บทที่ ๒๕

ระหว่างที่ศพของวรชาติยังไม่ได้เผา และยังคงตั้งอยู่ที่วัดใกล้บ้านเจ้าคุณตา คุณแจ๋วได้มีโอกาสเรียนรู้เรื่องโลก หรืออีกนัยหนึ่งเรื่องมนุษย์มากขึ้นอย่างที่คุณแจ๋วไม่ได้คาดไว้ ถึงแม้เรื่องที่ได้เรียนรู้ในระยะนี้ ไม่ใช่เรื่องที่คุณแจ๋วไม่เคยรู้มาก่อนเลย แต่มีแง่ใหม่ๆ ทำให้มีเรื่องดู สังเกต และคิด คุณแจ๋วหมายเหตุไว้ในใจ เมื่อมีเวลาก็นำไปสนทนากับคุณเกริน เป็นต้นว่า คุณพี่เพ็ญของคุณแจ๋ว หรือแม่ยายของวรชาตินั้น เป็นผู้มีฐานะทางทรัพย์ดีในหมู่เครือญาติ ในยามที่ไม่มีเหตุการณ์ ญาติที่ค่อนข้างอัตคัดรบกวนขอความช่วยเหลืออยู่เสมอ ครั้นถึงเวลาที่ลูกเขยเสียชีวิตในกรณีที่น่าหวาดเสียวเช่นนี้ ญาติจำนวนมากก็พยายามจะแสดงความกตัญญู มีการมาขอเป็นเจ้าภาพในการสวดพระอภิธรรม เกือบจะหาวันว่างไม่ค่อยได้ภายใน ๕๐ วันแรก แล้วก็เลยมีการแข่งขันกันถ้าใครไม่ได้มา “สวดให้” สามีเฉิดฉัน ก็ดูจะเป็นอกตัญญูไป ซึ่งคุณแจ๋ว คุณแต๋ว รวมทั้งคุณหญิงศิริมาเห็นเป็นสิ่งชวนรำคาญ แต่พี่เพ็ญกลับชื่นชม คุนหญิงโกศลราชสุภา และญาติจำนวนหนึ่งก็ชื่นชมตาม คุณแจ๋วเล็งเห็นว่า การกระทำของญาติที่หวังดีโดยไม่ค่อยเป็นประโยชน์ เป็นเครื่องปลอบใจพี่เพ็ญได้มาก อีกเรื่องหนึ่งก็คือ ในระยะเวลาเดียวกันนั้น ฝ่ายที่ขับไล่พูลเอกวิทูร ไม่สามารถจะหาหลักฐานที่เด่นชัดให้ประชาชนแลเห็นความผิด จึงเปลี่ยนเป็นหาข้อเล็กข้อน้อยมาปรักปรำอยู่เสมอๆ และความประพฤติของชัยฤทธิ์ถูกนำมาวิพากษ์วิจารณ์ในหน้าหนังสือพิมพ์ที่เป็นฝ่ายไม่ชอบพลเอกวิทูร แล้วชื่อของวรชาติก็ถูกนำไปวิพากษ์วิจารณ์แต่มิใช่กล่าวหาเป็นอาชญากร เกือบๆ จะกลายเป็นวีรบุรุษช่วยชาติไป ญาติหลายๆ คนก็เห็นเป็นเครื่องบันเทิง นำมาเล่าและวิพากษ์วิจารณ์ต่อในงานศพนั่นเอง และโดยไม่ระวังว่าเฉิดฉันจะได้ยินหรือไม่ และคุณแจ๋วก็ได้รับความประหลาดใจต่อไปในการที่เฉิดฉันก็วางหน้าสงบเยือกเย็นได้ในลักษณะคล้ายคลึงกับท่านผู้หญิงฉอ้อนวางในงานศพลูกชาย คุณแจ๋วตัดสินว่าคนไทยในสังคมในพระนครนี้ “ศิวิไลส์” จริง แต่ความรู้สึกภาคภูมิใจที่คุณแจ๋วมีเมื่อเห็นท่านผู้หญิงฉอ้อนนั้น คุณแจ๋วไม่รู้ว่ามันควรจะเกิดในกรณีเฉิดฉันนี้ด้วยหรือไม่ และเลยคิดพะวงสงสัยไปถึงว่า ที่คุณแจ๋วภูมิใจในฉอ้อน เป็นความรู้สึกที่สมควรหรือไม่สมควร

คุณเกรินแวะไปที่ร้านบ่อยๆ เพื่อจะรับคุณแจ๋วไปที่ศพวรชาติบ้าง หรือเยี่ยมฉอ้อนบ้าง หรือเยี่ยมแล้วเลยไปที่ศพบ้าง คุณเกรินไม่ค่อยแจ่มใส ต้องกังวลกับอาการป่วยของภรรยามากขึ้นทุกที เพราะมีโรคแทรกที่แพทย์ไม่ให้ความอุ่นใจตามมา แต่เมื่อพบคุณแจ๋ว คุณเกรินก็สนุกไปกับการสนทนาถึงแง่มุมแปลกๆ ของคุณแจ๋ว ครั้นคุณแจ๋วปรารภถึงเรื่องเฉิดฉันวางสีหน้าได้สงบเยือกเย็นเหมือนท่านผู้หญิงฉอ้อน และถึงความพะวงสงกาในความเข้าใจโลกของคุณแจ๋ว คุณเกรินก็หัวเราะก๊ากใหญ่

“ช่างไปคิดซอกแซกหาเรื่องเสียจริงๆ” เขาว่า “ก็เวลาที่เห็นท่านผู้หญิงฉอ้อนแล้วภูมิใจ มันก็ภูมิไปแล้ว จะไปเลิกภูมิได้เมื่อไหร่”

“เอ๊อะ มันยังอยู่ในใจนี่คุณเกริน” คุณแจ๋วแย้ง “ยายเฉิดฉันนี่แกก็เก่ง เราควรภูมิใจว่ามีหลานเก่งไหม”

“แกหน้าด้านมากกว่า” คุณเกรินตัดสินง่ายๆ “พี่เพ็ญก็ตกอยู่ในโมหะอวิชชาอย่างน่าสงสาร หลอกตัวเข้าไป หลอกเข้าไป เดี๋ยวนี้ลูกเขยกลายเป็นคนปราบพาลไปแล้ว แต่ก่อนลูกเขยเป็นคนกีดขวางความเจริญของลูกสาว ที่จริงฉันชักจะเห็นๆ ด้วยกับฉอเลาะ อยากให้นายวิทูรมันกลับมามีอำนาจเหมือนกัน อยากเห็นหน้าคนบางคน เสียอย่างเดียวเราจะต้องเล่นละครใหม่”

