บทที่ ๑๔

คุณหญิงศิริมา ภมราภัย บอกให้คนขับจอดรถคันยาวใหญ่ ซึ่งเป็นรถประจำตำแหน่งของสามี เยื้องกับหน้าร้านอาหาร แจ่มแจ๋ว เล็กน้อย เมื่อรถจอดสนิทแล้ว คนรถวิ่งมาเปิดประตูรถทางด้านบาทวิถีให้คุณหญิงและสตรีในเครื่องแต่งกายงามอีก ๔ คนลงจากพาหนะ สตรีทั้ง ๕ ก็พากันเดินเข้าไปในร้านอาหาร

ขณะนั้นเวลาประมาณ ๑๑ นาฬิกากว่าๆ ยังไม่ถึงระยะที่ลูกค้าจะเข้าร้าน ในจำนวนที่ทำให้เกิดความจอแจ คุณหญิงศิริมา หรือคุณแป๋วเข้าไปยืนในร้านกวาดสายตาดูทุกสิ่งทุกอย่างด้วยตาลอยๆ ในไม่ช้า เจ้าของร้านก็ออกมารับรอง

“อ้อ เจ้าของร้านมาแล้ว” คุณแป๋วทักน้องสาว “นี่พี่พาลูกค้ามาให้หลายคน เขาอยากมาสนุกๆ ที่หรูๆ เบื่อ”

คุณแจ๋ว หันไปทำความเคารพสตรีที่มากับพี่สาวครบทั้งสี่คน พยายามจำชื่อ แต่รู้แก่ใจแล้วว่า พอเขาออกจากร้านก็จะลืมหมด แต่ระหว่างที่เขาเป็นลูกค้า อย่างน้อยก็จะต้องเรียกให้ถูกยศถูกตำแหน่ง เอ้อ คุณแจ๋วเคยโง่มาแล้ว นึกว่าสมัยยศศักดิ์ตรึงใจจะหมดไป ที่ไหนได้ต้องระวังให้ดี เพราะคนเป็นแม่ค้าต้องเอาใจลูกค้าให้ถึงที่

“นี่แจ๋ว มีที่นั่งคุยกันได้สบาย ไม่ต้องระวังเนื้อตัวลีบไหม” พี่สาวถามขึ้น

คุณแจ๋วยิ้มรับรอง พาลูกค้าเดินเข้าไปในห้องเล็กข้างๆห้องใหญ่ “ถ้าไม่ชอบเครื่องเย็น ก็ห้องนี้ค่ะ ถ้าชอบเครื่องเย็นก็เชิญข้างบน”

“ขี้เกียจขึ้นกระไดนะคะ คุณหญิงโสภี คุณทิพรัตน์ว่าไงคะ” คุณแป๋วตัดสินเสียเอง ทุกคนพากันคล้อยตาม มีคนหนึ่งบอกว่า “ที่จริง ฉันน่ะชอบเครื่องเย็น” คุณแจ๋วสังเกตว่าคนนี้มีร่างค่อนข้างอ้วน หน้าตาแจ่มใสตามธรรมดา ของคนมีสุขภาพดี

“มีอะไรอวดฝีมือบ้าง พี่น่ะคุยฝีมือแกงเนื้อยายบัวไว้นะ คุณหญิงกับคุณๆ เหล่านี้ท่านบอกว่า เบื่อแกงไก่ ไม่ได้กินแกงเนื้ออร่อยๆ มานานแล้ว”

เจ้าของร้านหยิบเอาบัญชีอาหารมาส่งให้ลูกค้าและพยายามเลื่อนเก้าอี้ให้ตามสมควร พร้อมกันนั้น พนักงานเดินโต๊ะซึ่งฝึกไว้ดีก็เข้ามาเตรียมพร้อมที่จะรับใช้

“เอ้า สั่งอาหารกันเสียค่ะ” คุณหญิงศิริมาบอกแก่เพื่อนๆ “แจ๋วไปดูแลอะไรแล้วละก็ กลับมาคุยกันนะ พี่น้องนี่ไม่ค่อยได้พบกันเลย มีธุระกันไปคนละอย่าง”

คุณแจ๋วออกไปกำกับให้ลูกมือสั่งอาหารให้ถูกต้อง เห็นว่าไม่มีอะไรที่ยากลำบาก ก็กลับมาในห้องนั้นตามคำสั่งของพี่สาว พอทันได้ยินคุณหญิงพูดว่า “แม่คนสุดท้องนี่ เขามีคู่หมั้น แต่แล้วยังไงเขาเลิกกันไปเฉยๆ” พอเห็นว่าผู้ถูกกล่าวถึงปรากฏตัวอยู่ในระยะใกล้ก็เลยอธิบาย “คุณหญิงโสภีถามว่า แจ๋วแต่งงานหรือเปล่า พี่เลยเล่าว่า กินกลางแล้วไม่ตลอดตัว พี่แต๋วก็ใครอย่ามาทาบทามเชียว เป็นร้องไม่เอา ไม่เอา ส่วนแจ๋วก็มีเรื่องแปลก เธอไม่อายไม่ใช่เรอะ เรื่องจริงนี่นะ”

“ไม่อายค่ะ จริงๆ ด้วย เรื่องจริง” น้องสาวรับรอง

“อือ” หลายเสียงออกมาโดยผู้ออกไม่รู้ตัว ความอยากรู้เกิดแก่คนฟังทุกคน คุณแจ๋วเสียดายที่ตนเข้ามาในห้องตอนนั้น มิฉะนั้นพี่สาวคงจะได้สาธยายอะไรสนุกได้หลายนาที แต่ก็นึกว่า ถึงเข้ามาแล้วก็ออกไปใหม่ก็ได้ จึงทำเหมือนเกบผ้าและกระดาษบางชิ้น และออกจากห้องไป

พอเจ้าของบ้านพ้นสายตาไป ก็มีคำถามจากหลายคน “เออ ทำไมถึงเลิกกันเสียล่ะคะ”

“เขาแปลกค่ะ น้องสาวดิฉันคนนี้ เขาหมั้นกับลูกพี่ลูกน้องกัน เป็นธรรมเนียมพวกเราชอบให้แต่งงานกันในหมู่ในพวกค่ะ วันดีคืนดี เขาก็มาบอกคุณพ่อกับคุณน้า แม่เลี้ยงดิฉันเป็นน้านะคะ เขาว่าเขากับคู่หมั้นขอเลิกกัน แล้วอีกไม่กี่เดือนผู้ชายก็ไปมีเมีย ไม่ได้แต่งได้เติ่งหรอกค่ะ”

เห็นสายตาของผู้ฟังยังจ้องจับด้วยความกระหายที่จะรู้เรื่องต่อ โดยเฉพาะว่าคู่หมั้นคือใครคุณหญิงศิริมาก็ไม่เอื้อเฟื้อ ของดีๆ อย่างนี้ จะหยิบยื่นให้ง่ายๆ ไม่ได้ ต้องให้มีการร้องขอกันตามธรรมเนียม

