงกัน แต่ซักทีไรก็ถูกคุณน้าดุว่าช่างซัก แต่ก็แปลก เดี๋ยวนี้ฉันเป็นคนมีหน้าที่ฟังคุณพ่อ ท่านนั่งเล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ แต่ไม่มีใครฟัง คือคุณน้าก็คอยห้ามว่าอย่าพูดๆ คุณพ่อก็ทำท่าเหมือนว่าถ้าไม่พูดจะอกแตก พูดกับพี่แต๋วเขาก็ใจลอยไป บางทียังลุกไปเสียเฉยๆ ก็มี ฉันก็เลยคอยฟัง และถ้าคุณน้าไม่อยู่ที่นั่นฉันก็ทำซักถาม ค่อยๆ รู้เรื่องขึ้นมานิดหน่อย คุณพ่อว่าถึงเป็นผู้หญิงก็ควรรู้เรื่องการเมือง เพราะเขาให้สิทธิออกเสียงแล้วจะไม่ยอมรับรู้อะไรนั้นไม่ได้ รุ่นคุณน้าก็ตามที แต่รุ่นเราต้องเข้าใจอะไรๆ ฉันก็เลยตั้งใจฟังท่านหน่อย ฉันดูๆ แล้วคุณพ่อเศร้ายังไงก็ไม่รู้ ไม่ใช่เพราะพี่จำลองถูกจับ เพราะพี่จำลองก็เป็นหลานทางคุณแม่ต่างหาก แต่ทำไมท่านเศร้าจัง แล้วก็ฉันไม่ควรเล่ากระมัง แต่ก็เล่าไว้ให้ฉอ้อนรู้ว่าฉันน่ะมีเรื่องไม่ค่อยสบายเหมือนกัน คือคุณพ่อชักดื่มจัด นังดื่มวิสกี้คนเดียว ซึ่งแต่ก่อนท่านเคยว่า คนดื่มเวลามีเพื่อนน่ะไม่มีอันตราย แต่ถ้าดื่มคนเดียวเมื่อไหร่อีกหน่อยก็จะขี้เมา แต่ฉันก็ไม่รู้จะทำยังไง คุณน้าไม่ได้สังเกตอะไร ได้แต่บ่นไปเรื่อยๆ

ฉันยังมีอะไรที่อยากเล่าให้ฉอ้อนฟังตั้งหลายอย่างแต่ต้องลาละ เพราะมีการบ้าน ฉอ้อนคงจะลงมากรุงเทพฯ ไม่ได้อีกนาน เพราะลูกยังเล็ก ฉันก็ต้องฝากแต่ความรักความคิดถึงให้ฉอ้อนไปพลางๆ ฝากความระลึกถึงคุณวิทูรด้วย หวังว่าจะไม่ถูกการเมืองเล่นเอา และหวังว่าจะเจริญรุ่งเรืองไปตลอด

ฉันขอจูบแม่ฉอเลาะของป้าแจ๋วด้วย พ่ออะไรอีกคนน่ะไม่รู้ว่าหน้าตาเป็นยังไง แต่ถ้าพบเมื่อไหร่ก็คงอดจ฿บไม่ได้ เลยขอฝากมาด้วยในคราวนี้

คิดถึง คิดถึง คิดถึง ไม่รู้จักสักกี่หนถึงจะสมใจ คิดถึง ฉอ้อนคงว่า บ้า ในใจ ใช่ไหมฉอ้อน

คิดถึงอีก

แจ๋ว”

ฉอ้อนร้องไห้ตลอดเวลาที่อ่านจดหมายของคุณแจ๋ว ร้องด้วยความเสียใจในตอนต้น และด้วยความปลื้มใจในตอนหลัง แต่การร้องไห้ของฉอ้อนเป็นการผ่อนคลายจิตที่หนัก พอร้องแล้วก็เบาไป แต่ขณะที่ฉอ้อนกำลังนั่งอ่านจดหมายไปพลาง และเช็ดน้ำตาไปพลางอยู่ที่หน้ากระจก คุณวิทูรก็เข้ามาในห้อง

“อ้าว ร้องไห้ทำไม” เขาเข้ามาประคองหล่อนทันที และถามอย่างตกใจ “มีข่าวอะไร ร้องทำไมจ๊ะ”

