บทที่ ๒๖

เกรินเข้าไปในห้องคนเจ็บและอยู่ในนั้นประมาณ ๕ นาทีแล้วก็ออกมา นัยน์ตาของเขาแดงช้ำด้วยน้ำตาที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ไหล เขาเลี่ยงลงไปเดินอยู่คนเดียวในสวนหลังตึก แล้วฉอ้อนก็พาลูกสองคนเข้าไปหาสามี คุณแจ๋วมีความรู้สึกว่าตนเองออกจะเป็นคนเกินจึงเสไปถามพยาบาลเลือดผสมยุโรปและอาเซีย ถึงอาการของพลเอกวิทูร จึงได้รับคำบอกเล่าว่า ก่อนที่จะมาถึงโรงพยาบาลนั้น คนเจ็บได้เสียโลหิตไปมาก กระสุนได้ผ่านเส้นเลือดสำคัญ ๆ หลายเส้น แพทย์ได้เย็บและรักษาไว้อย่างดีที่สุด ถ้ากำลังของคนไข้มีพอ และเผื่อเส้นเลือดสมานกันดีไม่แตกออก ก็อาจรอด แต่ถ้าธรรมชาติไม่ช่วย ก็อาจตายอย่างกะทันหัน แพทย์จึงไม่เต็มใจให้คนเจ็บต้องตื่นเต้นในทางใดทั้งสิ้น

ไม่ช้าแพทย์ก็เข้ามาต้อนคนเยี่ยมให้ออกจากห้องคนไข้ ฉอ้อนกับลูกๆ ก็ทำตามโดยดี หนูเป๊าะบ่นว่าโรงพยาบาลเข้มงวดเกินไป แต่ฉอ้อนเข้าใจความประสงค์ของหมอ โดยเฉพาะเคยได้ยินเฌอบ่นอยู่บ่อยๆ เรื่อง “คนเยี่ยมฆ่าคนไข้” จึงค่อยปลอบลูก คุณแจ๋วได้รับรายงานว่า เมื่อเข้าไปในห้อง เห็นพ่อเจ็บมาก หนูเป๊าะก็บังคับตัวไม่ได้ ร้องไห้กระซิกๆ ออกมา เลยทำให้แม่และพี่สาวกลั้นไว้ไม่อยู่ แต่ได้พยายามอย่างที่สุดที่จะไม่ทำให้คนเจ็บเห็นและเกิดความเศร้า

“พ่อพูดไม่ค่อยได้หรอก คุณป้า” หนูเป๊าะรำพันพลางสะอื้น “ไม่มีแรง หนูเห็นแล้วสงสารเหลือเกิน”

กงสุลและมิสเตอร์ตัน เข้ามาเดือนท่านผู้หญิงและคณะให้ไปพักผ่อนเสียสักเล็กน้อยก่อน นายแพทย์ออกมาจากห้องคนไข้ แล้วก็ช่วยแนะนำเป็นเชิงบังคับกลายๆ ฉอ้อนให้แพทย์และพยาบาลสัญญาว่าจะบอกหล่อนทางโทรศัพท์ทันที ถ้าอาการของคนไข้เปลี่ยนไปในทางไม่ดี เมื่อได้รับคำสัญญาจนเป็นที่อุ่นใจแล้ว ทั้งคณะจึงไปยังบ้านที่มิสเตอร์ตันจัดไว้ให้

เมื่อไปถึงบ้าน ต่างคนต่างก็แยกไปตามห้องตามคำเชิญชวนของเจ้าของบ้าน ฉอเลาะกับหนูเป๊าะเลือกอยู่ห้องเดียวกัน ฉอ้อนอยู่ห้องโดยลำพัง คุณแจ๋วและคุณเกรินก็มีห้องพักอย่างสบายคนละห้อง

คุณแจ๋วเข้าห้องได้ก็ล้มตัวลงนอนบนเตียงปูลาดอย่างสะอาด กำลังคิดว่าจะหลับสัก ๑๕ นาที เอาแรงไว้ต่อสู้กับเหตุการณ์อันอาจเกิดโดยคาดไม่ถึง ก็มีเสียงเคาะประตูเบาๆ แล้วพอได้รับคำอนุญาตให้เข้าห้อง ท่านผู้หญิงฉอ้อนก็เข้ามา

ฉอ้อนเดินมานั่งบนเตียงคุณแจ๋วอย่างสนิทสนมกว่าที่เคยทำมา คุณแจ๋วเอาแขนโอบหลังไว้อย่างละมุนละม่อม ฉอ้อนเอนศีรษะซบลงบนบ่าของคุณแจ๋วและพูด

“คุณแจ๋วขา ฉอ้อนควรทำยังไง จะไปโรงพยาบาลเขาจะดีหรือไม่ดี เขาจะชอบใจหรือเปล่าก็ไม่รู้ ฉอ้อนไม่อยากทำอะไรให้เขาต้องกลุ้มต้องรำคาญตอนนี้เลย”

“ฉอ้อนกำลังคิดถึงเรื่องอะไรน่ะ ฉันยังเดาไม่ถูกเลย เขาจะกลุ้มทำไม รำคาญอะไร” คุณแจ๋วผู้ซึ่งมีบทบาทเป็นที่ปรึกษาโดยไม่ได้อาสาสมัครถามอย่างงงๆ

