บทที่ ๖

การตระเตรียมงานสมรสของฉอ้อนและนายร้อยโทวิทูร ดำเนินไปอย่างไม่รีบเร่งและไม่ชักช้า (เขาได้เลื่อนยศเมื่อเดือนเมษายนต้นปีนั้น) ฝ่ายบิดามารดาของวิทูรเป็นคนกำหนดการแต่งงานในเดือนพฤศจิกายนเพราะใคร่จะให้ลูกชายคนใหญ่ได้แต่งงานก่อนน้องชายประมาณ ๑ ปี น้องชายคนรองของวิทูรจะบวชก่อนแล้วจึงจะแต่งงาน ส่วนวิทูรแจ้งแก่บิดามารดาว่ายังไม่เกิดศรัทธาที่จะบวช ถึงแม้ว่ามารดาจะเสียใจมากในข้อนี้ ก็ไม่ทัดทานในเรื่องที่จะแต่งงาน ตั้งแต่แรกพบ ฉอ้อนรู้สึกว่ามารดาของคู่หมั้นเป็นคนมีสติปัญญา แววตาฉลาดเหมือนกับลูกสาวและลูกชาย ส่วนบิดา มีบรรดาศักดิ์เป็น ขุนเทพศาสตร์ เคยเป็นทหารแต่ออกจากราชการเพราะทุพพลภาพ ไม่ค่อยมีบทบาทในครอบครัวนัก พี่สาวของวิทูรนั้น เป็นภรรยาผู้มีอันจะกินคนหนึ่งในย่านบางซ่อน อาชีพก็คือทำสวนผลไม้เหมือนกับบรรพบุรุษ แต่ยังมีธุรกิจการเดินเรือประจำทาง ซึ่งเวลานั้นเรียกว่าเรือเมล์ด้วย ทั้งมารดาและพี่สาวของวิทูรมีความพอใจในตัวฉอ้อน ได้ให้ความเป็นมิตรตลอดชีวิตสมรสของหล่อน

พิธีการสมรสทั้งหมดจะต้องกระทำที่บ้าน “ท่าน” ทั้งนี้มิใช่ว่าบ้านของฉอ้อนคับแคบ แต่เป็นเพราะวิทูรต้องการให้เป็นเช่นนั้น และเกรินเป็นคนนำความคิดมายังญาติผู้ใหญ่ของเขา “ท่าน” ดูเหมือนจะอยากแต่งงานให้ฉอ้อนอยู่แล้ว พอได้ยินคำปรารภจากญาติผู้น้อย ก็ตกลงง่ายๆ และเมื่อเกรินนำความปรารภนั้นไปยังบิดามารดาของฉอ้อน ทั้งสองก็แสดงความยินดีเห็นด้วยทันที ทำให้บิดามารดาของวิทูรยิ่งพอใจในลูกสะใภ้มากขึ้น สิ่งที่ต้องตระเตรียมเป็นสิ่งแรกก็คือเครื่องเรือน มีเตียง โต๊ะ เก้าอี้ ที่จะต้องมีไว้ใช้ที่บ้านพักในเขตกองพันทหารที่จังหวัดเพชรบุรี ข้อนี้ก็ไม่ยาก เมื่อมีเงินก็จัดหาซื้อมาได้ ในเมื่อหมื่นชำนาญมิได้เรียกร้องเอาสินสอดทองหมั้นมากนัก เพราะ “ท่าน” ว่า ในกรุงเทพฯ เขาไม่ค่อยเรียกกันแล้ว ทางฝ่ายชายจึงเป็นฝ่ายจัดหาเครื่องเรือนด้วยความเต็มใจ

ต่อไปก็ถึงเครื่องแต่งตัวของฉอ้อน มีปัญหาว่าจะแต่งตัวอย่างไรสำหรับพิธีรดน้ำ “ท่าน” บอกว่าไม่สามารถให้ความช่วยเหลือได้ ในระยะนั้นเกิดความนิยมแต่งกายสีขาวเหมือนชาวยุโรปแต่งงาน และมีการสวมเสื้อยาวเหมือนชาวยุโรปด้วย แต่เรื่องนี้ฉอ้อนตัดสินใจได้เร็วเมื่อได้รับจดหมายจากคุณแจ๋ว มีข้อความว่า

“ฉอ้อนที่รัก

ฉันได้ทราบว่าฉอ้อนจะแต่งงาน แหมเสียใจจนพูดไม่ถูก ทีหลังฉันจะไปเมืองเพชรเวสาโรงเรียนปิด ก็จะอยู่สองสามวัน อยู่นานๆ ไมได้ ไม่สนุก ฉันไปอยู่เมืองเพชรเพื่อจะเล่นกับฉอ้อนต่างหาก เวลาหัดทำกับข้าวหรือทำดอกไม้ ถ้าไม่มีฉอ้อน ฉันจะสนุกอย่างไร ขี้เกียจจะตาย ที่ฉันยอมหัดอะไรๆ เพราะมันสนุกกับฉอ้อนต่างหาก โธ่ ฉอ้อน ทำไมแต่งงานเร็วนักเล่า ทำไมไม่รอสักสองสามปี แต่ก็ไม่มีประโยชน์ คุณเกรินเขาเข้ามากรุงเทพฯ เขาบอกว่าฉอ้อนรักคุณวิทูร ฉันช่างจำเขาไม่ได้เลย จำได้แต่มีนายทหารหนุ่มหน้าโก้ๆ อยู่คนหนึ่งที่บ้านคุณป้าคืนวันที่เราต้องทำกับข้าวเลี้ยงแขก เขารู้ว่ามีคนชื่อแจ๋วมีชีวิตอยู่ไหม

