บทที่ ๑๒

ความเปลี่ยนแปลงลักษณะนิสัยของสามีและความขัดแย้งในพฤติกรรมของเขาบางอย่าง จะเริ่มขึ้นโดยเป็นผลที่เขาได้ไปต่างประเทศหรือเปล่า ฉอ้อนไม่แน่ใจ รู้แต่ว่าหลังจากกลับจากต่างประเทศ เขาก็ทำกิริยาที่ฉอ้อนไม่เคยเห็นเคยพบมาก่อน หล่อนอยากรู้ว่าเขาไปเรียนมาจากไหน และมีความหมายอย่างไร เขารักเมียเขามากขึ้นจึงต้องมีกิริยารุนแรงขึ้นอย่างนั้นหรือ หรือว่าเขาเห็นเมียเขาเป็นผู้หญิงที่ไม่ค่อยมีราคาอะไร ถ้าไม่แสดงกิริยาอย่างนั้น หล่อนจะไม่มีความรู้สึกตอบรับเขาสมแก่ใจเขา ฉอ้อนอยากถาม แต่กระดากเมื่อสิ่งใดพอจะคล้อยตามความประสงค์ได้ ฉอ้อนก็คล้อยตาม เมื่อสิ่งที่เขาเรียกร้องขัดต่อความรู้สึกของหล่อนเกินไป หล่อนก็ปฏิเสธอย่างอ่อนโยน ทำให้เขาไม่กล้าขัดเคือง แต่ในเรื่องที่ติดต่อกับคนอื่น ไม่ใช่ตัวเขาเปลี่ยน แต่เขาถูกทำให้เปลี่ยนเพราะคนอื่นเปลี่ยนต่อเขา

ตั้งแต่ไปอยู่อุบลราชธานี ซึ่งกำลังเป็นหน่วยใหญ่ขึ้น ฉอ้อนเริ่มมีเพื่อนฝูงมากขึ้น ทั้งที่หล่อนมีลูกอ่อน แต่ฉอ้อนยังอยู่ในวัยเจริญ การไปในที่ไม่เคยไป มีอะไรแปลกจากที่ชินที่เคยไปแม้แต่นิดหน่อย ฉอ้อนก็ยังสนุก ฉอ้อนชอบมีเพื่อนชอบฟังความคิดความเห็นและเรื่องราว ดังนั้น ถ้ามีโอกาส มีนายทหารและครอบครัวเดินทางผ่านจังหวัดที่ฉอ้อนอยู่ ฉอ้อนก็ยินดีช่วยเหลือให้ความสะดวกและทำให้เขาไม่ว้าเหว่ เพราะหล่อนก็หายเหงาอันมาจากความจำเจ ตัวหล่อนเอง ถ้าสบโอกาสสามีชวนไปไหนเพื่อจะต้อนรับนายทหารชั้นผู้ใหญ่ที่ไปเยี่ยมเยือน หรือไปตรวจราชการที่ใกล้และแม้แต่ที่ไกล ถ้าลูกไม่เจ็บไข้ พอจะฝากฝังให้ใครช่วยดูแลตักเตือนพี่เลี้ยงที่เป็นคนรับจ้าง หล่อนก็ยินดีไปกับสามี พอฉอเลาะโตขึ้น เริ่มเข้าใจคำปลอบคำขู่ของหล่อน หล่อนก็ชอบเอาลูกไปเป็นเพื่อนสนุกด้วย

“คุณฉอ้อนเลี้ยงลูกยังไง ถึงว่าง่ายนะ” นี่เป็นคำชมที่ฉอ้อนพอใจฟังที่สุด มากกว่า “คุณฉอ้อนนี่แต่งตัวเก่ง” หรือ “คุณฉอ้อนนี่รูปร่างเข้าที แต่งอะไรก็ดูสวย” และคำชมที่หล่อนได้รับเหล่านี้ ฉอ้อนรับเอามาโดยมากว่าคนชมหล่อนด้วยใจจริง เพราะหล่อนไม่เคยชมใครโดยแสร้งชม หล่อนชอบหาช่องที่จะชมคน เพราะรู้ว่าการได้รับชมทำให้เกิดความปีติ แต่ฉอ้อนจะหาสิ่งที่หล่อนชมได้ด้วยจริงใจ เช่น หล่อนจะไม่ชมคุณนายพูน ภรรยาผู้บังคับกองพันอีกคนหนึ่งว่า สวย เพราะคุณนายพูนดูไม่สวยเลยในสายตาของฉอ้อน แต่คุณนายพูนทำน้ำพริกแดงอร่อยจริงๆ ฉอ้อนชอบรับประทานมาก ฉอ้อนคอยชมอยู่เสมอจนวิทูรว่าฉอ้อนคอยประจบคุณนายพูนเพื่อกินทำให้ฉอ้อนรู้สึกกระดากเลยไม่ค่อยชมบ่อยนัก และคุณนายประกายภรรยานายทหารสื่อสารคนหนึ่งเป็นคนสวยจริง แต่คุณนายผู้นี้ทำท่าทางว่าเป็นคนสวยอยู่เสมอ ฉอ้อนก็ไม่เคยชมว่าอย่างไรเลย แต่คุณนายสว่าง ภรรยาขุนเลิศกระบวนรบ เป็นสิวเม็ดใหญ่ๆ รบกวนความสุขอยู่เป็นนิจ ฉอ้อนคอยชมเสื้อผ้าที่เย็บตัดสมสมัยและสมทรงอยู่เสมอๆ

เอ้อ แต่มาในระยะหลังๆ หล่อนเริ่มจับได้ว่าหล่อนเป็นคนได้รับคำชมต่างๆ คำชวนให้ไปไหนๆ คำเซ้าซี้ให้ไปร่วมงานนั้นงานนี้ ไม่ใช่มาแต่จากข้าราชการทหารและครอบครัว แต่แม้ฝ่ายพลเรือนก็เริ่มสนใจในหล่อนและสามีมากกว่านายทหารอื่นๆ ฉอ้อนเริ่มสังเกตเหตุการณ์ด้วยญาณอะไรอย่างหนึ่ง ในบุคลิกภาพของหล่อนสามีของหล่อนเปลี่ยนจากชายหนุ่มที่มีท่าทางโก้เก๋มีทีท่าขึงขังแต่ไม่แข็งกระด้าง มีอาการภูมิใจในตนโดยไม่ดูหมิ่นฐานะของผู้อื่น เขาเปลี่ยนจากบุคลิกลักษณะเหล่านี้ เป็นคนที่แน่ใจว่าเขาเป็นผู้ทรงอำนาจอะไรอย่างหนึ่ง เขามีความสำคัญไม่หย่อนกว่าผู้ใดที่เขาคบหาสมาคมด้วยและบางครั้งเขาก็มีอาการกิริยา และบางทีก็วาจาของผู้ที่มั่นใจในความสำคัญตนว่ายิ่งใหญ่กว่าผู้อื่นในหมู่ที่สังสรรค์กันอยู่

