บทที่ ๕

ท่านผู้หญิงฉอ้อน กลับถึงเคหาสน์ประจำตำแหน่งของสามีแล้ว ขณะที่ยังมีผู้กล่าวถึงอยู่อีกหลายคนในราตรีนั้น ทั้งที่เป็นแขกลูกหลานและบริวารของเจ้าพระยาสุเรนทรฯ ท่านผู้หญิงคนใหม่ผู้ยังไม่ค่อยรู้สึกว่าตัวเองเป็นท่านผู้หญิง นอนอยู่บนฟูกบรรจุวัสดุเบาหยุ่นวิเศษกว่านุ่น บุด้วยวัสดุที่นิ่มเนียนแก่สัมผัส อันเป็นผลจากวิทยาการและความชำนิชำนาญสมัยใหม่ และปูลาดด้วยผ้าลินินเนื้อละเอียดมันลื่นประดุจแพร ซึ่งเป็นผลของความรู้ความเชี่ยวชาญของชาวยุโรปมาแต่โบราณกาล นัยน์ตาของท่านผู้หญิงไม่ยอมหลับลง ทั้งที่พยายามทำใจและบังคับประสาท แต่ความสดชื่นของคนที่ยังไม่ล่วงล้ำเข้ามัชฌิมวัยกี่มากน้อย อันเนื่องมาแต่สุขภาพที่สมบูรณ์ ทำให้ไม่รู้สึกเพลียหรือเหนื่อย ยิ่งรู้สึกตัวเบาสบายในยามดึกอากาศเย็นและเสียงต่างๆ เงียบสงัด ท่านผู้หญิงจึงนอนนิ่งอยู่บนที่นอนใต้ผ้าแพรจีนสีฟ้ามัวเมฆด้วยจิตใจสงบ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้นอนอยู่เคียงข้างสามีดังที่ตนปรารถนา อย่างน้อยคืนนี้ท่านยังมานอนอยู่ในห้องอันตบแต่งงดงามนี้เป็นเพื่อนภรรยาบนเตียงที่ตั้งคู่กัน ไม่ไปนอนอีกห้องหนึ่ง ซึ่งท่านว่าเป็นความสะดวกแก่ท่าน ในเมื่อท่านเสร็จกิจของราชการอันกว้างขวางและซับซ้อน เป็นต้นว่าประชุมผู้ร่วมคิดร่วมรู้งานกันอยู่จนดึกดื่น หรืออ่านรายงานอยู่คนเดียว หรือบอกข้อความให้เลขานุการจดตามคำของท่าน และบางโอกาสท่านก็เรียกเลขานุการประจำทบวงงานซึ่งได้ตั้งขึ้นเป็นพิเศษเพื่อท่านบัญชา ซึ่งมักจะเป็นสตรีสาวน้อยบ้างสาวใหญ่บ้าง ล้วนมีรูปสมบัติและเป็นคนแคล่วคล่องมีความรู้ มาสั่งงานและปรึกษากันจนเวลาใกล้อรุณ