“แหม อดไม่ได้ อยากรู้ว่าผู้ชายเป็นใคร เขาตกลงกันยังไง” คุณนายประกอบพลกิจเป็นคนเรียกร้องขึ้น

คุณแป๋วหัวเราะน้อยๆ พอน่าเอ็นดู คุณแป๋วเป็นคนมีบุคลิกลักษณะดีมาก ทำอะไรมักไม่ค่อยขัดตาใคร “คนๆ นั้น คุณรู้จักดีค่ะ พลตรีเกรินไงคะ เขามีลูกชายสองคนเดี๋ยวนี้เป็นหนุ่มแล้ว”

มีเสียง อ๋อ หลายเสียงพร้อมกัน “เออ เขาว่าคุณแจ่มแจ๋วนี่และ เป็นเพื่อนสนิทของท่านผู้หญิงฉอ้อนหรือคะ แล้วคุณเกรินก็เป็นเพื่อนสนิทของท่านรอง ท่านวิทูรน่ะค่ะ จะมีอะไรเกี่ยวกันหรือเปล่าคะ”

“เห็นจะเปล่าหรอกค่ะ” คุณแป๋วตอบ “ท่านผู้หญิงฉอ้อนก็ไม่ได้ติดต่อกับพวกเราตั้งนาน นั่นมันตั้งแต่เล็กๆ ตั้งแต่อยู่เมืองเพชร ตอนหลังที่คุณวิทูรเขาเป็นใหญ่เป็นโตระหว่างสงคราม เราก็ไม่ได้พบได้ปะกันมากค่ะ”

“ทำไมคะ” ใครคนหนึ่งถามขึ้น “ทำไมคุณหญิง (หมายถึงคุณแป๋ว) ถึงไม่ค่อยเข้าไปสนิทสนมกับคุณหญิง เอ้ย ท่านผู้หญิงฉอ้อน ก็ถึงยังไงก็เคยรู้จักมาตั้งแต่เด็ก”

คุณหญิงศิริมาเล่นกับผ้าเช็ดมือ ไม่ตอบคำถามนี้ไปหลายอึดใจ แต่แล้วก็ตอบว่า “ก็ไม่มีอะไรนี่คะ ดิฉันมักมีธุระเรื่องสโมสรสตรีมากกว่า รับใช้ท่านผู้หญิง ท่านผู้หญิงคนใหญ่นะคะ เดี๋ยวนี้มีสองคนต้องทำความเข้าใจให้ดี” พูดจบแล้ว คุณแป๋วก็หัวเราะน้อยๆ อีก และมีเสียงหัวเราะประสานขึ้นหลายเสียง

“จริงนา ดิฉันว่าระวังไว้ก็ดี เดี๋ยวเกิดเข้าใจว่าเราประจบคนนั้น ไม่ประจบคนนี้ละก็ เราจะลำบาก” คนหนึ่งพูดขึ้น

คุณแจ๋ว ผู้ซึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานหลังห้อง และโดยการติดตั้งอะไรในตึกนั้น ทำให้ ณ ที่ตรงนั้นผู้นั่งได้ยินถ้อยคำในห้องเล็กง่ายดาย โดยคุณแจ๋วไม่รู้มาก่อน เพราะทุกครั้งที่มานั่งตรงนั้น เป็นเวลาที่ลูกค้าและลูกมือในร้านเข้าออกขวักไขว่ คุณแจ๋วหมายเหตุไว้ และกำลังคิดว่าเรื่องของตัวจบแล้ว เห็นจะเข้าไปหาพี่สาวได้ แต่เมื่อการสนทนามาถึงตอนนี้ คุณแจ๋วกลับคิดว่าตัวฟังเขาแบบจารกรรมดีกว่า จึงไม่ปรากฏตัวในห้องอาหาร บอกให้พนักงานรับใช้นำอาหารเข้าไป ตัวเองคงนั่งอยู่ที่เดิม

“จริงนะคะ” คุณแจ๋วได้ยินเสียงใครคนหนึ่งพูด “ที่เขาว่ากันว่าท่านผู้ชายน่ะไม่เท่าไหร่ แต่ท่านผู้หญิงละมาก นี่ก็ไม่รู้เท็จจริงยังไง”

“ในเรื่องอะไรล่ะคะ” มีคนหนึ่งถาม

“เขาว่าเรื่องทุกอย่างค่ะ” มีคนหนึ่งตอบ “เขาว่าท่านคนใหญ่น่ะ เรื่องราชการบ้านเมืองท่านก็ไม่ได้ทำยุ่ง แต่ที่ใครๆ เขาเอือมกันน่ะ เพราะท่านผู้หญิงแล้วก็ท่านรองน่ะ เรื่องที่ร่ำรวยน่ะ ไม่ใช่ตัวท่านหรอก เมียทั้งนั้น”

“ไม่เห็นด้วยเลย” มีเสียงคนหนึ่งว่า “ทำไม ท่านผู้หญิงท่านทำอะไร ฉันก็เห็นท่านทำประโยชน์ทั้งนั้น แต่ว่าคนที่ไม่ชอบมักหาเรื่องพูดไปต่างๆ แต่เรื่องท่านรองกับท่านผู้หญิงฉอ้อนนี่ไม่รู้”

“ฉันว่าเราไม่มีวันจะรู้ความจริง” เสียงเหมือนคุณหญิงโสภีว่า “คนมีปากก็พูดไป พวกเราไม่ถือเป็นธุระ เราเป็นเมียข้าราชการนี่ เมียนายใช้ให้ทำอะไร เราก็ทำเพื่อผัวเราต่างหาก อย่างนั้นใช่ไหมคะ”

มีเสียงรับรองความเห็นนี้หลายเสียง คุณแจ๋วเริ่มรำคาญบทจารกรรมของตัว รู้สึกว่าควรจะอาย จึงรีบเดินเข้าไปในห้อง และลงนั่งกับเพื่อนๆ ของพี่สาวบนเก้าอี้ตัวที่ว่างอยู่

“เมื่อกี้ดิฉันบอกว่าในห้องนี้พูดอะไรพูดได้ แต่ไปทดลองอยู่ข้างนอก ถ้าพูดดังๆ มันได้ยินเหมือนกันเวลาคนหลังร้านเงียบ”

“ตาย แล้วแกก็ได้ยินพี่พูดหมดซี” คุณแป๋วร้องขึ้นอย่างไม่เดือดร้อนจริงจัง

“ไม่แปลกหรอก น้องได้ยินน่ะ แต่เข้ามาบอก เผื่อจะพูดอะไรมากขึ้นไป” เจ้าของร้านชี้แจง