คนอื่นๆ รู้สึกในความสำคัญของเขาเท่ากับที่เขาสำนึกเอง แต่มีน้อยคนที่รังเกียจจนหลีกเลี่ยงออกไปจากวงสมาคมที่เขาร่วมอยู่ และยิ่งเวลาผ่านไป นายพันโทวิทูร ก็ดูเป็นนายทหารหนุ่มที่มีคนไฝ่ใจที่จะเข้าใกล้ชิดสนิทสนม นานแล้วฉอ้อนเกิดรู้สึกขึ้นมาวันหนึ่งที่หล่อนไม่ได้ยินใครโต้เถียงกับวิทูร คำพูดของเขาที่เปล่งออกมาทุกประโยคซึ่งเขาก็ไม่ค่อยเปล่งพร่ำเพรื่อ มักจะมีคนเห็นความคมขำ ความมีเหตุผล ส่วนตัวของฉอ้อนเล่า ก็มีคนชมถี่ขึ้น และเมื่อหล่อนกล่าวถ้อยในเรื่องใด ก็ดูมีคนขบขัน หัวเราะครื้นเครง ในบางเรื่องฉอ้อนเองก็ไม่เห็นว่าขบขันอย่างไร

หล่อนได้มีโอกาสปรารภเรื่องเหล่านี้แก่สามี “พี่ พี่รู้สึกไหม เรามาอยู่อุบลนี่ คนที่เราคบไม่เหมือนกับที่อื่นหรอก”

“เป็นยังไง” เขาถาม ยิ้มพลางมองดูส่วนต่างๆ ของร่างของหล่อน ดูเหมือนไม่ค่อยสนใจว่าหล่อนพูดว่าอย่างไร

“เขาช่างยอกันจริง พี่พูดอะไรหน่อยเขาก็ดีครับๆ ฉอ้อนพูดอะไร บางทีเขาก็หัวเราะโดยที่เราไม่ได้พูดให้ขันสักหน่อย”

“อือ ช่างสังเกตสังกา” สามีพูด ดูไม่เกิดความเอาใจใส่เพิ่มขึ้น

“พี่คิดว่าเขาจริงกับเราไหม พี่” ฉอ้อนถาม

“วะ” เขาทำเสียงรำคาญ แต่มีความสนใจเกิดขึ้นมา “ฉอ้อนอย่าทำเป็นคนช่างระแวง คนมันก็จริงบ้างไม่จริงบ้าง เป็นหน้าที่ของเราต้องดูให้แน่ๆ เอ ยังไง แต่ก่อนดูเป็นคนซื่อ”

“งั้นรึคะ” ฉอ้อนก็ไม่เข้าใจตัวเอง และก็ไม่มีปัญญาพอที่จะแจกแจงความรู้สึกทุกชนิดทุกประเภทที่เกิดขึ้นแก่ตนได้ แต่ก็ยังอดออกความเห็นนิดหน่อยไม่ได้ “พี่ไม่คิดถึงคนอย่างคุณเกรินบ้างหรือ คุยอย่างกับคุณเกรินน่าสนุก เขามีขัดนิดสอนหน่อย และบางทีเขาก็ออกปากว่าคำพูดของคนนั้นคนนี้เป็นคำฉลาด ทำให้รู้สึกว่าเขาพูดด้วยใจจริง”

“ก็อย่างนั้น ทำไมฉอ้อนไม่คิดบ้างล่ะ ว่าเขาอาจเล่นละครเก่งก็ได้” สามีหล่อนแย้ง “แต่ที่พูดนี่ไม่หมายความว่าไม่ไว้ใจเกริน เขาก็ช่วยเหลือเรามามาก”

ฉอ้อนจำนนต่อถ้อยคำ แต่พอใจตอนสุดท้ายของคำพูดของสามี อดที่จะกล่าวถ้อยที่แสดงความในใจไม่ได้

“พี่ คนที่เขามีบุญคุณแก่เรานี่ เราต้องนึกไว้เสมอใช่ไหม”

“ใช่ซิ ถ้าเราไม่ทำตัวเป็นคนกตัญญู ก็จะไม่มีใครมารับใช้เรา และคนที่เขาจะใช้เราทำอะไร เขาก็กลัวว่าเราจะไม่รู้สึกบุญคุณในเมื่อเขาตอบแทนเรางามๆ มันเสียทั้งขึ้นทั้งล่อง”

ฉอ้อนงงความเห็นในตอนท้าย เผอิญลูกๆ ทะเลาะกัน ต้องการตัวหล่อนไปตัดสิน เรื่องที่พูดกันกับสามีจึงระงับไป

ฉอ้อนรำลึกถึงคนที่หล่อนคุ้นเคยด้วยในระยะที่วิทูรเริ่มจะมีตำแหน่งสูง ภรรยานายทหารทุกคนดูมีความเป็นมิตรกับฉอ้อน มีอยู่คนหนึ่ง ชื่อ ผกากรอง สามีเป็นนายทหารปืนใหญ่ รุ่นผู้ใหญ่กว่าวิทูร คนทั่วๆ ไปเรียกคุณผกากรอง ไม่มีใครเรียกอย่างอื่นเลย เหตุผลก็คือ ถ้าผู้ใดเรียกคุณนาย คุณผกากรองจะแสดงความไม่พอใจ คนอื่นๆ ก็ไม่อยากขัดใจ อันที่จริงนั้น ในบรรดาภรรยานายทหาร มีเหตุผลหรือไม่มีฉอ้อนก็ไม่แน่ใจ บางคนก็มีคนเรียกว่า คุณนั่นคุณนี่ บางคนก็มีคนเรียกแต่คุณนายไม่มีใครเรียกคุณ แต่มีบางคนที่บางครั้งบางคราว เพื่อนฝูงก็เรียกคุณ บางครั้งเรียกคุณนาย และบางครั้งมีคนเรียกชื่อเฉยๆ เหมือนกับเป็นคนคุ้นเคยมาแต่เยาว์วัยก็มี แต่มีคุณผกากรองคนเดียวที่ไม่พอใจให้ใครเรียกคุณนายเลย

ฉอ้อนลองเลียบเคียงด้วยความใคร่รู้ใคร่เห็นของหล่อน ว่าคุณผกากรองผู้นี้มีอะไรอยู่ในใจ ฉอ้อนหาโอกาสเล่าถึงชีวิตในวัยเด็ก และหาโอกาสเอ่ยถึงพวกโกศลทัต

“เมื่อดิฉันเด็กๆ อยู่ เล่นสนุกกันจริงเวลาหยุดเรียน คุณๆ พวกโกศลทัตมาพักที่บ้านเดิมของเจ้าคุณปู่ของเธอที่เมืองเพชร เล่นกันจนไม่รู้ว่าอะไรเป็นเล่นอะไรเป็นเรียน เพราะมีผู้ใหญ่เก่งอยู่คนหนึ่ง รู้จักทำให้เล่นกลายเป็นเรียนได้เสมอ”