“ฮึ ฉอ้อนแกไม่ยอมหรอกทีนี้ แกคงเกาะคุณเกรินแจ” คุณแจ๋วละเมิดทางวจีกรรมเป็นอย่างยิ่ง “ดีไม่ดีถูกท่านรอง หรือคราวนี้อาจจะได้เป็นท่านใหญ่หึง คงจะสนุกพิลึกละ” เมื่อละเมิดไปแล้วก็โกรธตัวเองแทบจะกัดลิ้นทิ้งได้ เพราะคุณแจ๋วได้เห็นหน้าของคุณเกรินแดงก่ำแล้วก็กลับซีด แต่คุณเกรินทำเสียงใส หัวเราะพลางก็ว่า “ภาษาของแม่ค้าขายข้าวแกงนี่น่ากลัว ว่าแต่ร้านแจ่มแจ๋วจะถูกปิดเพราะเป็นสถานที่คิดการลับหรืออะไรน่ะไม่ว่า”

คุณแจ๋วเรียกสติได้แล้ว ไม่โต้ตอบเรื่องนั้น เสไปปรึกษาเรื่องอื่น “แต่ลำไยแกออกจะเป็นคนจริงอยู่สักหน่อย แกไปศพวรชาติสองสามหน ทุกทีแกต้องมาเอาแจ๋วไปด้วย เหมือนกับจะให้ไปเป็นพยานหรืออะไรอย่างนั้น แกไม่พูดกับเฉิดฉันเลย แล้วจะเป็นคุณแม่ หรือคุณป้า หรือคุณน้าๆ อาๆ จะพูดกันเรื่องวรชาติว่ายังไง จะนินทาท่านวิทูรหรือท่านผู้หญิงฉอ้อน หรือจะด่าตาฤทธิ์ แกไม่มีพูดด้วยเลย เด็กอย่างนี้น่ากลัวจะแต่งงานยาก”

“อย่าไปห่วงลำไยเลย” คุณเกรินพูดครึ่งปลอบครึ่งประชด “ไม่ใช่สมัยคุณแจ๋วเป็นเด็กสาว จะพบใครที่ไหนมันยาก สมัยนี้เขาไปเที่ยวไปหาจนเจอะคู่เขาจนได้”

ภายหลังจากที่คุณแจ๋วสนทนากับคุณเกรินครั้งสุดท้ายเรื่องปรัชญาของวงศ์ญาติไม่กี่วัน เหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ไทยก็เปลี่ยนแปลงไปอีก ดังที่คนจำนวนหนึ่งก็คิดเกรงอยู่ คือมีนายทหารคณะหนึ่ง เข้ายึดอำนาจการปกครองประเทศ ประกาศว่าต้องกระทำการดังนี้เพราะเหตุผลหลายประการ ท่านผู้บังคับบัญชาใหญ่ของพลเอกวิทูรก็เลยเป็นอีกคนหนึ่งที่ต้องหนีออกนอกประเทศตามเขาไปด้วย ชีวประวัติที่ถูกเปิดเผยก็ไม่ดีกว่าพลเอกวิทูร ปรากฏว่ามีเรื่องที่เกี่ยวกับอิสตรีวุ่นวายอยู่กับการเมืองอย่างน่าตื่นเต้นพอใช้เหมือนกัน ทำให้คนไทยผู้อยู่ในความปกป้องคุ้มครองของเทพเจ้าได้รอดจากอันตรายมหันต์ อันชาติอื่นได้รับในกรณีคล้ายคลึงกันนั้น มีสิ่งสำเริงลิ้นมีเรื่องบรรยายและอธิบายประกอบสู่กันฟัง เป็นความบันเทิงครึกครื้นต่อไปอีก

พอเกิดเหตุใหญ่ดังกล่าว วงศ์ญาติของวรชาติก็รีบตัดสินใจปลงศพของเขาโดยเร็ว ในการฌาปนกิจ ท่านผู้หญิงฉอ้อนได้ไปร่วมด้วย เมื่อได้ปรึกษากับน้องชายและมิตรคือคุณเกรินแล้ว เฌอไม่ค่อยจะมีความเห็น แต่คุณเกรินตัดสินใจอย่างไม่รีรอว่า “เรานับถือศาสนาไหมฉอ้อน ทางพระพุทธศาสนาถือว่าการให้อภัยกันนั้นเป็นธรรมะสูง และการแสดงอภัยให้ปรากฏก็เป็นของสูง ถ้าฉอ้อนอยากแสดงว่าใคร่จะขออโหสิเวรกับวรชาติก็ควรจะไป งานนี้ก็มีแต่ญาติโดยมาก ไม่เห็นจะเป็นปัญหา”

“เอ้อ เอาอีกแล้ว ถูกว่าตั้งปัญหาอีกแล้ว ก็ฉอ้อนโง่นี่คะ ก็ต้องปรึกษาคนที่ฉลาดกว่า” ฉอ้อนทำหน้าน่าสงสาร คุณเกรินยิ้มด้วยความเอ็นดู “ขอโทษเถิดฉอ้อนถ้าฉันทำให้ฉอ้อนนึกว่าตัวเองโง่ ไม่ได้ตั้งใจเลยเป็นความสัตย์ ปัญหาอย่างนี้ยากพอสมควร พูดไปแล้ว ฉันก็ยังสงสัยเหมือนกันว่าตัวฉันถูกหรือผิด แต่ถ้าเป็นตัวฉัน ฉันจะไป”

ฉอเลาะไปเป็นเพื่อนแม่ในงานศพของวรชาติ หล่อนอยากจะดูทีท่าของเฉิดฉันผู้เคยเป็นเพื่อนกันมาด้วย แต่ในงานนั้นล้วนแล้วไปด้วยคน “ศิวิไลส์” ไม่มีใครแสดงมารยาทไม่ดีต่อใครเลย มีแต่คุณหญิงศิริมากระซิบกับคุณแจ๋วว่า

“อยู่ๆ ไป ก็ได้เห็นเขาแสดงละครกันสนุกขึ้นๆ ทุกที”