สตรีทั้งหมดหัวเราะกิ๊กๆ เบาๆ “คุณแจ่มแจ๋วเธอสปอร์ตจังเลย” คนหนึ่งว่า “ที่จริงก็ไม่ได้ว่าอะไรใครใช่ไหมคะ”

“เขาไม่ได้ชื่อแจ่มแจ๋วหรอก” คุณแป๋วบอก “เขาชื่อเยิ่นเย้อ เรียกกันไม่ไหว เรียกเขาคุณแจ๋วก็แล้วกันค่ะ เขาชอบอย่างนั้น”

“ไอ้เรื่องว่าหรือไม่ว่านี่ก็แปลกเหมือนกันนะ” คนหนึ่งเอียขึ้นมา “ถึงเวลาคนเขาจะเอาเรื่อง ไม่ได้ว่าอะไรเลย เพียงแต่เอ่ยชื่อ แหมกลายเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโตไปได้”

“อะไร บางทีเราเป็นคนฟัง เขาเป็นคนพูด กลายเป็นเราพูดกับเขาไปได้ ก็มีเหมือนกัน” อีกคนหนึ่งเสนอ

“ถ้ายังงั้นต้องเย็บปากซิ” อีกคนหนึ่งออกความเห็น “จะให้ระวังจนตัวลีบ เห็นจะไม่ไหว แต่ว่ามีวิธีการอยู่อย่างหนึ่ง อย่าไปคุยกับใครสองต่อสอง หาพยานไว้เสมอ พูดกันต้องหลายๆ คน”

พนักงานรับใช้ยกอาหารที่สั่งไว้เข้ามาให้หลายจาน สตรีผู้มีฐานะสูงทั้ง ๕ คน ก็เริ่มให้ความเอาใจใส่แก่อาหารและออกความคิดเห็นน้อยลง คุณแจ๋วคิดห่วงว่า ถึงเวลาลูกค้าเข้าร้านมาก พนักงานเดินโต๊ะมักจะไม่ตาไวหูไวเท่าเจ้าของร้าน จึงออกมาที่ห้องใหญ่เพื่อดูแลให้เรียบร้อยสักประเดี๋ยวหนึ่ง

ชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งรับประทานอาหารอยู่คนเดียว ณ โต๊ะเล็กติดฝา จานข้าวซึ่งเขารับประทานไปได้สักครึ่งหนึ่งอยู่ตรงหน้า มีจานกับข้าวสองสามจานเล็กๆ ตั้งอยู่ด้วยเป็นกับข้าวอย่างที่กินในครอบครัว แต่ตัวเขาไม่ค่อยสนใจในอาหารนัก เพราะเขาอ่านหนังสือพิมพ์ไปพลาง และมองจากหนังสือพิมพ์ไปยังคนอื่นๆ ในห้องนั้นไปพลาง คุณแจ๋วออกมายืนสักประเดี๋ยว เขาและคุณแจ๋วก็สบตากัน คุณแจ๋วร้องขึ้นโดยไม่ทันเรียกสติ “เฌอ เฌอ มาตั้งแต่เมื่อไหร่”

ชายหนุ่มลูกขึ้นยืนพร้อมกับยกมือไหว้ คุณแจ๋วเดินเข้าไปหา เขาเขยิบตัวจากที่ที่เขายืนมาเลื่อนเก้าอี้ตัวหนึ่งเป็นทีเชื้อเชิญให้คุณแจ๋วนั่ง

“ผมมาสืบ เอ้อไม่ใช่ราชการ เห็นจะต้องเรียกว่ากิจการครอบครัว” เขาพูดยิ้มอย่างยินดี เมื่อเขายิ้มดวงหน้าเขาเปลี่ยนไปทั้งหน้า จากลักษณะเอาจริงเอาจังเข้มงวด กลายเป็นรื่นเริงและชวนให้ยิ้มตามอย่าง มีคนน้อยที่ยิ้มได้เช่นนั้น

“มาสืบว่ายังไง” คุณแจ๋วถาม กิริยาที่หย่อนก้นลงบนเก้าอี้อย่างดีอกดีใจเปลี่ยนเป็นการยืนเบียดเก้าอี้เกิดความระมัดระวังขึ้นมาทันที

เฌอสังเกตเห็นกิริยานั้น แต่เขาทำเหมือนเขาไม่ได้สังเกต เขานั่งลงแล้วกล่าวต่อไปเรียบๆ

“มีคนเขาอยากรู้ว่า ร้านแจ่มแจ๋ว เป็นร้านของใครครับ เจ้าของร้านเทือกเถาเหล่ากอมาอย่างไร มีบุคลิกลักษณะแปลกหูแปลกตาอย่างไรบ้าง” นัยน์ตาของเขายังคงยิ้มอย่างที่กล่าว

คุณแจ๋วแพ้สีหน้าและแววตาของเขา “มาเรื่องอะไรก็ช่างเถอะ พี่ดีใจ๊ดีใจ” คุณแจ๋วกล่าวแก่เขา “เป็นยังไงได้ยินแว่วๆ ว่าไม่ทำงานทำการ ออกหากินส่วนตัว”

“อย่างคุณแจ๋วนี่เรียกว่าทำงานไหมครับ เปิดร้านขายอาหารนี่” เขาย้อนถาม

“พุทโธ่ เหนื่อยแย่เลย” คุณแจ๋วตอบ “ไม่ได้นึกว่าจะเหนื่อยถึงแค่นี้ ถ้ารู้อาจไม่ทำ แต่นี่ทำแล้วก็ต้องทนเอา”

“ก็แล้วผมก็มีร้าน รับรักษาไข้ ทำไมผมถึงไม่ทำงานทำการล่ะครับ” เฌอย้อนถามอีก

“เออ พูดตามมนุษย์เขาพูด เอามันง่ายๆ” คุณแจ๋วอธิบายเชิงรับผิด แต่มันน่าสงสัยจริง ๆ เขาให้เป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลแล้วเลยลาออก มันแปลกนี่นะ”

“แปลกกว่าคุณแจ๋วมาเปิดร้านนี่ไหมครับ” เขาย้อนถามอีก ยังมีน้ำเสียงรื่นเริงอยู่

คุณแจ๋วลงนั่งเพราะคิดว่าจำเป็นต้องพูดกันนานเสียแล้ว “เป็นยังไง ช่างเจ้าคารมจริงนะ แต่ก่อนไม่เห็นค่อยพูดอะไร ใครๆ เขาก็ว่า ครึ้มขรึม”

“ผมลืมตัวไปน่ะครับ มาพบคุณแจ๋วมันดีใจ คุณแจ๋วก็ว่าคุณแจ๋วดีใจที่พบผม ที่จริงผมไม่น่าพูดโยกโย้อย่างนั้นเลย”

