บทที่ ๒๔

ประมาณสองสัปดาห์ต่อจากการบรรจุศพของชัยฤทธิ์เรียบร้อยแล้ว ท่านผู้หญิงฉอ้อนและบุตรีสองคนได้ย้ายออกจากบ้านพักประจำตำแหน่งของพลเอกวิทูร ไปพักอยู่ชั่วคราวที่บ้านอาผ่องตามคำแนะนำของเฌอ ก่อนที่จะย้ายไปคุณแจ๋วได้รับอนุญาตให้เข้าไปนอนเป็นเพื่อนท่านผู้หญิงสามครั้ง และได้รับอนุญาตให้เข้าและออกได้โดยสะดวก มีการตรวจตราแต่เพียงเล็กน้อย หลังจากที่ทางการสำรวจเอกสารและของสำคัญบางอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว เกือบทุกวัน ญาติและมิตรสี่คน มีคุณแจ๋ว คุณเกริน ท่านผู้หญิง และเฌอน้องชาย มีโอกาสได้ปรึกษาสนทนากัน นานบ้างในชั่วเวลาสั้นๆ บ้าง แล้วแต่ว่ากิจการของทั้งสี่คนจะอำนวย คุณแจ๋วเล็งเห็นในชั่ววันเดียวถึงปัญหาที่สำคัญที่สุดของท่านผู้หญิงฉอ้อน ซึ่งคนอื่นๆ คิดไปไม่ถึง ปัญหานั้นคือหนูเป๊าะจะต้องไปโรงเรียน เวลาใกล้สอบสิ้นปี จะลาหยุดก็ไม่ได้ หนูเป๊าะคนเดียวในครอบครัวจะต้องเผชิญโลก โลกของเด็กวัยรุ่นซึ่งยับยั้งความอยากรู้ไว้ไม่ได้ ต้องถามถึงคุณพ่อว่าหนีไปไหน ทำไมถึงหนี และยังเล่าให้ฟังถึงความคิดเห็นของนักหนังสือพิมพ์ หรือความคิดเห็นของผู้ปกครองของตน ผิดบ้างถูกบ้าง จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง แม่และพี่อยู่บ้าน ไม่ได้อ่านหนังสือพิมพ์ ไม่ฟังวิทยุ ไม่มีใครมารบกวน ผู้ที่มาเยี่ยมเยียนเป็นผู้ที่ห่วงใยมีไมตรีจิตโดยจริงใจ แต่หนูเป๊าะต้องพบเพื่อนวัยรุ่นจากครอบครัวทุกชั้นทุกประเภทที่โรงเรียน

ฉอ้อนต้องเพ่งเล็งช่วยหนูเป๊าะขบปัญหาทางจิตใจจนไม่มีเวลาจะนึกถึงตนเอง หรือนึกถึงสามีมากนัก ความทุกข์ที่คุณแจ๋วรับฟังจากฉอ้อนคือความทุกข์เกี่ยวกับหนูเป๊าะ คุณแจ๋วก็ไม่มีปัญญาจะช่วยเหลือให้คำแนะนำอย่างไรแก่ฉอ้อน เพราะคุณแจ๋วเองเคยเป็นครูในโรงเรียนมัธยม รู้ดีว่าคำตักเตือนขอร้องของครูหรือคำห้ามปรามของผู้ใหญ่จะทำให้เด็กวัยรุ่นยั้งคิดก็ชั่วครู่ชั่วยาม พอเวลาล่วงไปสถานการณ์เกิดขึ้นใหม่ มีความตื่นเต้นใหม่ ก็จะยับยั้งความรู้สึกไว้ไม่ได้ ต้องซุบซิบแสดงออก หรือทำท่าทางหน้าตาอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อจะปล่อยอารมณ์ออกมาให้คลายความกดดันของตนเอง

คุณแจ๋วเร่งวันเร่งคืนให้ถึงกำหนดสอบไล่ของหนูเป๊าะ และโชคก็อำนวยหน่อยหนึ่ง คือโรงเรียนปิดให้นักเรียนท่องหนังสือ คุณแจ๋วก็ค่อยเบาใจ ระหว่างที่หนูเป๊าะไม่ต้องไปโรงเรียน ท่านผู้หญิงก็ย้ายออกจากบ้านทางราชการไปอยู่กับอาผ่อง ในตอนนี้หนูเป๊าะค่อยแจ่มใสขึ้น และไม่ร้องไห้ทุกวันเหมือนเมื่อเกิดเหตุการณ์แก่พี่ชายและบิดาใหม่ ๆ เมื่อย้ายบ้านค่อนข้างจะเรียบร้อยแล้ว จึงถึงเวลาที่หนูเป๊าะจะต้องไปสอบไล่ ในตอนนี้คุณแจ๋วพอหาคำแนะนำให้หนูเป๊าะได้ คือแนะว่าอย่าให้พูดคุยกับเพื่อนและฟังความคิดเห็นของใคร เพราะความคิดเห็นที่เพื่อนของหนูเป๊าะจำมาถ่ายเทให้หนูเป๊าะฟังนั้น มีความคลาดเคลื่อนหลายประการ ไม่มีประโยชน์อันใดแก่หนูเป๊าะหรือแก่แม่หรือพี่ ถ้าหนูเป๊าะจะฟังความคิดเห็นจากคนอย่างคุณลุงเกรินและน้าเฌอจะเป็นประโยชน์มากกว่า หนูเป๊าะรับคำ แต่คุณแจ๋วก็ไม่หวังว่าหนูเป๊าะจะจำใส่ใจมากนัก แต่อย่างน้อยถ้อยคำของคุณป้าแจ๋วก็มีความสำคัญพอที่อาจจะทำให้หนูเป๊าะบอกแก่ตัวหนูเป๊าะเองได้ว่า หนูเป๊าะมีสิทธิ์จะเลือกเชื่อผู้ใดหรือไม่ก็ได้ ซึ่งเป็นการนำมาซึ่งเสถียรภาพทางใจพอสมควรสำหรับเด็กในวัยนั้น