อ้อ ฉอ้อนที่รัก คุณเกรินเขาว่า ฉอ้อนกลุ้มใจไม่รู้จะแต่งตัวยังไง เรื่องนี้ฉันขอบอกได้แน่นอน อย่าไปริแต่งแหม่มเข้าเป็นอันขาดนะ ฉันเคยเห็นเจ้าสาวที่ทำฝรั่งแล้ว ใส่สีขาวบ้างอะไรบ้าง เปิ่นที่สุด ฉอ้อนแต่งนุ่งผ้าซิ่นส่วยๆ ใส่เสื้อสีเรียบๆ ที่กรุงเทพฯ นี่เขานิยมสีอ่อนๆ ฟ้า ชมพู อะไรอย่างนั้น ฉอ้อนแต่งสีชมพูซิ ฉอ้อนใสสีชมพูแล้วสวยออก ลามากรุงเทพฯ สักวันสองวันได้ไหมล่ะ มาที่บ้านฉันแล้วเรสไปซื้อกันนะ นะ ฉอ้อนนะ รู้ไหมจดหมายฉบับนี้ฉันฉีกทิ้งแล้ว แล้วไปเก็บมาเขียนใหม่ มันอยากพูดอย่างนี้กับฉอ้อนนี่ ไม่รู้จะทำยังไง

รักและคิดถึงอย่างไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร

แจ๋ว”

ฉอ้อนพยายามกะกำหนดวันสอนและหน้าที่ต่างๆ แล้วก็ขออนุญาตอาจารย์ใหญ่ไปกรุงเทพฯ สามวัน คือลาครึ่งวัน วันศุกร์ วันเสาร์ครึ่งวัน วันอาทิตย์ไม่ต้องลาและขอกลับเย็นวันจันทร์ โดยอาจารย์ใหญ่จัดครูแทนฉอ้อนโดยไม่อิดออด ถึงแม้ว่าครูและอาจารย์แหม่มและอาจารย์ฝรั่งจะแสดงความห่วงใยในข้อที่ฉอ้อนจะแต่งงานตั้งแต่อายุยังเยาว์ แต่ทุกคนได้ให้ความช่วยเหลือทุกอย่างที่จะช่วยได้ และได้ตกลงกันระหว่างฉอ้อนกับทางโรงเรียนว่าฉอ้อนจะสอนต่อไปอย่างน้อยจนถึงปลายปีการศึกษา ดังนั้นการที่ฉอ้อนจะไปเตรียมหาเครื่องแต่งตัวสำหรับพิธีสมรสที่กรุงเทพฯ จึงพบแต่ความเห็นอกเห็นใจทั้งทางบ้านและทางโรงเรียน

ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ฉอ้อนจะไปที่บ้านคุณแจ๋ว และจะได้ค้างอยู่ที่นั่นถึงสามคืน ฉอ้อนตื่นเต้นเรื่องนี้จนเกือบไม่ได้ยินคุณวิทูรนัดว่าจะไปพบที่ไหนในเวลาใด คุณวิทูรบอกว่าที่กรุงเทพฯ คู่หมั้นเขาไปเที่ยวกันได้สองคน คุณวิทูรจะพาฉอ้อนไปดูหนังพูดได้ที่โรงเปิดใหม่ๆ ในกรุงเทพฯ ฉอ้อนฟังบ้างไม่ฟังบ้าง

ถึงเวลาขึ้นรถไฟ ป้าจ่าง ต้นห้องของ “ท่าน” ก็พาฉอ้อนไปสถานี คุณวิทูรกับคุณเกรินก็ขึ้นรถไฟไปด้วยแต่ไม่ได้นั่งที่ใกล้กัน ป้าจ่างพาฉอ้อนไปหาที่นั่งตรงข้ามจีนสองคน ซึ่งพูดไทยไม่ได้ มิไยคุณวิทูรกับคุณเกรินจะพยายามสื่อสารด้วยวิธีใด สองคนนั้นก็ไม่ยอมขยับเขยื้อนและป้าจ่างไม่ยอมเปลี่ยนที่นั่ง วิทูรและเกรินจึงต้องมายืนเกาะพนักที่นั่งของจีนสองคนเพื่อจะคุยกับฉอ้อน คุณวิทูรพูดภาษาอังกฤษแก่คุณเกรินว่า อยากให้ป้าจ่างตกรถไฟเสีย ทำให้คุณเกรินยิ้มออกมานิดหนึ่งแล้วก็วางหน้าเฉย

“คุณเกรินนี่เขาทนฉันพูดฝรั่งไม่ได้” วิทูรบอกแก่คู่หมั้น “แต่เขาไม่พูดออกมาตรงๆ เขาทำยิ้มๆ อย่างงี้เสมอ”

ฉอ้อนรู้ว่าทำไมคุณเกรินถึงทนไม่ค่อยได้ เพราะคุณวิทูรพูดไม่ชัดสักคำ อย่างน้อยไม่ชัดอย่างที่ฉอ้อนเรียนมากับอาจารย์ของฉอ้อน แต่ฉอ้อนเคยได้ยินจากคุณแป๋วว่าสำเนียงของอาจารย์ของฉอ้อนเป็นสำเนียงอเมริกัน ซึ่งเป็นสำเนียงไม่เพราะ ฉอ้อนจึงนิ่งไม่กล้าออกความเห็นอะไร

“ไม่ได้ยิ้มเพราะทนไม่ได้สักที” เกรินแก้ “ผมยิ้มเพราะเรื่องที่พูด เพราะเราพูดฝรั่งกันทีไร ก็พูดเรื่องจำเป็น ถ้าไม่งั้นก็ไม่พูด”