“มันทำให้พี่ดีใจเพิ่มขึ้นอีก เห็นเฌอสนุกสนานแปลว่าเฌอกำลังมีความสุข” คุณแจ๋วว่า

“อึ้ม ไอ้นั่นก็แล้วแต่ มันเห็นจะเป็นคราวๆ กระมัง” ชายหนุ่มกล่าว “แต่ก็จริงครับ ทำไมถึงจะไม่มีความสุข”

“แต่ว่านี่แน่ะ” คุณแจ๋วเอ่ยขึ้น “ที่เมื่อกี้ว่ามาสืบร้านแจ่มแจ๋วน่ะ พูดเล่นหรือพูดจริง สืบทำไม ใครใช้มา”

“ผมพูดสนุกๆ น่ะครับ” เฌอตอบ “ก็จะมีใครก็พี่สาวผม ตั้งแต่งานบ้านท่านเจ้าพระยา ได้ยินเขาพูดกันว่าอาหารร้านแจ่มแจ้ว เขาก็อยากรู้เป็นกำลังว่ามีอะไรเกี่ยวข้องกับคุณแจ๋วไหม เขาได้ยินว่าคุณแจ๋วไปอยู่ปักษ์ใต้ ผมก็ไม่รู้เลยว่าเข้ามากรุงเทพฯ แต่เมื่อไหร่”

คุณแจ๋วเริ่มหัวเราะน้อยๆ “ขันดีนะ มีแต่เฌอรู้ว่าพี่มีความจัดเจนขายข้าวแกง ไม่มีใครทางบ้านพี่รู้ว่าพี่อยู่ที่หาดใหญ่น่ะพี่ทำอะไร คิดว่าสอนหนังสือ ตอนนั้นคุณพ่อยังไม่สิ้น ถ้ารู้เดี๋ยวโวยวาย พี่เลยไม่ให้ใครรู้ แต่เดี่ยวนี้พี่ไม่แคร์ และก็ไม่มีใครเขาแคร์มากนัก พี่ก็เข้ามาอยู่กรุงเทพฯ ตอนคุณพ่อไม่สบาย แล้วก็เลยคิดตั้งเนื้อตั้งตัวอยู่กรุงเทพฯ ไม่กลับไป รู้สึกว่ามันโลดโผนเกินไปสักหน่อย”

“นั่นซีครับ พี่ผมเขาก็อยากรู้ เรื่องที่เราไปพบกันที่หาดใหญ่ คุณแจ๋วสั่งไม่ให้บอกใคร ผมก็เลยไม่บอกใคร พี่ก็ไม่รู้ นึกว่าคุณแจ๋วยังเป็นครูโรงเรียนฝรั่งอยู่”

“แล้วนี่ถ้าเขารู้จะว่ายังไงนะ” คุณแจ๋วถาม

“เขาอยากพบคุณแจ๋วเหลือเกิน เขาคงมาหา” เฌอตอบเรียบๆ

“ไม่เอานะ” คุณแจ๋วพูดอย่างเด็ดขาดแต่ไม่ใช้น้ำเสียงกราดเกรี้ยว “พี่ยังคิดถึงเขาอยู่เสมอ รักเขาอยู่เสมอ แต่เฌออย่าพาเขามาที่นี่นะ”

“คุณแจ๋วรังเกียจเรื่องอะไรครับ”

“โธ่ จะไปรังเกียจเรื่องอะไร ก็ดีไปสำหรับร้านซิ” คุณแจ๋วว่า “แต่เพราะยังงั้น พี่ถึงบอกว่าอย่ามาทั้งที่คิดทึ้งคิดถึงเขา พี่สาวของเฌอน่ะเดี๋ยวนี้เขาเป็นข่าวเหลือเกิน เราเคยพูดกันที่โรงเรียนตั้งแต่พี่รุ่นสาว ว่าปรินซ์ออฟเวลส์น่ะ แม้จะจามก็ไม่เป็นสุข หนังสือพิมพ์เก็บลงหมด พี่สาวเขาเดี๋ยวนี้ก็อย่างนั้น เพราะอย่างนั้นพี่คือพี่แจ๋วนี่นะ ไม่อยากใช้เขาเป็นเครื่องมือ”

“เป็นคำปฏิเสธของคุณแจ๋วที่จะพบกับพี่ฉอ้อนหรือครับ” เฌอถาม น้ำเสียงของเขาออกจะไม่มั่นคง

“โธ่ เฌอ พี่คิดถึงเขาจะตาย” คุณแจ๋วก็มีเสียงสั่นๆ ไปบ้าง “แต่ว่าอย่าให้เขามาที่นี่ ไว้เวลาเย็นๆ ว่างๆ เฌอมาหาพี่อีกที เรามาคุยกันให้สาใจ ตอนนี้บอกเขาแต่ว่า พี่ไม่อยากให้เขามาที่นี่ พี่มีเหตุผลที่ดีที่สุดแล้วพี่จะหาทางพบเขาให้ได้ พบอย่างไม่ต้องเป็นห่วงใครจะมาถ่ายรูป ใครจะมามอง”

เฌอเอาช้อนเขี่ยข้าวไปมา “ผมก็ชักจะเห็นด้วย แต่ว่าคุณแจ๋วคิดมากเกินไปหรือเปล่าครับ”

“แหม เฌอ พี่เกลียดจังเลยสำนวนนี้” คุณแจ๋วทำทำสะบัดสะบิ้งนิดหน่อย “คิดมากดีกว่าไม่คิดเลยใช่ไหม ทำไมพวกเราถึงกลัวความคิดหรือคนคิดเสียจริงๆ”

เฌอหัวเราะหึๆ สีหน้าของเขาแช่มชื่นขึ้นมาอีกหลังจากที่ได้หมองไปเมื่อสักครู่นี้ เมื่อได้ยินคำปฏิเสธของคุณแจ๋ว “เอาครับ ผมจะมาหาคุณแจ๋ว มาเวลาไหนคุณแจ๋วถึงจะไม่ยุ่งและมีเวลาคุยกันครับ”

“พอสักสองทุ่มไปแล้วก็ชักจะเงียบ” คุณแจ๋วบอกแล้วก็ยืนขึ้นทันที คุณแจ๋วเห็นจากด้านข้างว่ามีลูกค้าใหม่เข้ามาในร้านหลายคน และลูกมือเริ่มจะเงอะงะ และในขณะเดียวกัน คณะของคุณหญิงศิริมาก็ออกมาจากห้องในและเดินมาทางด้านหน้าของร้าน ใกล้เข้ามากับที่นั่งของเฌอ