ครั้งหนูเป๊าะสอบไล่เสร็จ หนูเป๊าะก็ค่อยเคยชินกับคำถามต่างๆ อีกทั้งเกิดความอยากจะไปไหนมาไหนให้เบาใจคลายทุกข์ ที่ที่หนูเป๊าะจะขออนุญาตไปบ่อยๆ คือบ้านเพื่อนสองสามคนที่ผู้ปกครองมีสติพอที่จะไม่พูดถึงสิ่งที่ไม่ควรไปถึงหูหนูเป๊าะให้บุตรได้ยิน เพื่อนสองสามคนนี้จึงไม่มีอะไรกระทบกระเทือนใจมาเล่าให้หนูเป๊าะฟัง ท่านผู้หญิงก็คล้อยตาม ปัญหาเกี่ยวกับหนูเป๊าะเรียกว่าคลี่คลายไปบ้าง แต่ในความสังเกตของคุณแจ๋ว เห็นว่าระหว่างที่มัวห่วงใยหนูเป๊าะ ทั้งท่านผู้หญิงมารดาและคุณแจ๋วมิได้เห็นว่าฉอเลาะจะผจญกับปัญหาในส่วนตัวของหล่อน เมื่อมีโทรศัพท์กริ่งมา ฉอเลาะจะมีอาการเหมือนคนหยุดหายใจชั่วคราว จนกว่าจะรู้ว่าโทรศัพท์นั้นไม่เกี่ยวกับฉอเลาะแล้วอาการก็จะเปลี่ยน ฉอเลาะจะเม้มริมฝีปากสนิทบ้าง บางคราวฉอเลาะก็ลูกขึ้นไปยืนมองออกไปนอกหน้าต่าง บางคราวก็ก้มหน้าลงมองที่หน้าตักของตนเองอยู่หลายวินาที หรือบางทีก็ลุกจากที่นั่งอยู่ จะไปห้องนั่งเล่นชั้นบนหรือห้องรับแขกเล็กชั้นล่างก็ตาม แล้วก็วิ่งเข้าห้องนอนไป ทั้งหมดนี้ทำให้คุณแจ๋วเข้าใจว่า ฉอเลาะรอคอยให้ใครคนหนึ่งหรือหลายคนโทรศัพท์มา ซึ่งก็มีบ้าง มักเป็นเพื่อนนักเรียนตั้งแต่ครั้งอยู่โรงเรียนมัธยมด้วยกัน หรือเป็นนิสิตมหาวิทยาลัยรุ่นเดียวกันหรือใกล้ๆ กัน ฉอเลาะไปรับโทรศัพท์แล้วก็เดินออกมาจากเครื่องด้วยสีหน้าค่อนข้างเศร้า หมายถึงความไม่สมหวัง เสียงจากโทรศัพท์ที่ฉอเลาะรอคอยนั้นไม่ใช่เสียงจากเพื่อนที่มีใจอารีเหล่านั้น

ครั้นย้ายออกจากบ้านประจำตำแหน่งมาอยู่บ้านอาผ่อง ฉอเลาะก็มีสีหน้าเศร้ายิ่งขึ้น ไม่มีธุระการงานสิ่งใดที่จะเรียกความสนใจของฉอเลาะไว้ได้นาน ฉอ้อนช่วยอาผ่องเข้าครัวทำกับข้าว เพื่อไว้เลี้ยงเฌอบ้าง เลี้ยงคุณเกรินบ้าง ช่วยดูแลความสะอาดเรียบร้อยในสวนบ้าง ติดต่อกับคนที่มารับสินค้าบางสิ่งบางอย่าง ฉอเลาะแสดงความไม่พอใจที่มารดาประพฤติเช่นนั้น ออกความเห็นว่าทำให้เสียเกียรติยศคุณพ่อ ซึ่งทำให้ฉอ้อนแปลกใจและเสียใจ ฉอ้อนปรับทุกข์กับคุณแจ๋วว่า ไม่ได้คิดไว้เลยว่าฉอเลาะจะมีความเห็นเช่นนั้นได้ และในขณะเดียวกันทำให้ฉอ้อนเกิดความไม่มั่นใจ สงสัยการกระทำของตนว่าถูกหรือผิด แต่คุณแจ๋วรับรองว่าฉอ้อนเป็นฝ่ายถูก ทั้งคุณเกรินและเฌอก็สนับสนุนฉอ้อน ฉอเลาะกลับเป็นฝ่ายถูกลุงเกรินปลอบอบรม คุณแจ๋วมาไตร่ตรองแล้วตัดสินว่า ฉอเลาะมิได้กังวลในเรื่องเกียรติยศของคุณพ่อเท่าใดนัก มีเรื่องอื่นทำให้ฉอเลาะกังวลอยู่มากกว่า

ทั้งน้องชายและมิตรรักของท่านผู้หญิงแนะนำให้หลีกเลี่ยงความกระทบกระเทือนใจโดยไม่ฟังวิทยุและไม่อ่านหนังสือพิมพ์ เพราะข่าวที่ออกให้ประชาชนเป็นการปรักปรำกล่าวโทษพลเอกวิทูรต่างๆ นานา ถึงแม้จะมีบางคนออกความเห็นเตือนประชาชนถึงความดีที่เขาได้ทำไว้เป็นเอนกประการ แต่เสียงนั้นเป็นเสียงเบา มาจากคนที่กล้าคิดและกล้าเขียนไม่กี่คน พลเอกวิทูรไม่ได้ส่งข่าวให้ครอบครัวทราบว่าตัวไปอยู่ที่ไหน มีความเป็นอยู่อย่างไร ฉอ้อนเล่าให้คุณเกรินฟังว่าเขาสั่งให้คอยฟังจากคุณเกริน เขาคงยังไม่มีโอกาสจะส่งข่าวได้ และหล่อนมีอะไรบอกอยู่ในใจว่าเขามีชีวิตอยู่ ถ้าเขาตายก็คงมีข่าวแล้ว แต่ก็เป็นไปได้เหมือนกันว่าเขาอาจตายโดยคนไม่รู้ หรือมีศัตรูฆ่าแล้วก็เก็บเป็นความลับ คุณเกรินมีความเห็นว่า ถ้าเขาตายแล้วทางการจะไม่เก็บเป็นความลับ เพราะข่าวตายของเขาจะทำให้กลุ่มคนที่หวังว่าเขาจะกลับมามีอำนาจแตกสลายไป ทำให้หมดเสี้ยนหนาม เป็นประโยชน์กว่าที่จะเก็บเป็นความลับ และถ้าหากมีคนรูปร่างเหมือนพลเอกวิทูรตายลง ณ ที่ใด ก็จะต้องมีข่าวให้ปรากฏ การที่ครอบครัวไม่ได้รับทราบอะไรเกี่ยวกับเขา แสดงว่าเขายังมีชีวิตอยู่