ฉอ้อนส่งจดหมายให้เขาอ่าน เขารับไปนอนอ่านบนเตียง ระหว่างที่เขาอ่านฉอ้อนก็ล้างหน้า ผัดหน้าและหวีผมเสียใหม่ เสร็จแล้วก็เข้าไปนั่งเคียงเขา พอเขาอ่านจบหันมาดูหล่อนก็พบว่าหล่อนกำลังยิ้มให้จดหมาย

“อ้อ ยิ้มออกแล้วรึ” เขาว่า “นี่ฉอ้อน น้องอย่าไปเชื่ออะไรพวกลูกขุนนางนี่ให้มากนักนะ”

“ใครกันคะ ลูกขุนนาง” ฉอ้อนขมวดคิ้วถาม

“อ๊าว ก็พวกคุณแจ๋วคุณแต๋วนี้ เขาก็พวกขุนนาง” วิทูรตอบ “เอ้อ อ่านหนังสือประวัติศาสตร์เสียมั่ง”

“ถ้าเชื่อจะเป็นไงคะ” ฉอ้อนถามทำหน้าซื่อ

เขาจับหล่อนมาจูบที่แก้มข้างหนึ่ง “น่าเอ็นดู๊ เมียพี่” เขายิ้มพิศดวงหน้าหล่อน “เออ เชื่อแล้วจะเป็นยังไง เชื่อแล้วก็จะไปมีความทุกข์อย่างเขา สมัยนี้พวกนี้มีความทุกข์ เพราะความโลภความหลงของเขาเอง”

“อื้อ” ฉอ้อนทำเสียงพิศวง “ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นคะ”

“ก็บรรพบุรษเขาสบายมามากแล้ว สบายเกินไป” สามีหล่อนตอบ

“เอ ก็เราล่ะ ฉอ้อนว่าฉอ้อนไม่เคยลำบากเลย” ฉอ้อนปรารภซื่อๆ “แล้วก็ไม่ค่อยได้ยินว่าปู่ย่าตายายลำบากยังไง”

สามีของหล่อนยิ้มอย่างอารมณ์ดี เขาไม่สนใจที่จะโต้ตอบกับหล่อนในขณะนั้น เข้าห้องน้ำและแต่งกายเพื่อจะไปสโมสร เขาชวนหล่อนให้ไปด้วย แต่ฉอ้อนขอตัว เพราะลูกคนเล็กตัวร้อนหน่อยๆ และจะเขียนจดหมายไปบ้าน