คืนนี้ท่านผู้หญิงฉอ้อนรู้สึกตื่นเต้นไปในทางดี ท่านผู้หญิงไม่ได้คิดเลยว่าท่านเจ้าพระยาสุเรนทรามาตย์ ผู้ได้ดำรงตำแหน่งราชการชั้นสูงยิ่งในประเทศมาหลายยุคหลายสมัย จะมีใจเมตตาอารีถึงกับมีการเลี้ยงฉลองเครื่องยศท่านผู้หญิง พร้อมกับที่ลูกหลานของท่านซึ่งหลายคนมีตำแหน่งสูงในราชการ หรือมีฐานะเป็นที่ยกย่องในสังคม มีงานใหญ่ฉลองตราชั้นสูงพิเศษของท่าน เพราะเครื่องราชอิสริยาภรณ์ที่มีทั้งหมดในกรุงสยาม ที่อยู่ในข่ายที่ท่านจะได้รับ ท่านก็ได้รับเสียครบทุกอย่างแล้ว ท่านผู้หญิงได้เห็นงานเลี้ยงงานรับรองมาหลายชนิดหลายครั้งหลายครา แต่นอกจากที่เป็นงานพระราชพิธีในราชสำนัก หรือแม้งานในราชสำนัก ก็มักมีอะไรที่เป็นข้อสะดุดตาสะดุดใจท่านผู้หญิง ที่จะครึกครื้นได้ท่วงที ไม่มีข้อตำหนิได้เลยเหมือนงานวันนี้ เกือบจะกล่าวว่าไม่เคยได้ประสบ การจัดสถานที่แสดงถึงความชำนาญ กำหนดวางเขตได้ส่วนสัด และการประดับอาคารถาวรและอาคารชั่วคราวด้วยประทีป ด้วยดอกไม้ ด้วยพืชพันธุ์ ที่เหมาะแก่แต่ละเขตแต่ละอาคาร แสดงถึงรสนิยมสูง การเลี้ยงอาหาร แสดงถึงความพินิจพิเคราะห์ว่า อาหารชนิดใดมีรสอย่างใด เป็นอาหารที่ต้องรับประทานในเวลาที่สุกนานแล้วหรือเพิ่งจะสุก หรือเป็นชนิดที่ตักแบ่งง่าย วางง่าย บริโภคง่าย หรือต้องการให้มีผู้ส่งผู้รับอย่างไม่ผิดพลาด ส่วนการรับแขกนั้นเล่า ยิ่งแสดงถึงความรู้ทันในเหตุการณ์และจิตใจของผู้ที่ได้รับเชิญไปในงาน เมื่อรถยนต์หาหนะของท่านผู้หญิงและท่านสามีแล่นเข้าเขตคฤหาสน์ของท่านเจ้าพระยา ท่านผู้หญิงแลเห็นท่านเจ้าของบ้านยืนด้วยท่าทีอันน่าเคารพอยู่ที่ลานหน้าตึก เมื่อรถเข้าไปเทียบกับบันไดและท่านเจ้าของงานเดินลงมารับ สายตาของท่านผู้หญิงแลลอดเข้าไปในห้องรับแขกที่อยู่ในตอนหน้าของอาคาร เห็นมีสมาชิกขั้นสูงแห่งพระราชวงศ์ประทับอยู่หลายพระองค์ ท่านผู้หญิงรู้สึกกังวลนิดๆ ว่าจะต้องระมัดระวังอิริยาบถจนไม่สนุกกับงาน และยังคิดห่วงความรู้สึกของท่านสามี ว่าจะประมาณความยิ่งใหญ่ในอำนาจของตนกับความสำคัญของพระราชวงศ์อย่างไร แต่แล้วก็ปรากฏว่าความกังวลนั้นละลายหายไปหมด ด้วยความฉลาดของเจ้าภาพ ผู้มีไหวพริบสามารถลำดับกิจที่แขกและเจ้าภาพพึงกระทำในงานเช่นที่มีในคืนวันนี้ ให้ถูกจังหวะของคนและของงาน จนกระทั่งผู้ที่เป็นที่ยกย่องในสังคมสองประเภท คือผู้ที่มีกำเนิดสูงและผู้มีอำนาจไม่จำเป็นต้องวัดต้องเทียบคุณค่าราคาของตน ต่างก็รู้สึกว่าได้รับความยกย่องของเจ้าของงานไม่ยิ่งไม่หย่อนกว่ากัน ด้วยเจ้าของงานจัดให้แขกสองประเภทนี้พบกันและหลีกเลี่ยงกันได้ ในระยะและจังหวะที่พอเหมาะพองาม