คุณผกากรองไม่สนใจในผู้ใหญ่ที่มีความสามารถเช่นนั้น แต่ทำทีเผยอคิ้วนิดหน่อย ดูก็ “เก๋” ดี และถามว่า “คุณฉอ้อนรู้จักกับพวกโกศลทัตรึ” คุณผกากรองไม่เรียกฉอ้อนว่าคุณนาย มักทำให้ฉอ้อนรู้สึกเป็นกันเองโดยเรียกคุณฉอ้อน

“ค่ะ พวกโกศลทัตเขาเป็นญาติแต่งงานกันไปกันมากับพวกเหมเสนาและพวกภมราภัย เจ้าพระยาสุเรนทร์ดูเหมือนคุณท่านผู้หญิงจะเป็นภมราภัย” ฉอ้อนทำอวดรู้

“ไม่ใช่ ท่านผู้หญิงสุเรนทร์น่ะท่านเป็นญาติทางคุณย่าฉันนี่นะ” คุณผกากรองบอกหน้าตาแสดงว่าพอใจที่จะคุยเรื่องนี้ “ท่านผู้หญิงท่านเป็นพวกเหมเสนา คุณย่าของฉันท่านก็เป็นเหมเสนา แต่ทางคุณพ่อเป็นรัตเภริน สองพวกนี้เป็นทหารกันทุกคนเลยลูกผู้ชาย”

ฉอ้อนตื่นเต้นขึ้นมาทันที “งั้นคุณก็เป็นญาติกับคุณเกรินซิคะ คุณเกรินเพื่อนสนิทของคุณวิทูร คุณเกริน เหมเสนา”

คุณผกากรองทำท่าตรึกตรอง “เอ ไม่รู้จัก เหมเสนา บางคนก็ไม่รู้จัก บางทีจะเป็นสายเมียน้อย”

ฉอ้อนไม่รู้จะพาการสนทนาต่อไปอย่างไรดี สายเมียน้อยสายเมียหลวงเป็นอย่างไรกัน ฉอ้อนไม่เคยเรียนถึงจึงลองเสี่ยงดู โดยถามตรงๆ ว่า

“ไหนคุณเล่าเรื่องสายอะไรต่อสายอะไร ไปให้ฟังซิคะ ดิฉันอยากทราบ” ในใจของฉอ้อนมีความคิดว่า ถ้าคุณแจ๋วมาพบคนอย่างคุณผกากรอง คุณแจ๋วคงพูดอะไรตลกให้คุณผกากรองหายเป็นคุณผกากรองอย่างที่เป็นอยู่นี้ แต่คุณผกากรองเป็นอย่างไร ฉอ้อนก็ไม่รู้แจ้งแก่ตนเอง

“พวกตระกูลขุนนางเหล่านี้น่ะ” คุณผกากรองทำเสียงให้ฉอ้อนรู้สึกว่าตัวโง่พอใช้ “มักมีลูกหลานมากมาย แตกเหล่าแตกกอเป็นสายๆ หลายสาย พวกเมียหลวงคือลูกท่านผู้หญิง หรือคุณหญิงก็มักได้ทรัพย์สมบัติกันมากหน่อย หรือไม่งั้นเจ้านายท่านก็ชุบเลี้ยง ข้างพวกเมียน้อยก็ไม่ค่อยมีคนดูแลให้เล่าเรียนดีๆ เงินทองก็ไม่ค่อยจะมีพอสืบตระกูลกันไปๆ ลูกหลานก็เลยแตกแยกไป ก็เลยไม่ค่อยได้ติดต่อกัน เลยไม่รู้จักกัน”

“แล้วคุณหลวงพินาศ สามีคุณล่ะคะ เป็นพวกไหน” ฉอ้อนลองถามต่อไปอีก

“คุณหลวงเขาเป็นพวก ณ บ้านหลวง เขามาจากปักษ์ใต้ พวกนี้เจ้ายศเจ้าอย่าง ฉันเกลียดจะตาย มีแต่คุณหลวงคนเดียวและที่ไม่ยโส” คุณผกากรองเล่า

พอดีคุณหลวงเดินเข้ามาหาภรรยา สถานที่ฉอ้อนสนทนากับคุณผกากรองนั้นเป็นลานวัดริมแม่น้ำมูล ซึ่งนายทหารพร้อมด้วยครอบครัวสองสามครอบครัวได้พาแขกจากกรุงเทพฯ ไปรับประทานอาหารให้แปลกที่ คุณหลวงเดินเข้ามาใกล้ แล้วก็ถาม

“เอ๊ะ ทำไมมาแอบคุยกันสองคนอย่างนี้ล่ะ คุณฉอ้อน เสียงคนทางโน้นเขาถามหากันออก”

“คุณฉอ้อน กับดิฉันออกจะคุยกันรู้เรื่องหน่อย” ภรรยาคุณหลวงว่า “กำลังเล่าให้ฟังเรื่องรัตเภรินเป็นทหารกันทุกคน”

“เธอมันพูดเกินไปเสมอ” สามีว่าอย่างไม่เกรงใจ “รุ่นน้องๆ มันไม่เป็นกันสักคน มันเห็นจากพี่ๆ ว่าแย่ คุณฉอ้อนอย่าจำไปเล่าให้ใครฟังนะครับ คุณวิทูรก็คงไม่อยากฟัง เรื่องบุรมบุราณ”

ฉอ้อนเห็นคุณผกากรองทำหน้าเหมือนคนถูกน้ำร้อนลวกข้างหลัง กำลังจะคิดพูดปลอบโยนอย่างใดอย่างหนึ่ง คุณหลวงสามีก็พูดต่อ “คุณช่วยเรียนผู้พันว่า ผมน่ะมีความนิยมในตัวท่านเหลือเกิน ท่านเป็นคนเด็ดคนหนึ่งสมัยนี้ ผมคิดว่าผมจะต้องเรียนอะไรๆ จากท่านหลายอย่าง”

คำพูดของคุณหลวงยังความแปลกใจให้ฉอ้อนทั้งในส่วนที่เกี่ยวถึงสามีหล่อนและในส่วนน้ำเสียงและแววตาที่เขาใช้ต่อภรรยาของเขา ฉอ้อนเหลือบสายตาดูหน้าคุณผกากรอง เห็นหน้าค่อนไปข้างเป็นสีเหลือง ฉอ้อนใจเต้นตึกตั้ก คิดในใจว่าชีวิตสมรสของคุณหลวงและภรรยาจะใกล้อวสานเสียแล้วกระมัง