ระหว่างที่ฉอ้อนรอจดหมายตอบจากบ้าน ก็ได้รับจดหมายจากเฌอสวนกันกับของหล่อน เฌอเขียน

“พี่ที่รัก

ฉันว่าจะเขียนจดหมายถึงพี่ตั้งนาน แต่คิดๆ อยู่เรื่อย ไม่รู้จะเขียนอย่างไรดี พี่จ๊ะ “ท่าน” ทำพินัยกรรมให้ฉันไว้หลายพันบาท สำหรับให้เรียนหมอ ฉันไปหาท่านบ่อยๆ ตอนก่อนท่านจะเสียนี่ ฉันคิดถึงพี่ขึ้นมาก็ไปหาท่าน ไม่รู้เป็นไง ไปทีไรท่านก็พูดถึงพี่ ก็เลยไปหาท่าน ได้ฟังท่าน แล้วท่านเล่าเรื่องอะไรแปลกๆ ให้ฟังด้วย เช่นเรื่องในวังตอนท่านเป็นสาว ฟังก็รู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง พี่ แล้ววันหนึ่งท่านถาม เฌอโตขึ้นอยากเป็นอะไรฉันบอกท่านว่าแต่ก่อนฉันอยากเป็นทหารแต่ตั้งแต่ทหารเมืองเพชรถูกจับหมด ฉันเลยไม่อยากอีกแล้ว ท่านถามว่าอยากเป็นหมอไหม ฉันก็บอกว่า คุณหมอไชยบอกว่าเสียเวลานานและเสียเงินมาก พ่อจะมิให้เรียนไหมก็ไม่รู้ ท่านบอกว่าไม่เป็นไร ถ้าตอนชั้นเจ็ดชั้นแปดนี่ ไปเรียนโรงเรียนดีๆ ที่กรุงเทพฯ แล้วสอบเข้าหมอได้ ถ้าท่านไม่ตายเสีย ท่านก็จะช่วยให้เรียนจนจบ แล้วพอท่านตายฉันก็เลยไม่ได้เล่าให้ใครฟัง แต่เมื่อสองสามวันนี้ คุณจำแลง พี่ชายคุณจำลองเขามาจัดการมรดกท่าน ทรัพย์สมบัติท่าน ใครๆ นึกว่าท่านจะให้คุณแต๋วคุณแจ๋ว แต่ท่านไปให้คุณจำลองมากที่สุด นอกนั้นให้คนละนิดละหน่อย แล้วคุณจำแลง พี่เคยรู้จักไหมไม่รู้ บอกว่าท่านเขียนจดหมายถึงคุณจำลองไว้ เวลานี้คุณจำลองอยู่ที่คุกบางขวางจ้ะพี่ คุณจำแลงมาทำธุระแทน คุณจำแลงบอกว่า ท่านสั่งให้เก็บเงินจากนาของท่านที่หลังเขาวังไว้ให้ฉันไปเรียนหมอ แต่พ่อบอกว่าไม่เอาหรอก พ่อมีพอจะให้ลูกผู้ชายคนเดียว ทีแรกพ่อกลุ้มใจเรื่องฉันอยากเป็นทหาร แต่พอบอกจะเป็นหมอพ่อดีใจมาก แต่คุณจำลองบอกว่า ไม่เอาแล้วจะให้ใคร ท่านสั่งไว้ให้ฉัน ทำไมพ่อจะมาบอกไม่เอา เลยตกลงจะใส่แบงค์ไว้ก่อน พี่จ้ะ แล้วเรื่องจะไปเรียนต่อกรุงเทพฯ ฉันจะไปเรียนที่ไหนดี อาจารย์ที่โรงเรียนบอกให้ไปต่อโรงเรียนคริสเตียน เพราะสอนเหมือนกับโรงเรียน แต่บางคนก็ว่าโรงเรียนฝรั่งสอนคำนวณไม่เก่ง เดี๋ยวจะสอบเข้าหมอไมได้ ไม่รู้จะเชื่อใคร พี่จะว่าไงพี่ แล้วจะอยู่ที่ไหน พ่อบอกให้อยู่บ้านคุณแจ๋ว แต่บอกว่าต้องให้ฟี่ฝาก พ่อพูดแล้วถ้าคุณแจ๋วไม่ถูกใจ พ่อก็จะเสีย ทำไมอย่างนั้นจ๊ะ ตกลงฉันก็เลยเขียนมาถามพี่ พี่รีบตอบนะพี่

ชะเอมและฉันคิดถึงพี่มาก ที่บ้านท่านก็ถามถึงพี่กันทุกคน พี่พะนานระนาดเอกก็ถามถึงพี่เรื่อย พี่พะนานน่ะ เขาเคยขอให้ฉันเอาจดหมายให้พี่เหมือนกัน แต่ฉันเข้ากับคุณวิทูร ไม่งั้นพี่อาจจะชอบเขาก็ได้ แต่ฉันว่าพี่พะนานน่ะสวยพระเอกยี่เก คุณวิทูรพระเอกหนัง นานมาแล้วก็เลยเล่าให้พี่ฟัง

จากน้องที่รักของพี่

เฌอ ศิลปชาญ”

ฉอ้อนยิ้มตลอดเวลาที่อ่านจดหมายน้อง แล้วก็มีน้ำตาไหลไปด้วยพร้อมกัน โถ ท่านรักฉอ้อนนั่นเอง จึงได้ช่วยเหลือไปถึงเฌอ เฌอของพี่ พี่อยากให้เฌอเป็นทหาร เป็นหมอ เป็นอะไรที่เฌออยากเป็น เมื่อคิดมาถึงตอนนี้ ความคิดถึงบิดามารดาและญาติมิตรเก่าๆ ทำให้ฉอ้อนซบหน้าลงร้องไห้กับที่นอน ซึ่งหล่อนได้ถือเป็นที่นั่งอ่านจดหมาย

เมื่อสามีกลับมาบ้าน ฉอ้อนก็ส่งจดหมายจากน้องชายให้เขาอ่านทันที เขาอ่านแล้วก็ตรึกตรองอยู่ครู่ใหญ่แล้วเขากล่าวว่า