แต่การที่ท่านผู้หญิงยังคงนอนตาสว่างอยู่จนเวลาใกล้อรุณนั้น หาใช่ด้วยความชื่นชมหรือตื่นเต้นที่กล่าวมาแล้วไม่ ถึงแม้ว่าในคืนนี้ท่านผู้หญิงฉอ้อนรู้สึกว่าตัวของตัวนั้นเหมือนกับได้ขอยืมบทบาทของใครคนหนึ่งที่ไม่ใช่ตนมาแสดงชั่วคราว แต่เมื่อกลับมาถึงบ้านแล้ว ความรู้สึกนั้นก็หมดไป เพราะชื่อหนึ่งที่กระทบหูอยู่ตลอดในงานราตรีสโมสรยังก้องอยู่ ท่านผู้หญิงหาโอกาสที่จะถามใคร ขอความรู้ที่ใคร่รู้จากคนหนึ่งคนใด ที่จะเหมาะกาละเหมาะบุคคลไม่ได้ ชื่อนั้นก็คือชื่อแจ่มแจ๋ว ความสนิทสนมที่เคยมีกับสหายร่วมวัยในอดีต ทำให้ท่านผู้หญิงเดาได้ว่าชื่อนี้จะต้องเกี่ยวข้องกับสหายคือ คุณแจ๋ว แต่ทำไมคุณแจ๋วจึงจะไปเป็นเจ้าของร้านอาหาร และถ้าคุณแจ๋วไปในงานของท่านเจ้าคุณ คุณแจ๋วก็น่าจะออกมาช่วยรับแขกหรือเป็นแขกคนหนึ่งเอง ท่านผู้หญิงเห็นคุณหญิงศิริมา หรือคุณแป๋วในใจของท่านผู้หญิง เดินผ่านไปกับลูกหลานท่านเจ้าพระยาสองครั้ง แต่ในขณะที่มีภรรยาเอกอัคราชฑูตคนหนึ่งเข้ามาสนทนาด้วยทั้งสองครั้ง และต่อจากนั้นก็มีท่านผู้หลักผู้ใหญ่ที่เคยมีตำแหน่งสูงในราชการ ในอดีตบ้าง ปัจจุบันบ้าง เข้ามาปราศรัย และชี้ชวนให้ชมสิ่งนั้นคนนี้อยู่ตลอดเวลา

ทำไมหนอ ดำแหน่งที่สูงส่งของสามี จึงจะต้องนำความว้าวุ่นในส่วนลึก

ของจิตใจมาเป็นเงาตามตัว ทำไมเพียงแต่อยากพบคุณแจ๋ว ดูช่างหาโอกาสยากเสียจริงๆ บัดนี้ก็เป็นที่ประจักษ์แล้ว หรือเดาได้แล้ว ว่าคุณแจ๋วอยู่ในกรุงเทพฯ อยู่ในเมืองเดียวกันแท้ๆ ทำไมจึงพบกันยากเย็นถึงแค่นี้ และนอกจากคุณแจ๋วก็มีคุณเกรินอีกคนหนึ่งในคืนวันที่กล่าวถึงนี้ ท่านผู้หญิงได้พบกับเพื่อนเก่าของสามีคือคุณเกริน แต่ดูคุณเกรินไม่ใช่คุณเกรินคนเก่าเลย คุณเกรินซึ่งก็เป็นนายทหารชั้นผู้ใหญ่แล้ว ดูไม่ค่อยจับตาท่านผู้หญิงฉอ้อน พูดด้วยอย่างสุภาพสองสามคำแล้วก็หลีกเลี่ยงไป แต่คนรู้จักใหม่สิ ไม่รู้เขามากันจากไหน มีจำนวนเท่าใดไม่อาจประมาณ เขาเข้ามาแสดงความจงรักภักดีทุกทาง เข้ามาจนกระทั่งในห้องแต่งตัวเพื่อจะช่วยแต่งตัว จนจำหน้าไม่ค่อยจะได้ ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ความมีอำนาจ มีตำแหน่งสูงในบ้านเมือง จำเป็นด้วยหรือที่จะเกียดกันมิตรเก่าออกไป พาแต่มิตรใหม่เข้ามาแทนไม่เห็นเป็นเหตุเป็นผลแก่กันเลย

