บทที่ ๑๗

งานขึ้นเรือนใหม่ของคุณหญิงจำรูญ โกศลราชสุภา มีแขกที่โดยมากเป็นญาติผู้น้อยมาประชุม แม้ว่าจะไม่ถึงขีดคับคั่ง แต่ก็อยู่ในเกณฑ์คึกคัก เสียงแลกเปลี่ยนคำถามคำตอบเกี่ยวกับความคงที่ หรือความเปลี่ยนทางกาย ทางใจ ทางอนามัย ของเจ้าคุณปู่ คุณตา คุณน้าพระ คุณลุงหลวง คุณพี่นั่น คุณน้านี่ และเกี่ยวกับความเจริญเติบโตของตาป้อม ยายจิ๋ว และหนูอะไรและหลานอะไรๆ และการสนทนาแลกเปลี่ยนความเห็นเกี่ยวกับคุณพี่ใหญ่ คุณน้องกลาง หนูเล็ก แม่นิด และญาติชื่อต่างๆ เป็นเสียงที่ได้ยินอยู่ทุกส่วนของบ้าน เดิมก่อน พ.ศ. ๒๔๗๕ เจ้าคุณโกศลฯ เป็นผู้ที่มีใจกรุณา รับเลี้ยงดูญาติที่ค่อนข้างขัดสนไว้หลายครอบครัว ต่อมาเมื่อเศรษฐกิจไม่ค่อยดี ทรัพย์ของเจ้าคุณร่อยหรอลง ก็ได้มีการระบายญาติและผู้อาศัยออกไปจากความคุ้มครองของท่านทีละน้อย ต่อมาคนรุ่นเด็กเจริญเติบโต บ้างก็สำเร็จการศึกษา มีอาชีพเป็นหลักฐาน บ้างก็มีครอบครัวที่มีทรัพย์มากกว่าผู้ที่ได้อุปการะมาเสียด้วยซ้ำ คนที่ได้เคยรับการอุปการะมาเหล่านั้น มักเป็นคนมีความกตัญญูต่อเจ้าคุณและต่อไปถึงตัวคุณหญิงหม้ายของท่าน และรวมไปถึงบุตรธิดาของท่านด้วย ดังนั้น ไม่ว่าคุณหญิงจะมีงานทำบุญ หรือมีงานมงคล หรืองานเศร้า บ้านของท่านมักจะพรักพร้อมไปด้วยบุคคลที่ใคร่จะมาแสดงความกตัญญู ในขณะเดียวกัน ก็ย่อมได้พบกับผู้ที่คุ้นเคยมาแต่เล็กแต่น้อย และในขณะเดียวกันนั้นอีก ก็ได้แสดงความสำเร็จในชีวิตให้ปรากฏ หรืออาจแสดงความวิตกทุกข์ร้อน ที่อาจทำให้ได้รับความช่วยเหลือตามควรด้วย