คณะนายทหารที่ยึดอำนาจได้จัดการให้บ้านเมืองเข้าระเบียบเรียบร้อยภายในเร็ววัน ไม่ช้าบรรดาสตรีและครอบครัวในสังคมแห่งพระนครไทย ก็มีจิตใจเข้าสู่ภาวะที่เคยเป็น คือเอาใจใส่กับเครื่องแต่งกาย กำหนดการทำบุญวันเกิด การออกบัตรในงานเลี้ยง การจัดคู่ให้บุตรหลาน การวิวาห์ และการอื่นๆ ที่เนื่องกับชีวิตประจำวันของมนุษย์ที่ไม่ต้องผจญกับความหิวโหย หรือภัยอันตรายใหญ่โตอันใด และคุณเกริน เหมเสนา ก็มีโชคประหลาดดังที่มักจะมีในระยะที่เหตุการณ์ผันผวน คือระหว่างที่คณะที่ยึดอำนาจได้ใหม่ กำลังวินิจฉัยว่านายพลเกรินนี้เป็น “พวก” ใครแน่ ภรรยาของคุณเกรินก็ถึงแก่กรรม ความทุกข์ธรรมดาของสามัญสัตว์ยังผลให้บุคคลสำคัญในคณะนั้นเกิดเอนเอียงไปเชื่อคำชี้แจงของเพื่อนนายทหารของเกรินที่ได้ทำการรบร่วมกันที่นครศรีธรรมราช เมื่อครั้งถูกญี่ปุ่นขึ้นบุกรุกประเทศไทย ว่าเกรินมีความซื่อสัตย์ต่อประเทศชาติเหนือความซื่อสัตย์อื่น เกรินได้รับความเห็นอกเห็นใจ แต่เพื่อไม่ให้โอกาสแก่เขาที่จะคิดทำสิ่งที่ไม่ควรทำ เผื่อจะมีการยุแหย่ขอร้องจากฝ่ายที่เป็นอมิตร ผู้บังคับบัญชาจึงให้เกรินไปสำรองราชการชั่วคราว ทำให้เกรินกลายเป็นคนมีเวลาว่างมาก ได้จัดการศพภรรยาอย่างเงียบๆ ได้เรียบร้อยแล้ว โดยมีคุณแจ๋วและครอบครัวของฉอ้อนช่วยเหลือทุกโอกาสที่ช่วยได้ ส่วนพลตรีวิเวก น้องชายพลเอกวิทูร มีตำแหน่งที่คุมกำลังรบ ได้ถูกคุมตัวตั้งแต่พี่ชายหนีไปจากประเทศไทยนั้น ถูกปลดจากประจำการ และได้รับคำสั่งว่าไม่ให้ออกจากจังหวัดพระนครโดยไม่ได้รับอนุญาต

เกรินนำศพของภรรยาไปตั้งและประกอบการกุศลที่วัดเดียวกับที่ได้ตั้งศพของวรชาติ ด้วยเหตุที่คุ้นเคยกับพระที่วัดนั้น และสะดวกที่จะจัดหาอาหารเลี้ยงพระและอื่นๆ เพราะนอกจากจำลองจะช่วยเหลือแล้วอาผ่องและฉอ้อนก็ยังช่วยอย่างเต็มอกเต็มใจ มีการสวดพระอภิธรรมครบเจ็ดวันแล้วก็บรรจุศพไว้ ระหว่างที่ฉอ้อนหมกมุ่นอยู่กับการช่วยงานศพ หล่อนได้รับจดหมายจากปีนังผ่านทางพ่อค้าจีนญาติของนายโก และผ่านอีกต่อหนึ่งทางเฌอ

จดหมายของสามีถึงฉอ้อนมีข้อความว่า

“น้องที่รัก

พี่พยายามจะส่งข่าวถึงน้องตลอดมา แต่เพิ่งจะได้โอกาสดี พี่สบายไม่เจ็บไข้ นอกจากนิดๆ หน่อยๆ และก็หายดีแล้ว พี่อาศัยอยู่กับญาติของนายโกที่ปีนัง ในวันแรกพี่ไปหลบตัวอยู่ที่ระยอง ที่บ้านน้องชายอาขุนวิรุฬห์ ทีแรกเขาไม่รู้ว่าเราไปหลบใครทำไม จนได้ฟังวิทยุประกาศว่าเป็นขบถ แกออกจะกลัว พี่ก็เลยให้แกหาเรือจับปลาให้ลำหนึ่ง ให้เขาข้ามไปส่งถึงนราธิวาส เป็นเรือมีทั้งใบและเครื่องโมเตอร์ ไม่มีใครสงสัยอะไรเลย ปลอดโปร่งทุกอย่าง แสดงว่ายังมีคุณพระคุ้มครองอยู่ พี่ค่อยๆ เดินทางจากจังหวัดหนึ่งไปอีกจังหวัดหนึ่ง จนในที่สุดก็ออกจากเมืองไทยไปปีนังได้ พี่มาอยู่ที่นี่ประมาณ ๔ เดือนแล้ว ตอนนี้เห็นว่าโอกาสจะกลับเมืองไทยก็ยังมี แต่จะกลับไปด้วยความกรุณาของใครๆ นั้น พี่ไม่อยากทำ ถ้ากลับก็ต้องกลับในฐานะที่พอใจพี่ น้องและลูกๆ จำเป็นต้องอยู่เมืองไทยตามลำพังก่อน พี่หวังว่าน้องคงจะระงับความโศกเศร้าเสียดายชัยฤทธิ์ได้บ้างแล้ว ต่างคนเขาก็ต่างใช้เวรกันไป จะคุมแค้นใครก็ไม่ได้ แต่พี่คิดถึงลูกเกือบไม่เว้นวัน พี่ห่วงน้องเรื่องเงินอยู่บ้าง ได้ทราบว่าน้องและลูกสองคนไปพักอยู่บ้านอาผ่อง และกำลังรวบรวมเงินจะปลูกบ้าน เงินในชื่อน้องก็เห็นจะพอปลูกบ้านพออยู่ได้ในที่ดินที่น้องซื้อเอาไว้ ส่วนกลองนั้นไม่ต้องห่วง พี่จะส่งเงินไปให้ แต่น้องคงต้องการใช้สอย พี่เห็นทางอยู่อย่างหนึ่งคือ สายสร้อยทับทิมที่พี่ให้นั้น มีคนทางนี้เขายินดีซื้อถ้าน้องยินดีจะขาย พี่จะส่งคนที่ไว้ใจได้ให้เขาถือจดหมายจากพี่ไปยังน้อง ให้ช่างเพชรทางกรุงเทพฯ ตีราคาแล้ว เขาจะมอบเงินมลายูให้ แล้วน้องไปจัดการเปลี่ยนเป็นเงินไทยจากนายกัวน้องชายนายโกที่สะพานดำ คนที่จะนำเงินมลายูไป เขาไม่รู้จักน้อง แต่นายกัวจะต้องยินดีช่วยแน่นอน ถ้าน้องตกลง น้องเขียนหนังสือถึงนายกัวเอง แล้วเขาจะจัดการให้

พี่คิดถึงน้องและลูกอย่างหาอะไรเปรียบไม่ได้ แต่จำเป็นพลัดพรากจากกันชั่วคราว ถ้าชีวิตไม่ตายเสีย ก็จะได้เห็นหน้าชื่นใจกันอีก ขอให้น้องตั้งใจคอยวันนั้น ซึ่งคงจะมาถึงในเวลาไม่ช้านัก

จากพี่

วิทูร

ฉอ้อนอ่านจดหมายด้วยความอาลัย สงสาร และระแวง แต่หล่อนหักใจไม่ให้คิดไปในทางที่ไร้ประโยชน์ คิดตัดสินใจเรื่องสายสร้อยเรื่องเดียว แต่ก็ไม่แน่ใจตนเองจึงปรึกษาเฌอว่าควรจะทำอย่างไรดี เฌอฟังแล้วนิ่งไม่ตอบ ฉอ้อนรู้สึกน้อยใจมาก พ้อน้องชายว่า