ท่านผู้หญิงนอนคิดไป ชีวิตในสมัยที่ยังเป็นเด็กสาว เป็นเมียสาว เป็นแม่สาว ภรรยานายทหารชั้นผู้น้อย รูปงาม เป็นสามีที่รักดูดดื่ม ไม่ร่ำรวยแต่ไม่ยากจน กับชีวิตขณะนี้ ชีวิตภรรยาของผู้มีอำนาจเกือบจะสูงสุดในเมืองไทย เต็มไปด้วยพิธีรีตอง แวดล้อมด้วยคนแปลกหน้าเปลี่ยนไปมาอยู่เป็นระยะๆ ชีวิตชนิดไหนเป็นสิ่งพึงปรารถนา แล้วภาพภายในห้องนอนอันเต็มไปด้วยวัตถุราคาแพงก็เลือนหาย ภาพเรือนน้อยในกรมทหารที่กองพันที่เมืองเพชรบุรีเข้ามาแทน

ฉอ้อนได้แต่งงานกับคุณวิทูรในเดือนพฤศจิกายน หกเดือนหลังจากที่หล่อนได้รับจดหมายฝากรักฉบับแรกในชีวิตของหล่อนจากเขา อุปสรรคในการแต่งงานของฉอ้อนกับนายร้อยตรีวิทูรก็มี “ท่าน” หรือ คุณกำยาน กับบิดามารดาของคุณวิทูรเอง “ท่าน” ขัดข้องอยู่แต่เรื่องการเรียนของฉอ้อน ท่านว่าฉอ้อนเรียนน้อยไปสำหรับผู้หญิงสมัยใหม่ โดยเฉพาะถ้าจะเป็นภรรยาข้าราชการ ส่วนบิดามารดาของคุณวิทูรนั้น เมื่อได้รับคำบอกเล่าจากลูกชายว่ามีความพึงพอใจในหญิงสาวชาวเพชรบุรีคนหนึ่ง ที่ตนไม่รู้จักวงศ์ญาติมาเลยก็ไม่ค่อยจะพอใจ อีกทั้งบิดามารดาของเขาก็ยังได้ทาบทามบุตรีในตระกูลของมิตรชาวสวน ซึ่งเป็นอาชีพอย่างเดียวกับตนไว้ เรื่องนี้ฉอ้อนไม่น่าจะได้ทราบ แต่โดยบังเอิญและโดยไหวพริบของเฌอน้องชาย เรื่องนี้จึงมาเข้าหูหล่อน

หลังจากวันที่ ท่าน ได้เจรจากับฉอ้อน ให้ฉอ้อนพิจารณาข้อเสนอของท่านแล้ว ฉอ้อนก็ได้ลาท่านกลับไปบ้าน ฉอ้อนไม่ไปหาท่านอีกเป็นเวลาหลายวัน เพราะฉอ้อนรู้แล้วว่า คำตอบของฉอ้อนจะไม่ต้องด้วยความปรารถนาของท่าน ในเรื่องอื่นใด ฉอ้อนคงจะไม่ขัดใจท่านเลย แต่ในเรื่องการแต่งงานกับนายทหารหนุ่มวิทูรนี้ฉอ้อนได้ตัดสินใจแล้ว ไม่ใช่ตัดสินในเมื่อได้รับจดหมายของเขา แต่ได้ตัดสินใจโดยไม่รู้สึกนึกตั้งแต่วันที่เขายืนอยู่ริมแอ่งน้ำใต้ต้นจิก

ระหว่างที่ “ท่าน” รอคำตอบของฉอ้อน และคุณพ่อและแม่รอฟังคำแนะนำของท่าน วิทูรได้รับทราบจากพี่สาวของเขา เรื่องที่บิดามารดาได้ทาบทามหญิงหนึ่งไว้ให้เขา พี่สาวของเขาได้เดินทางมาเพชรบุรี และได้นำความปรารถนาของบิดามารดามาให้เขาทราบ หลังจากที่ได้รับจดหมายจากเขาขอร้องให้ดำเนินการไปสู่การสมรสระหว่างตัวเขากับหญิงที่เขารัก