คราวหนึ่งขณะที่ญาติผู้ใหญ่นั่งปรับทุกข์กันทำนองนี้ ฉอเลาะนั่งอยู่ด้วย ฉอเลาะกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงค่อนข้างสั่น “ขอให้คุณพ่อกลับมาแย่งอำนาจคืนได้สักทีเถิดเจ้าประคุ้น อยากดูหน้าคนบางคนนัก” แต่พอพูดออกมาแล้วดูเหมือนฉอเลาะก็จะรู้ตัวว่าได้ปล่อยความในใจออกมา จึงลุกไปจากที่นั่งอยู่โดยเร็ว ทิ้งให้ญาติผู้ใหญ่มองตามด้วยความห่วงใย

ระหว่างที่ท่านผู้หญิงพักอยู่ที่บ้านอาผ่อง เฌอก็ช่วยพี่สาวคิดและไปติดต่อรวบรวมเงินจากที่ต่างๆ ซึ่งเป็นของพี่สาวของเขาเป็นส่วนตัว เช่นเงินในธนาคารที่ฝากในนามของท่านผู้หญิงเอง ใบหุ้นที่มีราคาในท้องตลาดเช่น หุ้นธนาคาร หุ้นบริษัทการค้าบางแห่ง พิจารณาโฉนดที่ดินซึ่งได้ซื้อไว้ระหว่างที่มีเงินจับจ่ายใช้สอยสะดวกสบาย รวบรวมเข้าบัญชีและประเมินราคาเพื่อจะเปลี่ยนให้เป็นเงินสดสำหรับจะปลูกบ้าน ฉอ้อนมีความเห็นว่าฉอเลาะควรหางานทำ เพราะเป็นผู้มีวิทยฐานะ ซึ่งเป็นความภาคภูมิใจของมารดา แต่เฌอห้ามว่าอย่าให้บอกฉอเลาะในขณะนี้ วันหนึ่งฉอเลาะก็จะคิดขึ้นมาได้เอง

ฉอ้อนได้รับจดหมายจากกลองตั้งแต่ยังไม่ได้ย้ายออกจากบ้านประจำตำแหน่ง กลองส่งจดหมายไปที่เฌอ ในจดหมายฉบับแรก กลองถามข่าวถึงมารดาและพี่น้อง ต่อมาได้รับฉบับที่สอง กลองปลอบมารดาเรื่องการเสียชีวิตของพี่ชาย แต่เมื่อฉอ้อนย้ายมาอยู่บ้านอาผ่องแล้วกลองเขียนมาอีกเป็นฉบับที่สาม คราวนี้กลองปรึกษาถึงอนาคตของตัว กลองเพิ่งได้เข้ามามหาวิทยาลัย การที่คุณพ่อจะให้รับทุนทหารนั้นก็คงหมดหวัง เป็นการตัดสินข้อพิพาทระหว่างกลองกับคุณพ่อไปโดยปริยาย แต่ปัญหาค่าเล่าเรียนในภาคต่อไปนั้นจะทำอย่างไร สำหรับภาคแรกนั้นทางบ้านได้เสียให้แก่มหาวิทยาลัยเรียบร้อยแล้ว

จดหมายฉบับนี้ทำให้ฉอ้อนนั่งร้องไห้อยู่นาน กลองคงจะอดใจไว้ตลอดเวลาที่ยังห่วงแม่อยู่ จึงมิได้ถามถึงเรื่องของตัวเองในจดหมายฉบับก่อนๆ แต่เมื่อฉอ้อนนำเรื่องนี้มาปรึกษาเฌอ เฌอบอกว่ายังไม่รู้ว่าฉอ้อนจะมีรายได้สักเท่าใด แต่ควรจะบอกกลองว่าให้รอไปก่อน จะพยายามหาทางให้เรียนจบจนได้ เฌอว่าตัวของเขาเองก็พอจะกู้หนี้ยืมสินเพื่อช่วยเหลือหลาน โดยกลองอาจต้องช่วยตัวเองด้วยการทำงานในเวลาว่างจากการเรียนบ้าง ในเรื่องนี้คุณแจ๋วและคุณเกรินเป็นมิตรที่ไม่ค่อยมีประโยชน์ แต่เมื่อความทราบถึงอาผ่อง อาผ่องก็ยืนยันว่าอาจช่วยเหลือกลองได้เป็นบางส่วน ฉอ้อนตื้นตันใจในความกรุณาของอาผ่องและความมีน้ำใจของเฌอ ทำให้ร้องไห้ต่อไปอีก และเลยร้องสะอึกสะอื้นยิ่งกว่าครั้งใดตั้งแต่ลูกชายต้องเสียชีวิตและสามีจากไป

ระหว่างที่ฉอ้อนยังพักอยู่ที่บ้านอาผ่อง และศพของวรชาติยังมีญาติไปบำเพ็ญกุศลให้เป็นระยะๆ ฉอ้อนได้รับเยี่ยมจากมิตรเก่าๆ หลายคน มีคุณแต๋วเป็นอาทิ และได้ค่อยๆ คุ้นเคยกับจำลองสามีของสำรวยขึ้นทีละเล็กละน้อย จนถึงได้ไปเยี่ยมตอบสามีภรรยาคู่นี้ที่บ้านของเขาด้วย จำลองพาฉอ้อนให้ไปทำความรู้จักกับเจ้าคุณปู่และคุณย่า ผู้สูงอายุทั้งสองก็รับรองฉอ้อนอย่างสมเกียรติท่านผู้หญิง และทำท่าทีเป็นกันเองไปด้วยในตัว ทำให้ฉอ้อนเกิดความนิยมในท่าน จึงเลยอยากรู้ความจริงในเรื่องที่ดิน ซึ่งวิทูรเคยบอกว่าเดิมเป็นของอาผ่อง ถูกเจ้าคุณเอาเปรียบบังคับซื้อเอาไป