ในส่วนบุตรเลี้ยงของคุณหญิง ชายหนึ่ง และหญิงสาม ถึงแม้จะมีเหตุผลเป็นอย่างใด ก็จะต้องพยายามมาให้ครบตัวกันทุกคราวที่คุณหญิงมีงานที่บ้าน เพราะว่าบุตรเลี้ยงทั้งสี่เห็นใจว่าคุณหญิงเปล่าเปลี่ยว ลูกแท้ๆ ก็ไม่มี และเด็กๆ ที่เกิดจากคนที่ท่านได้มีส่วนอุปการะมา ก็มีครอบครัวและภาระอื่นๆ คุณหญิงไม่ค่อยได้รับความเอาใจใส่จากผู้ใดในเวลาปรกติ ถึงแม้จะอยู่ร่วมกันกับลูกเลี้ยงคนโต คือ คุณแต๋ว แต่ก็ไม่ค่อยถูกนิสัยกัน ไม่อาจบรรเทาความเปล่าเปลี่ยวให้กันและกันได้ ทั้งนี้ต้องโทษวิบากกรรมของคุณหญิงเองด้วย คือคุณหญิงเป็นผู้ที่ปรารถนาในสิ่งที่พ้นสมัยที่คุณหญิงจะปรารถนาเสียแล้ว คุณหญิงใคร่จะมีญาติและบริวารห้อมล้อมเหมือนเมื่อครั้งสมรสใหม่ๆ แต่ภาวะของประเทศได้เปลี่ยนไปแล้ว คุณหญิงปรารถนาให้มีคนยกย่องสรรเสริญเหมือนเมื่อยังอยู่ในวัยสาว แต่วันคืนก็ล่วงไปเสียแล้วเช่นกัน คุณหญิงไม่เคยเอาใจใคร บัดนี้ก็ไม่มีใครเอาใจคุณหญิงนัก แต่ยังเคราะห์ดีที่มิได้ถูกทอดทิ้งอย่างสิ้นเชิง ยังมีคนยินดีรับจ้างปรนนิบัติคุณหญิงตามวัย มีคนรับจ้างดูแลบริเวณบ้านไม่ให้รก และมีญาติที่ไม่ชอบความเปลี่ยนแปลงคงอยู่ในบ้านของคุณหญิงอีกสองคน ญาติคนหนึ่งเป็นคนสำคัญมากแก่ความสุขของคุณหญิง คือยอมเป็นเพื่อนเล่นสะกา และเป็นเพื่อนคุย คุณแต๋วนั้นเป็นเพื่อนดูแลบ้าน ช่วยรับแขก ดูแลเครื่องแต่งกายและทรัพย์สมบัติให้คุณหญิง ซึ่งคุณแต๋วถือว่าเป็นความช่วยเหลือที่สำคัญมากอยู่แล้ว ที่จะให้คุณแต๋วสละความสุขเฉพาะตัว เป็นเพื่อนเล่นเพื่อนคุยด้วยนั้น คุณแต๋วไม่ทำ คุณหญิงรู้สึกน้อยใจในวาสนาของคุณหญิงในข้อนี้อยู่มาก ที่บังเอิญคนที่ยอมอยู่ร่วมบ้านกับคุณหญิงคือคุณแต๋ว ผู้ที่ไม่ค่อยยินดีเล่าอะไรให้ใครฟัง ไม่ยินดีบรรยายเรื่องราวอะไรหรือพรรณนาลักษณะของใครหรือสิ่งใด ไม่เหมือนคุณแป๋วหรือคุณหญิงศิริมา ผู้ที่ถูกนิสัยกับคุณหญิงที่สุด คือชอบคุยชอบเล่าเรื่องราวเล็กๆ น้อยๆ สู่กันฟัง ถึงแม้จะชอบขัดคอคุณหญิง แต่ก็ทำให้คุณหญิงหายเหงา ส่วนคุณแจ๋วผู้ที่ควรจะสนิทสนมกับคุณหญิงมากกว่าคนอื่น เพราะเมื่อคุณหญิงสมรสกับเจ้าคุณและรับภาระต่อจากพี่สาว คุณแจ๋วอยูในวัยที่คุณหญิงต้องเอาใจใส่อบรมยิ่งกว่าลูกเลี้ยงคนใด คุณแจ๋วกลับแสดงว่ารักอิสรภาพ ไม่ยอมอยู่ร่วมเคหาสน์กับคุณหญิง ทำให้คุณหญิงน้อยใจและเก็บเป็นเครื่องสร้างทุกข์ให้ตนเองอยู่บ่อยๆ เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ คุณแจ๋วตระหนักดี จึงพยายามมากที่สุดเท่าที่จะบรรเทาความเปล่าเปลี่ยวให้คุณหญิงในโอกาสเช่นงานขึ้นเรือนใหม่นี้

คุณแจ๋วมายังบ้านเดิมของคุณแจ๋วพร้อมด้วยแกงเนื้อหม้อใหญ่หม้อหนึ่ง และแกงไก่หม้อใหญ่อีกหม้อหนึ่ง คุณแจ๋วรู้ว่าคุณหญิงมารดาเลี้ยงคาดหวังให้คุณแจ๋วทำดังนั้น เพราะแกงเผ็ดฝีมือนางบัวออกจะมีชื่อเสียงเป็นที่ยกย่องกันในวงศ์ญาติมิตรของคุณหญิง กับข้าวของคุณแจ๋วนั้นมิใช่สำหรับเลี้ยงพระ แต่สำหรับเลี้ยงฆราวาส คุณหญิงศิริมาได้มาช่วยคุณแต๋วอำนวยการทำกับข้าวเลี้ยงพระตั้งแต่วันก่อน คุณแจ๋วจะทิ้งร้านมาถึงสองเวลาไม่ได้จึงนัดทำอาหารมาในเวลาค่อนข้างสาย หลังจากที่ได้มอบหมายหน้าที่ต่างๆ ให้ลูกมือที่ร้านจนเป็นที่อุ่นใจพอสมควรด้วยเหตุที่คุณแจ๋วเคยชินกับการทำกิจต่างๆ โดยพึ่งตนเองอยู่เป็นประจำ จึงไม่คิดจะขอร้องให้ญาติคนใดไปรับตัวและอาหารจากร้านแจ่มแจ๋ว ซึ่งอยู่ในถนนเดียวกับบ้านที่มีงาน และได้จ้างรถให้รับมา เมื่อคุณแจ๋วเข้ามาถึงตัวเรือนใหม่ที่คุณน้าทำบุญ จึงมีเสียงญาติมิตรออกปากกันเกรียวกราวว่า คุณแจ๋วมักประพฤติอย่างไม่เหมาะไม่ควร