“เออ อย่าส่งภาษานินทาอิฉันกันนะ” ป้าจ่างพูดขึ้นทันที “คุณๆที่บ้านละตัวดี พอไม่อยากให้เรารู้อะไรละ เป็นส่งภาษากันเชียว ฉันทำตามคำสั่ง “ท่าน” นะ ไม่ว่าอะไรๆ”

ทั้งหนุ่มสาวหัวเราะขึ้นพร้อมกัน ฉอ้อนหัวเราะเบาๆ แต่นานกว่าคนอื่น เพราะไม่คิดว่าป้าจ่างจะรู้เท่าทันคนถึงเพียงนั้น เกรินก็หัวเราะอยู่นานหลังจากที่วิทูรเงียบไปแล้ว

“ไม่ใช่” พอหยุดหัวเราะได้เกรินพูดต่อ “คนไทยพูดฝรั่งนี่ มันเสียงไปกันคนละอย่าง พวกที่เรียนโรงเรียนไทยอย่างวิทูรก็ออกเสียงพิลึกไปอย่าง อย่างผมเรียนที่อัสสัมชัญก็ออกแปลกไปอย่างหนึ่ง นักเรียนนอกเขาหัวเราะเราทุกคน”

“อวดดีฉิบหาย” วิทูรออกเสียงอย่างกร้าวทันที “ไอ้นายมนูงี้ ผมเกลียดหน้าจังเลย”

“ไปเกลียดมันทำไม้” เกรินค้าน “ขันดี แล้วเราก็ได้ความรู้จากเขามาก”

“เฮ่ย” วิทูรขัด “ไม่เห็นจะได้อะไรจากมันนอกจากเรื่องเที่ยวไปเมืองโน้นเมืองนี้ วิชาทหารไม่เห็นขยายเลย”

เกรินมองดูเพื่อนแวบหนึ่ง แล้วในสีหน้าของเขาก็ปรากฏความไม่อยากขัดคอ อาจเป็นเพราะสถานที่และโอกาสไม่เหมาะสำหรับจะโต้เถียง เขาพูดขึ้นว่า

“ล่าทัพดีไหมเรา ไม่รู้จะทำยังไงให้เจ้าสองคนนี่ลุกไปได้” หมายถึงจีนที่นั่งตรงข้ามฉอ้อนและป้าจ่าง “แล้วป้าจ่างก็ไม่ยอมเปลี่ยนที่ไปนั่งทางโน้น”

วิทูรพยักหน้าและเดินไปยังที่นั่ง เขาไปนั่งคุยกันอยู่สักครู่ แล้วไม่นานวิทูรก็มายืนใกล้ที่นั่งฉอ้อน ต้องเวียนลุกเวียนนั่งอยู่สองสามคราว จนเห็นว่าไม่สามารถจะทำให้ป้าจ่างเปลี่ยนความคิดได้ และฉอ้อนก็ไม่ยอมลุกไปจากที่นั่งใกล้ป้าจ่าง วิทูรจึงชวนเกรินไปยังห้องที่นั่งชั้นสอง ซึ่งเขาต้องไปนั่งตามฐานะนายทหาร

รถไฟขบวนที่ฉอ้อนโดยสาร กินเวลาเดินระหว่างเพชรบุรีกับกรุงเทพฯ ประมาณ ๕ ชั่วโมง ฉอ้อนรู้สึกอัดใจและขัดใจ ในเมื่อได้ดูทิวทัศน์ข้างทางและอ่านหนังสือจนเบื่อแล้ว ชักขัดใจป้าจ่างขึ้นมาครันๆ พอรู้สึกกระวนกระวายนิดหน่อย เกรินกับวิทูรก็กลับมาหาหล่อนอีก

“นี่” เกรินพูดขึ้นภายหลังที่มายืนอยู่ใกล้ๆ ฉอ้อน “เราโง่เหลือเกิน ทำไมปล่อยให้ป้าจ่างแกตีตั๋วชั้น ๓ ให้ฉอ้อน ทำไมฉันไม่จัดการตีตั๋วชั้นสองให้ทั้งสี่คน ก็จะหมดปัญหา คนเรานี่เวลาทึบ มันช่างทึบสิ้นดี ทำให้ฉันจำจนตายคราวนี้ ว่าในตัวยังมีอะไรโง่แสนโง่อยู่อีกมาก” คุณเกรินพูดอย่างนั้นได้ เพราะป้าจ่างกำลังหลับสบาย และฉอ้อนหมายเหตุในใจว่า เขาไม่ใช้สรรพนาม ผมคุณ แต่พูดกับฉอ้อนเหมือนพูดกับน้องสาว

“ไปที่ห้องชั้นสองเถอะน่ะ ฉอ้อน” วิทูรคะยั้นคะยอ

“อย่าเลยค่ะ” ฉอ้อนปฏิเสธอย่างนุ่มนวล “เดี๋ยวจะเกิดอ่านกันเป็นอย่างอื่น”

“ทำไมหัวดื้ออย่างนี้นะ” วิทูรบ่น “ประเดี๋ยวก็ดูหัวอ่อน ประเดี๋ยวก็ดื๊อดื้อ”

“เขาดื้อกับคุณ สำหรับฝึกหัดคุณ รู้ไหม” เกรินว่า

วิทูรยืนถอนใจใหญ่ ในขณะนั้นผู้โดยสารที่นั่งอยู่คนละฟากรถกับฉอ้อนในแถวเดียวกัน พากันเดินออกไปที่ประตูรถ เตรียมจะลง ณ สถานีที่กำลังจะถึง วิทูรทำเสียงโล่งใจดังเฮอแล้วก็รีบนั่งที่ตรงใกล้ทางเดินกลางคันรถ เขาเอื้อมมือไปดึงชายเสื้อเกรินให้ไปนั่งใกล้หน้าต่าง เกรินนิ่งอยู่อึดใจหนึ่งแล้วก็ว่า