“เฌอ เวลาอย่างนี้จะให้พี่หันหน้าไปหาใคร ชะเอมก็ไม่มีความคิดอะไร คุณเสริมแกก็กลัวเรื่องแกเป็นเขยใหญ่เขยน้อยกับคุณวิทูรแทบจะตายอยู่แล้ว ตั้งแต่คุณวิทูรหนีไป พี่ได้พบชะเอมกับคุณเสริม ๓ หนเท่านั้น พี่ถามเฌอเท่านี้ ทำไมนิ่งเสีย” สถานที่พูดกันนี้ก็คือชานเรือนของอาผ่อง ซึ่งเป็นที่พักผ่อนที่ถูกใจฉอ้อนยามเย็น

เฌอนิ่งไปอีกสองสามวินาที แต่เมื่อเห็นหน้าของพี่สาวเผือดลงทุกที เขาจึงจำใจพูด

“เรื่องอย่างนี้เป็นเรื่องส่วนตัวระหว่างพี่กับคุณวิทูรใครจะกล้าเข้าไปเกี่ยวข้อง พี่ต้องตัดสินว่า พี่อยากขายไหม สายสร้อยเส้นนี้มีความหมายแก่พี่อย่างไร”

“สายสร้อยนี้มันก็มีความหมายว่า คุณวิทูรเมื่อเขากำลังมีอำนาจวาสนา เขายังอยากยกย่องว่าพี่เป็นเมียของเขา เขาไปเที่ยวมีเมียที่อื่นๆ น่ะพี่รู้ แต่พยายามไม่เอาใจใส่ ถ้าเขาเลี้ยงดูกันได้ ไม่เดือดร้อนถึงลูก พี่ก็ว่านิ่งเสียเป็นดีที่สุด เอะอะไปก็รังแต่จะอายเขา สายสร้อยเส้นนี้เขาให้ในวันที่พี่ได้เป็นท่านผู้หญิง ก็แปลว่าพี่เป็นท่านผู้หญิงของเขา แต่เดี๋ยวนี้ ความเป็นท่านผู้หญิงมีความสำคัญอย่างไร จะเข้าเฝ้าเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินท่านก็คงไม่ชื่นชม ไม่เป็นเกียรติยศแก่ท่าน เพราะต่างคนต่างก็เอาโคลนสาดกันเปรอะเปื้อนไปหมด”

“พี่ต้องคิดเองให้ตก” เฌอว่า “ไม่มีใครแนะนำพี่ได้ เรื่องสายสร้อยสายนี้”

ฉอ้อนคิดอยู่สามวัน แต่ที่จริงหล่อนตกลงใจโดยไม่รู้ตัวตั้งแต่วันแรก ฉอ้อนตัดสินตามความสำนึกเดิมของชาวชนบท รู้สึกว่าสายสร้อยสายนี้ เก็บไว้ก็ไม่บังเกิดประโยชน์ ถ้าสามารถเปลี่ยนให้เป็นเงินสด อาจทำให้เกิดดอกออกผลสำหรับลูกต่อไป จึงเขียนจดหมายไปถึงนายกัวตามที่วิทูรแนะมา และให้เฌอถือไปที่ร้านของนายกัวที่สะพานดำ

ต่อมาอีกประมาณหนึ่งเดือน เฌอก็มาบอกแก่พี่สาวว่า นายกัวนัดให้ฉอ้อนหรือผู้แทนไปพบกับคนที่วิทูรส่งมา ฉอ้อนจึงขอร้องให้เฌอไปแทน แต่เมื่อถึงวันนัดเฌอมีคนไข้เจ็บหนัก ฉอ้อนจึงต้องไปเอง และไปคนเดียว เพราะได้สนับสนุนให้ฉอเลาะไปเยี่ยมคุณปู่ที่สวนบางซ่อนในวันนั้น

ฉอ้อนมาถึงร้านของนายกัวด้วยรถยนต์ขนาดเล็กที่ฉอ้อนได้ซื้อไว้วิ่งจ่ายของในสมัยที่คุณวิทูรยังเป็น “ท่านรอง” อยู่ เป็นการกระทำที่ฉอ้อนชมเชยตนเองมาก เพราะทำให้หล่อนและลูกไม่เป็นที่น่าสงสารแก่ญาติมิตรเกินไป เด็กหน้าร้านของนายกัวรู้จักฉอ้อนดี รีบเชิญให้ไปหานายกัวที่สำนักงานของเขาชั้นบน ฉอ้อนก้าวเท้าเข้าไปในห้องนายกัว พอเห็นคนที่นั่งอยู่กับนายกัว ฉอ้อนก็ชะงัก รู้สึกเวียนศีรษะจนแทบจะดำรงตนไว้ไม่ได้ เอามือหนึ่งยึดขอบประตูไว้ ผู้ที่นั่งรอจะพบเฌอแล้วต้องพบฉอ้อนแทนเป็นหญิงแต่งกายอย่างพม่า รูปร่างทีท่าที่นั่งตัวตรงอยู่บนเก้าอี้ บอกแก่ฉอ้อนอย่างแน่นอนว่าเจ้าหล่อนคือหญิงที่ฉอ้อนได้เห็นในสวนอันสว่างไปด้วยแสงจันทร์

หญิงนั้นเองก็ตกใจที่เห็นฉอ้อนแทนที่จะเป็นเฌอ แต่วางสีหน้าเป็นปรกติได้ เพียงแต่จ้องมองนายกัวอย่างขอความช่วยเหลือ ฉอ้อนก็รีบข่มอารมณ์วูบวาบที่เกิดขึ้นทำเดินไปนั่งบนเก้าอี้ตัวที่นายกัวยกให้ และถามด้วยน้ำเสียงที่สั่นแต่เพียงเล็กน้อย

“นายกัวคอยฉันอยู่หรือเปล่า”

“คอยซีครับ” นายพาณิชย์จีนตอบ “นี่ผู้แทนของท่าน เรื่องเงินผมรับไว้เรียบร้อยแล้ว เป็นเงินไทยบ้าง เงินปอนด์บ้าง และเงินมลายูบ้าง ผมเอาเข้าบัญชีท่านผู้หญิงหลายๆ ธนาคาร ที่โน่นบ้างที่นั่นบ้าง ดูบัญชีนี่” นายกัวพูดแล้วก็ส่งใบกระดาษสีขาวบางให้ฉอ้อนดู

ฉอ้อนรับมาดูรายการเงินที่นายกัวจดไว้สำหรับให้ฉอ้อนไปสอบสวนจำนวนตามธนาคารต่างๆ ที่หล่อนมีบัญชีในชื่อของหล่อนเอง เห็นว่าตรงกับที่ตกลงราคาไว้ หล่อนกลืนน้ำลายลงไปในคอแห้งๆ หลายครั้งก่อนที่จะถามว่า