“ทำไมจะไปเที่ยวอาศัยคนอื่น ทำไมถ้าเฌอจะเข้ามาเรียนกรุงเทพ ทำไมไม่อยู่บ้านพี่น้องเรา”

“บ้านพี่น้องเราที่ไหนล่ะคะ” ฉอ้อนถาม “เราอยู่กันไกลๆ ทั้งนั้น”

“ก็ให้อยู่บ้านอาผ่อง” วิทูรตอบ “ข้ามฟากมาซังฮี้ แล้วจะไปไหนก็ได้ แต่อยู่โรงเรียนคริสเตียนก็ไกลไปควรจะให้เข้าเทพศิรินทร์หรือสวนกุหลาบ ทำไมจะต้องไปอยู่โรงเรียนฝรั่ง อยู่บ้านนอกก็ตามที โรงเรียนรัฐบาลไม่ค่อยดี อยู่กรุงเทพฯ โรงเรียนดีๆ ก็ต้องโรงเรียนรัฐบาล”

ฉอ้อนไม่กล้าโต้เถียงเพราะไม่มีความรู้พอ หล่อนปรารภว่า “เฌอไม่คุ้นเคย จะยอมหรือไม่ยอมก็ไม่รู้ส่วนที่บ้านคุณแจ๋วน่ะ เขารู้จัก”

“ไปอยู่อย่างงั้นก็ต้องไปอยู่อย่างบ่าวเขา” วิทูรว่า “เขาจะมาเห็นอะไรกับเราถึงเพียงนั้น ถ้าไปสองสามวันก็อย่างหนึ่ง อยู่เป็นปีๆ เขาจะเลี้ยงเป็นลูกเป็นหลานได้รึ ไม่ได้เป็นอะไรกับเขา ราวกับพี่น้องของเราไม่มี”

ฉอ้อนรู้สึกจนต่อเหตุผล ยังไม่ทันตอบ วิทูรก็พูดต่อไป

“เรื่องเด็กยอมไม่ยอมนี่มันแล้วแต่ผู้ใหญ่ เด็กไม่ยอมผู้ใหญ่ก็ต้องทำให้ยอม”

ฉอ้อนยังครุ่นคิดข้อนี้ สามีของหล่อนก็กล่าวต่อไป

“ระวังนะ เฌอนี่พี่สาวจะทำให้เสีย คอยแต่เอาใจกันไปทุกอย่าง อย่างนี้น่าจะให้เป็นทหาร อยู่ในระเบียบวินัยเสียบ้างก็จะดี”

“เฌอน่ะไม่เคยขัดคำสั่งผู้ใหญ่เลยนะ จนกระทั่งคุณน่ะแหละไปติดสินบนเด็กให้ถือจดหมายให้คุณ” ฉอ้อนว่า

วิทูรหัวเราะหึๆ “แปลว่าวินัยไม่เข้มแข็งละซี พอคนมาติดสินบนก็ไปเลย”

ฉอ้อนไม่แน่ใจว่าจะโต้เถียงเขาอย่างไร จึงนิ่งคิดสักประเดี๋ยวก็กล่าวว่า “เห็นจะต้องพ่อแม่ตัดสิน เราบอกเขาไปอย่างคุณว่านี่”

“มันสำคัญที่วิธีบอก บอกให้ฟังอย่างไร ฉอ้อนเขียนจดหมายแล้วเอามาให้พี่ดูนะ” เขากำชับ

ฉอ้อนเขียนจดหมายพยายามวางตัวเป็นกลางบอกข้อเสนอแนะของวิทูรไปอย่างไปลำเอียง ทั้งที่ใจของตนค่อนไปข้างจะให้น้องอยู่กับคุณแจ๋ว ในที่สุดหล่อนก็ได้รับจดหมายจากเฌออีกฉบับหนึ่งตอบมาว่า ขอให้วิทูรจัดการให้เขาไปอาศัยบ้านญาติของวิทูร เหตุที่ตัดสินใจเช่นนี้ก็เพราะเกรงใจทางบ้านคุณแจ๋ว และเกรงใจวิทูรไม่อยากให้ฉอ้อนและวิทูรขัดใจกัน

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