“ดู๊ดู แม่แจ๋ว” คุณหญิงศิริมาผู้ที่ยืนอยู่กับญาติหมู่หนึ่งที่ใต้ถุนเรือนใกล้ที่จอดรถขึ้นเสียงค่อนข้างสูงแต่ไม่ถึงกับฟังน่าเกลียด คุณหญิงศิริมาระวังอยู่เสมอที่จะให้อิริยาบถของตนอยู่ในข่ายที่น่าดูน่าฟัง และให้มีสิ่งที่ทำให้ตื่นเต้นเพื่อแก้ความเบื่อ “จะบอกว่าจะเอารถ ฉันก็จะไปส่งไปรับ แต่ไม่งั้นก็ไม่ใช่คุณแจ๋ว เขาต้องนั่งแท็กซี่ขนหม้อแกงใบเบ้อเร่อเข้ามา ทั้งๆ ที่คุณลุงท่านนั่งอยู่ที่ระเบียงอย่างงั้นแหละ”

“เจ้าของงานปลื้มนะวันนี้” เสียงญาติผู้หนึ่งพูด “แต่จะชอบใจหลานสาว เอาข้าวแกงมาเลี้ยงแบบนี้ไหมก็ไม่รู้”

คุณแจ๋วได้ยินคำปรารภ คำบ่น และคำซักถามทั้งหลาย และไม่สนใจว่ามีส่วนกระทบกระเทือนตนเลย ถามพี่สาวร่วมอุทรว่ามารดาเลี้ยงอยู่ที่ไหน ทำความเคารพผู้ที่ต้องเคารพ ทักทายญาติผู้น้อยเกือบครบทุกคน แล้วก็ขึ้นไปชั้นบน เพื่อกราบพระและพบญาติผู้ใหญ่

ไม่ช้าพิธีสงฆ์ก็เสร็จเรียบร้อย แล้วก็เหลืออยู่แต่ญาติที่สนิทและไม่มีภาระมาก เจ้าของบ้านก็จัดที่ให้รับประทานอาหาร แล้วการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นต่างๆ ก็มีขึ้น ในตอนแรกมีผู้ชมเชยเจ้าพระยาสุเรนทรฯ ในความอาทรต่อญาติไร้สามี อุตส่าห์มาในงานให้คุณหญิงจำรูญชื่นอกชื่นใจ โดยเฉพาะด้วยการรับเชิญรับประทานอาหารกลางวันเมื่อพระกลับแล้ว ต่อจากนั้นก็มีผู้ชื่นชมในบารมีท่านเจ้าคุณว่ารุ่งเรืองอยู่ได้หลายยุคหลายสมัย ไม่ช้าการสนทนาก็มาถึงญาติหลายๆ คนที่ยังอยู่ในราชการและที่ไปทำอาชีพอื่น

คุณแจ๋วร่วมวงรับประทานอาหารกับพี่สาวร่วมอุทรสองคน พี่ชายร่วมบิดาคือ อนธกาล และพี่สะใภ้ที่เป็นญาติห่างๆ ออกไปคนหนึ่ง แต่ไม่ช้าก็มีสะไภ้มาร่วมด้วยอีกสองคน คนหนึ่งในสองนั้น คือ สำรวย เหมเสนา

“เออ คุณสำรวย” คุณหญิงศิริมาทักทันทีที่เห็นสะใภ้ “คุณจำลอง ทำไมไม่มา ให้แต่ลูกกับเมียมา”

“ติดธุระค่ะ” สำรวยตอบ พลางลงนั่งบนเก้าอี้ที่โต๊ะรับประทานอาหาร “เขาบ่นเหมือนกันว่าเสียดาย แต่ประเดี๋ยวจะมารับ ถ้าธุระเสร็จเร็ว”

“ธุระเกี่ยวกับลูกความใช่ไหม” อนธกาลถาม

“จะเรื่องอะไรของเขาก็ไม่ทราบ” สำรวยตอบ

“ในพวกเรานี่ก็เห็นจำลองนี่แหละ ออกจากราชการแล้วกลับดี เขามีความสามารถ ไม่เหมือนเรา ทำอะไรไม่ได้ผล” อนธกาลพูดเหมือนรำพัน

“เออ ใครได้พบคุณเกรินบ้าง” คุณหญิงศิริมาเอ่ยขึ้น “วันนั้นที่งานบ้านคุณลุง เห็นเขาพาลูกชายสองคนไปด้วย แต่ที่บ้านนี้เขามาแล้วหรือยัง ใครรู้บ้าง”

“ดูเหมือนเขาจะพาลูกมาหาคุณน้าเมื่อสองสามวันก่อน” คุณแต๋วตอบ “ฉันไม่ได้พบเขาหรอก มัวแต่ทำอะไรก็จำไม่ได้ เขาอยู่ประเดี๋ยวเดียวเขาก็ลาไป”

“นายเกรินก็เป็นคนโชคดีคนหนึ่ง ได้เป็นถึงนายพล คงจะอาศัยท่านวิทูรเพื่อนเกลอของเขากระมัง” อนธกาลว่า