การที่ฉอ้อนรำลึกถึงคุณผกากรองขึ้นมาเป็นคนแรกก็เพราะมีความสัมพันธ์กับคุณเกริน คุณหลวงพินาศเพลิงพลังนั้น ต่อมาก็ได้แยกกันกับคุณผกากรองจริงดังที่ฉอ้อนเกรง และต่อมาฉอ้อนก็ไม่ทราบว่าได้ย้ายไปไหนขณะนี้อยู่แห่งใด ต่อจากคุณหลวงผู้นี้กับภรรยา ฉอ้อนก็นึกขึ้นได้ถึงขุนเวทอาวุธ ท่านผู้นี้มีอายุราชการสูงกว่าคุณวิทูรหลายปีเหมือนคุณหลวงพินาศเพลิงฯ แต่ตำแหน่งต่ำกว่า นี่ก็ไม่แปลกอะไรนัก สามีของหล่อนเป็นผู้ได้รับความยกย่องว่าเป็นคนมีวิชาความรู้ดี มีไหวพริบและปฏิภาณ แต่ขุนเวทมักทำให้เกิดความสงสัยว่าเป็นความจริงอันไม่ควรทักท้วงหรือไม่

วันหนึ่งระหว่างการไปตรวจราชการของนายทหารผู้ใหญ่คนหนึ่ง อ้าว ใครที่ไหน ท่านผู้บังคับบัญชาในปัจจุบันของวิทูร ท่านผู้มีอำนาจทางทหารยิ่งใหญ่คนนี้นี่เอง ได้ไปเยี่ยมตรวจเขตทหารที่อุบลฯ สงครามในยุโรปกำลังเงียบงันไป เยอรมันชนะหมดทุกแนวรบ ฝรั่งเศสยอมแพ้แล้ว มีแต่อังกฤษยังคงดื้อรบอยู่ อเมริกายังไม่มีทีท่าว่าจะเข้าสงคราม ถึงแม้คนชั้นผู้นำของประเทศจะอยากช่วยฝ่ายอังกฤษ ซึ่งเป็นเลือดเนื้อเดียวกับคนอเมริกันโดยมาก และมีอุดมคติทางประชาธิปไตยร่วมกัน แต่ประชาชนคนอเมริกัน ก็ยังไม่อยากสละเลือดเนื้อโจนเข้าสู่สนามรบ ทางฝ่ายประเทศไทยไม่ตั้งอยู่ในความประมาท พยายามผูกมิตรกับฝ่ายอักษะผู้กำชัยชนะไว้แล้ว ในขณะเดียวกันก็สอดส่อง ดูช่องทางที่จะรักษาอธิปไตยของตน

วันนั้น มีการเลี้ยงกันที่ค่ายทหาร ท่านผู้ใหญ่รับประทานเครื่องดื่ม และคุยเล่นอยู่กับนายทหารชั้นสูงสองสามคนในห้องรับแขก ข้างล่างที่สนามหญ้ามีโต๊ะตั้งอยู่หลายโต๊ะ ล้อมรอบด้วยเก้าอี้ พร้อมที่จะให้พนักงานรับใช้ของร้านอาหารจีนที่มีชื่อที่สุดในเมืองนั้น นำอาหารมาตั้ง นายทหารชั้นเดียวกับวิทูรหลายคนเดินไปเดินมา บางคนก็นั่งลงบนเก้าอี้ล้อมโต๊ะอาหาร ยกตะเกียบ ขึ้นมาเล่นแล้วก็วาง บางคนก็ไปหาที่นั่งใต้สุมทุมพุ่มไม้ ซึ่งประดับด้วยโคมไฟสีเขียวแดงเป็นระยะห่างๆ สำหรับในสมัยนั้นทำให้เกิดครื้นเครงใจได้เป็นอย่างดี ฉอ้อนกับภรรยานายทหารหลายคนนั่งอยู่บนเก้าอี้กลุ่มหนึ่ง ซึ่งมีคนดึงจากโต๊ะอาหารเอามาให้นั่ง ขณะที่คุยกันไปตามประสาผู้หญิง ขุนเวทอาวุธ ก็เดินเข้ามาใกล้

“อ้อ คุณฉอ้อน” เขาทัก “สวยตามเคยนะ งานเท่านี้ก็แต่งตัวเสียเช้งวับ”

“โถ เท่านี้ว่าเช้งวับหรือคะ” ฉอ้อนไม่สังเกตว่ามีอะไรผิดปรกติ

เสียงขุนเวท หัวเราะกังวานแปลก “คุณสามีเขาไปอยู่เคียงข้างท่านผู้เป็นใหญ่ใช่ไหมล่ะ ไม่ดูแลเมียสวย พอมีท่านผู้เป็นใหญ่ที่ไหน นายวิทูรต้องเข้าคุมไม่ให้ใครเข้าใกล้ทีเดียว”

มีเสียงหายใจพรืดพราดแสดงความรำคาญของกลุ่มผู้หญิง ฉอ้อนตั้งใจจะกลบเกลื่อน

“ท่านขุนละชอบชมฉอ้อนเสมอ ชมจริงหรือชมเล่นคะ” หล่อนกล่าว เสียงอยู่ระหว่างสัพยอกกับลุแก่โทษ

“หือ จะต้องชมจริงชมเล่นทำไมกัน เตรียมตัวไว้เถอะ อีกสักหน่อยก็ต้องเป็นท่านผู้หญิงเหมือนกัน ลูกไม้นายวิทูรมันหยอกเมื่อไหร่ นอกจากมันจะถูกเขาทุบหัวเสียก่อน เตือนผัวเราข้อนี้ดีกว่า เพื่อนฝูงเขาจะทนมันไม่ไหวอยู่แล้ว”

ฉอ้อนอึ้งไป คิดไม่ออกว่าจะพูดกลบเกลื่อนต่อไปหรือควรจะนิ่งเสีย พอดีมีนายทหารชั้นเดียวกับขุนเวทเดินเข้ามาอีกคนหนึ่งคือ พันตรีสนิท เขาเข้ามาจับแขนขุนเวทเขย่าแรงๆ และดึงตัวไปจากกลุ่มผู้หญิง พลางกล่าวว่า

“ไอ้เวทเพื่อนๆ เขามีเรื่องจะปรึกษาอยู่ทางโน้นมึนแต่หัวค่ำเชียวหว่า” ตอนหลังเขาตั้งใจให้พูดผู้หญิงได้ยินและอภัยเพื่อนเขา

ฉอ้อนรีบชวนเพื่อนๆ คุยต่อไป พยายามให้ทุกคนลืมเสียโดยเร็ว ไม่ช้าก็มีผู้มาเชิญเข้านั่งโต๊ะรับประทานอาหาร และการเลี้ยงก็ดำเนินไปอย่างรวดเร็ว และตามธรรมดาเมื่ออิ่มแล้วต่างคนต่างก็อยากกลับบ้าน สตรีที่มีวัยวุฒิปลีกตัวกลับ ความกลัวเกรงผู้บังคับบัญชาของสามีไม่ได้ส่วนกับความเรียกร้องของร่างกาย ที่ค่อนไปข้างจะทรุดโทรม แต่คนที่ยังไม่มีวัยวุฒิอย่างฉอ้อน มีใจก้ำกึ่งระหว่างรักสนุกกับความอยากพักผ่อน มีผู้เรียกร้องให้มีการรำวง ฉอ้อนยังไม่เคยรำเลยเพราะเป็นของใหม่ของชาวภาคกลาง และในภาคตะวันออกก็เป็นความสนุกของชาวบ้านมากกว่า แต่มีคนบอกฉอ้อนว่าท่านผู้ใหญ่ขอให้นายทหารและครอบครัวลงเล่นกันบ้าง ฉอ้อนผู้รักสนุกปล่อยใจให้สนุก นั่งดูเขารำกันก่อนและนึกอยากรำเองบ้างอยู่ในใจ