เวลานั้นเป็นเวลาเย็น ฉอ้อนนั่งเล่นอยู่ที่ชานเรือนใหญ่ของอาผ่อง มองดูเรือหลายชนิดผ่านไปมา ในมือมีไม้ถักและไหมพรมซึ่งฉอ้อนทำเป็นการแก้รำคาญด้วยและเพื่อส่งไปเป็นของขวัญวันเกิดของกลองด้วย อาผ่องเสร็จธุระจากสวนแล้วก็มานั่งเป็นเพื่อนฉอ้อน

“อาผ่องคะ เรื่องที่ดินของอาผ่องที่ขายให้เจ้าคุณ แล้วเจ้าคุณกลับขายให้อาผ่องนี่ ความจริงเป็นยังไงกันคะ” ฉอ้อนถามขึ้นโดยตัวเองก็ไม่ได้ตระเตรียมคำพูดไว้

“ทำไมจ๊ะ ท่านผู้หญิงสงสัยว่ายังไง” อาผ่องย้อนถาม ตั้งแต่ฉอ้อนได้รับตราเป็นคุณหญิง อาผ่องไม่ยอมเรียกชื่อ หรือเรียกแม่ฉอ้อนเหมือนที่เคยเรียกแต่ก่อน อาผ่องบอกว่า ลูกหลานได้รับเกียรติยศนำความชื่นชมมาให้อาผ่อง ทำไมอาผ่องจึงจะไม่เรียกตามเกียรติยศที่ได้รับ อาผ่องไม่รู้ตัวว่าอาผ่องไม่ได้รักษากฎเกณฑ์ของอาผ่องเองถูกต้องนัก เพราะหลานชายแท้ๆ ของอาผ่อง ไม่ว่าเขาจะดำรงตำแหน่งอะไร อาผ่องก็คงเรียก พ่อวิทูร อยู่อย่างเดิม มิหนำซ้ำเมื่อมีใครมาเรียก “ท่านรอง” หรือ “ท่าน” ให้อาผ่องได้ยิน อาผ่องมักจะกลายเป็นคนขี้หลงขี้ลืม ถามว่า “รองอะไร” “ท่านไหน” บ่อยๆ ฉอ้อนรู้สึกรำคาญในตอนต้นๆ แต่ครั้นเวลาผ่านไปฉอ้อนเกิดรู้สึกว่าอาผ่องประพฤติโดยอาศัยญาณอะไรอย่างหนึ่งเพื่อเหตุใดเหตุหนึ่งที่ฉอ้อนไม่เข้าใจถึง และตัวอาผ่องเองก็ไม่ถึง เป็นสิ่งที่น่าสนใจ จึงเลยทิ้งให้อาผ่องเรียกหล่อนตามใจอาผ่องตลอดมา

“คุณวิทูรเคยบอกว่า ที่ของอาผ่องที่ติดกับเจ้าคุณนั้น เจ้าคุณท่านเคยใช้อำนาจบังคับซื้อไปโดยอาผ่องไม่เต็มใจขาย”

“พ่อวิทูรไปเอามาจากไหน” อาผ่องทำเสียงประหลาดใจ “โธ่ อาผ่องน่ะ ถึงสมัยไหนๆ ก็ไม่ยอมให้ใครมาขู่เข็ญได้ เจ้าคุณท่านจะมาขู่เข็ญยังไงอาผ่องถึงจะขายถ้าไม่อยากขาย”

“อ้าว ใครไปเล่าให้เขาฟังล่ะคะ คือตั้งแต่ก่อนเปลี่ยนการปกครองนะคะ สมัยเจ้านายขุนนางมีอำนาจ”

“สมัยไหนๆ ขุนนางก็มีอำนาจจ้ะ ท่านผู้หญิง” อาผ่องว่า “เจ้านายอาผ่องไม่เคยรู้จัก เคยเห็นท่านนั่งเรือผ่านบ้านกันมาตั้งแต่อาผ่องยังสาวๆ ก็ไม่เห็นท่านมาเกี่ยวข้องอะไรกับเรา ท่านขุนละก้อเขารู้จักบ้าง”

“ทำไมอาผ่องว่าสมัยไหนๆ ขุนนางก็มีอำนาจคะ” ฉอ้อนถาม

“ก็อาเห็นยังงั้นนี่จ๊ะ” อาผ่องตอบ “ถึงทุกวันนี้อาก็ต้องรบกับพวกขุนนาง ประเดี๋ยวมาตรวจนั้นตรวจนี่ พอซักถามอะไรก็เอาทีเดียว จะโต้แย้งเจ้าพนักงานรึ จะนั้นรึจะนี่รึ เราไปเสียภาษี ต้องไปนั่งรอ เอาเงินไปให้ยังให้นั่งรอ ไอ้นั่นก็ไม่ว่าละ มันหลายคนด้วยกัน แต่เรื่องถามอะไรไม่ได้ ทุกแห่งไปหมดละจ้ะ อาไปโอนที่ ไปโรงพยาบาล ไปยื่นคำร้อง น้านนานจะพบคนพูดจาปราศรัยดีๆ แต่ถ้าคนเขาแต่งตัวสวยๆ สมัยหน่อย แหม เอาใจเขาดี แล้วก็พวกเจ๊กจีนที่เขาให้เงินก็ทำเป็นกันเอง เสี่ยน่า ยังงั้นยังงี้ ท่านขุนเขายังเคยว่า ทำไมถึงไม่ให้เขารู้ว่าเป็นอาพ่อวิทูร หือ ธุระอะไร ฉันทำมาหากินมาตั้งแต่พ่อวิทูรยังไม่เกิด จริงๆ นะ ตั้งแต่อายุสิบสี่แน่ะ เรื่องอะไรฉันจะเอาชื่อเขาไปอ้าง เงินทองมีบางทีก็ยัดใส่มือมันไปบ้าง หรือไม่ก็พูดจาให้เขาเข้าใจบ้าง ที่จริงพอรู้จักหน้าค่าตากันแล้วก็มักดี”

“อ้าว แล้วกันอา” ฉอ้อนอุทาน “คุณวิทูรเขาเคยว่า ราษฎรแหละมักช่วยทำให้ข้าราชการเสีย”