“เขาไปหาเธอบ้างหรือเปล่า แจ๋ว” คุณแต๋วถามขึ้นมา

“เขาไปค่ะ” คุณแจ๋วตอบเรียบๆ แล้วก็หยุดเพียงเท่านั้น

“คุณเกรินเขาชอบกับท่านวิทูรมากเชียวรึคะ” สำรวยถามอย่างสนใจ “เออ ถ้ายังงั้น เรื่องที่คุณจำลองจะขอซื้อที่คืนจากขุนวิรุฬห์ วานคุณเกรินไม่ดีหรือ เขาจะมาใช้ฉัน เห็นจะไม่ได้เรื่อง”

การสนทนาที่ค่อนข้างจะจืดชืด กลายเป็นการสนทนาที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นขึ้นมาทันที เกือบทุกคนร่วมวงอาหารถาม “อื๋อ เขาจะใช้ให้เธอทำอะไร ยังไง แล้วมันเกี่ยวกับคุณเกรินกับท่านวิทูรยังไง” คุณแจ๋วไม่ถามเหมือนคนอื่นๆ แต่นิ่งฟังด้วยความเอาใจใส่อย่างยิ่ง

“ฉันแทบตายแน่ะ” สำรวยเล่า “มีครูเก่าคนหนึ่งเคยไปสอนที่โรงเรียนมิชชั่นที่เมืองเพชรสักสองสามเดือน เขาเที่ยวสืบหาเพื่อนนักเรียนของท่านผู้หญิงฉอ้อน เขามาพบกับคุณจำลองยังไงก็ไม่รู้ละ คุณจำลองไปคุยกับเขาว่าเมียของตัวซิเป็นเพื่อนกับท่านผู้หญิง แปลกพิลึก เห็นเคยไม่ชอบให้เข้าใกล้คนมีบุญ พอครูหวานแกรู้ เดี๋ยวนี้เขาเปลี่ยนชื่อเป็นอะไร แหม จำไม่ได้ แกตามไปถึงบ้าน แกไปดึงตัวฉันให้ไปหาท่านผู้หญิงด้วยกัน ฉันแทบจะลมจับ คุณจำลองก็ตกใจ แล้วเขาบอกว่า ตกกระไดพลอยโจน แหม เขาสั่งแล้วสั่งอีก อย่าไปเรียกเขาเฉยๆ อย่างเคยนะ ต้องเรียกท่านผู้หญิง หรือเรียกท่าน เขาบอกว่าให้ไปทำความรู้จักกันใหม่ก็ดีเหมือนกัน เผื่อจะอาศัยบารมีท่านผู้หญิงซื้อที่คืนได้”

มีเสียงถามอีกหลายเสียงว่าเรื่องราวเป็นอย่างไรและมีเสียงขอร้องให้เล่าเรื่องไป สำรวยไม่ค่อยชินกับความสนใจของญาติฝ่ายสามี รู้สึกกระดากจนเรียบเรียงถ้อยคำไม่ค่อยถูก

“พอถึงวันนัด เราก็ข้ามเรือมา เขาเอารถไปคอยรับเรา ใครบ้างไม่รู้ จำชื่อไม่ได้ จำได้แต่คนหนึ่งเป็นคุณหญิง คนหนึ่งดูเหมือนชื่อเพียงเดือน อีกคนหนึ่งแก่แล้ว เดี๋ยวมีคนเรียกนายก เดี๋ยวก็เรียกพี่ เขาเป็นหัวหน้าพาไป”

“โอ นายกสมาคมนักเรียนเก่านี่ ถึงแก่เรียกตำแหน่งกัน ไม่เรียกชื่อกันแล้วรึ” อนธกาลเดาความหมายของคำ นายก ได้และถามด้วยดวงตาแสดงความตกใจจริงๆ

พวกญาติผู้หญิงหัวเราะ “ก็พวกผู้ชายก็เจ้ายศเจ้าศักดิ์กันทั้งบ้านทั้งเมือง ถึงพวกห้างร้าน ก็เรียกกัน ผู้จัดการคะ รองคะ เลขาครับ แล้วทำไมสมาคมนักเรียนเก่าจะเรียกนายกไม่ได้ พี่อ้น” คุณหญิงศิริมาตั้งคำถาม

“นี่แม่แป๋ว เธอต้องเห็นใจคนไม่มีตำแหน่งอย่างพี่มั่งซี” พี่อ้นรีบตอบ “ความริษยาฝรั่งเขาว่ามันตาเขียว แต่นี่มันเขียวไปทั้งหน้า เกือบจะ . . .อ้าว ขอโทษ กำลังกินข้าว”

“ใช่ ฉันกำลังอยากฟังคุณสำรวย” คุณแต๋วขัดอย่างไม่ค่อยพอใจ “พี่น้องคู่นี้เอาไว้โต้วาทีกันทีหลัง”