ขณะหนึ่งฉอ้อนก็สังเกตว่าขุนเวทเข้ามาขอให้หล่อนรำวงด้วย หล่อนลืมความก้าวร้าวเมื่อตอนหัวค่ำของเขาเสียแล้ว หล่อนไม่แสดงความรังเกียจเลย ออกไปรำกับเขาด้วยใจที่อยากเรียนอยากลอง และอยากสนุก พอคนร้องหยุดร้องหล่อนก็กลับมานั่งยังที่ ท่านผู้ใหญ่ก็ลุกขึ้นพอดี เรียกผู้บัญชาการกองพลให้ขึ้นเรือนไปกับท่าน ทำให้เข้าใจว่าจะมีการปรึกษาราชการกันอีก โดยไม่รู้ตัวว่าเขามาจากไหน ฉอ้อนเห็นสามีมายืนเคียงเก้าอี้หล่อนกระซิบอย่างเป็นคำสั่งว่า “ฉอ้อนกลับบ้านไป” หล่อนจึงรีบลุกขึ้นทันที การอบรมศึกษาของฉอ้อนทำให้หล่อนรู้จักว่าเมื่อใดควรทำตามคำสั่งอันไหนทันที หล่อนออกเดินไปจากที่นั่ง ในวินาทีต่อมา ก็ได้ยินเสียงโครม หล่อนเหลียวไปดู เห็นเก้าอี้ล้มไปสองสามตัว มีนายทหารคนหนึ่งล้มอยู่กับเก้าอี้ ในวินาทีเดียวกันนั้น วิทูรก็มาถึงตัวหล่อนจับแขนหล่อนพาไปจากสถานที่ที่มีการเลี้ยง พอเดินห่างมาพอสมควรฉอ้อนก็ถาม

“เกิดอะไรกัน คุณ”

วิทูรหัวเราะในลำคอ แต่เสียงน่ากลัวไม่น่าสำเริงสำราญอย่างใด

“ไอ้ธรา มันเข่นไอ้เวทลงไปจมจานกับข้าว มันต้องอย่างนั้น ไอ้คนพรรณอย่างนี้”

“เขาโกรธกันเรื่องอะไร” ฉอ้อนถามโดยซื่อ

ทันทีหล่อนรู้สึกว่าสามีบีบแขนหล่อนอย่างแรงจนหล่อนร้องออกมาด้วยความเจ็บ แล้วเขาก็เขย่าแต่ไม่แรงนัก

“อะไร ไม่รู้ตัวหรอกหรือ ฉอ้อนนี่ ก็มันพูดล่วงเกินเรา ล่วงเกินท่าน แล้วยังมาทะลึ่งขอให้น้องออกไปรำวง ไอ้ธรามันทนไม่ได้ มันฉลาด มันบอกฉันว่าอย่าทำเอง มันจะจัดการให้”

ฉอ้อนเดินใจเต้น ตัวสั่น กลับไปยังเรือนพัก พอไปถึงหล่อนก็รีบเข้าห้องน้ำ ทำกิจในห้องน้ำนานกว่าจำเป็นหลายนาที จนสามีร้องให้ออกมาเพื่อเขาจะใช้ห้องบ้าง หล่อนจึงออกมา หล่อนดีใจที่เขาเข้าห้องน้ำเมื่อหล่อนออกมาแล้ว หล่อนรีบหวีผม ทาแป้ง เข้านอน ไม่อยากเห็นหน้าสามีและไม่อยากให้เขาพูดอะไรกับหล่อนในคืนนั้น

บัดนี้ขุนเวทคนนี้ ก็ไม่ได้ทราบข่าวคราวเกี่ยวกับเขามานานแล้วเหมือนหลวงพินาศ เขายังมีชีวิตอยู่หรือตายแล้วฉอ้อนก็ไม่ทราบ

หลังจากเหตุการณ์ที่เกิดในคืนนั้นแล้ว วิทูรจึงย้ายไปอยู่ลำปาง ที่เมืองนี้ เขาได้เลื่อนทั้งยศทั้งตำแหน่ง ณ ค่ายทหารนั้น มีผู้บัญชาการคนเดียวที่มีตำแหน่งสูงกว่าเขา จึงเป็นที่เห็นชัดว่าเขาไม่ได้ถูกย้ายด้วยเหตุวิวาทกับขุนเวทอาวุธ

คุณธรา บัดนี้มียศเป็นนายพล ดูเหมือนจะเป็นพลโทปีนี้เอง นับแต่เหตุการณ์ที่จังหวัดอุบลฯ คุณธราไม่เคยห่างไปจากวิทูรเลย วิทูรย้ายไปอยู่ลำปางได้สักสามสี่เดือน ธราก็ย้ายตามไป ฉอ้อนเริ่มจะเชื่อคำพูดทีเล่นทีจริงของสามีว่าเขามีมนตร์เปิดประตูถ้ำ จะเป็นผู้บังคับบัญชาชั้นสูง คนไหนที่คอยประสิทธิประสาทพรให้แก่เขาคอยทำตามคำขอร้องของเขา หล่อนไม่อาจเดา ท่านนายใหญ่สุดนั้น หล่อนได้เคยพบโดยใกล้ชิดสองสามครั้งแล้ว ท่านมีความกรุณาเมตตาฉอ้อนมาก ท่านชมฉอ้อนด้วยสายตาและด้วยคำพูด ท่านบอกแก่วิทูรว่า “ภรรยาของคุณนี่ น่าเอ็นดู” เมื่อได้พบท่านเป็นครั้งแรกที่อุบลราชธานี และท่านได้มาตรวจราชการที่ลำปาง ฉอ้อนได้มีโอกาสรับรองท่านเต็มที่ ในฐานะเจ้าของบ้าน เพราะภรรยาท่านผู้บัญชาการอยู่กรุงเทพฯ การต้อนรับเป็นที่สบใจท่านและท่านได้ออกมาชมฉอ้อนอีกว่า “คุณฉอ้อนนี่น่ารักจริงๆ คล่องแคล่วฉลาดเฉลียว สมเป็นเมียนายทหารผู้ใหญ่”