“ก็คุณวิทูรน่ะ เขาจะอยากอยู่กับใครตอนที่เขาเจ็บมากยังงี้ เมียคนไหน ฉอ้อนไม่ว่าทั้งนั้นแหละค่ะ ขอให้เขาได้สบายก็แล้วกัน แต่ก่อนฉอ้อนไม่ว่าอะไรเพราะอายคนเขา แต่เดี๋ยวนี้ฉอ้อนอยากให้คุณวิทูรเจ็บสบาย ถ้าจะตายก็ให้ตายสบายๆ” เมื่อจบคำพูดที่หลั่งไหลออกมาจากหัวใจด้วยเสียงสั่นเครือแล้วฉอ้อนก็ร่ำไห้สะอื้นอย่างถี่ แต่ออกเสียงไม่ให้ได้ยินไปถึงนอกห้อง

คุณแจ๋วกอดฉอ้อนเข้ามาแน่นยิ่งขึ้น “เอ เราจะรู้ได้ยังไง นอกจากเขาจะบอกเรา” คุณแจ๋วมองดูฉอ้อนร่ำไห้พลางก็ใช้ความคิดอย่างเต็มความสามารถ “ลองถามเขาก็แล้วกันนะ ถามว่าเขาอยากให้ฉอ้อนอยู่ด้วยไหม ดูทีท่าของเขา แล้วฉอ้อนเคยเข้มแข็งมาตลอดเวลา ก็ต้องทำใจเข้มแข็งต่อไป ถ้าคุณป้าได้เห็นฉอ้อนในยามนี้ ท่านจะต้องว่า ฉอ้อนเป็นคนมียศมีศักดิ์จริงๆ จำได้ไหมสำนวนคุณป้ากำยาน”

ฉอ้อนรู้ว่าคุณแจ๋วหาคำพูดปลอบตน จึงพยายามหยุดร้องไห้และยิ้มให้คุณแจ๋วหน่อยหนึ่ง ทั้งสองนิ่งอยู่นานเพราะจนต่อถ้อยคำ แล้วฉอ้อนกล่าวเสียงกระเส่าว่า

“เราห้ามไม่ได้ใช่ไหม คุณแจ๋ว เราจะห้ามลูกว่าอย่ารักใคร ก็ไม่ถูกใช่ไหม คุณแจ๋วมีบุญนะที่ไม่ต้องรักใคร”

คุณแจ๋วหัวเราะอยู่ในลำคอ “ห้ามไม่ได้แน่เชียวฉอ้อน ใครจะรักใครไม่รักใคร น่าจะโทษเวรโทษกรรม แล้วเราจะสบายใจขึ้น” คุณแจ๋วนิ่งไปอีก นานพอควรแล้วจึงพูดใหม่ “ลองนึกอย่างนี้ดูดีไหม การที่เราได้รักใครคนหนึ่ง ถือว่าเราได้ลิ้มรสบุญอันหนึ่ง เพราะระหว่างที่รักกันก็ชุ่มชื่นอ่อนหวาน แต่นานเข้ารสก็เปลี่ยนไปบ้าง ก็ยังดีกว่าไม่ได้ชิมรสเลย รสเขาเปลี่ยนไป รสเราก็คงเปลี่ยนตาม แต่เราอาจไม่รู้ตัว หรือเราอยากให้เขาเป็นไอ้ที่เขาเป็นไม่ได้ เช่นจะให้ผู้ชายรักแบบเดียวกับผู้หญิงเขาก็ทำไม่ได้ ถ้าเราคิดเสียอย่างนี้ ก็คงจะได้กระมัง หรือคิดว่าเรามีของดี จึงต้องแบ่งปัน ก็เป็นทางออกอีกทางหนึ่ง”

“แต่จะทำยังไงถึงจะรู้ล่ะ ว่าเขาอยากให้เราทำอะไรในเวลาอย่างนี้”

“ฉอ้อนไปพักผ่อนเอาแรงไว้ก่อน แล้วเราช่วยกัน หาทางจนรู้ ไปนอนเงียบๆ เสียประเดี๋ยว เพราะเราวิ่งเต้นมาตลอดเวลาเกือบ ๓๖ ชั่วโมง อย่างงี้จะดีไหม” คุณแจ๋วหาทางปลอบไปเท่าที่จะนึกได้

สหายของคุณแจ๋วรับเอาคำแนะนำอย่างว่าง่าย ค่อยๆ เช็ดน้ำตาและทำหน้าให้ดูสะอาด แล้วก็เดินออกจากห้องไป

พอฉอ้อนลับตัวไปแล้ว คุณแจ๋วก็เอนตัวลงนอนบนเตียง ทำใจให้เข้าสู่ภาวะที่จะหลับ ก็มีเสียงเคาะประตูเบาๆ อีกครั้ง คุณแจ๋วไปแง้มประตูดูว่าผู้ใดมาเรียก ปรากฏว่าคุณเกรินยืนพยักหน้าให้เปิดรับ คุณแจ๋วจึงทำตาม คุณเกรินเดินเข้ามาในห้อง ไม่ลงนั่ง เดินไปเดินมาที่หน้าเตียงคุณแจ๋วตั้งหลายกลับ ทั้งที่คุณแจ๋วขยับเก้าอี้หน้าโต๊ะเครื่องแป้งให้นั่ง คุณเกรินเดินกลับไปกลับมาจนคุณแจ๋วรำคาญมาก ทนไม่ไหวก็เลยดุแหว