“ก็ไม่รู้จะเล่ายังไงค่ะ” สำรวยทำเสียงเหมือนปรับทุกข์ “ก็ไปหาท่านผู้หญิง เราก็พูดไม่ค่อยถูกอย่างที่คุณจำลองคอยว่าจริงๆ พูด ฉะ ออกไปแล้วก็นึกขึ้นได้ก็เปลี่ยนจะพูด เธอ ก็ไม่ได้อีก เลยทีแรกไปเรียกเขาคุณหญิง ก็เคยได้ยินคุณหญิงฉอ้อนๆ มานาน เขาเพิ่งจะเป็นท่านผู้หญิง ยังไม่ชินในใจ”

“ประสาทช้าเฉื่อย สำรวยนี่” อนธกาลว่า “เขารอคอยกันมาทั้งเมืองว่าเมื่อไหร่คุณหญิงฉอ้อนจะเป็นท่านผู้หญิง พอไปฉับ ใครๆ เขาก็เรียกกันคล่องไปหมด แล้วก็ที่คาดเอาไว้ว่า เขาคงเรียกกันว่า ท่านผู้หญิงท่านรอง ก็จริงไปไหนๆ ได้ยินมาสองสามหนแล้ว”

“ยายลำไยแกว่า คนสมัยนี้เหมือนพระยะโฮวาห์เอ่ยพระนามไม่ได้” คุณแจ๋วพูดขึ้นเป็นครั้งแรกเพราะอดสนุกไม่ได้

“พระยะโฮวาห์น่ะ เขาห้ามออกพระนามแต่เฉพาะในเรื่องพร่ำเพรื่อ” อนธกาลคัดค้าน “แปลว่า ถ้าออกสรรเสริญก็ออกได้ หรือออกขอพรหรือขอประทานความช่วยเหลือก็ออกได้ แต่นี่เขาออกชื่อที่พ่อแม่ตั้งกันไม่ได้มันไม่รู้ว่าอะไร”

“คือกลัวจะเป็นการตีเสมอน่ะ” ญาติคนหนึ่งในวงออกความเห็น “เหมือนเรากับเจ้านายสมัยก่อน เราก็พูดถึงท่านว่า เสด็จ หรือ ทูลกระหม่อม หรือ ในกรม”

“ไม่เหมือนกัน” อนธกาลค้านต่อไป “สมัยก่อนเราไม่เอ่ยชื่อคนที่เป็นนายเรา เช่นเธออยู่กับเสด็จพระองค์วิมลกัญญาใช่ไหมล่ะ เธอก็เรียกนายของเธอว่าเสด็จ ไม่ต้องออกพระนาม เรียกเสด็จก็รู้กันว่าเสด็จของพวกเธอ แต่เสด็จองค์อื่นๆ เธอก็เรียกออกพระนามว่าเสด็จพระองค์สุวรรณี หรือเสด็จพระองค์เทพรัตนา ก็ยังได้ แล้วที่ทะลึ่งเรียกชื่อเล่นของท่านกันเป็นเสด็จพระองค์แป้น เสด็จพระองค์ดำก็ยังมี”

“ช่างเถอะน่า อยากรู้ว่าสำรวยไปแล้วเป็นยังไง” คุณแต๋วแสดงอาการใจร้อน ซึ่งผิดปรกติของคุณแต๋วอยู่บ้าง

“ก็ไม่เป็นยังไง” สำรวยตอบคุณแต๋ว สำรวยแสดงว่าอยากเล่าและรำคาญคนที่ขัดการเล่าเหมือนกัน แต่ขณะเดียวกันก็ออกจะดีใจที่มีคนขัด เพราะสำรวยไม่รู้จะเล่าอย่างไร แต่เมื่อในขณะนั้นทุกคนที่ร่วมวงอาหารเกิดสนใจจับตาดูสำรวยกันไม่เว้นคน สำรวยจึงต้องเล่าต่อ

“เขาไปเชิญท่านผู้หญิงเปิดงานบาซาร์ งานนี้เครือโรงเรียนคณะมิชชั่นนี้เขาจะร่วมกันหมด ท่านผู้หญิงก็ดี๊ดี พูดง้ายง่าย ตกลงรับเชิญ แล้วยังชวนให้อยู่กินอาหารกลางวัน”

“แล้วคุณสำรวยอยู่กินหรือเปล่า” คุณหญิงศิริมารีบถามทันที

“ทีแรกฉันจะไม่อยู่” สำรวยว่า “วันนั้นคุณจำลองเขาฝากให้ขึ้นไปดูแลเวลาคุณย่ารับประทานข้าวกลางวัน ต้องมีคนอยู่กับท่าน แม่เจียมเขาเจ็บ ไว้ใจนางเป้าไม่ได้ แต่ไม่รู้จะทำยังไง เขาคะยั้นคะยอเฉพาะพี่สำรวย พี่สำรวย ทุกคนเขาก็อยู่กัน เลยนึกว่าให้เด็กเป้ามันคว้าไอ้โน่นไอ้นี่ให้ท่านกลุ้มเสียวันนึงก็เลยอยู่”

“แล้วคุยกันเรื่องอะไรบ้าง” คุณแต๋วถาม ยังผลให้ทุกคนหัวเราะขึ้นพร้อมกัน อนธกาลออกปากว่า