“คุณหาที่นั่งได้แล้วก็นั่งเถอะ ผมจะไปอ่านหนังสือละ” เขายิ้มกับฉอ้อนนิดหนึ่งแล้วก็เดินไปยังรถชั้นที่สอง

ต่อจากนั้น การเดินทางก็ไม่น่าเบื่อ ฉอ้อนกับวิทูรมีเรื่องคุยกันตลอดทาง แม้ไม่มีเรื่องก็นั่งยิ้มมองกันและกัน จนกว่าจะหาเรื่องพูดได้ใหม่ จนถึงสถานีหัวลำโพงฉอ้อนจึงนึกขึ้นได้ว่า หล่อนควรจะเตือนวิทูรให้ไปคุยกับคุณเกรินบ้าง หรือไปเรียนคุณเกรินมาคุยบ้าง

เกรินเป็นคนเรียกรถเช่าให้พาเพื่อน คู่หมั้นของเพื่อน ตัวเขาและคนใช้เก่าของตระกูลไปยังบ้านของญาติของเขา ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสถานีนัก คืออยู่ที่ถนนสีลม รถแล่น ๗ นาทีก็ถึง ผ่านถนนที่ฉอ้อนคิดว่าจอแจนัก เมื่อถึงบ้านรถแล่นเข้าไปจอดที่หน้าตึก แต่รถยังไม่ทันจอดสนิท ก็มีเสียงโครมคราม คุณแจ๋วมายืนเต้นอยู่บนขั้นบันไดล่างและตรงเข้าเปิดประตูรถ พลางออกเสียงดังว่า

“โมโห โมโห วันนี้ไม่มีรถ แจ๋วจะไปรับคุณเกรินกับฉอ้อนก็ไม่ได้ไป” ทันใดสายตาไปประสานกับของร้อยโทวิทูร คุณแจ๋วหันไปแอบแลบลิ้นให้คุณเกรินแล้วก็ทำตัวให้สงบเสงี่ยมลง ค่อยๆ ดึงมือฉอ้อนลงจากรถแทนที่จะฉุดอย่างแรง

“คุณลุงคุณป้าอยู่ที่ไหน คุณแจ๋ว” คุณเกรินถาม

“ไปงานศพยังไม่กลับ ถึงได้ไม่มีรถยังไงล่ะ” คุณแจ๋วตอบ “นี่ คุณเกริน คุณแม่ท่านจะให้คุณเกรินค้างที่นี่นะ”

“มันเรื่องอะไรกันล่ะ” เกรินกล่าวย้อน “คุณวิทูรเขามีธุระ เขาจะให้ฉันช่วยหลายอย่างเหมือนกัน แล้วนานๆ จะเข้ากรุง มาเที่ยวค้างเสียที่ไหนจะได้โดนดี”

“โธ่ โง่จังเลย” คุณแจ๋วว่า “ก็จะได้สะดวกกับทุกคนไงล่ะ เขาทำทางไว้ให้แล้วละสำหรับที่บ้านโน้น”

“ฮึ ไม่เอาละ” คุณเกรินปฏิเสธ “ไม่ต้องห่วงหรอก เรื่องไปมาหาสู่ ฉันก็มีตำราพิชัยสงครามเหมือนกันนะ”

ฉอ้อนเข้าใจดีว่าคุณแจ๋วกับคุณเกรินหมายถึงความไปมาหาสู่ระหว่างหล่อนกับคุณวิทูร แต่ฉอ้อนชินกับการเป็นคู่หมั้นของนายร้อยโทหนุ่มเสียแล้ว ไม่รู้สึกกระดากมากนัก แต่ก็ยินดีที่คุณแต๋วโผล่ออกมาจากข้างในตึก และทักทายคุณเกรินและฉอ้อน

“เชิญเข้ามาข้างในซิคะ” คุณแต๋วทำหน้าที่แม่บ้าน “อ้อ แม่จ่างมาเป็นแชบเปอรอน เชิญค่ะ คุณ” คุณแต๋วทำทีเป็นผู้ใหญ่กว่าวิทูร และเชื้อเชิญอย่างไม่เก้อเขิน

“เอ้า นี่ คุณแจ๋ว” คุณเกรินร้องเรียกเสียงดุๆ ในเมื่อเห็นคุณแจ๋วฉุดแขนฉอ้อนจะให้ขึ้นไปชั้นบน “เดี๋ยวขอนัดแนะกันเสียก่อน พรุ่งนี้จะอยู่บ้านเวลาไหน จะไปซื้อข้าวซื้อของกันเวลาไหน จะได้มาหาให้ถูกเวลา”

“เออ นัดลำบากค่ะ” คุณแต๋วตอบแทนน้องสาว “มันแล้วแต่ว่าคุณพ่อคุณแม่จะใช้รถเวลาไหน เราจะใช้ได้เวลาไหน เพราะการไปซื้อของนี่มันต้องใช้รถบ้าน ไปรถรางหรือแท็กซี่ไม่ได้ โทรศัพท์มาซิคะ ที่นี่มีโทรศัพท์นี่นา”

“แต่ว่าบ้านผมไม่มีนี่นา” คุณเกรินแย้ง “แล้วบ้านวิทูรก็ไม่มี เอาเป็นว่าเช้าสองโมงครึ่งจะมา อย่าเพ่อออกไปเสียก่อนนะ”

“มาก่อนนั้นหน่อยไม่ได้หรือคะ จะทำอาหารเช้าเลี้ยง” คุณแจ๋วเสนอแนะ “มาเถอะน่าคุณเกริน เอ้อ เชิญคุณวิทูรด้วยค่ะ”