“เอ๊อ นี่ยังไงราวกับชะมด เข้ามาแล้วจะเล่าอะไรก็ไม่เล่า แล้วนั่งก็ไม่นั่ง

คุณเกรินรีบนั่งลงทันทีจนคุณแจ๋วแปลกใจ หันหน้ามาทางญาติหญิงผู้นั่งอยู่บนเตียงนอน กล่าวว่า

“รู้ไหมวิทูรเขาเรียกฉันไปพูดว่าอะไร”

“เอ๊อ ใครจะไปรู้ได้ ก็พูดกันอยู่สองคน เล่าไปซิอยากรู้อยู่เหมือนกัน”

คุณเกรินมองหน้าคุณแจ๋วแล้วสั่นศีรษะเบาๆ “อือ” เขาคราง “เขาบอกว่าเขาฝากฉอ้อนกับลูก ช่วยวิ่งเต้นด้วย พินัยกรรมเขาทำไว้ อยู่ที่ทนายความที่ปีนังนี่ แต่ไม่รู้ว่ากฎหมายเมืองนี้เขาจะยังไง” เขาเล่าต่อไป “ไอ้นั่นก็ไม่เท่าไหร่ ส่งพี่จำลองมาจัดการได้ แต่ทีนี้เขาฝากแปลก เขาบอกว่าถ้าเขาตายเมื่อไหร่ ให้ช่วยโทรศัพท์ไปบอกเพื่อนเขาด้วย ชื่อเจ้าก่องฟ้า เพื่อนคนนี้เขาขอเห็นศพก่อนลงหีบ ขอให้ฉันช่วยเร็วที่สุดที่จะมีโอกาส ให้พยายามอย่าให้พบฉอ้อน เขาขอเพียงเท่านี้” แล้วเกรินก็หยิบนามบัตรของพลเอกวิทูร มีหมายเลขโทรศัพท์ข้างหลัง ส่งให้ญาติดู

“บ้า ผู้ชายนี่บ้าทุกคน” คุณแจ๋วลงความเห็นอย่างไม่ไว้หน้า “เมื่อตะกี้ ฉอ้อนแกมานั่งร้องไห้ แกว่าทำไมจะรู้ว่าพ่อโฉมเอกวิทูร จะอยากให้ใครไปพยาบาล คุณเกรินช่วยถามให้ทีได้ไหมล่ะ เพื่อนรักเพื่อนเกลอกัน”

“โธ่ คุณแจ๋ว คนมันจะตายนา” คุณเกรินทำเสียงเหมือนจะร้องไห้ “ทำไมนะ ผู้หญิงก็ คนจะตายแล้วจะช่วยกันพยาบาลไม่ได้เหรอ”

“มันเป็นบางคนหรอกคุณเกริน” แจ๋วว่า “ถ้าเป็นแจ๋ว เชิญสี่มุมหามเลย คุณเกรินเห็นใจเพื่อนก็ลองขอร้องฉอ้อนแกดูซี แกออกเชื่อฟังทุกอย่าง”

“โธ่ อย่าเยาะเย้ยน่า คุณแจ๋ว” คุณเกรินพูดทำเสียงน่าสงสาร “มันจะไปยังงี้กี่วันก็ไม่รู้ หรือเกิดหายไม่ตายก็ยุ่งอีก”

“ไปเถอะ แจ๋วจะนอน เพลียจะตายอยู่แล้ว ตื่นขึ้นจะช่วยคิดให้ทุกคน” คุณแจ๋วพูดอย่างไม่ค่อยอ่อนหวานนัก แต่แล้วก็เกิดขบขันตัวเองและทุกคนขึ้นมา ก็เลยหัวเราะขึ้นมาเบาๆ คุณเกรินจ้องหน้าญาติอย่างตกใจ

“ไม่ต้องตกใจถึงยังงั้นหรอกคุณเกริน” คุณแจ๋วรีบบอก และยังหัวเราะต่อไปอีกสองสามคิก “ไม่บ้าขึ้นไปกว่าที่เป็นอยู่เดิมหรอก แต่มันแสนจะแปลกละ คุณเกรินก็ดูจะพิลึกไปด้วย ไปเถอะ ไปพักผ่อนเสียประเดี๋ยวไม่งั้นจะขาดสติสตังกันไปหมด”

คุณเกรินค่อยๆ เดินออกไปจากห้อง เหลือคุณแจ๋วอยู่ในห้องของตัวคนเดียว ล้มตัวลงนอน แต่หัวสมองไม่ยอมหลับเสียแล้ว จิตใจชักจะฟุ้งซ่านไปใหญ่ คิดเห็นภาพนั้นภาพนี้ ล้วนแล้วแต่ไม่นำความสงบมา คุณแจ๋วเลยใช้วิธีเข้าห้องน้ำอาบน้ำ แล้วก็ไปนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ของปีนังอยู่คนเดียวในห้องนั่งเล่นชั้นล่าง

หนังสือพิมพ์ลงข่าวเรื่องการถูกยิงของพลเอกวิทูรค่อนข้างจะยืดยาว พยายามทำให้เป็นข่าวตื่นเต้นที่สุด ลงรูปสถานที่เกิดเหตุบนเขาด้านหลังของโฮเต็ลที่วิทูรขึ้นไปพัก มีรูปของเขาจับมือกับชายชาวยุโรปในห้องโถง ใกล้เขามีสตรีแต่งกายแบบพม่า คือนุ่งซิ่นหรือโสร่งยาวกรอมเท้า สวมเสื้อรัดรูปสั้นเพียงเอว ดวงหน้าไม่เห็นชัดเพราะกระดาษหนังสือพิมพ์ไม่ดีพอ และแสงสว่างส่องไม่ตรงหน้า แม้กระนั้นคุณแจ๋วก็มีไหวพริบ คิดว่าไม่จำเป็นที่ฉอ้อนจะต้องเห็นรูปนั้นจึงเอาหนังสือพิมพ์ไปเก็บเสียในลิ้นชักในห้องคุณแจ๋ว