“เออ แม่แต๋วนี่สนใจถึงขั้นนี้เทียวเรอะ”

“ก็ไม่เห็นมันเข้ากัน” คุณแต๋วอธิบาย “เห็นพี่จำลองแสนจะหวงไม่ให้ลูกให้เมีย ให้ใครๆ ทั้งนั้นเข้าใกล้ผู้มีบุญสมัยนี้ แล้วยังไง ปุบปับให้เมียเข้าไปหาเมียนายวิทูร ฉันแปลกใจพี่จำลอง อยากให้เข้าใจพี่จำลองน่ะ เอ้อ แล้วไงล่ะ เล่าไปเถอะ คุณสำรวย อย่าไปฟังพวกนี้ขัดจังหวะ” ทำให้ทุกคนหัวเราะอีกครั้งหนึ่ง หัวเราะเพราะคุณแต๋วเป็นคนไม่ค่อยติดใจฟังอะไรหรือเล่าอะไรมีความสนใจที่สะใภ้ได้ไปวิสาสะกับ “คนใหญ่คนโต”

“ท่านผู้หญิงพูดเรื่องเมืองเพชร ถามถึงคนโน้นคนนี้ ฉันก็ไม่ได้ไปหลายปี จำอะไรก็ไม่ค่อยได้ ทำไมเขาไม่ไปเอง เมืองเพชรมันก็อยู่แค่นี้”

“เขาถามถึงพวกเราบ้างหรือเปล่า” คุณหญิงศิริมาถาม

“เขาพูดถึงแต่ไม่ถามถึง” สำรวยตอบ “อ้อ เขาถามถึงเหมือนกัน ถามว่าฉันพบกับที่บ้านโกศลทัตบ่อยๆ ไหม ฉันบอกไม่ค่อยได้พบ ก็จริงนี่ ปีหนึ่งก็ดูเหมือนจะพบกันไม่กี่หน แล้วเขาก็ถามถึงคุณหลวงกล้า ว่าแก่ไปไหม ฉันก็บอกไม่รู้ พี่หวานแกก็ไม่ได้ไปเมืองเพชรนานเหมือนกัน เลยคุณนายอะไรที่เป็นนายกเขาก็ชวนพูดเรื่องธุระของสมาคม จำไม่ได้ว่าเขาพูดว่ายังไงบ้าง แต่ท่องว่า ต้องไม่เรียกเขาฉอ้อน อะไรอย่างนี้ละ”

“ความหวังของนายจำลองที่จะใช้เธอเป็นสะพานไปถึงการซื้อที่ดินเห็นจะยังเลือนราง อย่างที่เขาว่ากันในภาษาสมัยใหม่” อนธกาลว่า “แต่ก็ไม่แน่ นายจำลองน่ะ ถ้าเขาไม่เห็นลู่ทางอะไร เขามักไม่ค่อยเดินแต้ม ถ้าเขาเดินแปลว่าเขาคงมีอะไรอยู่ในหัวของเขา”

“แจ๋วขอสงสัยไว้ก่อนนะ” คุณแจ๋วขัดเสียงเบาๆ “พี่จำลองอาจมีเหตุผลอื่น”

“ก็คุณหญิงศิริมาล่ะ” สะใภ้อีกคนหนึ่งในวงอาหารถามขึ้นโดยไม่สนใจกับคุณแจ๋ว “ทำไมไม่วานก็คุณหญิงก็คุ้นเคย แล้วก็เข้านอกออกในเหมือนกันไม่ใช่เรอะ”

“ขอเสียทีคำว่าเข้านอกออกใน” คุณแป๋วหรือคุณหญิงศิริมาพูดเสียงกระด้าง ซึ่งเป็นเสียงที่ใช้แต่กับญาติไม่ใช้ในวงอื่นเลย “ฉันนานๆ ท่านผู้หญิงท่านมาขอแรงรับแขกฝรั่งบ้างอะไรบ้าง ก็ไปกับท่าน ท่านผู้หญิงคนใหม่นี่ฉันไม่ได้ไปอะไร”

“ก็ทำไมล่ะ คุณแป๋ว” สำรวยถามซื่อๆ “คุณแป๋วก็สนิทกับฉอ้อน รู้จักกันมาแต่เล็กๆ ทำไมไม่เข้านอกออกในบ้านเขาบ้างล่ะ”

“เออแน่ะ ยิ่งว่าไม่ให้ใช้คำอย่างนั้น” แววตาคุณแป๋ววาวด้วยความไม่พอใจ “ฟังราวกับเขาเป็นโขลนหรือข้าหลวงฉันไม่ใช่อย่างนั้นหรอก ใครจะใช้ฉัน ต้องใช้กันอย่างผู้ดี”