“เอ๊ะ ใครน่ะ” เสียงคุณแป๋วร้อง ไม่ดังนักแต่ก็ทำให้คนหลายคนเหลียวมาดู “คุณหมอเฌอ อุ๊ย คุณหมอ แหม อุตส่าห์มาอุดหนุน” คุณแป๋วทักพลางเดินหลีกโต๊ะอาหาร ซึ่งมีคนนั่งล้อมรอบเกือบทุกโต๊ะเข้าไปหาเฌอ

สุภาพสตรีอีกสี่คนที่มาด้วยกันกับคุณแป๋วก็ตามเข้าไป และส่งเสียงทักทายด้วยความยินดี

“แหม คุณหมอคะ ดีจริงมาพบคุณหมอ”

“คุณหมอคะ อุตส่าห์มารับประทานข้าวถึงสีลมเชียวหรือคะ”

“แหม คุณหมอ ดิฉันนั่งรถผ่านร้านคุณหมอบ่อยๆ ต้องขอเข้าไปเป็นคนไข้บ้างนะคะ ลูกเต้าขอพึ่งคุณหมอบ้างค่ะ”

เฌอยืนขึ้นอย่างสุภาพบุรุษที่มีวัฒนธรรมสมัยใหม่เต็มที่ เขาไหว้ครบทุกคน และยิ้มรับรองคำทักทาย และบางคราวก็ตอบอะไรที่เหมาะสม คุณแป๋วเอ่ยขึ้น

“คุณหมอมาหาคุณแจ๋วเขาใช่ไหมนี่ เคยมากี่หนแล้ว”

คุณแจ๋วชำเลืองดูพี่สาว รู้ว่าคำพูดนั้นเปล่งด้วยความจงใจให้สตรีที่มาด้วยเข้าใจถึงความสนิทสนมระหว่างเฌอกับคุณแจ๋ว ก็อดที่จะยิ้มและเบือนหน้าไปเสียทางหนึ่งไม่ได้ แต่ด้วยหางตาก็มองเห็น ว่าสตรีทั้งสี่รับเอาคำพูดตามความตั้งใจของพี่สาว เพราะสายตาที่หันมาดูคุณแจ๋วในคราวนี้ ผิดจากที่ใช้ดูคุณแจ๋วในครั้งที่เข้าไปให้บริการในห้องนั้น คุณแป๋วพูดต่อไป

“คุณพ่อคุณแม่มาอยู่กรุงเทพฯ ด้วยหรือเปล่าคุณหมอ ฝากความเคารพท่านด้วย”

เฌอไม่ตอบ เขายืนทำท่าสุภาพและยิ้มน้อยๆ ต่อไป คุณแจ๋วหมายเหตุไว้ในใจ อยากรู้เป็นกำลังว่าชายอย่างเฌอ เข้าใจถึงศิลปการเป็นภรรยาข้าราชการตำแหน่งสูงสักเพียงไหน

ท่านสตรีทั้งห้าไม่มีโอกาสปฏิสันถารกับน้องชายของท่านผู้หญิงฉอ้อนต่อไป เพราะสถานที่และเวลาไม่อำนวย มีลูกค้าเข้ามาในร้านอีกหลายคน ล้วนแต่เป็นประเภทที่จะเป็นขาประจำของร้าน คุณแจ๋วละจากลูกค้าผู้มีเกียรติไปหาลูกค้าประเภทหลัง และการไม่ค่อยตอบของเฌอทำให้การปฏิสันถารจบลงง่าย สตรีผู้มีเกียรติทั้งห้าจึงลาคุณแจ๋วและออกจากร้านไป โดยผลัดกันเหลียวหลังมาดูว่าเฌอจะทำกิริยาอย่างไรต่อไปสองสามครั้ง แต่ได้เห็นเพียงเขาลงนั่งรับประทานอาหารต่อไปให้เสร็จ

คุณหญิงศิริมาเดินไปถึงกลางถนน ก็หันกลับมาหาน้องสาว กล่าวว่า

“ดูซิ มานี่มีธุระแล้วลืมพูด แจ๋ว คุณน้าจะทำบุญเรือนที่ย้ายไปอยู่ใหม่ รู้แล้วไม่ใช่รึ กำชับให้พี่มาบอก ประเดี๋ยวบังเอิญไม่รู้จะโกรธเอา”

คุณแจ๋วพยักหน้ารับว่ารู้แล้ว คุณหญิงจึงละจากน้องสาวเดินไปขึ้นรถคันใหญ่ แล้วยานนั้นก็พาสตรีมีเกียรตินั้นห่างจากร้านไป

หันไปดูเฌอ เห็นเขารับประทานอิ่มและกำลังจะจ่ายเงินค่าอาหาร คุณแจ๋วรีบเข้าไปบอกแก่พนักงานโต๊ะ “คนนี้มาทีไร ก็แปลว่าฟรีทุกที กลัวว่าท่านจะไม่ค่อยมาเท่านั้น” เฌอเก็บเงินลงกระเป๋า ยกมือขึ้นทำความเคารพและบอก

“วันนี้ผมไปก่อน คุณแจ๋วก็ยุ่ง ผมก็มีคนไข้ อีกไม่นานครับ ผมมาใหม่ ค่ำๆ ดีที่สุดใช่ไหมครับ”

คุณแจ๋วพยักหน้า พลางว่า “ยังไม่มีน้องสะใภ้มาแนะนำไม่ใช่รึ” แล้วก็กล่าวคำอำลาแก่กันและกันตามธรรมเนียม แล้วเฌอก็ออกจากร้านไป

วันนั้นคงเป็นวันที่ดาวฤกษ์ดาวเคราะห์เข้าราศีญาติมิตรอย่างใดอย่างหนึ่งของคุณแจ๋ว พอเวลาประมาณ ๑๓.๓๐ นาฬิกา ลูกค้าที่มากันตามปรกติชักจะวาย คุณแจ๋วกำลังกำกับการกวาดถูที่ต้องทำเป็นประจำ และคิดกะการว่าจะเก็บอาหารสิ่งใดไว้ขายได้อีกในเวลาบ่ายหรือค่ำหรือจะดัดแปลงให้เป็นอื่นสำหรับวันต่อไป หรือจะต้องทำลายทิ้งสิ่งใด ก็มีสตรีสาวอยู่ในวัยกำดัดผิวพรรณเปล่งปลั่งแต่งกายสวยสมทรงสมสมัย ลงจากรถยนต์คันเล็กๆ ซึ่งเจ้าหล่อนขับเองและได้จอดไว้ที่เดียวกับที่คุณหญิงศิริมาจอดรถคันใหญ่เมื่อประมาณชั่วโมงหนึ่งมานี้ คุณแจ๋วมองเห็นสาวน้อยตั้งแต่เจ้าหล่อนเลื่อนรถเข้ามาใกล้ร้าน พอหล่อนลงมาจากรถ คุณแจ๋วก็เปลี่ยนสีหน้าคร่ำเคร่งกับงานเป็นสีหน้าแปลกใจ แล้วก็เปลี่ยนไปอีกเป็นยิ้มด้วยความยินดีเมื่อเจ้าหล่อนเดินมาถึงร้าน และเมื่อประสบสายตากับคุณแจ๋ว หล่อนก็ยกมือไหว้ด้วยกิริยาที่ไหวระทวยแต่พอน่าดู