อีกประมาณครึ่งชั่วโมงต่อมา ฉอ้อนกับลูกๆ และคุณเกรินก็ไปที่โรงพยาบาลเพื่อฟังอาการของพลเอกวิทูรอีกครั้งหนึ่ง คงเหลือคุณแจ๋วอยู่ที่บ้านคนเดียว ฉอ้อนขอร้องให้คุณแจ๋วสั่งกับข้าวและอาหารหวานคาวเท่าที่จะสั่งได้ตามที่แม่ครัวที่นายตันจ้างไว้ ได้มาขอให้มีใครช่วยสั่ง แม่ครัวพูดไทยได้นิดหน่อย แต่คุณแจ๋วก็สั่งกับข้าวที่จะซื้อในตลาดเมืองปีนังไม่ถูก จึงเลยไปเที่ยวตลาดกับแม่ครัว

คุณแจ๋วกลับมาจากตลาด มีสิ่งของที่ซื้อได้มากพอใช้ มาถึงบ้านก็จัดผลไม้ลงในกระเช้าที่คนใช้ประจำบ้านนำมาให้แล้วเข้าครัวช่วยแม่ครัวทำกับข้าว รอคอยญาติและมิตรจะกลับมา กว่าคนเยี่ยมพลเอกวิทูรจะกลับมาถึงบ้านก็เกือบ ๒๐ นาฬิกา ฉอ้อนมีท่าอิดโรย หนูเป๊าะกับฉอเลาะก็ร้องไห้อีกทันทีที่คุณแจ๋วถามข่าวถึงคุณพ่อ ภรรยาและลูกของวิทูรต่างก็บอกว่า มีหวังน้อยที่เขาจะรอดชีวิต แต่โรงพยาบาลก็ไม่ยอมให้ครอบครัวอยู่เฝ้าตลอดคืน แต่สัญญาว่าจะโทรศัพท์มาเรียกทันทีที่อาการไม่ดีเกิดขึ้น คุณแจ๋วพยายามอ้อนวอนให้ทุกคนกินอาหาร ซึ่งคุณแจ๋วพยายามทำไว้ดีที่สุดที่จะคิดออก แต่ทุกคนรวมทั้งคุณเกริน ไม่มีจิตใจที่จะอร่อยกับรสอาหารของคุณแจ๋วและแม่ครัว

ฉอ้อนอาบน้ำเข้าห้องนอน หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ ทำใจให้สงบเท่าที่จะทำได้ มีบทสวดมนตร์กี่บทที่จำได้เรียนมา ก็สวดหมดทุกบท แล้วด้วยความอ่อนเพลียก็หลับไป หลับแล้วผวาตื่น แล้วหลับอีกสลับกันไปหลายครั้ง จนเวลาประมาณ ๕ นาฬิกา เสียงโทรศัพท์จึงดังกริ่งใหญ่ในความสงัดของยามอรุณ ฉอ้อนกระโจนออกจากเตียง วิ่งไปที่เครื่องโทรศัพท์ด้วยมืออันสั่นเทา คุณเกรินก็ออกมาจากห้องพร้อมๆ กับฉอ้อน คุณเกรินเข้าไปฟังที่หูโทรศัพท์ด้วย ได้ยินเสียงพยาบาลบอกมาชัดเจนพอสมควรให้ฉอ้อนรีบไปโรงพยาบาล ฉอ้อนกลับไปหวีผม เครื่องแต่งตัวไม่เปลี่ยน เพราะเตรียมไว้เพื่อฉุกเฉินแล้ว เอาเสื้อคลุมสั้นๆ คลุมตัวเข้า ฉอเลาะและหนูเป๊าะก็เตรียมพร้อมไว้เช่นกัน แล้วครอบครัวของวิทูร และเกรินมิตรของเขาก็นั่งรถยนต์ของนายตันไปยังโรงพยาบาลด้วยกัน

ฉอ้อนและลูกๆ เข้าไปในห้องคนเจ็บ เขามีสติดี เขาเป็นคนบอกให้พยาบาลโทรศัพท์เรียกภรรยาและลูก ๆ มา ฉอ้อนเข้าไปยืนชิดเตียง พยาบาลเอามุ้งตลบขึ้นไป วิทูรยื่นมือมาจับฉอ้อนไปกุมไว้ เขาพูดแก่หล่อนเบาๆ

“ยกโทษให้พี่ทุกอย่างนะจ๊ะ พี่รักฉอ้อน” แล้วเขาก็ยื่นมือมาจับมือลูกมากุมไว้ กุมมือฉอเลาะไว้ประเดี๋ยวก็ปล่อยแต่พูดว่า “ดูแลแม่นะจ๊ะ” แล้วเขาก็จับมือหนูเป๊าะไปกุมไว้แทน เขาไม่พูดอะไรต่อไป ตาค่อยๆ หรี่ลง จนในที่สุดก็หลับไป เขานิ่งอยู่สองสามนาที พยาบาลจึงเข้าไปจับชีพจร แล้วหันมาบอกแก่แพทย์และแก่ครอบครัวของเขาว่าพลเอกวิทูร ละโลกอันเขาได้แสดงบทบาทครึกโครมมาตลอดชีวิตของเขาไปแล้ว