ที่ลำปางนี้หล่อนนึกขึ้นได้ว่า หล่อนได้ทำความรู้จักกับคนอีกหลายคนที่ดูเหมือนจะมีเรื่องราวเกี่ยวข้องกับชีวิตของหล่อนและสามี นายพันตรีประชา สิงหปาลิน คนหนึ่งละ ตั้งแต่วันแรกที่พบกับประชาและสุภาณีภรรยาเขา ฉอ้อนก็ไหวตัว ทีท่าของประชาแสดงว่าเขาไม่พึงใจที่จะอยู่ใต้บังคับบัญชาวิทูรอีกคนหนึ่ง เหตุผลพอเดาได้ เขาเป็นนายร้อย เขารับราชการก่อนวิทูร ๓ ปี แต่เขาพลาดโอกาสในกรณีพิพาทอินโดจีน เขาไม่ได้แสดงความสามารถในคราวนั้น วิทูรจึงล้ำหน้าเขาไป นอกจากนั้น วิทูรยังได้รับความสนับสนุนพิเศษ ได้เลื่อนขึ้นเร็วกว่านายทหารรุ่นเดียวกันอย่างเห็นชัด ทุกคนในค่ายดูเหมือนจะเดาได้ทั้งนั้น มีเสียงพูดเข้าหูฉอ้อนและวิทูรหลายครั้ง

ถ้ามิตรสหายหรือเพื่อนร่วมงานแสดงออกถึงเรื่องที่เขาได้เลื่อนตำแหน่งเลื่อนยศเร็วกว่าคนอื่น วิทูรไม่เคยมีอาการว่ารำคาญแก่ความริษยา ตรงกันข้ามเขามักซ่อนยิ้ม ความริษยาเป็นประดุจคำสรรเสริญในทางอ้อม เขาชอบยกภาษิตจากหนังสือเล่มหนึ่งมากล่าวให้ฉอ้อนฟัง “อำนาจวัดได้ด้วยจำนวนศัตรู”

ฝ่ายสุภาณีก็มีอะไรในตัวที่ทำให้เห็นว่าไม่เหมือนกับภรรยาของนายทหารอื่นๆ ทั่วๆ ไป ที่เป็นเช่นนั้นอาจเป็นเพราะสุภาณี เป็นข้าราชการครูอยู่ที่โรงเรียนสตรีประจำจังหวัด อีกทั้งมีปริญญาจากมหาวิทยาลัย มีเสียงกระซิบกระซาบกันทั่วๆ ไปเช่นเดียวกับสามีถูกกระซิบ ว่า เป็นคนหยิ่ง แต่ในสายตาของฉอ้อน แลไม่เห็นว่าสุภาณีหยิ่งผิดปรกติจากคนทั้งหลาย สุภาณียิ้มหัวในเวลาที่คนอื่นๆ ยิ้ม ทำกิริยาไหว้ตามโอกาสที่ทุกๆ คนทำ เมื่อมีการเลี้ยงอาหารกันตามธรรมดา หรือมีการรับรองแขกจากกรุงเทพฯ สุภาณีก็มาร่วมเหมือนคนอื่นๆ ฉอ้อนพยายามสังเกตว่าเหตุไฉนสุภาณีจึงถูกว่าหยิ่ง เมื่อสังเกตดูนานพอควร แล้วก็ตัดสินว่าเป็นความอุปาทานของเพื่อนภรรยานายทหาร จึงกล่าวปรารภกับสามี แต่วิทูรว่า

“แกมีอะไรหยิ่งๆ จริง ดูให้ดีๆ เถอะ”

“คุณ” ฉอ้อนค้านทันที “ถ้าคนหยิ่งไม่ต้องดูๆ ไปจะเห็นหยิ่ง มีแต่ทีแรกเห็นหยิ่ง แล้วคุ้นกันเข้าก็เห็นว่าเปล่า”

“ดูฉอ้อนชักฉลาดมากขึ้นทุกวันแล้ว” สามีหล่อนกล่าว นี่ซิ น้ำเสียงของเขา เขาพอใจหรือไม่พอใจเล่า

“พี่พูดนี่พูดว่า หรือพูดอย่างไรกันแน่” ฉอ้อนซ่อนความน้อยใจไว้ไม่ได้

“ไม่ได้ว่า” เขาแก้ “ไม่ได้ตำหนิหรอก แต่มันจริง ฉอ้อนช่างสังเกตอะไรมากทีเดียว”

หล่อนเข้าไป “ฉอ้อน” เขาคือเข้าไปนั่งเอาลูกคางอันค่อนข้างแหลมน่าเอ็นดูของหล่อนขึ้นวางบนบ่าเขาและเอาแก้มเกลือกที่คอของเขานิดหนึ่ง เขาก็หันมารวบตัวหล่อนเข้าไว้ในวงแขน นิ่งอยู่ในท่านั้นนานพอสมควรแล้วฉอ้อนก็พูดขึ้น

“ฉอ้อนนี่ไม่ชอบคนอุปาทานกับเรื่องนิดเรื่องหน่อย รู้สึกว่าไม่มีเรื่องก็ทำให้เป็นเรื่องขึ้น”

“ก็เรื่องของผู้หญิงนะและ” เขาว่า “ไม่ค่อยมีงานการทำ ก็เลยต้องหาเรื่องขึ้นมา”

“นั่นน่ะซี อย่างคุณสุภาณี เขามีงานทำ เขาก็หมกมุ่นกับงาน ไม่มีเวลามามั่วสุมนินทาคนโน้นคนนี้ ก็เลยถูกว่าหยิ่ง” ฉอ้อนว่า

“ฉอ้อนนี่ดูเหมือนจะนับถือคนมีปริญญาอะไรอย่างนั้นใช่ไหม” วิทูรพูด

“ก็เขาไม่น่านับถือหรือคะ” ฉอ้อนว่า “แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าฉอ้อนดูถูกคนไม่มีปริญญา ฉอ้อนก็ไม่ได้ร่ำเรียนสักแค่ไหน”

การสนทนาเรื่องสุภาณีจบลงเพียงแค่นั้น สำหรับสามีภรรยา เพราะมีกิจกรรมอื่นที่น่าอภิรมย์มากกว่า

แต่อีกประมาณสัปดาห์หนึ่ง วิทูรกลับจากทำงานมาถึงที่พัก ฉอ้อนเข้าไปดูแลให้เปลี่ยนเครื่องแต่งตัว และช่วยเก็บเสื้อผ้าในห้อง วิทูรก็เอ่ยขึ้น

“คนดีของฉอ้อน เขามีปริญญาความรู้ความฉลาดแล้วเขาทำอะไรรู้ไหม ค้าทับทิมหนีภาษี”

“คุณสุภาณีน่ะรึคะ” ฉอ้อนถามตกใจนิดหน่อย

“นั่นและ” วิทูรว่าพลางหัวเราะ

“แล้วทำไมคุณไปรู้เขาได้” ฉอ้อนถาม

วิทูรเดินไปที่แขวนเสื้อนอก ล้วงในกระเป๋าแล้วควักห่อกระดาษสีขาวออกมา เขาคลี่กระดาษออกแล้วยื่นให้ภรรยาดู ในนั้นมีทับทิมเม็ดสีชมพูน้ำใสขนาดเท่าเล็บหัวแม่มือของวิทูร เขาส่งห่อให้หล่อน และยิ้มมองดูหน้าหล่อน