“ขอบคุณครับ” วิทูรพูดเป็นคำแรกตั้งแต่เข้ามาในบ้าน คุณแจ๋วมองเขาอย่างสนใจ แล้วก็หันไปมองหน้าคุณเกริน

“เอาเป็นอาหารกลางวันดีกว่ากระมั้ง ถึงไงเราก็มากินข้าวบ้าน” คุณแต๋วเสนอบ้าง

“โธ่ พี่แต๋ว แล้วเผื่อเราซื้อของไม่เสร็จ ก็ต้องรีบๆ ละซิ” คุณแจ๋วคัดค้านข้อเสนอของพี่สาว

“เรื่องอาหารอย่าเพ่อเอาแน่เลย คุณวิทูรเขาก็อาจถูกคุณพ่อคุณแม่เขานัดอะไร ผมก็อาจถูกนัดทางบ้านเหมือนกัน แต่เช้าประมาณสองโมงครึ่งเป็นมาถึง อย่าออกไปก่อนนะ” คุณเกรินตัดสิน

สองหนุ่มร่ำลาเจ้าของบ้าน แล้วก็เดินออกจากประตูไป ฉอ้อนตกอยู่ในอำนาจของคุณแจ๋วอย่างเด็ดขาดนับแต่นาทีนั้น คุณแจ๋วไม่รั้งรอ ฉุดฉอ้อนขึ้นชั้นบนและพาไปยังห้องส่วนตัวของตน

“โธ่ ยังจะต้องคุมมาอีกนะ” คุณแจ๋วพูดอย่างบ่นทันทีที่พาฉอ้อนไปในห้องนอนของตนแล้ว

“ใครคะ” ฉอ้อนถาม

“ก็จะใครเสียอีกล่ะ คู่หมั้นฉอ้อนน่ะซิ” คุณแจ๋วตอบ “ฉันจะไม่ยอมให้เขามาแย่งฉันระหว่างสองวันนี้นะ ต่อไปก็จะอยู่กันจำเจ ขี้คร้านไม่ถึงสองเดือนก็เบื่อ ตอนนี้ฉันได้ตัวฉอ้อนมาสองวัน ฉันจะเอาไว้กับฉันเรื่อย”

ฉอ้อนหัวเราะเบาๆ “แล้วไงไปคะยั้นคะยอให้เขามากินอาหารเช้าล่ะคะ” หล่อนถาม

“นั้นมันความเคยตัวมารยาทเจ้าของบ้าน” คุณแจ๋วตอบ “ไม่เอาละ ทีนี้ต้องไม่เผลอ คอยดูซิ”

คุณแจ๋วเข้ารื้อกระเป๋าเสื้อผ้าของฉอ้อน ฉอ้อนนำเสื้อไปสองชุดเท่านั้นสำหรับที่จะผลัดเปลี่ยน จึงระลึกได้ว่าอยากจะซักเสื้อที่สวมเดินทางมาทันที

“ห้องน้ำอยู่ไหนคะ คุณแจ๋ว ฉอ้อนต้องไม่ลืมซักเสื้อ” ฉอ้อนเอ่ยขึ้น

“ไม่เอา ไม่เอา คนซักเขามี” คุณแจ๋วปฏิเสธเด็ดขาดโดยไม่รั้งรอ “แหม ว่าแต่เอาเสื้อใส่กระเป๋าใบเล็กกะจิ๊ดมา ยับราวกับอะไรดี คืนนี้จะใส่ตัวไหน นุ่งผ้าผืนไหนนี่ เตารีดเขาก็คงดับเสียแล้ว มิต้องนุ่งยับๆ รึ”

ฉอ้อนไม่ได้คิดว่าในคืนที่มาถึงจะต้องมีการแต่งตัวสวยงามแค่ไหน หยิบเสื้อสำหรับผลัดอยู่กับบ้านขึ้นมาจากกระเป๋าพลางพูด

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ใส่ยับๆ ก็ได้”

“ไม่เอาละ พี่อ้นเขาจะได้มายิ้มเยาะ” คุณแจ๋วว่า “นี่ นึกออกแล้ว ของฉันฉอ้อนก็ใส่ไม่ได้ ฉันจะไปหามาให้ แม่สอิ้งแกตัวเล็กๆ เท่ากับฉอ้อน แล้วแกมีเสื้ออยู่กับบ้านสวยๆ แยะ” พูดจบคุณแจ๋วก็ออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว อย่างที่เรียกว่า “ปรู๊ด”

ฉอ้อนอยู่ในห้องคนเดียว ไม่รู้จะทำอะไร จึงได้แต่เดินไปรอบๆ ห้อง แล้วก็ไปยืนโผล่หน้าต่างดูออกไปภายนอกห้องคุณแจ๋วอยู่ทางด้านหลังของตึก ฉอ้อนโผล่ออกไปเห็นแสงไฟแวมๆ ไปไกล ไม่รู้ว่าบริเวณบ้านไปสิ้นสุดแค่ไหน หรือแสงไฟอยู่นอกบริเวณบ้านหรืออย่างไร ยังไม่ทันจะคิดอะไรไปได้ไกลนัก ก็ได้ยินเสียงประตูเปิดค่อนข้างแรง แล้วคุณแจ๋วเข้ามา มีหญิงสาววัยเดียวกับฉอ้อนตามหลังเข้ามา ทั้งคุณแจ๋วและหญิงนั้นถือผ้าซิ่นและเสื้อคนละสองสามชุด