เมื่อพยาบาลเข้าไปจัดผ้าห่มและเสื้อผ้าให้คนตายเสียใหม่ ฉอ้อนจึงเห็นรอยโลหิตที่หน้าอกของสามี ที่พยาบาลได้เอาผ้าคลุมไว้ก่อนที่หล่อนจะเข้าไป เขาสะอึกเป็นโลหิตออกมา แสดงว่าเยื่อของเส้นโลหิตไม่ยอมสมานกันตามความหวังของแพทย์ เขารู้ตัวดี รีบบอกให้พยาบาลตามลูกเมียมาโดยเร็ว

เกรินไปยืนที่ปลายตีนเตียง มองดูร่างอันหาชีวิตไม่แล้วของเพื่อน เขาหวนคิดถึงความหลังตั้งแต่ครั้งวิทูรกับเขา เป็นเพื่อนนายทหารอยู่ด้วยกันที่จังหวัดเพชรบุรี เขาพยายามจำว่าวิทูรเป็นคนอย่างไร ก็ระลึกได้ว่า สิ่งที่ดึงดูดให้เขาเป็นเพื่อนกับวิทูรก็คือลักษณะที่น่าสนใจ รูปร่างและหน้าตาสมกับแบบฉบับของนายทหาร แววตาฉลาด ในการคบกับเกริน วิทูรทำตัวเป็นศิษย์ชนิดแปลกคือข่มขู่จะเอาความรู้จากเกรินในเมื่อเขาต้องการได้ความรู้ แต่ยอมตัวเป็นศิษย์ที่ดี คือ นำความคิดของเกรินไปไตร่ตรองไม่ให้ตกเรี่ยเสียหายเลย เขาไปไตร่ตรองแล้ว เขาจะนำกลับมาถกเถียงกับเกรินทุกเรื่องที่เขาสนใจ วีรบุรุษที่เขาสนใจมากในสมัยนั้นก็คือ นโปเลียน ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิดปกติ เพราะทหารทุกคนสนใจกับนโปเลียน แต่วิทูรสนใจกว้างขวางกว่าคนอื่น สนใจไปถึงวิธีการปกครองของนโปเลียน วิธีชักจูงโน้มน้าวใจคน ถ้ามีหนังสือไทยเกี่ยวกับประวัติศาสตร์อยู่ที่ไหน วิทูรจะอ่านหมดทุกเล่มแล้วก็นำข้อคิดมาถกเถียงกับเกรินในเวลาที่อยู่กันสองคน เขาไม่ชอบออกความคิดเห็นให้คนทั่วๆ ไปฟัง

พอตำแหน่งสูงขึ้น บ้านเมืองเปลี่ยนแปลงไปหลายอย่าง วิทูรกับเกรินก็ห่างกันไป แต่ไม่ขาดการติดต่อ เขาไว้ใจเกรินให้ช่วยดูแลครอบครัว และมีโอกาสเมื่อใดก็ยังฟังความคิดเห็นของเกริน เหล่านี้เป็นสิ่งที่เกรินเห็นเองประจักษ์แก่ตา แต่ที่เขาได้ยินจากคนอื่นๆ ทั้งทหารและพลเรือน วิทูรแสดงลักษณะที่น่ารังเกียจหลายอย่าง คนว่าเขาเป็นคนหยิ่งยโส เอาใจของตนเหนือคนอื่น และมีพยาบาทแรง เมื่อฟังไปนานๆ ทั้งที่มีหลักฐานพอจะเชื่อได้ และผสมเข้ากับเหตุการณ์ทำให้ต้องเชื่อ เกรินต้องตัดสินใจในที่สุดว่า วิทูรเพื่อนของเขาเป็นคนชนิดที่มีปรากฏในประวัติศาสตร์บ่อยๆ คือเป็นคนที่มีความสุขในอำนาจ ถ้าวิทูรอยู่ในตำแหน่งที่เขาจะใช้ได้แต่ธรรมะที่เรียกกันว่า “พระคุณ” และขาดเสียซึ่ง “พระเดช” โดยสิ้นเชิง เขาจะอยู่ไม่ได้นาน และทุกครั้งที่วิทูรได้พบเกรินระหว่างที่รับราชการเป็นระยะๆ ห่างบ้าง ถี่บ้าง เกรินจะได้ยินวิทูรคุยให้ฟังถึง “พระเดช” ของเขา ซึ่งเขามักจะเล่าเรื่องที่เขาได้บำเพ็ญกรณีย์อย่างใดอย่างหนึ่ง

วิทูรเป็นคนดีหรือคนเลว ใครเล่าจะวินิจฉัยและพิพากษา เกรินไม่มีโอกาสจะกระทำได้อย่างเป็นที่พอใจ เพราะสิ่งที่เขารู้ที่เป็นสิ่งไม่ดี เขารู้จากคนอื่น ไม่ได้ประจักษ์แก่ตา แต่มิตรภาพนั้น วิทูรได้ให้แก่เกรินทุกโอกาสที่จะให้ได้ ดังนั้นการเสียชีวิตของวิทูร ก็หมายถึงว่าเกรินเสียเพื่อนไปคนหนึ่ง เกรินจึงมีความเศร้าใจ และระลึกว่าถ้ามีทางจะสนองความปรารถนาของเพื่อนในทางใดเขาก็จะทำ