“แล้วคุณนี่จะเป็นคนนำไปให้คุณวิทูรหรือยังไง”

หญิงในเครื่องแต่งกายพม่าตอบเป็นภาษาไทยค่อยข้างแปร่ง “ไม่ไปค่ะ มีคนอื่นเอาไปให้คนที่จะซื้อ”

ฉอ้อนไม่เห็นประโยชน์ที่จะซักถามต่อไป หล่อนไม่มีกำลังใจที่จะทำดังนั้น หรือแม้จะนั่งอยู่ต่อไปก็ไม่ไหว รีบหยิบหีบสายสร้อยทับทิมสวยงามออกจากกระเป๋าถือ วางไว้บนโต๊ะของนายกัว แล้วก็ยืนขึ้น

“อ้าว ท่านผู้หญิงจะไปแล้วหรือครับ” นายกัวถาม เมื่อฉอ้อนพยักหน้าและมองไปทางอื่นเพื่อไม่ให้สบตาแขกของเขา นายกัวก็รีบเดินไปเปิดประตู แล้วพาฉอ้อนลงไปส่งที่รถหน้าร้าน ฉอ้อนขึ้นรถได้แล้วก็บอกคนขับให้พาหล่อนข้ามฟากไปยังบ้านอาผ่อง

ถึงปากซอยเล็กจะเข้าไปถึงบ้านที่หล่อนพัก ฉอ้อนลงจากรถ คนรถรีบปิดประตูรถเพื่อจะใส่กุญแจแล้วตัวจะได้เข้าไปส่งท่านผู้หญิง ก่อนที่จะเอารถไปเก็บ ณ สวนใกล้ๆ ที่มีทางเข้าสะดวกจากถนนใหญ่ แต่ฉอ้อนโบกมือบอกว่า “ไม่ต้อง ไม่ต้อง” และสาวเท้าเดินห่างจากรถไปอย่างรวดเร็ว รีบเข้าบ้าน รีบขึ้นเรือน และตรงเข้าห้องนอน

สองวันต่อมาจากนั้น คุณแจ๋วกำลังพักผ่อนในเวลาเย็น เพราะเป็นเวลาที่ลูกค้าเข้าร้านน้อย คุณแจ๋วนอนอ่านหนังสืออยู่บนเก้าอื้นอนที่ตอนหลังของร้าน มองเห็นท้องฟ้าชิ้นแคบเล็ก กำลังนึกว่าเหตุที่จะทำให้เลิกอาชีพขายอาหาร เห็นจะเป็นเรื่องที่ต้องอยู่กับร้านจำเจ ไม่ได้และเห็นภาพธรรมชาติเบิกบานตาบ้างเลย และคิดหาช่องทางจะทิ้งร้านไปตากอากาศที่ไหน เมื่อไหร่ดี พนักงานขายอาหารคนหนึ่งเข้ามาบอกว่า คุณเกรินมาหา

คุณแจ๋วรีบออกไปรับรองตามเคย และพาขึ้นไปชั้นสอง เข้าห้องส่วนตัว เห็นสีหน้าคุณเกรินหมกมุ่นจึงถามว่า

“มีเรื่องอะไรคะ”

คุณเกรินควักกระดาษชิ้นหนึ่งขึ้นมาจากกระเป๋าเสื้อ “อ่านนี่ซิ คุณแจ๋ว” เขายื่นให้ญาติ

“เกริน

ถ้าทางบ้านตกใจว่าหายไปไหน ช่วยบอกว่าลงไปธุระปักษ์ใต้ ถ้าหายไปนาน อย่าห่วง ถ้าหายไปนานมาก เกรินช่วยติดต่อกับนายอึ้ง ถามว่าเงินค่าเช่าห้องแถวและเงินอื่นๆ มีเท่าไหร่บ้าง แจ๋วเขาติดต่อได้ดีกว่าเพื่อน แล้วบอกคนเช่าให้เอาเงินให้ที่บ้านของพี่ ขอให้เกรินอยู่เย็นเป็นสุข

อ้น”

“คุณเกรินไปได้นี่จากไหน” คุณแจ๋วถาม แววตาบอกความกังวล

“เกรียงเป็นคนรับไว้ บอกว่าคุณลุงอ้นเอาไปให้เอง เมื่อวานนี้ฉันบังเอิญไปสโมสรทหารกับเพื่อนเก่าๆ กันไม่ให้เขาจะลืมเสียว่าหน้าตาเราเป็นอย่างไร” เมื่อเห็นคุณแจ๋วกังวล เกรินจึงทำให้เสียงของตนคลายความเคร่งเครียด

“มันมีแปลกยังไงๆ อยู่” คุณแจ๋วว่า “ทำไมมีการสั่งเสียหลายชั้น แล้วพี่อ้นก็ไม่เห็นเคยมีธุระอะไรทางปักษ์ใต้”

“ฉันก็มีความรู้สึกแปลกๆ คล้ายจะเป็นสังหรณ์อะไรก็ไม่รู้” เกรินคล้อยตาม “แต่เราก็ไม่มีทางจะทำอะไร หรือคุณแจ๋วว่าอย่างไร”

คุณแจ๋วนิ่งคิดไปสักครู่หนึ่ง แล้วว่า “ก็เห็นจะต้องลองไปถามๆ ลูกเมียเขาดูว่า หมู่นี้พี่อ้นเป็นอย่างไรบ้าง เราก็ทอดทิ้งเธอเสียนาน มัวห่วงมิตรเลยลืมญาติ

ในวันต่อมา คุณแจ๋วพอจะหาเวลาว่างจากงานในร้านได้บ้าง จึงไปเยี่ยมครอบครัวของคุณแจ๋วเองที่บ้านในถนนเดียวกันนั้น ซึ่งคุณแจ๋วละเลยไม่ได้เยี่ยมมากว่าเดือน เมื่อเข้าไปหาคุณหญิงมารดาเลี้ยง จึงถูกต่อว่าต่อขานหลายนาที

“เพียงอยู่ถนนเดียวกัน เขายังทิ้งได้นานถึงแค่นี้ ถ้าอยู่ไกลไปถึงฝั่งคะโน้นจะเป็นยังไง แต่มันอยู่ที่ใจ ฝั่งคะโน้นมีเวลาข้ามไปบ่อยๆ ไม่ใช่รึ แม่แจ๋ว ที่ข้ามไปบ่อยๆ น่ะ ห่วงท่านผู้หญิงสหายเก่า หรือว่ามีหวังอะไรแน่”