“นี่ยายอิ้ง” คุณแจ๋วแนะนำ “นี่ฉอ้อน” ฉอ้อนยกมือไหว้ทันที เพราะเห็นว่าผู้นั้นคือเจ้าของเสื้อที่หล่อนจะถูกเกณฑ์ให้สวม และท่าทางบอกว่ามีอายุแก่กว่าหล่อน “ยายอิ้ง” ปล่อยเสื้อผ้าที่ถือมาหล่นยังพื้นห้อง ยกมือขึ้นรับไหว้พร้อมกับปากร้อง “วั้ย”

“เอ้า ยายอิ้งแกไม่เคยมีใครไหว้แก” คุณแจ๋วอธิบาย “นี่เพื่อนน้า แต่อิ้งก็ดูเหมือนจะแก่กว่า เอามาซิ เอาเสื้อกับผ้าซิ่นมาให้ฉอ้อนลอง”

คุณแจ๋วเอาเสื้อผ้าเข้าทาบกับตัวฉอ้อน แล้วก็ตัดสิน “ชุดนี้และ ยายอิ้งแกดีเรื่องนี้ ช่างมีเสื้อผ้าเสียจริง เย็นนี้ขึ้นมากินข้าวบนตึกนะ”

“ไม่ละค่ะ” สอิ้งปฏิเสธ “ดิฉันรับประทานแล้ว ป่านนี้ กว่าบนนี้จะยกข้าว บางทีดิฉันหลับแล้ว”

คุณแจ๋วพยักหน้าไม่ติดใจคะยั้นคะยอ “ขอยืมน้าไว้นะ สองชุดนั่น เสื้ออย่างนี้มันไม่ต้องเหมาะเจาะแค่ไหน แต่ว่าชุดที่ฉอ้อนเอามาน่ะ ไม่ได้หรอก มันอยู่กับบ้านจริงจริ๊งจริงจริง พี่อ้นป่านนี้เขาเชิญแขกมากี่คนก็ไม่รู้แล้ว”

ฉอ้อนคอยเวลาที่จะได้ไปรับประทานอาหารเย็นด้วยความสนใจ ไม่ค่อยได้ยินคุณแจ๋วคุยมากนัก คุณแจ๋วจับตัวฉอ้อนนอนลงบนที่นอนของตัว แล้วคุณแจ๋วก็เดินเก็บของ เอาผ้าเช็ดตัวของฉอ้อนแขวนตรงนั้น เอาผ้าซิ่นและเสื้อแขวนตรงนี้ ปากก็เล่าเรื่องโรงเรียน เพื่อนนักเรียน

เวลาล่วงไปประมาณทุ่มครึ่งหรือ ๑๙.๓๐ นาฬิกา คุณแจ๋วก็เอาเสื้อตัวยาว มีสายคาดเอว ทำด้วยผ้าขนหนูสีเหลืองอ่อนๆ มาคลุมตัวฉอ้อน บอกว่า “เอ้า ใส่เสื้อคลุมเข้า ไปอาบน้ำ ที่ตรงบันได ห้องน้ำอยู่ตรงที่ขึ้นมา”

เมื่อฉอ้อนเดินออกจากห้อง คุณแจ๋วก็เดินตามมา เปิดประตูห้องน้ำให้ฉอ้อนแล้วก็เข้าไปเปิดไฟฟ้า มีแสงสว่างในห้องน้ำพอควรแก่กิจที่ต้องทำในห้องน้ำ แล้วคุณแจ๋วก็ออกไปและหับประตูเข้ามา

ฉอ้อนอาบน้ำเสร็จก็กลับไปที่ห้องคุณแจ๋ว คุณแจ๋วจึงออกไปอาบน้ำบ้าง ฉอ้อนสังเกตว่าคุณแจ๋วสวมเสื้อคลุมยาวตัวที่ให้ฉอ้อนสวม ฉอ้อนแปลกใจมากเมื่อคุณแจ๋วกลับมาภายในเวลาสามนาที แล้วก็แต่งตัวอย่างรวดเร็วเสร็จก่อนฉอ้อน มีเวลาพอที่จะนั่งบอกฉอ้อนให้หวีผมไปทางโน้นทางนี้ ทำให้เสียเวลาในการแต่งตัวของฉอ้อนไปอีกหลายนาที แต่แล้วในที่สุดคุณแจ๋วก็แสดงความพอใจ แล้วก็ชวนฉอ้อนออกจากห้อง พาเดินไปตามระเบียงแล้วไปลงบันไดข้างหน้าตึก ตรงเข้าไปในห้องรับประทานอาหาร

ในห้องนั้นมีคนนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารแล้วสองสามคน บุรุษในมัชฌิมวัยผู้นั่งอยู่ที่หัวโต๊ะคือเจ้าคุณบิดาของคุณแจ๋ว ฉอ้อนรู้ก่อนที่คุณแจ๋วจะผลักฉอ้อนเข้าไปใกล้ท่านและแนะนำให้ท่านรู้จัก ท่านกล่าวคำที่ฉอ้อนไม่เข้าใจ “นี่รึโปรเตเชของคุณพี่กำยาน อือ หน้าตาน่าเอ็นดู” แล้วคุณแจ๋วก็ดึงฉอ้อนพาเข้าไปหาสุภาพสตรีผู้นั่งอยู่บนเก้าอี้ต่อจากเจ้าคุณ และแนะนำว่าคือคุณหญิงมารดาเลี้ยงของคุณแจ๋วด้วยคำพูดว่า “คุณน้าคะ นี่ไงคะฉอ้อน” คุณหญิงพยักหน้าและยิ้มน้อยๆ ต่อจากนั้นคุณแจ๋วก็กวาดตาไปทั่วห้อง พลางก็แนะนำฉอ้อนให้ชายหนุ่มสามคนที่ยืนถือถ้วยแก้วบรรจุเครื่องดื่มสีเหลือง คุณแจ๋วบอกชื่อชายทั้งสาม แต่ฉอ้อนจำไม่ได้ จำได้แต่คนที่คุณแจ๋วเรียก “พี่อ้น” ซึ่งหล่อนมาทราบในภายหลังว่าชื่ออนธกาล เป็นข้าราชการกระทรวงมหาดไทย เข้ามาเยี่ยมบ้านชั่วคราว