ฉอ้อนไปยืนข้างเตียงที่สามีนอน พิศดูร่างซึ่งยังทรงไว้ซึ่งรูปสมบัติแม้เมื่อไร้ชีวิตแล้ว นัยน์ตาหลับสนิทมองดูเหมือนคนนอนหลับอย่างปกติ นานจึงเห็นว่าปราศจากลมหายใจ ฉอ้อนนึกอะไรไม่ออก สมองมึนงง ปัญหาเกี่ยวกับเขาช่างหมดไปรวดเร็ว ฉอ้อนยังไม่ได้พยาบาลเขาเลย เขาก็ตายไปเสียแล้ว ขณะที่พิศดูร่างของสามีอย่างไม่ค่อยมีสติอยู่กับตัว ก็ได้ยินลูกร้องไห้ดังขึ้น หันไปข้างหลังจึงเห็นว่าหนูเป๊าะไปยืนอยู่ใกล้ประตู ก้มหน้าลงสะอื้นในผ้าเช็ดหน้า ฉอเลาะกำลังเอามือลูบหลังน้องและปล่อยให้น้ำตาของตนเองไหลโดยไม่เช็ด ฉอ้อนเกิดสงสารลูกเหนือความรู้สึกอื่นใด จึงละจากร่างของสามีเดินไปกอดลูกไว้ทั้งสองคน พยาบาลเห็นได้โอกาส จึงเข้ามาบอกฉอ้อนว่า ถ้าฉอ้อนและลูกๆ จะออกไปจากห้องชั่วคราวก็จะเป็นการดีสำหรับงานของเขา เขาใคร่จะได้ทำความสะอาดเรียบร้อยบางอย่าง และโรงพยาบาลใคร่จะทราบว่า เจ้าของไข้จะจัดการศพอย่างไร จะได้ตระเตรียมให้ไม่ขัดต่อความประสงค์และไม่ก่อความไม่สะดวกแก่โรงพยาบาลมากนัก ระหว่างที่ฉอ้อนฟังพยาบาล แพทย์ที่รักษาวิทูรก็เข้ามาแนะนำผสมว่า เห็นควรให้ฉอ้อนไปรอที่ห้องข้างนอกชั่วคราว ฉอ้อนจึงพาลูกออกไปนอกห้องอย่างงงๆ

พอฉอ้อนกับลูกสองคนลงนั่งบนเก้าอี้ในห้องพักผู้เยี่ยมได้ไม่กี่นาที ยังไม่คิดหรือพูดอะไรกัน เพราะหนูเป๊าะคงร้องไห้ต่อไป กงสุลไทยผู้ได้รับโทรศัพท์จากโรงพยาบาลก็เข้ามาหา เมื่อถามถึงอาการก่อนที่จะสิ้นลมหายใจของคนไข้ตามธรรมเนียมแล้ว ก็เตือนฉอ้อนขึ้นถึงงานศพ มีปัญหาหลายปัญหา จะบรรจุศพเข้าหีบอย่างไร จะเอาศพไปกรุงเทพฯ และเตรียมศพสำหรับเอาไปเข้าโกศ หรือจะเอาไปโดยเตรียมจะไปเผา จะนำศพเข้าไปโดยเรือบินหรือโดยรถไฟ จะเอาไว้ที่ปีนังสักกี่วัน หรือจะเผาที่ปีนัง และปัญหาอื่นๆ อีกมาก

ฉอ้อนให้คุณเกรินผู้ซึ่งตามฉอ้อนมานั่งในห้องพักด้วย ช่วยออกความคิด คุณเกรินว่า ฉอ้อนจะต้องขอความเห็นไปยังบิดามารดาและพี่น้องของวิทูร แต่ระหว่างที่รอคอยฟังญาติทางกรุงเทพฯ ก่อนอื่นที่จะต้องให้หมอฉีดยาศพกันไม่ให้เน่าเร็วเกินไป และหาที่ไว้ศพในเมืองปีนัง ระหว่างที่พูดกันถึงเรื่องศพ คุณเกรินเห็นหน้าของฉอ้อนซีดลงๆ เขารีบไปเรียกพยาบาลให้หายาบำรุงหัวใจให้ฉอ้อน แต่ฉอ้อนปฏิเสธยาของโรงพยาบาล อยากกินยาหอมที่เคยกิน คุณเกรินจึงแนะว่า ให้ทุกคนกลับไปบ้านสักประเดี่ยว ระหว่างนี้ทางโรงพยาบาลก็ใคร่จะเคลื่อนย้ายศพจากห้องเดิมไปไว้ที่เฉพาะอีกห้องหนึ่งด้วย