“คนอย่างพ่อวิทูรก็ทำให้ข้าราชการเสีย” อาผ่องตอบทันที ครั้นเห็นฉอ้อนจ้องดูด้วยดวงตาเต็มไปด้วยคำถาม อาผ่องก็พูดต่อ “ก็จะไม่เสียยังไง เวลาพ่อวิทูรมีบุญวาสนา ใครๆ ก็เข้าบ้านกันคึ่กๆ พ่อวิเวกเขาเคยเล่า คนเข้าไปจนถึงห้องแต่งตัวท่านผู้หญิง ขุนนางเล็กๆ มันก็อยากเหมือนขุนนางผู้ใหญ่ ใครๆ ก็อยากให้ใครนบนอบ ท่านขุนของอา ใครมาพูดใต้เท้าให้เหมือนที่เขาพูดกับเจ้าคุณ แหม แกแทบจะเข้าไปกอดเขา แต่แกกลัวอาจะค่อนเอา แกถึงต้องทำเฉยๆ อาว่า ดูๆ ไปไม่เห็นใครมันจะพ้นชวดฉลูขาลเถาะ เจ้าคุณละท่านค่อยยังชั่วนะ ท่านชอบสอน พบอาทีไร ท่านเป็นพูดแต่เรื่องให้เจ้าเพ่งเจ้าแพไปเรียนเกษตร อย่าไปคิดทำอื่น ทำสวนให้ดี ๆ ท่านคอยพูดกับลูกๆ ของอาจนมันเรียนเกษตรกันหมดทั้งสองคน แล้วสองคนนี่ก็รักบ้านรักที่ของปูย่าตายาย เพราะเจ้าคุณท่านคอยเอาใส่หัวมันมาเรื่อย ๆ พ่อเขาอยากให้เป็นทหาร อยากให้เรียนกฎหมาย เขาชอบนักละเรื่องโก้ๆ ชอบนักชอบอวดว่าเป็นอาเขยคุณวิทูร ทะเลาะกับอาเสมอเรื่องพรรณอย่างนี้ แต่อาก็ทะเลาะสนุกๆ แกอยากทำอะไรก็ปล่อยตามใจ แกยังดีที่ไม่สูบฝิ่นกินกัญชา กินแต่เหล้าบ้างก็นิดหน่อย พอเหล้าเข้าคอคุยโขมง แต่ไม่มากนักถ้าอาอยู่ใกล้ๆ เขาว่าลับหลังอาก็ชักจะเอาการเหมือนกัน แล้วเรื่องซื่อสัตย์ไม่นอกใจนี่แหละ ทำให้อาอภัยอะไรๆ ได้หมด”

ฉอ้อนฟังพลางอยากถามปัญหาหลายข้อหลายกระทง เช่นอาผ่องทำอย่างไร อาขุนถึงอยู่ในถ้อยในคำดีอย่างที่ใครๆ ก็ชอบกล่าวถึง แต่ต้องระงับไว้พลางเพื่อซักต่อไปเรื่องที่ดิน

“ทีนี้ตอนเจ้าคุณท่านขายกลับนี่ เราไปขอซื้อหรือท่านมาเสนอขายคะ”

“โอ๊ย ไปกันใหญ่” อาผ่องว่า “มันคนละแปลง ไหนๆ ที่อาขายไปมันอยู่ข้างหลังบ้านท่าน ท่านอยากมีที่ทำมากๆ เรากำลังไม่มีทุน ขายที่ข้างในแล้วมาลงทุนที่ข้างหน้า ทำเขื่อนทำอะไรหลายอย่าง ที่ท่านมาขายให้เราคราวหลังเป็นที่ข้างๆ ตรงนี้แหละ” อาผ่องชี้ไปที่ข้างบ้านอาผ่องติดกับที่ดินของเจ้าคุณปู่คุณจำลอง “ท่านขาดเงินเพราะหลานท่านไปติดคุก แล้วยังถูกหาเรื่องอะไรอีกคนหนึ่ง ท่านก็เลยขายให้อา ท่านกลัวคนอื่นจะซื้อไป เงินอาก็ไม่มีจะซื้อหมดขอผ่อนท่านเป็นงวดๆ”

ฉอ้อนนิ่งคิดไปนาน สามีของหล่อนคงจะได้ฟังเรื่องอะไรผิดๆ และเข้าใจอะไรผิดๆ หลายอย่าง ฉอ้อนมักจะเชื่อเขาไปเสียหมด หล่อนมีส่วนด้วยหรือเปล่าในการที่ชีวิตของเขาจะต้องจบลงด้วยการพลัดบ้านพลัดเมืองหลบหนีซอกซอน มีคนกล่าวหาใส่ร้ายป้ายสีเกินความจริงดังที่เป็นอยู่ทุกวันนี้

ฉอ้อนคิดอยากให้คุณเกรินมาหาอย่างมากในค่ำวันนั้น ถ้าคุณเกรินมาหาซึ่งคุณเกรินมักจะไม่ทิ้งระยะนานกว่า ๕ วัน ฉอ้อนค่อยมีแก่ใจที่จะคิดถึงอนาคตถ้านั่งอยู่คนเดียว ฉอ้อนมีความรู้สึกว่าปัจจุบันก็ดี อนาคตก็ดี ไม่มีความหมายอะไรเลย จนกว่าจะระลึกขึ้นมาได้ถึงลูก ว่ายังมีคนที่ต้องการความพิทักษ์ดูแล น่าเสียใจที่ฉอ้อนไม่มีความรู้จะทำมาหากิน ทุนรอนก็ไม่ได้สะสมไว้มากนักระหว่างที่คุณวิทูรมีอำนาจ ได้มาจากเขาก็ใช้จ่ายไปในบ้าน ต้องรักษาฐานะ ต้องต้อนรับอาคันตุกะทั้งต่างชาติและชาติเดียวกัน สมาคมการกุศลก็เปลี่ยนหน้ากันมาขอเรี่ยไร ที่มีเหลืออยู่นี้รวมแล้วเท่าใด ฉอ้อนมีสิทธิ์จะใช้แค่ไหน หรือจะต้องรอคำอนุญาตของคุณวิทูรซึ่งยังติดต่อกันไม่ได้อีกนาน ฉอ้อนทอดถอนใจอยู่ในยามค่ำโพล้เพล้ ระหว่างวันต่อคืน