“แหม ลำไย วันนี้มาถึงร้านน้าเทียวรึ” คุณแจ๋วทัก

“ยังมีอะไรทานไหมคะ คุณน้า” ลำไยถาม และเมื่อได้รับคำถามว่าไปไหนมา ก็ชี้แจงต่อ

“มาคุยค่ะ คุณน้า ตั้งใจมาคุยกับคุณน้า แต่ว่าไปซื้อของทางเจริญกรุงก่อนแล้วก็เลยมา”

คุณแจ๋วพาญาติผู้น้อยเข้าไปหลังร้าน พาไปในห้องที่ได้พาพี่สาวและเพื่อนๆ มานั่งในวันเดียวกันนี้ เมื่อได้สั่งอาหารเป็นที่ถูกใจแล้ว ก็ถาม

“มีเรื่องอะไรรึ ที่ว่าจะมาคุย แล้วทำไมมาคนเดียวเห็นไปไหนๆ เคยไปกันเป็นกลุ่ม”

“กลุ่มแตกไปเมื่อครู่ก่อน หนูหาทางเลี่ยงมาหาคุณน้า หาโอกาสมาทางนี้ไม่ค่อยได้” ลำไยตอบ “โธ่ หนูคิดถึงคุณน้าเสมอ พอคิดอะไรต้องนึกว่าอย่างนี้ต้องเล่าให้คุณน้าแจ๋ว ทุกที้ทุกที”

“กลุ่มมีใครบ้างล่ะ” คุณแจ๋วถามอย่างที่เรียกว่าเปื่อยๆ เพราะสมองคุณแจ๋วเงิมใช้ความคิดไปค่อนข้างไกลจากญาติที่มาหา

“วันนี้มียายอร กับแฟนของเขา คู่นี้ก็มีเรื่องคุยแล้วก็มีพนิดา อัญมณีกับการะเวกกับสามีเขา สองคนหลังนี้คุณน้าไม่รู้จัก”

“สองคนก่อนก็ไม่รู้เหมือนกัน น้ามันจำสับสนแล้วยิ่งเพื่อนๆ ลำไยเดี๋ยวเรียกชื่อเล่น เดี๋ยวเรียกชื่อจริง”

“เอ้า เริ่มด้วยสาธยายประวัติพวกนี้ แล้วคุณน้าจะจำได้ไหมก็ไม่รู้ แปล๊กแปลก ทำไมคนเรา พอ พอ เอ้อ เป็นผู้ใหญ่มากๆ เข้า ก็เริ่มจำอะไรไม่ค่อยได้ แม่งี้ หนูบางทีก็คั้นขัน”

“ขอบใจจ้ะ อุตส่าห์มีวัฒนธรรมดี หลานสาวของน้า อุตส่าห์ไม่พูดว่าพอแก่เข้าชักเลอะเทอะ”

“แหม แต่ไม่รู้เป็นไง หนูไม่เคยนึกว่าคุณน้าแก่เลย ถ้าคุณน้าแต๋ว หนูรู้สึกว่าแก๊แก่ ที่จริงอายุก็แก่กว่าคุณน้าไม่เท่าไหร่ แต่คุณน้า พวกน้องหนูกับพวกนี้เขาว่าคุณน้าน่ะคนรุ่นเรา”

“ยิ่งขอบใจใหญ่ เป็นการชมเชยอย่างใหญ่หลวง ฝรั่งเขาว่า ถ้าคนสาวๆ เขาชมว่าใครเป็นคนรุ่นเขาละก็แปลว่าคนคนนั้นต้องปลื้มใจ ราวๆ กับได้ปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์”

ลำไยหัวเราะเสียงเป็นกังวาน “แปลว่า คุณหน้าไม่เกลียดพวกหนุ่มสาว นี่ก็พิสูจน์ว่าคุณน้าไม่แก่”

“ถ้าเอาเรื่องรังเกียจเป็นเครื่องวัด น้าก็เป็นสาวสองพันปีแน่ เพราะถึงยังไงๆ ก็จะไม่รังเกียจคนหนุ่มคนสาวเป็นอันขาด ยิ่งตัวแก่ก็ยิ่งจะชอบคนหนุ่มสาว เพราะได้อาศัยดูเขาแล้วก็ใช้ประโยชน์หลายอย่าง”

“อือ ใช้ประโยชน์อย่างไรคะ คุณน้า” ลำไยเริ่มรับประทานอาหารอร่อย จึงยินดีเป็นคนฟังชั่วคราว

“อาศัยใช้เป็นเครื่องเตือนสติว่าวันคืนล่วงไป ตัวเราเคยหนุ่มเคยสาวมาแล้ว แล้วก็มาเป็นกลางๆ คน แล้วก็อีกหน่อยก็จะแก่หง่อม นั่นอย่างหนึ่ง อีกอย่างหนึ่ง อาศัยเรียกรำลึกความสุขครั้งเราเป็นหนุ่มเป็นสาว อีกอย่างหนึ่งอาศัยดูว่า บ้านเมือง หรืออย่างสมัยใหม่เขาว่าสังคม เปลี่ยนแปลงไปอย่างไร”

“อายุเท่าคุณน้า หนูจะเป็นอย่างคุณน้าไหมนะ” ลำไยปรารภขึ้นมา “หนูเดี๋ยวนี้หนูเบื้อเบื่อคนแก่ๆ แล้วหนูก็ไม่ค่อยชอบเด็กๆ รุ่นน้องๆ หนูว่ามันเอาแต่ใจตัวจังเลย รู้ไหม ที่หนูมาหาคุณน้านี่ เพราะหนูไม่รู้จะพูดกับใคร เฉิดฉันเขาจะหย่ากับสามีเขาแล้ว แต่งงานกันสองปี”

“อ้าว เรื่องราวเป็นยังไง ทำไมจะหย่ากันล่ะ” คุณแจ๋วถามด้วยความสนใจ ผู้ที่ลำไยกล่าวถึงนี้มารดาเป็นหลานป้าแท้ๆ ของคุณย่าของลำไย ฝ่ายบิดาอยู่ในสกุลโกศลทัต

“คุณน้าคงจะไม่รู้จักคุณชัยฤทธิ์ ลูกคุณหญิง เอ๊ย ท่านผู้หญิงฉอ้อน” ลำไยกล่าว

“ก็รู้จักเหมือนกัน” คุณแจ๋วพูดเสียงเรียบๆ จงใจให้ลำไยเข้าใจว่ารู้จักเหมือนกับประชาชนทั่วๆ ไป รู้จักสมาชิกของครอบครัว “ท่านรอง” และท่านผู้หญิง