“แปลว่า กลัวท่านผู้หญิงฉอ้อนเขาจะไม่ใช้อย่างผู้ดีหรือ” อนธกาลถามด้วยความจงใจจะยั่ว เกือบทุกครั้งที่อนธกาลพบกับน้องสาวคนนี้ เขาจะต้องมีคำพูดฝากให้คุณแป๋วเจ็บๆ คันๆ นิดๆ หน่อยๆ เสมอ แต่คุณแป๋วจะตั้งตัวเป็นอริกับพี่ชายใหญ่จริงไม่ได้ ด้วยขัดที่พี่สาวกับน้องสาว มักจะเข้ามาป้องกันพี่ชายในฐานะที่โชควาสนาตกอับ ไม่สมควรที่ผู้ใดจะทำให้ชอกช้ำมากขึ้น

“พูดกันจริงๆ ก็ได้ อยู่ในหมู่พี่น้องกันแท้ๆ ทั้งนั้น” คุณแป๋วสงบอารมณ์แล้วกล่าว ความเคืองทำให้หาถ้อยคำอื่นนอกจากคำที่ค่อนข้างจะรุนแรงไม่ได้ เลยต้องกล่าวความจริงออกมาดับอารมณ์ของตนเอง “ไม่รู้จะทำตัวยังไง คนเขาลงกันเหลือเกิน พวกที่เข้าออกบ้านท่านผู้หญิงฉอ้อนน่ะ เดี๋ยวนี้ดูมีทีท่าว่าจะแข่งๆ กับพวกที่เข้าออกกับท่านผู้หญิง ตัวนายใหญ่เขาจะแข่งกันหรือเปล่าไม่รู้นะ แต่มีพวกสวาวานรอยู่สองสามคน ทำท่าว่าฉันใหญ่มาก เพราะสนิทกับบ้านท่านรอง ฉันก็ต้องระวังตัวเพราะฉอ้อนแกหาโอกาสจะฟื้นความสนิทสนมกับพวกเราอยู่เสมอแล้วจะพูดกับเขาก็กระดาก เราเคยเรียกฉอ้อน ฉอ้อน ฐานะที่แกเด็กกว่าเรา จะไปเปลี่ยนเป็นท่าน เป็นอะไรก็อาจถูกใจแกก็ได้ หรือไม่ถูกก็ได้ ก็เลยห่างๆ เสียเป็นดี”

“ก็ฉลาดพออยู่ในโลกได้ดี” อนธกาลกล่าวชมแต่แววตาไม่ไปกับคำพูด ทำให้น้องสาวคนสุดท้องเริ่มหายใจอย่างฝืดๆ ซึ่งเกิดขึ้นทุกคราวที่พี่ชายและพี่สาวคู่นี้คุยกัน “ตกลงคุณจำลองเขาว่ายังไง รายงานเขาแล้วหรือยังเขาพอใจแผนการขั้นต้นของเขาไหม” ตอนหลังนี้ถามสะใภ้

“เล่าแล้วเขาหัวเราะหึๆ แล้วก็ว่า เห็นจะไม่ร้ายแรง พูดอะไรฉันไม่เคยเข้าใจเลย คุณจำลองน่ะ ไม่รู้อยู่ไปด้วยกันยังไง ฉันว่าฉันอยู่กับคุณย่าเสียมากกว่า ยิ่งนานวันก็ยิ่งสงสารท่าน นึกว่าเราแก่เท่าท่าน ลูกหลานมันก็คงทิ้งกันไปอย่างนี้แหละ”

“เรื่องคุณย่านี่ใครๆ เขาชมคุณสำรวยกันทั้งนั้นนะ” คุณแจ๋วบอกอย่างจริงใจ “เอาเถอะ ได้บุญ แล้วจะต้องได้รับอะไรดีๆ สนองบ้าง”

“แล้วว่าไงเรื่องคุณเกริน” สะใภ้อีกคนเป็นคนนึกขึ้นมาได้ “เดี๋ยวนี้ก็น่าสนใจ ไปไหนก็ได้ยินว่านี่แหละเพื่อนคุณวิทูร เพื่อนคุณวิทูร แต่นานแล้วไม่ได้พบเขาเลย เขาเพิ่งกลับมาอยู่กรุงเทพฯ ไม่ใช่รึ แต่ก่อนอยู่หัวเมืองไกลๆ”

คุณแจ๋วดีใจมากที่คุณแป๋วรับหน้าที่เล่าประวัติคุณเกรินด้วยความเต็มใจแสดงว่าเป็นผู้รู้ แล้วไม่ปล่อยให้ใครๆ นิ่งกันไปจนกระทั่งมีคนมาเกณฑ์ให้คุณแจ๋วเป็นผู้เล่า