ราวกับกำลังใจของฉอ้อนมีพลังเรียกได้ ฉอ้อนนั่งเผลอสติไปสักหน่อย ก็เห็นคุณเกรินยืนอยู่ที่บันไดเรือน ฉอ้อนต้องจ้องดูเพื่อให้แน่ใจ คุณเกรินไม่ได้มาคนเดียว คุณแจ๋วก็มาด้วย ฉอ้อนวางไหมพรมกับพื้นกระดานข้างตัวลุกขึ้นต้อนรับคุณแจ๋ว แล้วฉอ้อนจึงเห็นอาคันตุกะอีกคนหนึ่ง ฉอ้อนจ้องดูนานกว่าจะจำเขาได้ แต่แล้วก็ระลึกได้หล่อนเรียกชื่อเขา

“คุณหลวงพินาศ”

คุณหลวงเดินขึ้นเรือนมาหาฉอ้อน เขาแก่ไปมาก หน้าตาผิดจากแต่ก่อนเป็นคนละคน ฉอ้อนรู้เหตุที่ทำให้เขาดูแก่มากได้ไนไม่กี่นาที เขาไม่มีฟันตรงข้างๆ ฟันหน้า เครื่องแต่งตัวของเขามัวหมอง เสื้อผ้าเป็นชนิดไม่มีราคาและบอกถึงการรับใช้เจ้าของมานานปี ฉอ้อนรู้สึกหัวใจหดหู่โดยอธิบายไม่ถูก

“ท่านผู้หญิง” เขาเดินเข้ามาใกล้หล่อนและเรียกหล่อนตามบรรดาศักดิ์ “จำผมได้หรือ”

“จำได้ซิคะ” ฉอ้อนรับรอง “เมื่อไม่กี่วันนี้ยังนึกถึงอยู่” หล่อนขยับจะถามถึงคุณผกากรองและระลึกขึ้นได้ว่าเขาแยกจากกันไปแล้ว จึงอ้ำอึ้งอยู่ ระหว่างที่ฉอ้อนอ้ำอึ้ง คุณเกรินทำหน้าที่เจ้าของบ้านแทน พูดกับหลวงพินาศว่า “นั่งตรงนี้แหละ คุณนาถ” ฉอ้อนลุกขึ้นจากที่นั่งคือเสื่อผืนเล็ก จะเข้าไปหยิบเสื่อมาปูใหม่ คุณหลวงพินาศก็พูด

“ผมอยู่ได้ประเดี๋ยวเดียวก็จะไป อย่าวุ่นวายเลยครับ” คุณเกรินก็พยักหน้าให้สัญญาณกับฉอ้อน หล่อนจึงนั่งริมชานเรือน และเชิญให้คุณหลวงนั่งบนเสื่อ คุณหลวงก็นั่งลงตามคำเชิญโดยไม่อิดเอื้อน แล้วคุณหลวงและฉอ้อนเปิดปากขึ้นจะพูดพร้อมกัน ฉอ้อนรู้สึกตัวจึงให้คุณหลวงพูดก่อน

“ผมมานี่ไม่ใช่อะไรหรอก ผมนับถือแลเห็นว่าท่านผู้หญิงเป็นคนดีมานานแล้ว” หยุดประเดี๋ยวแล้วพูดต่อ “คุณวิทูรไม่ชอบผมเพราะไม่ชอบเมียผม ผกากรองนั่นแหละ ท่านผู้หญิงคงจำเขาได้ เขาชอบคุณนัก เพราะคุณชอบฟังเขาพูด คุณเป็นคนเดียวที่ไม่เกลียดเขา” เขาเปลี่ยนสรรพนามหล่อนไปเมื่อรำลึกถึงอดีต “แต่คุณวิทูรเขาเกลียดมาก ก็เลยมาถึงผมด้วย ตอนขึ้นไปเชียงตุงมีเรื่องรับเสบียงไปไม่ทันหน่อยเดียว เขาก็รายงานขอปลดผมทันที แล้วมีเพื่อนมาเล่าให้ฟังว่า คุณวิทูรพูดว่า ถ้ารู้ว่าเลิกกับผมแล้วอาจไม่ทำแรงแค่นั้น เขาว่าคุณวิทูรว่าอยากดูหน้ายายเบื๊อกนั่น”

ฉอ้อนรู้สึกเย็นๆ ร้อนๆ ตามผิวหนังไปทั่ว พยายามจนสุดความสามารถที่จะไม่ให้น้ำตาพรั่งพรูออกมา คุณเกรินอ่านฉอ้อนออกหรืออย่างไร จึงเอื้อมมือมาจับมือหล่อนไปบีบเบาๆ เป็นการปลอบ หลวงพินาศพูดต่อไป เสียงของเขาสั่นๆ เครือๆ เหมือนคนชรา ทั้งที่เขาไม่ได้แก่กว่าคุณเกรินสักกี่ปี

“ผมรู้นิสัยคุณมานานแล้ว ว่าเป็นคนมีเมตตากรุณา ผมถึงได้มาหาคุณ เรามาอโหสิเวรกรรมกันนะท่านผู้หญิง ลูกเรามันหนุ่มทั้งคู่ อย่าอาฆาตจองเวรกันไปต่อไปถึงชาติหน้าๆ เราจะได้ไม่ต้องไปทำอะไรกันอีก ท่านผู้หญิงเห็นกับผมไหม”

“ลูกคุณหลวง” ฉอ้อนทวนคำ แล้วทันใดก็ระลึกขึ้นมาได้ “โอ้ คุณวรชาตินี่เป็นลูกคุณหลวงหรือคะ”

“ลูกผม แต่ไม่ใช่ลูกผกากรอง ลูกเมียเก่า” หลวงพินาศชี้แจง “เขาต่างคนต่างก็ใช้เวรไปหมดแล้ว จริงไหมครับ”