เมื่อนายทหารหนุ่มได้ทราบเรื่องราวจากพี่สาวเขามีความกลุ้มใจอึดอัดกระวนกระวาย เขาได้ลั่นวาจาอย่างหนักแน่นไปยังหญิงที่เขารัก แสดงถึงความแน่วแน่ของใจของเขาแล้ว และทั้งยังได้กล่าวก้าวเกินไปถึงผู้ใหญ่ที่เป็นที่นับถือ ไม่ใช่แต่ของหล่อน แต่เป็นที่นับถือของคนทั้งเมืองก็ว่าได้ ที่สำคัญที่สุดก็คือท่านเป็นที่นับถือของผู้บังคับกองพัน ผู้บังคับบัญชาของเขา และของคุณหลวงกล้าฯ ผู้ที่จะเป็นที่พึ่งของเขาในเรื่องนี้ การที่เขาจะโอนอ่อนไปตามบิดามารดาย่อมไม่ได้ แต่การที่จะแข็งขืนบิดามารดานั้น ในสมัยนั้นไม่ใช่สิ่งกระทำได้ง่ายๆ เขาจะทำอย่างไรดี บิดามารดาของเขาในทางทรัพย์เรียกว่าอยู่ในฐานะดี เขาได้หวังไว้ว่าการแต่งงานของเขาจะมีหน้ามีตาไม่มีใครในเพชรบุรีกล้าดูหมิ่นยิ้มหยัน แต่ถ้าเขาแข็งขึนกับบิดามารดา เขาไม่แลเห็นว่าการแต่งงานของเขาจะน่าชื่นชมภาคภูมิใจได้ และโดยเฉพาะ ถ้าหากฝ่ายหมื่นชำนาญเรียกร้องเอาสินสอดทองหมั้น เขาจะทำอย่างไร เขาไม่ได้คิดเลยว่าอุปสรรคจะเกิด นอกเหนือไปจาก “ผู้หญิงแก่ๆ คนหนึ่ง” ที่บังอาจจะเข้ามาขัดขวางความปรารถนาของเขา

เมื่อมีความกลุ้มใจ ก็เป็นธรรมดาที่ต้องปรึกษากับใครสักคน ถึงแม้ว่าในอุปนิสัยของเขานั้น การที่ต้องปรึกษากับใครเป็นสิ่งที่ไม่ทำให้เกิดความพึงพอใจเลย การที่เขาต้องพึ่งคุณหลวงกล้าฯ นายทหารนอกราชการ ในการติดต่อทาบทามสู่ขอฉอ้อน เขาก็ต้องฝืนใจทำ เพราะคุณหลวงกล้าฯ มีความคิดเห็นที่ไม่สบอารมณ์เขานัก แต่ในขณะเดียวกัน ในบรรดาคนมีอาวุโสในจังหวัดนั้น ก็มีคุณหลวงกล้าฯ ที่แม้ว่าจะมีความคิดความรู้สึกไม่ตรงกับเขานัก ก็ยังมีความคิดอะไรบ้าง และยังเป็นทหาร ส่วนนายทหารอื่นๆ ดูไม่สนใจในเรื่องของบ้านเมืองหรือเรื่องใดกี่มากน้อย นอกไปจากการรื่นเริงเฮฮา เรื่องความวิตกกังวลเกี่ยวกับความยากจนบ้าง หรือการที่ต้องโยกย้ายบ่อยๆ นายร้อยหนุ่มจำเป็นต้องคบกับพลเรือนบางคนเป็นผู้พิพากษาหนุ่มๆ บ้าง อัยการบ้าง ซึ่งมีความคิดความเห็นพอให้คุยกันสนุก แต่ไม่ค่อยถูกใจเขานักเพราะเป็นพลเรือน