“คุณเกริน ฉันได้คุยกับเขาที่บ้านคุณลุงสุเรนทร์หนหนึ่ง นานหน่อยแล้วเมื่อสองสามวันเจอกันที่สถานทูตอิสราเอล ก็ได้คุยกันเหมือนกัน เขาย้ายเข้ากรุงเทพฯ มาทำหน้าที่อะไรที่โรงเรียนเสนาธิการฉันจำไม่ได้ ไม่เข้าใจเรื่องทหาร คงจะเป็นคุณวิทูรเขาช่วยเหลือจริง เพราะตำแหน่งหัวเมืองที่จะเป็นนายพลมันเต็มหมด เขาถึงหาทางให้เพื่อนเขาได้เข้ามากรุงเทพฯ มาได้ตำแหน่งนี้ ซึ่งคุณประพัฒน์ (หมายถึงสามีของคุณแป๋ว) เขาก็ว่าไม่มีมาแต่ก่อน มันเป็นตำแหน่งติดต่อกับฝรั่ง แล้วได้ยินว่าคุณเกรินนี่ฝรั่งชอบ แต่ที่รู้จักคุณเกรินเองไม่เห็นเขาพูดอะไร เรื่องพี่น้องเขาก็บอกว่าจะไปเยี่ยมบ้าง แต่ดูเหมือนเขาก็ไม่ไปกี่แห่ง พี่จำลองก็ไม่ได้พบที่บ้าน แต่ดูเหมือนเขาไปหาคุณปู่คุณย่าที่สวนใช่ไหม คุณสำรวย” เมื่อสำรวยพยักหน้ารับคุณแป๋วก็กล่าวต่อไป “เขาเหมือนเดิม ไม่ค่อยคุยเอง ต้องชวนคุยเขาถึงคุย อ้อ เขาไปเมืองนอกถึงสองหน ไปหนแรกไปเรียนอะไรตอนมีรัฐประหารได้แล้วสักปีหนึ่งหรือสองปี แล้วเมื่อปีก่อนนี้เองเขาก็ไปอีก ไปคราวนี้ว่าไปเรียนมาเฉพาะที่จะมาทำงานที่เขาทำอยู่นี่ ก็เห็นจะนายวิทูรช่วยจริง ถ้าไม่งั้นคงไม่เจาะจงกันอย่างนั้น”

“ก็ถ้างั้น คุณเกรินเขาจะช่วยเรื่องที่คุณจำลองอยากซื้อที่คืนนี่ได้บ้างไหมล่ะ” สำรวยถาม

ก็พี่จำลองเขาก็รู้นี่ว่าคุณเกรินเป็นเพื่อนกับคุณวิทูร” คุณแต๋วบอกสะใภ้ “เขาคงคิดว่าใช้ภรรยาได้ผลกว่าซี ไม่งั้นเขาจะให้เธอเข้าไปรึ”

“ฉันเหนื่อยแทบตาย” สำรวยทำเสียงออด “ให้ฉันอยู่กับคุณย่าทั้งวันดีกว่าอีก นี่จะต้องตัดเสื้อตัดผ้ากันยกใหญ่ งานสมาคมอะไรนี่ เขามาให้ฉันเป็นกรรมการ เรื่องก็ไม่มีอะไร เห็นว่าท่านผู้หญิงรู้จักเราเท่านั้นเอง”

“เออ สืบถาม เล่าเรียนกับสามีเสียให้แน่ๆ” อนธกาลกำชับต่อไป “จะพูดจะจา ต้องเจ้าคะเจ้าขิงกันถึงไหน”

“โธ่ พี่อ้น” คุณแจ๋วอดใจอยู่ไม่ได้ “อย่าทำให้เรื่องมันยุ่งกันเกินไปเลยค่ะ” แล้วหันไปทางสะใภ้ลูกผู้พี่ “อย่าไปเอาใจใส่ให้เกินไป เดี๋ยวจะประหม่าใหญ่ คุณสำรวย นึกพูดอะไรได้ ก็พูด พูดเธอ พูดคุณ พูดคุณหญิง พูดท่านผู้หญิงเขาคงไม่กัดเราหรอก เขาก็คนเหมือนเรา เขาคงมีคนคอยยอคอยเจ้าคะเจ้าขากันพอแล้ว มีเราสักคนตามสบายคงไม่ทำให้เดือดร้อนนักหรอก”

“เอ ไม่แน่นา” อนธกาลไม่ยอมถูกน้องสาวอบรมง่ายๆ “คนสมัยนี้รากฐานไม่แน่น มันกลัวจะยุบง่ายๆ คอยระแวงว่าใครเขาจะคอยผลักจะโยกอยู่ไม่เว้นแต่ละวัน”

การสนทนาระหว่างพี่น้องนั้นต้องเปลี่ยนเรื่องไปเพราะมีญาติวัยเด็กเข้ามาจากนอกบ้าน นำของขวัญและอาหารมาช่วยงานเพิ่มเติม คุณแต๋วต้องลุกไปต้อนรับ และคุณแจ๋วก็ต้องให้ความสนใจแก่ผู้มาใหม่ เพราะในหมู่ญาติผู้น้อย มีลำไย อร และอีกสองสามคน ซึ่งเป็นญาติกลุ่มที่พอใจจะเรียกร้องให้คุณแจ๋วฟังความคิดเห็นของเขา และสนใจที่จะฟังความคิดเห็นของคุณแจ๋วด้วย

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