“เขาเพิ่งกลับมาจากอเมริกา นักเรียนเวสต์ปอยต์” ลำไยเล่า “ไปพบกับเฉิดฉันตอนเดินทางกลับมาเมืองไทยทางยุโรป แล้วก็เลยสนิทสนมกันเรื่อยมา พิลึกจริงๆ ผู้หญิงทั้งเมืองกำลังอยากได้ มารักผู้หญิงที่เขาแต่งงานแล้ว ยายเฉิดฉันเห็นเก๋เต็มที ทะเลาะกับสามีว่าเขาหึง ทะเลาะกันหลายๆ หน เลยว่าจะหย่ากับเขา”

“มีเรื่องเท่านี้เองรึ น้าสงสัยจะมีอะไรยิ่งกว่านี้ ทำไมยายเฉิดฉันจะบ้าถึงยังงั้น”

“ก็พ่อแม่เขาบ้าไปด้วยซิ คุณน้า” ลำไยตอบ “คุณป้าเพ็ญ เออ แทนที่จะว่ากล่าวลูกสาว กลับเข้ากับลูก แล้วว่าลูกเขยไม่ดีอย่างโน้นอย่างนี้ วันนั้นหนูก็ฟังพวกคุณป้าๆ น้าๆ พูดกัน มันกลายเป็นว่า กลัวเขากันใหญ่ กลัวท่านวิทูรเขาจะโกรธ เอ ยังไง หนูฟังไม่เข้าใจ”

“เออ น้าก็ยิ่งไม่เข้าใจใหญ่ซี หนูเล่าให้ละเอียดกว่านี้ซิ”

“คุณป้าเพ็ญน่ะ คุยกัน มีคุณป้าเล็ก คุณน้าเล็ก คุณน้าแป๋วศิริมานั่นด้วยคนหนึ่ง ทีแรกก็คุยเหมือนนินทาสโมสรกันธรรมดาว่า คุณชัยฤทธิ์น่ะเช้าถึงเย็นถึงบ้านเฉิดฉัน ทีนี้คุณวรชาติ เขาเป็นสามี เขาจะชอบได้ยังไง เขาก็ว่าเมียว่า นี่ยังไงกัน คุณชัยฤทธิ์ทำราวกับเขาเป็นหัวหลักหัวตอ เฉิดฉันก็ว่าสามีขี้หึงเป็นบ้า ใครเขาจะมารักคนแต่งงานแล้ว ที่คบกับเขาก็เพราะพ่อเขามีอิทธิพลเผื่ออย่างไรก็ขอความช่วยเหลือพึ่งใบบุญเขาได้บ้าง คุณวรชาติแกก็ว่าถ้าต้องใช้เมียเป็นเครื่องมือที่จะทำราชการหรือทำอะไรก็ตามเถอะ แกก็ขอเลิกไม่ทำสิ่งนั้นละ ถ้าเฉิดฉันคิดจะอาศัยคุณชัยฤทธิ์เพื่อให้เขาก้าวหน้าทางราชการละก็ เขาก็จะลาออกเสียจากราชการ”

“อือ น้าฟังดูอย่างนี้ ก็ออกจะเห็นใจคุณวรชาติอยู่” คุณแจ๋วพูดอย่างไม่ตื่นเต้น “ทีนี้คุณป้าเพ็ญที่ลำไยว่ากลัวน่ะ กลัวอะไร”

“หนูก็ไม่รู้ว่ากลัวอะไร พูดๆ กันแล้วคุณป้าเพ็ญบอกคุณป้าใหญ่ ให้คุณป้าใหญ่ช่วยเรียกคุณวรชาติมาห้ามไม่ให้พูดอย่างนี้ จะแพ้ภัยตัว นี่สำนวนคุณป้าเพ็ญแท้ๆ นะคะ เท่าที่ฟังดูเหมือนกับว่าถ้าคุณวรชาติหึงคุณชัยฤทธิ์ จะมีภัยมาถึงตัว อะไรถึงกับอย่างนั้นเชียวรึ ถ้าลูกท่านวิทูรไปเที่ยวรักเมียใครเขาสามีจะหึงไม่ได้ จะเป็นอันตราย ยังงั้นเชียวรึ คุณน้า”

คุณแจ๋วชะโงกดูหลังห้องและตัดสินใจว่าไม่ถึงกับต้องห่วงความปลอดภัยถึงเพียงนั้น จึงกลับมาตอบว่า “เออ น้ามันก็ห่างออกมาจากการบ้านการเมือง ไม่รู้ว่าเขาไปกันแค่ไหน ลำไยไม่ลองถามคุณน้าแป๋วเขาดู เออ คุณน้าแป๋วเขาว่าอย่างไรล่ะ”

“คุณน้าแป๋วก็ดูสนับสนุนเรื่องที่กลัวกัน ไม่เห็นมีใครค้าน มีแต่ปรารภว่าคุณวรชาติไม่ควรหึง ควรจะนิ่งเสีย เฉิดฉันก็ไม่ได้ทำผิดอะไร”

“นี่ น้าก็ไปอยู่ต่างจังหวัดเสียนาน” คุณแจ๋วว่า “ไม่รู้เรื่องลูกหลานรุ่นหลังกี่มากน้อย คุณวรชาตินี่เขาเป็นใคร พื้นเพเป็นอย่างไร เขารักกันกับเฉิดฉันหรือพ่อแม่จัดการอย่างไร”

“เขาเป็นพวก ณ บ้านหลวง” ลำไยตอบ “เป็นญาติต่อกันไปทางคุณทวด ห่างกันไปแล้ว แต่ว่าเมื่อเขาจะแต่งงานกับเฉิดฉันน่ะ” ลำไยอึกอักนิดหน่อย แล้วจึงเล่าต่อ “ที่จริงน่ะ ทีแรกเขารู้จักกับหนู เป็นเพื่อนมหาวิทยาลัยด้วยกัน แล้วเขามาหาหนูแล้วไปไหนๆ กับหนู แล้วเขาก็มารักเฉิดฉัน ทีแรกก็มีเสียงคุณป้าเพ็ญไม่ค่อยชอบใจ ว่าจน แต่แล้วก็ตกลงกันไปดี”

คุณแจ๋วพยักหน้าแสดงว่าตั้งใจฟัง ลำไยกล่าวต่อไป

“แต่หนูมาติดใจเรื่องนี้น่ะ คุณน้า อะไรกัน ล้วนแต่ผู้ลากมากดี ทำไมเสียงที่พูดนี่นะ ราวกับว่า ถึงหากเฉิดฉันหย่ากับคุณวรชาติ แล้วได้แต่งงานกับคุณชัยฤทธิ์ละก็ ก็ดีเหมือนกัน คุณป้าๆ น้าๆ พูดกันเป็นเสียงนี้ หนูแปลกใจจริงๆ”