ฉอ้อนส่ายหน้าไปมา น้ำตาหลั่งไหลเป็นทาง ไม่อาจกลั้นไว้ได้ “ไม่เคยคิดเลยค่ะ” หล่อนตอบระหว่างสะอื้น “ยิ่งเป็นลูกคุณหลวง ก็ยิ่งอาฆาตไม่ได้เลย อย่างนี้นี่เอง ก่อนจะล้มลงที่บ้านวันนั้น ได้ยินวรชาติพูดถึงพ่อมึงพ่อกู ดิฉันไม่เฉลียวใจเลยว่าเป็นลูกคุณหลวง พอเห็นตาฤทธิ์ถูกปืน ใจดิฉันก็ว่าสิ้นเวรสิ้นกรรมกันไปเพราะ” ฉอ้อนค่อยๆ สะอื้นมากขึ้นทีละน้อย “คุณหลวงคะ คุณเกริน คืนวันนั้น ดิฉันมีอะไร โดยอะไรหลายอย่างจนเรื่องหนึ่งๆ ไม่ค่อยสำคัญอะไรหรอกค่ะ ดีเหมือนกันนะ คนเรา ถ้าโดนทุกข์หลายๆ อย่างพร้อมๆ กัน มันโดนหนเดียว ถ้าเป็นบ้าก็บ้าไปเลย ถ้าไม่บ้าก็ทนไปได้หมดเลย เวลานี้ดิฉันห่วงลูกคนเล็กสองคนของดิฉันเท่านั้นแหละค่ะ”

“เออ” คุณเกรินขัดขึ้นมาทันที “มีจดหมายให้ฉอเลาะ ไกรเขาเขียนมาถึง ฉอเลาะอยู่ไหน”

“คงอยู่ในเรือนน่ะแหละค่ะ วันนี้ดูเหมือนอยู่บ้านทั้งวัน มีเพื่อนมาหา แล้วอาผ่องเรียกให้ไปช่วยทำขนมกันหมด พอเพื่อนไปแล้ว ดูเหมือนจะเข้านอน” ท่านผู้หญิงตอบ

คุณเกรินลุกขึ้นยืน “นี่ฉันก็ต้องรีบกลับไป ภรรยาไม่สบายอีกแล้ว มาที่นี่สำหรับจะเอาจดหมายให้ฉอเลาะ”

“ผมก็ลาเหมือนกัน” หลวงพินาศบอก “วันนี้มีคนเขามาทำบุญให้ลูกชายอีก ผมจะเผาเร็วๆ นี้ ท่านผู้หญิงจะไปไหม ถ้าไปผมจะมาบอก ยังไม่รู้วันแน่

ฉอ้อนก้มหน้าลงสะอื้นในผ้าเช็ดหน้าแทนคำตอบแต่แล้วก็พยายามพยักหน้าให้ทราบว่าหล่อนรับคำเชิญ คุณเกรินยื่นจดหมายในซองสีน้ำเงินมีลายตามขอบซองให้แก่ฉอ้อน คุณแจ๋วผู้ซึ่งทำทำจะลาไปพร้อมกับคุณเกรินกลับนั่งลงข้างฉอ้อนและเอาแขนโอบหลังไว้ คุณเกรินพูดว่า

“ต้องไป ต้องไปจริงๆ ช้าไม่ได้” เป็นทีขออภัยในการที่จะทิ้งไปในขณะที่ฉอ้อนยังร้องไห้อยู่ ฉอ้อนรู้ตัวจึงรีบกล่าว

“คุณเกรินอย่าเป็นห่วงฉอ้อนเลยค่ะ ไม่เป็นไร เป็นแต่ใจหาย นึกถึงคนเคยรู้จักกัน” แล้วท่านผู้หญิงก็พยายามเช็ดน้ำตาและฝืนยิ้มกับคุณแจ๋ว และยิ้มให้คุณเกริน ทำให้เขาสบายใจขึ้น เอามือตบที่ขาหล่อนเบาๆ แล้วก็ลาลงจากเรือน คุณหลวงพินาศก็เดินตามคุณเกรินไป ทำให้ฉอ้อนเข้าใจว่าคุณหลวงพินาศคงจะได้ขอให้คุณเกรินนำเขามาหาหล่อน หรืออาจเป็นคุณเกรินชวนเขาให้มา เพื่อให้เขาค่อยคลายทุกข์ที่เสียลูกไป ซึ่งคงจะเป็นลูกที่เขาต้องพึ่งพาในยามชราก็ได้

พอสองชายลับตัวไป คุณแจ๋วก็หยิบจดหมายจากตักฉอ้อนขึ้นมามองดูลายมือหน้าซอง เห็นจ่าหน้าซองเป็นภาษาไทย มีชื่อฉอเลาะ ไม่มีนามสกุล และมีคำ “ขอความกรุณาคุณพ่อส่งต่อด้วย” คุณแจ๋วจึงหยิบจดหมายนั้นเดินเข้าไปหาฉอเลาะข้างในเรือน พบฉอเลาะนอนลืมตาอยู่บนเตียงนอนของหล่อนในความมืดของเวลาค่ำ ไม่เปิดไฟให้สว่าง คุณแจ๋วเรียก

“ฉอเลาะ ลุงเกรินเอาจดหมายมาฝากไว้ให้ นี่แน่ะ”

ฉอเลาะลุกขึ้นโดยเร็ว ลืมยกมือไหว้คุณป้าแจ๋ว รับจดหมายจากมือสหายของมารดา แล้วก็หาที่ตัดกระดาษตัดซองออกอย่างรีบร้อนทันที

“ดีจริงอุตส่าห์ตัดซองไม่ฉีกแควกเหมือนป้าแจ๋ว” คุณแจ๋วชมในใจ “เป็นเองหรือแม่เขาเลี้ยงดีก็ไม่รู้” แล้วคุณแจ๋วก็เดินออกจากห้องฉอเลาะ ออกไปหาฉอ้อนที่นอกชาน คุณแจ๋วยังไม่ทันได้พูดอะไรแก่ฉอ้อน ฉอ้อนกำลังพยายามระงับสะอื้น เริ่มจับไหมพรมมาถักเดาๆ ในความขมุกขมัว ก็ได้ยินเสียงฉอเลาะเรียกเสียงแหลม “แม่ แม่จ๊ะ เข้ามานี้เถอะแม่” ฉอ้อนทิ้งไหมพรม ลุกขึ้นเข้าไปทางเสียงเรียก คุณแจ๋วลุกตามไปห่างๆ ไปหยุดอยู่ที่มุมเรือน ไม่ให้ฉอเลาะเห็นตัว แต่พร้อมที่จะช่วย หากมีอะไรที่ไม่พึงประสงค์เกิดขึ้น