ฉอ้อนยอมทำตามคำแนะนำโดยดี หล่อนมีอาการคล้ายคนที่สมองหยุดทำงานชั่วคราว แต่ครั้นไปถึงบ้านเข้าไปในห้อง รับประทานยาหอมได้สักครู่ ก็นึกขึ้นมาได้ถึงเครื่องแต่งกายไว้ทุกข์ที่จะต้องจัดหาให้ลูกและตัวเอง จึงเรียกฉอเลาะมาสั่งให้รับหน้าที่ไปซื้อผ้า และขอคำแนะนำกงสุลว่าจะไปตัดเย็บที่ไหน ฉอเลาะจึงไปโทรศัพท์ไปยังกงสุลตามคำสั่ง ฉอ้อนนั่งอยู่คนเดียวในห้องของตน ทันใดหล่อนเกิดอารมณ์คิดถึงสามีขึ้นมาอย่างแรง ฉอ้อนยังไม่ได้กอด ไม่ได้จูบสามีผู้จะจากกันชั่วกัลปาวสาน หล่อนมัวแต่เสียสติ กลับมาที่พักทั้งที่ไม่ทราบว่าทางโรงพยาบาลเขาจะทำอะไรแก่ศพ ฉอ้อนรีบผลัดเสื้อผ้า จากกางเกงสีน้ำเงินและเสื้อปล่อยเอวที่แต่งก่อนเข้านอนเมื่อคืนนี้ นุ่งกระโปรงสีเทาตุ่นๆ หาเสื้อขาวได้ตัวหนึ่ง แต่งตัวเสร็จแล้วก็ออกมาเรียกรถ แล้วบอกให้คนขับพาหล่อนกลับไปโรงพยาบาล

หล่อนลงจากรถแล้วก็รีบตรงไปยังห้องที่สามีสิ้นลมหายใจ หวังว่าร่างของเขาคงยังไม่ได้ถูกเคลื่อนย้ายไปเสียแล้ว เมื่อผ่านห้องพักกลางตึก เห็นคุณเกรินนั่งเอามือซบหน้าของตนอยู่บนเก้าอึ้ ขณะนั้นฉอ้อนไม่ต้องการคุณเกรินหรือผู้ใด หล่อนรีบเดินผ่านไปทางข้างหลังเขา เขายังคงนั่งอยู่ในท่าเดิมเมื่อฉอ้อนเข้าไปถึงประตูห้องที่หล่อนต้องการ ผลักบังตาที่ประตู พอบังตาแง้มออก ฉอ้อนก็ยืนขาสั่นอยู่ที่หน้าประตูห้องนั้น

สตรีในเครื่องแต่งกายแบบพม่า คนเดียวกับที่ฉอ้อนพบที่ร้านนายกัวในกรุงเทพฯ กำลังบรรจงเอามือลูบผมของวิทูรสามีของฉอ้อน ลูบผมแล้วก็ลูบตลอดใบหน้า แล้วก็ก้มลงจุมพิตที่ริมฝีปากของเขา และจุมพิตที่หน้าผากอีกครั้งหนึ่ง

ฉอ้อนละจากที่นั้น เดินอย่างเร็วเกือบจะเป็นวิ่งไปทางหน้าตึก เห็นคุณเกรินยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ฉอ้อนจึงวิ่งลงไปในสวน เพราะหล่อนไม่รู้จะทำอย่างไรดีแก่ตัวของตัวเอง คุณเกรินได้ยินเสียงฝีเท้าเดินอย่างเร็ว เงยหน้าขึ้นเห็นฉอ้อน เขาลุกขึ้นโดยเร็ว เขาเห็นฉอ้อนวิ่งลงไปในสวน เขาก็วิ่งตามไป

“เป็นอะไรไป ฉอ้อน เป็นอะไรไป” เสียงคุณเกรินถามอย่างห่วงใย เมื่อหนีคุณเกรินไม่พ้นแล้ว ฉอ้อนก็กลับโผเข้าหาคุณเกริน เขาเอาแขนสองข้างโอบตัวหล่อนไว้ ฉอ้อนสะอื้นพลางถาม “คุณเกรินขา คุณเกรินรู้จักรักเดียวไหม คุณเกรินเข้าใจคนที่รักใครคนเดียวตลอดชีวิตไหม”

แขนของคุณเกรินโอบรัดกายของฉอ้อนอย่างแน่นจนหล่อนรู้สึกอึดอัด ได้ยินเสียงเขาพูดประดุจเสียงนั้นออกมาจากทรวงอก ไม่ได้ออกจากปาก “รู้ซิ ฉอ้อน ตลอดชีวิตของฉัน ฉันรักคนเดียวเท่านั้น”

ฉอ้อนใจหายวาบ กิริยาและน้ำเสียงของคุณเกรินเรียกภาพที่ฉอ้อนเคยเห็นเข้ามาในมโนอย่างแจ่มชัด จัดลำดับกันอย่างรวดเร็ว ฉอ้อนเข้าใจทั้งหมดเกี่ยวกับคุณเกรินในขณะนั้น หล่อนดึงส่วนบนของร่างออกจากที่เขารัดไว้ และดึงมือของเขาทั้งสองข้างมาประสานกัน แล้วฉอ้อนเอามือของเขาไปประทับไว้กับทรวงอก พลางก็ออกวาจาว่า

“โถ คุณเกรินขา คุณเกริน”

หน้าของคุณเกรินแดงแล้วกลับซีด ฉอ้อนมองดูหน้าเขาฝ่าน้ำตาที่กบตาหล่อน คุณเกรินค่อยๆ ขยับตัวออกห่างหล่อน เขากล่าวว่า “ขอโทษเถิด ฉอ้อน”

ฉอ้อนถอยห่างจากคุณเกรินไปยืนใต้ร่มไม้ต้นหนึ่ง ถามคุณเกรินว่า “คุณเกรินรู้จักคนในห้องศพไหม” คุณเกรินกะพริบตาสองสามครั้ง แล้วตอบ “ไม่รู้จัก”