แต่เพื่อนที่สบใจที่สุดในกองพันมีอยู่คนหนึ่ง ร้อยโทเกริน เป็นทหารจบก่อนเขาปีหนึ่ง เกรินเป็นทหารเต็มตัว อย่างที่เรียกว่า ร้อยเปอร์เซนต์ เขาไม่เคยอยากเป็นอื่นเลยนอกจากทหาร เขาช่างจำเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติการยุทธ์ จำประวัตินายพลที่มีชื่อเสียงในประเทศต่างๆ เขาสามารถอ่านหนังสืออังกฤษ และมีเรื่องเล่าจากหนังสือที่เขาอ่านเสมอ จนเพื่อนของเขาเกิดความทะยานใจอยากอ่านหนังสืออังกฤษได้เหมือนเขา เกรินเป็นคนเยือกเย็นอ่อนโยน สมกับเรื่องอัศวินที่เขาชอบเล่าให้เพื่อนฟัง เรื่องที่เขาเล่าเขาสนทนาล้วนแต่เป็นอุดมคติซึ่งนายร้อยหนุ่มวิทูรรู้ในส่วนลึกของจิตใจว่า มนุษย์จะเข้าถึงไม่ได้ แต่เมื่อเกรินเล่าให้เขาฟัง มีอะไรที่ดูดดึงให้เขาฟัง และชอบซักถามให้อธิบาย

เกรินเป็นญาติกับคุณกำยาน แต่คำพูดและทีท่าทำให้คนเข้าใจว่าเป็นญาติห่างๆ เกรินเรียกคุณกำยาน “ท่าน” เหมือนคนในจังหวัดนั้นทั่วไป แต่คุณกำยานมักพูดกับเกรินโดยใช้สรรพนามเรียกตัวเองว่า “ป้า” เมื่อวิทูรมีความกลุ้มใจในเรื่องบิดามารดาพยายามขัดขวางการร่วมชีวิตกับฉอ้อน ผู้ที่เขาย่อมนำเรื่องมาปรับทุกข์ก็คือเกริน

คุณเกริน จะได้รับคำว่าจะช่วยเหลือคุณวิทูรอย่างไร ฉอ้อนไม่มีทางรู้ ทั้งที่ได้พยายามถามสามีในเวลาต่อมาหลายครั้ง เขามักจะเห็นความอยากรู้ของหล่อนเป็นเรื่องขัน และมักตอบหัวเราะๆ ว่า “ใครจะไปจำได้” แต่ฉอ้อนยังไม่คลายความอยากรู้อยู่จนทุกวันนี้ อย่างไรก็ตาม วันหนึ่งในราวเดือนสิงหาคมระหว่างโรงเรียนของเฌอปิดภาคเรียน แต่โรงเรียนของฉอ้อนยังเปิดอยู่ ฉอ้อนได้รับจดหมายซึ่งเฌอเป็นผู้นำมาอีกฉบับหนึ่ง ฉอ้อนกำลังอยู่ที่โรงเรียน เฌอนำจดหมายมาส่งให้ก่อนที่ฉอ้อนกลับบ้าน และบอกแก่พี่สาวว่า

“ไม่ใช่จดหมายคุณวิทูรนะพี่ ของคุณเกริน”

ฉอ้อนรับจดหมายด้วยใจเต้นตึกตัก นายทหารหนุ่มหน้าตาหมดจด มีขนาดสันทัดท่าทางเรียบร้อย เป็นเพื่อนสนิทของคุณวิทูร เขาเขียนจดหมายถึงหล่อนทำไมเขาจะเป็นคู่แข่งกับคุณวิทูรหรือ แต่ทางดีที่สุดก่อนที่จะคิดเดามากความไป คือรีบอ่านจดหมายที่ได้รับ ฉอ้อนจึงแอบเข้าห้องเรียนว่างห้องหนึ่ง หาที่นั่งที่ลับตาคนพอสมควร แล้วฉีกจดหมายออกอ่าน