คุณแจ๋วไม่ต่อปากคำกับคุณหญิง ถามถึงทุกข์สุขกับคุณแต๋ว และถามถึงบริวารเก่าของเจ้าคุณพ่อที่ยังคงพักพิงคุณหญิงอยู่ เล่าเรื่องกิจการของร้าน แล้วพอได้จังหวะ ก็ไปเยี่ยมครอบครัวของพี่ชายใหญ่ ซึ่งอาศัยอยู่ที่เรือนอีกหลังหนึ่ง ตามเคยพี่สะใภ้ไม่อยู่บ้าน สาวใช้ไม่ทราบว่าไปไหน ถามถึงคุณอ้น สาวใช้ว่าไม่อยู่หลายวันแล้ว และไม่ทราบว่าไปไหน และบอกว่าได้ยินจากคนรถของคุณหญิงว่าได้ไปส่งคุณอ้นที่สถานีรถไฟ ลูกสาวของพี่อ้นสองคน ได้ออกเรือนไปแล้ว ที่บ้านของพี่อ้นนั้น เงียบเหงาอยู่เป็นนิจ คุณแจ๋วนึกตำหนิตนเอง ที่ไม่ห่วงไยพี่ชายให้มากกว่าที่ได้ประพฤติมา แต่เมื่อไต่ถามคนใช้อีกคนหนึ่ง และไม่ได้รับทราบเพิ่มเติม ก็จำต้องลากลับร้านเพราะธุรกิจคอยอยู่

เหตุการณ์บ้านเมืองและเหตุการณ์ส่วนตัวของคุณแจ๋วและของฉอ้อนดูเป็นปรกติอยู่หลายสัปดาห์ ฉอ้อนเกือบจะบอกแก่ตนเองว่ายินดีที่ภรรยาคุณเกรินตายลงภายในเวลาอันใกล้ที่หล่อนขายสร้อยเส้นงามของหล่อนไปแก่ผู้ที่ฉอ้อนเรียกในใจว่า “เจ้าหญิงในแสงจันทร์” และฉอ้อนต้องวุ่นไปกับการช่วยคุณเกริน แต่ก็ย่อมต้องเตือนตนเองว่า ถึงแม้ภรรยาคุณเกรินจะเป็นโรคที่รักษาไม่หาย คุณเกรินก็คงอยากพยาบาลไปนานๆ เปรียบกับใจของฉอ้อน ถ้าหากสามีป่วย ก็คงอยากพยาบาลให้นานที่สุดที่จะนานได้ แล้วก็เลยคิดไปถึงว่า ถ้าหากเขาป่วยลงในเวลาที่พลัดพรากกัน เขาจะเรียกร้องให้ใครไปพยาบาลเขา ฉอ้อนหรือหญิงคนไหน ฉอ้อนได้อยู่ในโลกมานานพอที่จะรู้ว่าชายนั้นมีหลายใจ ไม่จงรักอยู่ต่อเพียงหญิงเดียว แต่ย่อมมีหญิงคนหนึ่งเป็นเอกในใจของเขา สำหรับวิทูร ฉอ้อนเป็นเอกหรือเปล่า หรือตำแหน่งนั้นมีคนอื่นที่ชำนาญโลกมากกว่า ได้เข้าไปครองเสียแล้ว ที่สามารถพูดโต้ตอบไม่ให้เขาเบื่อหน่าย เขาไม่ต้องสอน ไม่ต้องชี้แจงอย่างภรรยาคนแรก

แล้วฉอ้อนก็ได้รับทราบข่าวที่ทำให้หล่อนบอกแก่ตัวเองว่า ปัญหาทั้งหลายที่เกี่ยวกับสามีและหล่อนจะสิ้นสุดลงง่ายๆ มีโทรเลขจากกงสุลไทยที่ปีนังถึงนายแพทย์เฌอ ศิลปชาญ แจ้งว่า พลเอกวิทูร ได้ถูกคนร้ายลอบยิงบนเขาที่ตากอากาศในเกาะปีนัง อาการสาหัส กงสุลได้นำไปรักษาที่โรงพยาบาลเมืองปีนัง ขอให้ครอบครัวลงไปโดยเร็ว

เฌอได้โทรศัพท์ไปถึงคุณเกริน และชายทั้งสองได้ไปยังที่พักของฉอ้อน คือบ้านอาผ่องพร้อมกัน ขณะนั้นเป็นเวลาบ่าย ฉอ้อนลงไปนั่งเล่นในสวน อ่านหนังสือและทำการฝีมือบ้าง ฉอเลาะได้ไปสมัครเป็นครูโรงเรียนซึ่งเจ้าของเป็นนักเรียนรุ่นพี่ใหญ่จากโรงเรียนเก่าของฉอเลาะแล้ว ตั้งแต่ได้รับจดหมายจากไกร เหมเสนา ฉอเลาะเปลี่ยนไปเป็นคนละคน มีความตั้งใจที่จะต่อสู้กับชีวิตอย่างเข้มแข็ง ฉอ้อนยินดีในเรื่องนี้มาก ในตอนนี้โรงเรียนของหนูเป๊าะก็เปิดแล้ว ฉอ้อนจึงมักอยู่บ้านกับอาผ่องสองคน ส่วนอาขุนวิรุฬห์ก็ไม่ค่อยจะอยู่ติดบ้านมาเป็นเวลานานหลายปีแล้ว

เมื่อฉอ้อนได้รับโทรเลขจากมือเฌอและอ่านข้อความแล้ว สีหน้าของหล่อนก็เผือดไปเล็กน้อย แต่ตัดสินใจได้รวดเร็ว

“ใครจะช่วยวิ่งเต้นให้ได้ไปโดยเร็ว” ฉอ้อนถามน้องชายและมิตรรัก “และเฌอจะไปเป็นเพื่อนพี่ได้ไหม จะเอาลูกไปทั้งสองคนจะได้ไหม”

“คนที่เขาจะช่วยวิ่งเต้นทางกระทรวงต่างประเทศก็มีบ้างทั้งญาติทั้งมิตร” คุณเกรินแนะ “ฉอ้อนกับเฌอปรึกษากันเรื่องครอบครัวเถอะ ฉันจะไปจัดการทางฝ่ายรัฐบาล”

“แต่ผมไปกับพี่ไม่ได้” เฌอตอบเสียงอ่อยๆ “ผมกำลังมีไข้หนักถึง ๓ ราย รายเดียวพอฝากเพื่อนได้ แต่ ๓ รายกำลังหัวเลี้ยวหัวต่อ การเปลี่ยนหมอขณะนี้อาจทำให้ตายทั้ง ๓ คนก็ได้ ผมเสียใจจริงๆ แต่พี่คงจะเห็นใจ ผมอยากขอให้คุณเกรินไปเป็นเพื่อนพี่ ค่าสิ้นเปลืองผมขอกราบคุณเกรินขอให้ผมเป็นคนใช้ให้ เวลานี้คุณเกรินก็ว่างราชการ ถ้าทางการไว้ใจ คุณเกรินไปกับพี่เป็นดีที่สุด คุณเกรินไปอาจทำให้คุณวิทูรแช่มชื่นได้มาก ที่จริงเขารักคุณเกรินมาก แต่เขาคบกับพวกหนึ่งเสียแล้ว เลยคบกับคุณเกรินไม่ได้มากนัก แต่ผมเชื่อว่าเวลาอย่างนี้ คงอยากเห็นหน้าเพื่อนรักบ้าง ผมไม่สำคัญอะไรแก่เขา คนละวัยละรุ่นกัน” จบคำพูดอันยืดยาวซึ่งเฌอพยายามพูดอย่างไม่ให้ใครขัดขึ้นมาแล้ว เขาก็ถอนใจใหญ่และมีน้ำตาคลอ ทำให้พี่สาวปล่อยน้ำตาไหลลงมานองหน้า