“เรามีของดี ต้องแบ่งปันให้คนอื่นบ้าง คุณเกรินเห็นด้วยไหม คุณแจ๋วว่าอย่างนั้น” ฉอ้อนพูดพลางความรู้สึกเก่ากลับมา น้ำตาไหลพรากลงเต็มหน้า แต่แล้วหล่อนมองเห็นสายตาของคุณเกรินมองดูหล่อน เกิดความสงสารคุณเกริน ค่อยหายสงสารตนเองไปบ้าง จึงพูดต่อว่า “อย่าว่าแต่แบ่งปันเลย คุณเกริน ยอมเสียของรักให้คนอื่นก็ได้ ใช่ไหมคะ”

“ฉันไม่ได้ยอมหรอกฉอ้อน เหตุการณ์มันเหนือตัวฉัน แต่สิ่งไรที่อยู่ในอำนาจของฉัน ฉันพยายามให้มันดีที่สุด” เขาตอบ

ฉอ้อนยืนพิงเข้ากับต้นไม้เอาส่วนหลังของศีรษะแนบกับลำต้น และหลับตา “เวลานี้ อะไรจะดีที่สุดสำหรับฉอ้อน” หล่อนถามเขา

“ฉอ้อนยังเป็นท่านผู้หญิงอยู่ อย่าลืม” เขาว่า “และวิทูรก็ยังเป็นพลเอก มีสายสะพายหลายสาย ฉอ้อนต้องคิดถึงงานศพ ทำอย่างไรจะดีที่สุดสำหรับคนตาย” พูดจบแล้วเขาก็ยื่นมือไปจับมือหล่อน และจูงไปนั่งที่ม้าตัวหนึ่งในสวนนั้น “ฉันจะไปดูใครอยู่ในห้องศพ แล้วเราต้องปรึกษากันเรื่องธุระการงาน ฉอ้อนจะมัวเศร้าโศกมากนักไม่ได้ ฉอ้อนเป็นคนมียศมีศักดิ์”

เมื่อคุณเกรินเดินลับตัวไปแล้ว ฉอ้อนก็ก้มหน้าลงร้องไห้อย่างไม่ต้องกลั้น สักประเดี๋ยวเขาก็กลับมา และบอกหล่อน

“ฉอ้อนจะเข้าไปหาวิทูรตอนนี้อีกก็ได้ ไม่มีใครอยู่ในห้องนั้น” แล้วเขาก็ยื่นมือเขาไปจับมือหล่อน ดึงตัวขึ้นจากที่นั่ง และพาไปส่งที่ประตูห้อง พอดีกับพยาบาลคนหนึ่งมาบอกแก่เขาว่า มีคนขอพูดโทรศัพท์ด้วย

ผู้ที่โทรศัพท์ถึงคุณเกรินคือคุณแจ๋ว พอคุณเกรินบอกชื่อให้ทราบว่าตัวเขามารับโทรศัพท์แล้ว คุณแจ๋วก็พูดมาทางสาย

“คุณเกริน พยายามหาเวลาทิ้งฉอ้อนไปกับแจ๋วสักประเดี๋ยว ไม่รีบร้อนนัก สายๆ หน่อยก็ได้ ตำรวจเขาจับคนยิงคุณวิทูรได้แล้ว มีรูปในหนังสือพิมพ์ แจ๋วเก็บไว้ดี ไม่ให้ฉอ้อนเห็นได้ ระวังอย่าให้เห็นที่โรงพยาบาล คนที่หายไปจากบ้านนั่นแหละ” เกรินสะดุ้งจนสุดตัวเกือบจะลอยขึ้นได้ มือที่ถือหูโทรศัพท์สั่นเทา “เอาละ จะหาช่องทางให้ดีที่สุด เลิกกันนะ” เมื่อวางหูโทรศัพท์แล้วเกรินจึงกลับไปที่ห้องศพ พอดีประจวบกับเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลมาขอเคลื่อนย้ายศพไปไว้ที่เฉพาะ ฉอ้อนนั่งบนเก้าอี้ใกล้เตียงนอนของสามี เพ่งดูศพอย่างใจลอยๆ เกรินเข้าไปแจ้งความประสงค์ของเจ้าหน้าที่ ฉอ้อนก็ลุกจากที่นั่งโดยดี เจ้าหน้าที่ยกศพวางบนล้อเลื่อน แล้วก็เข็นไปยังห้องที่ปลายอาคารเล็กๆ ติดต่อกับอาคารเดิม เมื่อดูว่าศพอยู่ในที่เรียบร้อยแล้ว เกรินก็ชวนฉอ้อนกลับบ้าน ซึ่งฉอ้อนก็ทำตาม เมื่อมาถึงบ้าน พอฉอเลาะกับหนูเป๊าะเตรียมพร้อมจะออกจากบ้านไปซื้อเสื้อผ้า เกรินและฉอ้อนก็สนับสนุนให้สองพี่น้องมีสิ่งทำให้หมกมุ่นไปเสีย คนขับรถของนายต้นพูดไทยได้นิดหน่อยและพูดอังกฤษก็ได้ด้วยจึงไม่มีปัญหาในข้อที่จะหาผู้นำทาง แล้วเกรินจึงบอกฉอ้อนว่าจะไปหากงสุลพร้อมด้วยคุณแจ๋ว เพื่อปรึกษาหลายเรื่อง ฉอ้อนไม่คัดค้าน เกรินกำชับให้หญิงรับใช้คอยดูแล แล้วลูกพี่ลูกน้องสองคนก็หารถนั่งไปสถานกงสุลด้วยกัน

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