“คุณฉอ้อน ทราบ

ผมขอเขียนจดหมายฉบับนี้ถึงคุณสั้นๆ หวังว่าคุณคงจะไม่ถือโทษ ในเมื่อคุณทราบแล้วว่าเพื่อนผมวิทูร เขารักคุณ ผมจึงต้องขอความร่วมมือกับคุณ คือเราต้องทำอะไรให้ได้จังหวะกันให้ดี ในสองสามวันนี้ “ท่าน” จะเรียกตัวคุณไปที่บ้าน และจะถามเรื่องคุณอยากแต่งงานหรือไม่ ขอให้คุณ์รีบตอบโดยปราศจากความขวยอายว่าคุณอยากแต่ง วิทูรเวลานี้เขานอนอยู่ที่หมวดเสนารักษ์ เขียนจดหมายถึงคุณเองไม่ได้ ผมจึงเป็นคนเขียน ถ้าคุณไม่รีบเรียนท่านอย่างที่ผมขอร้อง คุณกับวิทูรจะได้รับความลำบากใจและจะพบอุปสรรคหลายอย่างจนอาจไมได้แต่งงานกัน ผมได้ทราบจากเพื่อนผมว่าคุณมีน้ำใจต่อเขาแล้ว ขอคุณอย่ารีรอ โปรดทำใจกล้าและเด็ดเดี่ยว ผมขอร้องคุณโดยพูดจาไม่ไพเราะเพราะพริ้งเลย ผมทราบดี แต่ถ้าคุณรู้ว่าผมกำลังมีความทุกข์ใจอย่างไรเรื่องคุณกับวิทูร คุณจะอภัยให้ผม ผมขอขอบใจคุณมาล่วงหน้า ด้ายความหวังว่าคุณจะร่วมมืออย่างที่ผมขอร้อง

จากมิตรของคุณและวิทูร

เกริน เหมเสนา”

ทุกอย่างในจดหมายนั้นใหม่สำหรับฉอ้อน การได้รับจดหมายจากชายหนุ่ม นัดแนะให้หล่อนพูดอะไรทำอะไร ราวกับกำหนดแผนการรบเป็นของใหม่อย่างยิ่ง การที่มีชายหนุ่มชั้นนายทหารใช้สรรพนามเรียกตัวเองว่า ผม เรียกหล่อนว่า คุณ ก็ใหม่ หล่อนไม่เคยได้ยินใครเรียกหล่อนว่า คุณฉอ้อน เลย นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินสำนวนของคุณเกรินนี่ก็ใหม่มาก มีการขอบใจล่วงหน้า ฉอ้อนไม่เคยได้ยินเลย อ้อ หล่อนจะต้องเรียนอะไรใหม่ๆ อีกมากมาย “ท่าน” ว่าถูกแล้ว ว่าหล่อนยังเรียนน้อยมีความรู้น้อย ควรเข้าโรงเรียน เป็นนักเรียนไปอีกนาน จริงแล้ว แต่หล่อนจะต้องรีบแต่งงานกับนายร้อยตรีวิทูรแล้วฉอ้อนให้คำปฏิญญาแก่ตนเองในขณะนั้นด้วย หล่อนจะเรียน จะเรียนทุกโอกาสที่จะเรียนได้ จะเรียนด้วยแต่งงานกับคุณวิทูรด้วย จะทำในวิธีอย่างไรนั้น ต่อไปคงจะหาทางได้เอง ฉอ้อนรู้อยู่ในจิตลึกซึ้งลงไปว่าหล่อนเป็นเนื้อคู่กับคุณวิทูร แม้คนที่หล่อนรักมากที่สุด นับถือมากที่สุด ก็ไม่สามารถทำให้หล่อนคลอนแคลนในความตั้งใจได้ แต่หล่อนก็จะพยายามทำตัวให้คู่ควรกับเขาอย่างดีที่สุดที่จะทำได้ หล่อนจะไม่ให้เขารำคาญ ไม่ให้เขาดูหมิ่นความรู้น้อยเรียนน้อยของหล่อนเป็นอันขาด

พอหล่อนเงยหน้าขึ้นจากจดหมาย และความคิดคำนึง ก็พบว่าเฌอมายืนติดอยู่กับที่นั่งของหล่อน หล่อนหันไปยิ้มกับน้อง จับแขนของเขาพลางพูด