ระหว่างที่คุณแจ๋วแนะนำให้ผู้ที่อยู่ในห้องนั้นรู้จักฉอ้อน คุณแต๋วก็เดินเข้ามาในห้อง พาชายหนุ่มคนหนึ่งเข้ามาด้วย พอเห็นเขาฉอ้อนก็ยิ้มด้วยความยินดี เพราะชายผู้นั้นคือคุณเกริน

“อ้อ มาแล้วรึ พ่อทหารชาญชัยไม่เหมือนคน” พี่อ้นทัก “นี่ใครจะยกย่องความชอบฉันบ้าง ฉันเป็นคนไปเอาตัวนายเกรินมา คุณแม่เขาค้อนแล้วค้อนอีกว่าไปชวนลูกเขามาตั้งแต่คืนแรกที่เขามาค้างบ้าน เคราะห์ดีที่คุณน้าหลวงสนับสนุน จะดื่มอะไรวะน้องชาย เบียร์หรือวิสกี้”

“ไม่ครับ กินข้าวบ้าน ผมชอบกินกับน้ำ อยู่หัวเมืองต้องกร่ำเหล้าทุกวี่ทุกวัน”

เจ้าคุณและคุณหญิงเจ้าของบ้านทักทายคุณเกรินด้วยความยินดี แล้วก็มีการจัดที่นั่งกันรอบโต๊ะอาหารคุณแจ๋วดึงฉอ้อนไปนั่งที่ปลายสุดโต๊ะติดกับคุณแจ๋ว ที่ปลายโต๊ะตรงกันข้ามกับที่เจ้าคุณนั่ง มีเก้าอี้ว่างอยู่ตัวหนึ่ง มีการเกี่ยงกันเล็กน้อย แล้วในที่สุดคุณแจ๋วก็ไปดึงมือคุณเกรินให้ลงนั่งบนเก้าอี้นั้น คุณเกรินจึงได้นั่งต่อจากฉอ้อนไม่มีผู้ใดคั่น

การสนทนาที่โต๊ะอาหารในค่ำวันนั้น ยังความประหลาดใจให้ฉอ้อนเป็นล้นพ้น เกือบจะกล่าวได้ว่าหล่อนไม่เข้าใจเสียเก้าสิบเปอร์เซนต์ การสนทนาดำเนินไปในทำนองต่อไปนี้

“เกรินเอ๋ย แกจะอยู่เป็นทหารอย่างนี้ไปอีกกี่วัน กี่เดือน” เจ้าคุณถาม

“คุณพ่อครับ ทำไมไปถามนายเกริน ทำไมไม่ถามผม นายเกรินมันเป็นทหาร ผมว่ามันก็เป็นทหารต่อไป”

“เกิดเรื่องพันอย่างนี้ทหารมันตายก่อน” เจ้าคุณว่า

“ไม่แน่เลยครับ ไอ้คนทำงานอย่างผมคงจะตายพร้อมๆ กับทหาร”

“ทำมั้ยชอบพูดเรื่องอัปมงคล” คุณหญิงว่าเป็นเชิงตำหนิสามี “ฉันละหวาดมะพร้าวห้าว อย่างเจ้าคุณคงจะโดนสักวัน”

มีการโต้ตอบกันไปมาซึ่งฉอ้อนฟังไม่เข้าใจเลย ในที่สุดจึงเลิกฟัง และปล่อยใจให้ล่องลอยไปคิดถึงคุณวิทูร วาดภาพของเขาในมโน เห็นเขายืนสูงตรงอยู่ใกล้ๆ หล่อนในรถไฟ เห็นเขายิ้มและแววตาเป็นประกาย เห็นเขาเดินอย่างคล่องแคล่ว จนเสร็จสิ้นการรับประทานอาหารเจ้าคุณและคุณหญิงลุกขึ้นจากโต๊ะชวนลูกหลานและแขกของท่านให้ออกไปนั่งที่ระเบียง เมื่อออกมาจากห้องอาหารแล้ว คุณแจ๋วก็ดึงมือฉอ้อนพาขึ้นไปยังห้องของคุณแจ๋ว

เมื่อไปถึงห้อง คุณแจ๋วก็เริ่มดึงสมุดแบบเสื้อออกมาจากใต้เตียงเป็นตั้งใหญ่ เสือกให้ฉอ้อนและตัวเองก็หยิบมาพลิกดูหลายเล่ม แต่ฉอ้อนเปิดสมุดแบบเสื้อดูพลางก็ถามตามความอยากรู้

“ที่เขาพูดกันที่โต๊ะน่ะแปลว่าอะไร คุณแจ๋ว คุณแจ๋วฟังรู้เรื่องไหม”

“ทำไมจะไม่รู้ คุณพ่อพูดบ่อยๆ เวลามีคนถูกคอมาอย่างงี้” คุณแจ๋วตอบ “ก็ฉอ้อนไม่รู้เหรอ ปีนี้ปี พ.ศ. ๒๔๗๔ ปีหน้าก็ ๒๔๗๕ ครบ ๑๕๐ ปีตั้งแต่สร้างพระนคร”

“แล้วมันเป็นยังไง” ฉอ้อนถาม

“ก็มีคำทำนายไว้ว่าวงศ์จักรีจะอยู่ได้เพียง ๑๕๐ ปี เขาก็กลัวกันว่าจะมีการปฏิวัติยังไงล่ะ” คุณแจ๋วตอบ