“คุณไปเอามาทำไมคะนี่” ฉอ้อนถาม

“ของน้อง” เขาตอบ “เอาไว้ทำอะไรดี แหวนก็โตเกินมือไป ทำจี้ห้อยคอหรือยังไง หรือจะส่งไปให้ชะเอม”

ฉอ้อนมองดูเขายังงง “คุณไปซื้อมาหรือคะ เท่าไหร่”

เขาส่ายศีรษะพลางหัวเราะในลำคอ “ไม่ต้องซื้อ เขาให้”

“เอ ทำไมเขาถึงให้ ของอย่างนั้นมันแพงไม่ใช่หรือ” ฉอ้อนถามอย่างสงสัย

“ก็เราขอเขาก็ให้ซี” วิทูรตอบ สีหน้าของเขาแสดงว่ารู้สึกสนุก

“ใครกันละนี่ แล้วทำไมเขามาให้เรา” ฉอ้อนถามอีก

“ก็เพราะของมันหนีภาษี เขาถึงให้เรา” วิทูรบอก และในอารมณ์สนุกอย่างเดิม เขาก็ว่า “นี่ อย่าทำซักเป็นตำรวจ เขาให้ก็เอาก็แล้วกัน ส่งไปให้ชะเอมและดี แล้วก็ แล้วก็ มันก็ไม่ได้แพงอย่างฉอ้อนคิดหรอก แถวเมืองนี้ราคาไม่กี่สตางค์” พอเขาพูดจบ ตัวเขาก็ออกไปนอกห้องแล้ว และไม่ช้าเขาก็ออกจากที่พักไปสโมสร

ฉอ้อนเก็บทับทิมเม็ดนั้นไว้ หล่อนรู้ว่าทับทิมชนิดนี้มาจากประเทศพม่า คนในภาคเหนือเคยรู้เคยเห็นกันอยู่ทั่วไปแต่หล่อนไม่เข้าใจว่า วิทูรหมายความว่าอย่างไรที่ว่าสุภาณีค้าของหนีภาษี แล้วทำไมวิทูรจึงมีทับทิมมาให้หล่อน

ต่อมาสองสามวัน ฉอ้อนก็มีโอกาสพบสุภาณีสองต่อสอง เป็นปรกติของภรรยานายทหารขณะนั้นถ้ามีผู้ใดเจ็บไข้ โดยเฉพาะเด็กๆ ในครอบครัว เป็นไข้หรือเป็นหวัดหลายๆ คนพร้อมกัน ออกจะเหลือกำลังพี่เลี้ยงจะดำเนินงานไปโดยสะดวกก็มีการให้ขอยืมพี่เลี้ยงกันและมีผู้หนึ่งผู้ใดอาสาพาลูกๆ ที่ยังไม่เจ็บไปเที่ยวเล่นที่บ้านนั้นบ้านนี้เสียบ้าง พอประทังความวุ่นวายที่เรือนพัก ซึ่งตามปรกติ ถึงแม้ชั้นผู้บังคับกองพันก็ไม่มีที่ทางกว้างขวาง ฉอ้อนทราบว่า ครอบครัวของคุณนายขจรเกิดความลำบากเรื่องลูกเจ็บหลายคน จึงไปเยี่ยมเพื่อจะได้ทราบว่ามีอะไรที่อาจช่วยเหลือ เมื่อไปถึงที่พักก็พบสุภาณียืนอยู่ที่หัวบันไดเรือนนั้นพอดี

ทราบจากเจ้าของบ้านผู้มีความวุ่นวาย ว่ามีคนช่วยเหลือเป็นอย่างดีแล้ว ฉอ้อนใช้วาจาเยี่ยมเยือนอีกสองสามคำก็ลากลับ สุภาณีก็ลากลับด้วย บอกว่า จะไปโรงเรียน ฉอ้อนเห็นเป็นโอกาสก็เลยถามว่า ทำไมไปโรงเรียนสาย สุภาณีว่าไปถึงโรงเรียนแล้ว ขออนุญาตกลับมาธุระและเยี่ยมคุณนายขจร ฉอ้อนก็แทรกเข้าไปในคำสนทนา

“คุณสุภาณีคะ คุณวิทูรเขาซื้อทับทิมไปจากคุณสุภาณีเม็ดหนึ่งหรือคะ ถามเป็นส่วนตัว เพราะเขาไม่ยอมบอกราคา”

สุภาณีก้มหน้าลงทันที เมื่อเงยขึ้นมาแล้ว ทำสีหน้ายิ้มตอบว่า “คุณวิทูรไม่ได้ตกลงว่าจะซื้อหรอกค่ะ แต่ดิฉันบอกให้เอาไป ถ้าไม่ตกลงซื้อก็เอามาคืนได้ เมื่อไหร่ๆ ก็ได้ค่ะ”

“แต่ถ้าไม่ทราบราคา ดิฉันก็ตัดสินใจไม่ได้ซิคะ” ฉอ้อนว่า “คุณวิทูรก็ว่าไม่เป็นไรๆ พิลึกละ”

สุภาณีกลืนอะไรในลำคอหลายที แล้วกระซิบ “นี่คุณฉอ้อน ฉันบอกคุณแล้วคุณอย่าเอะอะไปนะ ดีไม่ดีกลายเป็นเรื่องใหญ่ คุณวิทูรเขาบอกว่าเขาให้คุณ ก็ให้มันเป็นเขาให้คุณ ราคาไม่ต้องพูดกันหรอก ทับทิมเม็ดนั้นน่ะ มีพรรคพวกหนีภาษีเอามาขายให้ดิฉัน ดิฉันรับซื้อมันก็ผิดกฎหมายเหมือนกัน แต่มันเรื่องเล็กน้อย เป็นคนรู้จักกัน ไอ้เราถึงกับไปบอกตำรวจมันก็จะเถนตรงจนเกินไป เขามาอ้อนวอนให้ซื้อเขา ไม่งั้นเขาก็จะขาดทุน ดิฉันก็ซื้อไว้สี่เม็ด ถ้าปรกติเราก็ซื้อไม่ได้ แล้วคุณวิทูรไปที่บ้านพักวันนั้น ก็เลยเอาออกมาอวดกัน เขาก็เลยขอซื้อไปบ้าง เอาเก็บไว้ก่อนเถิดค่ะ รับรองว่าไม่ทวง”

“ก็คุณซื้อไว้เท่าไหร่ แล้วจะขายเท่าไหร่ล่ะคะ” ฉอ้อนชักจะมีน้ำเสียงรำคาญที่หล่อนซ่อนไว้ไม่ได้