เกรินมองหน้าพี่น้องสองคนแล้วก็ทอดถอนใจด้วย และโดยไม่ทันคิดมากนักก็รับว่ายินดีจะไปเป็นเพื่อนฉอ้อนถ้าทางการไม่ขัดข้อง แล้วก็รีบไปจัดการให้เป็นไปตามข้อตกลงอย่างรวดเร็วทุกฝ่าย ระหว่างที่นั่งรถกลับไปกระทรวงเพื่อจะได้ไปติดต่อกับทางการ เขาคิดอะไรขึ้นมาได้อย่างหนึ่ง พอถึงกระทรวงจึงโทรศัพท์ไปที่ร้านนายสุน ขอร้องให้เรียกคุณแจ๋วมาต่อโทรศัพท์กลับไปถึงที่ทำงานของเขา

คุณแจ๋วกำลังเตรียมอาหารรับลูกค้าระลอกเย็นตอนคนเลิกงาน รู้สึกรำคาญใจที่ถูกเรียกไปต่อโทรศัพท์แต่รำลึกว่าคงต้องมีเรื่องสำคัญ เพราะคุณเกรินก็เป็นคนรู้จักเกรงใจคน จึงละจากร้านและรีบไปโทรศัพท์ต่อกลับไปตามเลขที่ญาติขอร้อง

ไม่ช้าคุณแจ๋วก็ได้ทราบข่าวพลเอกวิทูร ถูกคนลอบยิง แล้วได้ยินคุณเกรินปรึกษาทางโทรศัพท์

“คุณแจ๋ว ทิ้งร้านเจ็ดแปดวันไม่ได้จริงๆ รึ ไปด้วยกันไม่ได้รึ”

“อะไรไม่ได้รึๆ” คุณแจ๋วชักจะดุ “ทิ้งไปน่ะได้ ไม่มีเจ้าขุนมูลนายที่ไหน แต่จะให้ไปด้วยทำไม”

“คุณแจ๋ว ฉันว่าถ้าคุณแจ๋วไปด้วย อาจจะได้ทำประโยชน์อะไรที่ไม่ได้คาดหมาย” เกรินบอก “จริงๆ นะ ทิ้งร้านไปด้วยกันเถิดน่ะ แล้วฉันเองก็ไม่รู้ว่าทางการเขาจะอนุญาตไหม ไปติดต่อเผื่อคุณแจ๋วด้วย แล้วถ้าหากฉันไม่ได้ไป ก็เหลือคุณแจ๋วได้ไปเป็นเพื่อนฉอ้อน”

ใจจริงของคุณแจ๋วนั้นอยากไปด้วยเหตุหลายประการ แต่ก็ยังรีรอไม่กล้าตัดสิน “เอาเงินเอาทองที่ไหนล่ะ”

“ตาเฌอแกว่าแกจะออกให้ฉัน แต่ฉันก็มีพอหรอกสำหรับเดินทางไปแค่ปีนัง ทีนี้เรื่องที่อยู่ คงจะไม่แพงนักกระมัง บางทีอาจพบเพื่อนฝูงของคุณแจ๋วพอจะอาศัยเขาได้”

คุณแจ๋วอิดออดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วทันทีทันใดเกิดตัดสินใจ “เอ้าไปก็ไป ไปตายเอาดาบหน้า ที่จริงคนรู้จักกันก็มี ติดต่อกันตั้งแต่อยู่ปักษ์ใต้หลายคน”

ปัญหาเรื่องการขออนุญาตก็ดี ปัญหาการเงินและอื่นๆ ลุล่วงไปได้อย่างรวดเร็วเกินความคาดหมาย ในยามเช่นนี้เห็นปรัชญาชีวิตของคนไทยแจ่มชัด โดยมากถือสุภาษิต “ไม้ล้มจึงข้าม คนล้มอย่าข้าม” และถือธรรมะในข้อเมตตาธรรม กรุณาธรรม กันแพร่หลายทางการแสดงออกถึงความไม่มีพยาบาทแก่คนที่กำลังเจ็บหนัก โดยเฉพาะแก่ครอบครัวของคนที่บาดเจ็บ และเสียงกล่าวขวัญถึงท่านผู้หญิงฉอ้อนในทางที่ดีก็กลับหนาหู “โธ่ เขาคนดีนะ ท่านผู้หญิงฉอ้อนน่ะ” “เมื่อเขามีบุญเขาก็ทำตัวน่ารักนะ” “เขาก็เคยดีต่อเรามากเหมือนกัน” อิทธิพลของเจ้าพระยาสุเรนทรฯ ผู้ที่ทางการยังต้องพึ่งความปรีชาสามารถก็มามีส่วนด้วยในคราวนี้ ท่านได้เจรจาให้ท่านผู้หญิงได้รับความช่วยเหลืออย่างทันทีที่ได้ทราบจากลำไย ผู้ได้รับทราบจากคุณแจ๋วถึงความจำเป็นที่ท่านผู้หญิงจะต้องเดินทางไปหาสามี และภายใน ๓๖ ชั่วโมงต่อจากที่ได้รับโทรเลข ท่านผู้หญิงกับคณะก็ได้อยู่บนเครื่องบิน บ่ายหน้าไปทางทิศใต้ของประเทศไทย และอีกไม่ถึงสามชั่วโมงต่อจากนั้น ก็ได้ไปถึงโรงพยาบาลที่พลเอกวิทูรป่วยอยู่