“มันเป็นยังไงการปฏิวัติ” ฉอ้อนซัก

“อ้าว ฉอ้อนยังเรียนประวัติศาสตร์ไม่ถึงหรือ” คุณแจ๋วว่า “ก็อย่างในฝรั่งเศส มันจับเจ้านายกับพวกขุนนางฆ่าหมด แล้วก็เปลี่ยนการปกครองเป็นริปับลิก”

“เป็นไงน่ะ รีปับลิก” ฉอ้อนทำหน้าที่ซักต่อไปหน้าเปลี่ยนสีไปนิดหน่อยด้วยความกระดากที่ไม่รู้อะไรมากถึงเพียงนั้น

“รีปับลิกก็เหมือนอย่างฝรั่งเศสอย่างอเมริกา ไม่มีพระเจ้าแผ่นดิน มีแต่ประธานาธิบดี เขาเลือกตั้งกันเป็นคราว ๆ”

“ไม่เอาหรอก” ฉอ้อนพูดเสียงเครือ “มิสแพนครั่มที่โรงเรียนแกเคยเล่าว่า ที่อเมริกาน่ะ เขาดีเขาไม่มีกษัตริย์ แหม พวกเราโกรธแกกันเสียแทบตาย มีอย่างเรอะมาบอกว่าดีไม่มีกษัตริย์ อาจารย์ มิสเทอร์เนอร์ยังดุแกว่าพูดอะไรกับเด็กไทยอย่างนั้น ไม่มีพระเจ้าแผ่นดินจะดีอะไร ใครที่ไหนก็ไม่รู้” หยุดไปแล้วถามขึ้นมาใหม่ “อย่างท่านเป็นเจ้านายหรือเปล่า คุณแจ๋ว”

“เออ คุณป้ากำยานน่ะหรือ” คุณแจ๋วย้อนถามแล้วพูดต่อไป “จะว่าเป็นก็ได้ ไม่เป็นก็ได้ ท่านเคยเป็นเจ้าจอม เป็นเมียพระเจ้าแผ่นดิน แล้วท่านลาออกมาอยู่บ้าน ไม่ใช้บรรดาศักดิ์เจ้าจอมอีกต่อไป แต่ท่านไม่มีเลือดเจ้าหรอก แต่พวกเราทั้งหมดนี้ พวกโกศลทัต คือที่บ้านนี้ พวกเหมเสนา คือพวกคุณเกรินพวกพี่จำลอง แล้วก็พวกภมราภัย พวกสามีพี่แป๋ว สามพวกนี้เขาแต่งงานกันไปกันมา แล้วก็มีลูกสาวก็มักจะไปถวายเป็นเจ้าจอมกันมาตั้งแต่รัชกาลที่หนึ่งมาเรื่อยๆ เขาก็นับว่าเราน่ะเป็นญาติกับเจ้านาย อย่างเสด็จที่ประทานชื่อฉันพิสดารจนไม่มีใครเรียก”

“เสด็จน่ะแปลว่าเป็นเจ้านายงั้นหรือ คุณแจ๋ว” ฉอ้อนซักด้วยความใคร่รู้ต่อไป แล้วก็เลยมีการเรียนพงศาวดารไทยรายย่อยและเรื่องขนบประเพณีอะไรต่ออะไรอีกหลายเรื่อง ซึ่งคุณแจ๋วเล่าโดยเห็นเป็นเรื่องขบขันเสียเป็นส่วนมาก แต่ซึ่งฉอ้อนฟังด้วยความสนใจ จนไม่เป็นอันจะเลือกแบบเสื้อ ดังนั้นคุณแจ๋วทำหน้าที่บงการให้ฉอ้อนตกลงว่าจะใช้แบบนั้น สีนี้ แพรอย่างนั้น ใช้เครื่องประดับเสื้ออย่างนี้ เพื่อว่าในวันรุ่งขึ้นจะได้ไปหาซื้อให้ตรงกับความประสงค์

พอเก็บสมุดเข้าที่ คือใต้เตียงของคุณแจ๋วแล้ว ฉอ้อนก็ปรารภอย่างเป็นทุกข์ขึ้นอีก

“จะเป็นจริงไปได้ไหม คุณแจ๋ว เมืองไทยเรานี่จะมีกบฏอย่างฝรั่งเศสจริงๆ หรือ”

“ก็มีข่าวลือกัน ครั้งรัชกาลที่หกก็เคยมีหนหนึ่ง แล้วจับได้เสียก่อน คราวนี้ก็มีลือกันอีก”

“ทำไมถึงไม่จับเสียล่ะ” ฉอ้อนถามอีก

“ไม่รู้ซี ฉันก็ฟังบ้างไม่ฟังบ้าง จะไปซักอะไรมากคุณน้าก็ว่ารำคาญ ช่างซัก” คุณแจ๋วตอบ แล้วรีบสรุปว่า “เอาละ นอนเถอะ ง่วงแล้ว” และพิสูจน์ด้วยการหาวอย่างยาวยืด

ฉอ้อนนอนไม่ค่อยหลับ อย่างที่หนึ่ง ไม่เคยกับการนอนเตียงเดียวกับผู้ใด ถึงแม้เตียงคุณแจ๋วจะกว้างพอที่จะนอนกันได้สองคนโดยไม่เบียดกัน แต่ฉอ้อนก็หวาดว่าจะไปโดนตัวคุณแจ๋ว อีกอย่างหนึ่งก็อดคิดถึงเรื่องกบฏไม่ได้ แต่พร้อมกันนั้น ก็มีดวงหน้าของคุณวิทูรมาลอยปะปน ริมฝีปากเผยอยิ้ม และดวงตาเป็นประกายเมื่อเขาสบตากับหล่อน

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