สุภาณีรีบเร่งฝีเท้าเดิน และพอดีมีสามล้อเข้ามาส่งคนในโรงทหาร สุภาณีรีบเรียกสามล้อนั้นมา ขึ้นนั่งแล้วก็พูดแก่ฉอ้อนอย่างค่อนข้างละล่ำละลัก “ดิฉันให้คุณก็แล้วกัน คุณฉอ้อนมันไม่เท่าไหร่หรอก”

ฉอ้อนยืนมองตามสามล้อของสุภาณีไปอย่างงุนงง ถึงแม้ในเวลานั้น จะมีประสบการณ์ในชีวิตไม่เท่าใด แต่ฉอ้อนก็เข้าใจได้ว่า วิธีอย่างนี้คือการติดสินบน หรือให้ของปิดปาก ฉอ้อนรู้สึกผิดหวังมาก เพราะในใจของหล่อน มีความนับถือคนมีความรู้ซ่อนอยู่ ในเมื่อสุภาณีผู้ซึ่งหล่อนเตรียมพร้อมที่จะนับถือมาเป็นคนที่ไม่น่านับถือ เช่นนี้ฉอ้อนก็รู้สึกว่าโลกน่าอยู่น้อยลงไป

ในเวลาเย็น เมื่ออยู่กันสองต่อสองกับสามีก่อนเข้านอน ฉอ้อนก็ถามเรื่องทับทิมอีก “พี่ เรื่องทับทิมน่ะ คุณสุภาณีเขาให้จริงๆ หรือ วันนี้ฉันพบกับเขา เขาทำชอบกล”

“เขาทำยังไง” เสียงของเขาแข็งขึ้นทันที

“ทีแรกเขาบอกว่าคุณไม่ได้ซื้อ บอกว่าให้ฉันเก็บไว้ก่อน แล้วพอฉันซักไปๆ ก็เลยบอกว่าให้”

“นี่ ฉอ้อนขอเสียที บอกอะไรขอให้เชื่อ” วิทูรว่าน้ำเสียงกระด้าง “ไม่ใช่ฉันบอกอะไร แล้วฉอ้อนไปเที่ยวสืบจากคนโน้นคนนี้อีก แล้วก็ยังดีใช่ไหม ฉันได้อะไรฉันก็เอามาให้ฉอ้อน ถ้าทำช่างสงสัยอย่างโน้นอย่างนี้ รู้ไหมที่คนใหญ่คนโตเขาต้องมีเมียน้อยกันน่ะ เพราะเมียน้อยมันไม่เซ้าซี้ ให้อะไรก็พอใจ อย่างฉอ้อนนี่ละ ผัวก็เลยอยากมีเมียน้อย หาอะไรก็เอาไปให้เมียน้อย”

ฉอ้อนยิ่งงุนงงในคำพูดของสามียิ่งขึ้น จากทับทิมหนีภาษีซึ่งเป็นเรื่องผิดกฎหมาย ทำไมไปถึงเรื่องเมียน้อย เมียหลวง ฉอ้อนชักโกรธ จึงถาม

“ก็คุณอยากมีเมียน้อยหรือยังล่ะ เดี๋ยวนี้ใหญ่โตถึงขนาดมีเมียน้อยหรือยัง”

เขาซุกหน้าเข้าไปในหมอน “ง่วงนอนแล้ว อย่าพูดมากเลยคืนนี้ แหม พี่ตั้งใจจะรักฉอ้อนขนาดใหญ่นะ มาทำรู้ฉลาดให้ผิดใจกันได้นี่ ผู้หญิงแบบนี้ละไม่ต้องใหญ่ต้องโตหรอก ทำให้ผัวเที่ยวมีเมียน้อยรู้ไหม”

คืนนี้เป็นคืนแรกในชีวิตสมรส ที่ฉอ้อนร้องไห้เพราะคำของสามี หล่อนรู้สึกว่าไม่ยุติธรรมเลยสักนิดเดียว แต่หล่อนก็ไม่กล้าร้องไห้ให้เขาเห็น เขาซุกหน้าในหมอนใบหนึ่ง หล่อนซุกอีกใบหนึ่ง ไม่เป็นปากเสียงกันต่อไป

แต่ในวันรุ่งขึ้น เขาก็พยายามเกลื่อนรอยร้าวด้วยการชวนหล่อนไปเที่ยวหมู่บ้านที่ทอผ้าไหม เขาตามใจให้ฉอ้อนซื้อหรือไม่ซื้อสีใดเนื้อใด หล่อนจะต่อราคาหรือไม่เขาก็เอออวยไปด้วย เขามีนัยน์ตาดูเลือกสีได้เหมาะแก่ตัวหล่อนมาแต่เดิมแล้ว หล่อนก็ขอความเห็นเขาเป็นการเอาใจด้วย ชะรอยจะเป็นเพราะหล่อนรักเขามากเกินไปเอาใจเขาเกินไปกระมัง เขาจึงมีลักษณะอาการอย่างที่เป็นอยู่อย่างนี้ แต่ว่าเขาเป็นอย่างไร ฉอ้อนก็ไม่รู้แจ้งแก่ใจตนอีกนั่นเอง และฉอ้อนจะหาใครช่วยขบคิดอะไรก็ไม่มี ฉอ้อนรู้ว่าถ้าหล่อนเอ่ยปากเรื่องที่อยู่ภายในใจออกมาเป็นถ้อยคำ จะมีคนแนะว่า “อย่าคิดมาก” หรือมิฉะนั้นก็จะมีคำเยินยอ “โถ ท่านกับท่านรองน่ะ ใครๆ เขาก็ว่าน่าอิจฉา จะหาคู่ไหนเหมือน ลูกท่านก็น่ารักเจ้าค่ะ” ลงเสียงที่ “น่ารัก” อย่างค่อนข้างแหลมเพื่อให้น่าเชื่อ หรือมิฉะนั้นก็ “เมียที่ยุ่งมาก คิดนั่นคิดนี่ พอที่ผัวเขาจะอยู่ดีๆ เขาก็เลยรำคาญ บางทีไม่มีเรื่องก็เลยมีขึ้น” แต่ฉอ้อนก็อดคิดไม่ได้ หล่อนอดได้ที่จะไม่ทำตัวให้เป็นทุกข์ เพราะหล่อนรู้ว่าหล่อนยังไม่ถึงเวลาที่จะทุกข์ แต่เวลานั้นจะมาถึงเมื่อไหร่หรือไม่ ฉอ้อนได้เล่าเรียนน้อยก็จริง แต่ประวัติการณ์ของประเทศไทยภายในเวลา ๒๐ กว่าปีนี้ เกิดขึ้นใกล้ๆ ตัวใกล้ใจของหล่อน ที่จะเกณฑ์ให้หล่อนเป็นคนล่องลอยอยู่กับสร้อยทับทิม และสายสะพาย และคนแวดล้อม ซึ่งมีมาแต่คำหวานกับคำร้องขอความช่วยเหลือต่างๆ จึงออกจะผิดวิสัยที่หล่อนจะปฏิบัติได้

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