คุณแจ๋วถอนใจน้อยๆ “เอ้อ คำว่าผู้ดีนี่มันแปลว่าอะไร สิบปีมานี้ น้าก็ไม่ค่อยจะรู้เสียแล้ว เดี๋ยวนี้น้าเอาเป็นคนๆ น้าคิดว่าแบบนี้แบบคุณพ่อน้า แบบนี้แบบพี่อ้น แบบนี้แบบคุณเกริน อะไรอย่างนี้ละ”

“เออ คุณเกริน นั้นซี คุณเกรินนี่ เมื่อวันงานใครๆ เขาพูดกันทั้งนั้นว่าเป็นเพื่อนสนิทคุณวิทูร แล้วหนูก็เห็นคุณน้าดูสนิทกับคุณเกรินวันนั้น เขาจะช่วยอะไรได้ไหมคุณน้า”

“อือ หนูจะให้เขาช่วยทำยังไง” ญาติผู้ใหญ่ถาม

“คุณน้าลองถามเขาซี ว่าคุณวิทูรน่ะจะเลวร้ายอย่างที่กลัวกันเชียวรึ แล้วก็อีกเรื่องหนึ่ง ตาเงาะน้องหนูทำท่าไปติดแม่กุสุมาลูกหมอเฌอ น้องชายท่านผู้หญิงฉอ้อนแหม หนูเกลียดจัง”

“อ้าว หนูเกลียดใครแน่ หนูเกลียดพี่น้องผู้ดีของหนู หรือเกลียดพวกคุณวิทูร”

“หนูงงไปหมด คุณน้า” ญาติสาวสารภาพ “จะว่าเราไม่แคร์กับสกุลรุนชาติน่ะ แล้วทำไมคุณน้าแป๋วนี่ละ พูดกับใครๆ เดี๋ยวก็เอาแล้ว พวกโกศลทัต พวกเหมเสนา แต่แล้ว ทำไม เกิดเต็มใจให้หลานสาวหย่าจากคนอย่างคุณวรชาติ แล้วจะไปแต่งงานใหม่กับใครที่ไหนก็ไม่รู้”

“น้าเห็นว่าหนูสับสนจริง” คุณแจ๋วพูดเรียบๆ แต่มีอารมณ์ขันอยู่ด้วย “เดี๋ยวหนูก็ไม่ชอบทรรศนะญาติของหนูว่าไม่ถูกกับศีลธรรม เดี๋ยวหนูก็เกิดรังเกียจคนเป็นพวกๆ หนูเกลียดคุณวิทูรว่าเป็นคนเลวร้ายใช้อำนาจ ซึ่งหนูก็ยังไม่รู้แน่ ยังไม่ได้พิสูจน์ แล้วเลยเกลียดไปจนถึงหลานของเมียเขา ไม่อยากให้น้องไปรัก ไปติดต่อ แล้วประเดี๋ยวหนูก็พูดเหมือนรังเกียจว่าเขาเป็นคนไม่มีตระกูลเหมือนญาติของหนู ตัวหนูน่ะยังไงแน่”

“นั่นน่ะซิคะ หนูถึงมาหาคุณน้า ที่จริงหนูต้องกลับไปทำงานแล้วละ แต่หนูลานายเขาสองชั่วโมงเพราะงานหนูเสร็จไม่มีคั่งค้าง” ลำไยพูด “หนูสับสนจริงๆ แหละ แต่หนูอยากให้คุณน้าช่วยสืบทางคุณเกริน ว่าคุณวิทูรนี่แท้จริงเป็นคนยังไง หนูอดสงสารคุณวรชาติไม่ได้ ถ้าจะช่วยอะไรได้หนูอยากช่วย” แล้วก็หัวเราะคิกๆ

“น้าก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะพบคุณเกริน” คุณแจ๋วบอกญาติ “แต่หนูยังไม่ทุกข์ร้อนอะไรจริงไม่ใช่เรอะ ดูหัวเราะคิกคักอยู่นี่”

คราวนี้ลำไยถอนใจใหญ่เสียงดัง เฮอ “คุณน้ารู้ไหม คนรุ่นหนูน่ะ ใครทำหน้าทุกข์ไม่ได้ หนูทุกข์พอใช้เพราะหนูชอบวรชาติมาก แต่ว่าถ้าใครพูดเรื่องทุกข์ร้อนอะไรเพื่อนๆ เขาไม่ชอบ เขาเริ่มบ่นกระปอดประแปดว่าเบื่อทุกคนต้องหัดทำเป็นไม่มีความทุกข์ แล้วหนูยังสับสนอีกอย่างหนึ่ง คือหนูไม่รู้ว่าหนูควรจะสมน้ำหน้าวรชาติไหม ที่รู้จักเฉิดฉันยังไม่ทันไร แหม รักหวือๆ แล้วก็เร่งแต่งงานราวกับอะไรดี แต่ว่าปุบปับก็เกิดรักเกียรติลูกผู้ชายพูดจาตัดรอนจะลาออกจากราชการ ลาออกแล้วจะไปทำอะไร ไม่ใช่รวยนะ แล้วก็ไม่ใช่นักเรียนนอกนักเรียนนาจะไปรับจ้างฝรั่ง ก็ไม่ใช่จะหางานได้คล่องๆ หนูไม่รู้จะหมั่นไส้ดีหรือไม่ดี ประเดี๋ยวหนูเป็นอย่างงั้น ประเดี๋ยวหนูก็เป็นยังโง้น ก็เลยคิดว่าต้องพูดกับใครที่จะไม่ดุเสียตั้งแต่ประโยคแรกสักคน ถึงมาหาคุณน้า”

“ก็ดี น้าก็ยินดีที่หนูอุตส่าห์มาหาน้า” คุณแจ๋วกล่าว “แต่น้าจะช่วยได้ไหม น้าไม่รู้ น้าเหมือนคนกลับจากป่าจากเขา น้าจะลองฟังเสียงดู อย่างงั้นพอใช้ได้ไหม”

“ได้ค่ะ” ลำไยตอบ ทำหน้าตรึกตรองสักประเดี๋ยวแล้วก็ทำหน้าให้แช่มชื่น ทำให้คุณแจ๋วเกิดความอยากรู้เรื่องจิตใจของคนรุ่นลำไยขึ้นมาจริง แต่คิดว่าได้พูดคุยพอสมควรแล้ว จึงเอาใจใส่ดูแลญาติสาวได้รับประทานอาหารอิ่มแล้วหรือไม่ และไต่ถามทุกข์สุขของครอบครัวอีกเล็กน้อย อีกไม่กี่นาทีต่อมาญาติสาวก็ลากลับไป

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