อาคารที่ทางการตำรวจของเมืองปีนังพาสามีฉอ้อนไปรับการรักษาเป็นอาคารสมัยเก่า มีเพียงสองชั้น ห้องแต่ละห้องกว้างขวาง สร้างสำหรับรับลม เมื่อคณะของฉอ้อนไปถึงได้รับทราบจากพยาบาลที่เฝ้าไข้ว่าพลเอกวิทูรหลับ ระเบียบของโรงพยาบาลนี้ไม่เหมือนโรงพยาบาลในประเทศไทย โดยเฉพาะเมื่อคนไข้ป่วยหนัก ผู้เยี่ยมจะอยู่ในห้องคนไข้ระหว่างที่คนไข้หลับไม่ได้ ทั้งคณะได้รับเชิญให้ไปนั่งรอที่ห้องพักผู้เยี่ยมที่กลางตึก ผู้เยี่ยมจึงมีเวลาปรึกษากันเรื่องที่พัก โดยไม่ได้นัดกัน ฉอ้อน คุณแจ๋ว คุณเกริน ต่างคนต่างไม่ถามว่า ก่อนที่จะถูกยิงนั้นพลเอกวิทูรพักที่ไหนในเมืองปีนัง การปรึกษากันจึงเป็นเรื่องการหาโรงแรม จะแยกกันอยู่ หรือจะอยู่รวมกัน จนกระทั่งกงสุลไทยมาถึงห้องที่นั่งกันอยู่ จึงแจ้งว่าได้จองห้องไว้สองห้องที่โรงแรมชั้นหนึ่งสำหรับท่านผู้หญิง ฉอ้อนจึงขอร้องให้คุณเกรินและคุณแจ๋วอยู่ที่เดียวกัน และเตือนถึงคำพูดของเฌอ “เฌอเขากราบคุณเกรินแล้วไงคะ ว่าอย่าเป็นห่วงเรื่องสิ้นเปลือง และคุณเกรินก็บอกคุณแจ๋วแล้วว่าคุณแจ๋วไม่ต้องห่วงเหมือนกัน” คุณแจ๋วโต้แย้งว่าไม่จำเป็นสำหรับคุณแจ๋ว คุณแจ๋วมีเพื่อนที่จะไปขออาศัย ระหว่างที่คุณแจ๋วโต้เถียง นายพาณิชย์จีนคนหนึ่งก็เข้ามาในห้อง กงสุลเห็นก็แนะนำให้ทุกคนรู้จักว่า เขาคือ มิสเตอร์ตัน นายพาณิชย์คนนี้ขบปัญหาที่พักอย่างง่ายที่สด “ผมมีบ้านอยู่ใกล้นี่ ถนนสองถนน” เขาพูดไทยคล่อง แต่ออกเสียงอย่างจีน “ผมให้เขาจัดไว้แล้ว ผมไม่รู้จะมากันกี่คน ให้เขาเตรียมไว้สองหลัง ข้างในเป็นบ้าน ข้างหน้าเป็นเหมือนตึกแถว แต่มากันเท่านี้ อยู่ด้วยกันในบ้านข้างในได้สบายเลย”

พยาบาลส่งข่าวว่าคนไข้ตื่นแล้ว ฉอ้อนจึงเข้าไปเยี่ยมสามีแต่ผู้เดียวก่อน ตามคำแนะนำของนายแพทย์ หล่อนได้เห็นเขาเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่วันที่จากกันอย่างไม่ได้เตรียมใจไว้ วันที่หล่อนสูญเสียสิ่งมีค่ายิ่งหลายอย่างสำหรับชีวิตของผู้หญิง แต่เมื่อหล่อนเห็นเขานอนอย่างระทวยอยู่บนเตียงคนเจ็บ ค่อนไปข้างซ้ายของเตียง แขนข้างซ้ายมีผ้าพันแผลอยู่เกือบตลอด แขนข้างขวาทอดอยู่เกือบเป็นตามขวางของเตียง หน้าซีดเพราะความอ่อนเพลีย ฉอ้อนลืมหมดทุกสิ่งทุกอย่างนอกจากความรักที่หล่อนได้มอบให้เขา ตั้งแต่ขณะที่เขายืนมองดูหล่อนที่ริมแอ่งน้ำใต้ต้นจิก เมื่อหล่อนอายุยังไม่เต็ม ๑๗ ปี เมื่อความเป็นสาวไม่มีความหมายอื่นนอกจากความหวังในชีวิตว่าคงสุกใสแช่มชื่น และความเป็นหนุ่มหมายถึงอนาคตอันรุ่งโรจน์

หล่อนเข้าไปยืนชิดเตียง ก้มหน้าลงไปซบกับแขนข้างที่ทอดใกล้ตัวหล่อน เขางอแขนขึ้นเอามือลูบผมหล่อนเบาๆ หล่อนบังคับตัวได้ไม่ให้ร้องไห้ ถามเขาด้วยน้ำเสียงที่เครือแต่เพียงเล็กน้อย

“พี่ เป็นอย่างไรบ้างพี่”

เขายิ้มอย่างอ่อนเพลีย ไม่มีแรงที่จะตอบ หล่อนถามอีก “นอนสบายไหมคะ เมื่อกี้ฉอ้อนเข้ามา พี่กำลังหลับ”

เขายิ้มพยักหน้ากับหล่อน หล่อนบอกต่อไป “ฉอเลาะกับหนูเป๊าะก็มา คนช่วยกันใหญ่ ทุกคนช่วยให้ฉอ้อนกับลูกได้ออกมาหาพี่เร็วที่สุดที่จะเร็วได้”

“ดี” เขาพูดออกมาพยางค์หนึ่งเบาๆ หล่อนจึงพูดต่อ เพื่อเขาจะได้ไม่ต้องใช้แรง

“คุณเกรินก็มาด้วย คุณแจ๋วก็มาเป็นเพื่อนหนูเป๊าะกับฉอเลาะ ไม่งั้นฉอ้อนก็ต้องห่วงลูก” แล้วหล่อนก็ระลึกขึ้นมาถึงพี่น้องของเขา ซึ่งในยามวิกฤติหล่อนไม่ได้ไปชักชวนให้มาเป็นเพื่อน จึงเล่าต่อไป “พี่วงศ์ก็แสนดีตามเคย บอกว่าเรื่องเงินทองไม่ต้องวิตก พอจะกู้หนี้ยืมสินได้ คุณวิเวกมาไม่ได้ คุณพ่อคุณแม่สบาย บอกว่าพี่ไม่ต้องเป็นห่วง”

เขาฟังและยิ้มอย่างเดิม ฉอ้อนเล่าต่อไปอีก “เขียนจดหมายไปบอกกลองแล้ว บอกไม่ต้องวิตก” เขาพยักหน้าและเอานิ้วมือพันผมของหล่อนที่ปลิวลงไประมือของเขาเล่น ตอนนี้ฉอ้อนเริ่มรู้สึกเมื่อย จึงเขยิบไปยกเก้าอี้มานั่ง แล้วซบหน้าลงกับทรวงอกเขาโดยระวังไม่ให้เขาต้องรับน้ำหนักตัวหล่อน

สองคนนิ่งกันอยู่ แล้วทันใด เขาพูดเสียงค่อนข้างใส “อยากพบเกรินก่อน”

ฉอ้อนรู้สึกยินดียิ่งกว่าคำพูดใดๆ ของเขา หล่อนรีบออกมาเรียกคุณเกรินทันที พยาบาลเข้าไปถามว่าเขาต้องการพบคนเดียวหรือสองคน เพราะไม่อยากให้เขาตื่นเต้นโดยไม่จำเป็น เขาทำมือให้รู้ว่าเขาจะพบเกรินคนเดียว

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