เสียงฉอเลาะดังมาแจ้วๆ “แม่จ๋า คุณไกรเขาเขียนจดหมายมา เขาบอกว่าเขารักหนู เขาถามว่าเขามีหวังไหม แหม เกลียดผู้ชาย หนูเกลียดผู้ชายจัง แม่”

คุณแจ๋วยังไม่ทันจะหันตัวเดินกลับไปยังนอกชาน เพราะรู้ว่าฉอเลาะไม่ได้เจ็บป่วยอย่างไร ก็ได้ยินเสียงฉอ้อนถาม

“หนูรักคุณไกรมาตั้งแต่แรกใช่ไหมจ๊ะ แล้วหนูว่าเกลียดทำไม”

“เกลียดที่เขาคิดถึงคุณพ่อกันทั้งนั้น” เสียงฉอเลาะตอบ “คุณไกรรักหนูก็บอกไม่ได้ เพราะกลัวเกียรติยศคุณพ่อ นายนนที เอ๊อ ช่างโจ่งแจ้ง พอคุณพ่อไม่อยู่คำหนึ่งก็ไม่ถาม ข้างพ่อชาญชิตก็มาขู่ แต่งงานกับเขาเร็วเถอะ ประเดี๋ยวคุณพ่อกับคุณแม่จะขัดขวาง แหม หนูเกลียด” ฉอเลาะลงเสียงที่คำ “เกลียด” ยาวและหนักแน่น

“หนูตอบคุณไกรไปอย่างนี้ก็แล้วกันจ้ะ” เสียงฉอ้อนตอบ “บอกไปให้หมดอย่างที่ว่ากับแม่นี่แหละ ดูซิคุณไกรจะตอบมาว่าอย่างไร” แล้วคุณแจ๋วก็ได้ยินเสียงแม่ลูกร้องไห้กระซิกๆ ด้วยกันทั้งคู่ คุณแจ๋วจึงไปนั่งคนเดียว มองดูหิ่งห้อยบินไปบินมาระยิบระยับ และมองดูหน้าในแม่น้ำอันอ้างว้าง คุณแจ๋วพยายามที่จะไม่ถอนใจ แต่ธรรมชาติมีอำนาจสูงกว่า คุณแจ๋วจึงก้มหน้าลงไปบนหัวเข่าและลอบถอนใจกับหัวเข่า ทำประหนึ่งว่าความสำนึกของคุณแจ๋วไม่ยอมรับรู้ในเรื่องการถอนใจนั้น

ในคืนวันนั้น ฉอ้อนได้มีโอกาสเล่าให้คุณแจ๋วฟังถึงเรื่องที่ดินที่อาผ่องซื้อขายกับเจ้าคุณตาของคุณแจ๋ว เมื่อเล่าจบแล้ว ฉอ้อนได้ปรารภอย่างที่ได้ทำกับตนเอง “คุณแจ๋วคะ ‘ท่าน’ พูดไว้ไม่มีผิด ถ้าฉอ้อนได้เล่าเรียนมากๆ คงจะช่วยคุณวิทูรได้ดีกว่านี้ นี่ได้แต่ฟังๆ เขา จะกล้าโต้เถียงก็นานๆ ที เวลาที่แน่ใจแท้ๆ เท่านั้น นอกนั้นก็มีแต่ปัญหา ปัญหา คุณวิทูรเขาชอบว่า ว่าฉอ้อนน่ะเต็มไปด้วยปัญหา มันมาจากความไม่แน่ใจ”

“ไม่ใช่หรอก ฉอ้อน” คุณแจ๋วค้าน “เลิกคิดอย่างนั้นเสียทีเถอะ ฉันมีพี่น้องผู้ชายมากมาย แล้วก็ได้รู้จักเพื่อนๆ ของเขาอีก แล้วยังไปทำงานหลายจังหวัดเห็นคนมามากอีก คนอย่างวิทูรน่ะ อย่าว่าแต่จะพูดเตือนเลย สายตาที่มองเตือนเขาก็ไม่ชอบ ถ้าเขาชอบคนที่มองเตือนเขา เขาก็ต้องอยากอยู่ใกล้คุณเกริน อยู่ใกล้เฌอ ที่เขาไปเที่ยวหาความอภิรมย์ที่อื่น พูดสมสมัยไหม” คุณแจ๋วทำเสียงไม่ให้เป็นงานเป็นการเกินไป “ก็เพราะเขาไม่อยากเห็นสายตาของฉอ้อนตลอดเวลา เขาต้องการเห็นสายตาที่มองดูเขาเป็นเทพองค์หนึ่ง ไม่ใช่มองดูอย่างมนุษย์ที่ทำถูกบ้างผิดบ้าง ผู้ชายเขาอยากเป็นเทพกันทั้งนั้นแหละ เป็นเทพน้อยเทพใหญ่เท่าที่จะมีโอกาสเป็นได้”

“คุณเกรินด้วยหรือคะ” ฉอ้อนถาม สีหน้าตกใจ แต่ในขณะเดียวกันก็อดขันถ้อยคำที่คุณแจ๋วเลือกเอามาใช้ไม่ได้

“ก็เห็นจะมียกเว้นบ้าง ที่แน่ใจก็เฌอ แล้วก็เห็นจะเป็นคุณเกริน แล้วก็คงมีใครๆ อีกหลายคน” คุณแจ๋วตอบ แล้วคุณแจ๋วก็เลยถือโอกาสกล่าวต่อไป “ถ้าวันไหนเหมาะๆ ฉอ้อนลองถามอาผ่องว่า ถ้าคุณจำลองเขาจะขอซื้อที่เจ้าคุณตาคืน อาผ่องจะพอใจขายไหม สักเท่าไหร่ ถ้าไม่อยากขาย เขาก็ไม่เซ้าซี้หรอกนะ อย่าให้อาผ่องหมางใจกับคุณจำลอง” พูดแล้วคุณแจ๋วก็บอกแก่ตนเองว่า “เรื่องอะไรๆ ในชีวิต ไม่ว่าเรื่องน้อยเรื่องใหญ่มันฟังกันคนละมุมละด้านจริงเชียวนะ”

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