“เฌอรู้ไหม ยืนอย่างนี้เขาว่าเสียกิริยานะจ๊ะ” ความเป็นครูของฉอ้อนสอนให้หล่อนพูดกับน้องอย่างอ่อนหวานเสมอ

“พี่ไม่ต้องตอบหรอก” เฌอพูดเหมือนกับไม่ได้ฟังคำเตือนในเรื่องมารยาทของพี่สาว “คุณเกรินว่าจะลำบาก แล้วก็ แล้วก็ฉันไปที่หมวดเสนารักษ์ด้วย คุณวิทูรไม่ได้เจ็บจริงๆ หรอก แกล้งทำเจ็บน่ะ”

“อ้อ จริงแหละ” ฉอ้อนปรารภในใจ หมวดเสนารักษ์นี่เป็นหมวดดูแลคนเจ็บ ฉอ้อนมัวตื่นเต้นกับอะไรใหม่ๆ หลายๆ อย่าง เลยไม่ได้สังเกตข้อความในจดหมายตอนนั้น “ว่าแต่เฌอทำไมไปพบกับคุณเกริน” หล่อนถาม

“เขามารอฉันที่ประตูโรงเรียน” เฌอตอบ “พอฉันออกมาเขาก็เรียกให้เดินไปกับเขาแล้วส่งจดหมายให้”

“แล้วทำไมเฌอถึงไปที่กองพันล่ะ” ฉอ้อนซัก “แล้วก็โรงเรียนหยุดแล้ว เฌอไปที่โรงเรียนทำไม”

“ฉันไปเล่นฟุตบอล” เฌอตอบอีก “ฉันสงสัยพอคุณเกรินเอาจดหมายให้ฉันมาให้พี่ แล้วบอกไม่ต้องตอบ ฉันคิดว่าเขาจะทำมิดีมิร้ายอะไรกับคุณวิทูร ฉันก็เลยไปที่โรงทหาร อยากรู้ว่าคุณวิทูรทำอะไรอยู่ที่ไหน พลทหารคนใช้บอกอยู่ที่เรือนพยาบาล ฉันตามไปเยี่ยม พอเห็นฉันคุณวิทูรถามว่าพบคุณเกรินหรือเปล่า แล้วก็บอกให้ฉันรีบเอาจดหมายไปให้พี่”

ฉอ้อนลุกขึ้นจากที่นั่ง “ไปบ้านกันเถอะ” หล่อนชวนน้องชาย แปลกจริงๆ ฉอ้อนแสนจะเคยกลัวแม่กลัวคุณพ่อกลัวครู แต่ทำไมในใจของฉอ้อนเวลานั้นไม่รู้สึกกลัวอะไรเลย คิดแน่วแน่แต่จะให้ความร่วมมือแก่คุณเกรินอย่างที่เขาขอร้องมา

จริงตามที่คุณเกรินนัด อีกสองสามวันต่อมา แม่ก็พาฉอ้อนไปที่บ้าน “ท่าน”

ตามปกติเมื่อแม่หรือคุณพ่อพาฉอ้อนไปหาท่าน เมื่อไปถึงตัวท่าน คุณพ่อหรือแม่ก็จะพาฉอ้อนเข้าไปกราบท่าน แล้วท่านก็จะพูดจาปราศรัยสองสามประโยค แล้วคุณพ่อหรือแม่ก็จะนิ่งไปไม่ต่อคำสนทนา เป็นสัญญาณโดยไม่นัดแนะว่าให้ฉอ้อนปลีกตัวไปที่อื่น เพื่อผู้ใหญ่จะได้สนทนากันในเรื่องของผู้ใหญ่เสียพักหนึ่งก่อน แล้วจึงจะมีการเรียกหาตัวฉอ้อนให้ไปสนทนากับท่านบ้าง ฉอ้อนมักไปเยี่ยมไต่ถามทุกข์สุขบริวารของท่าน มีด้วยกันหลายคนที่อยู่ในวัยเดียวกับฉอ้อน หรือที่ต่างวัยแต่ที่ชอบให้ฉอ้อนไปชวนคุยให้เปลี่ยนหน้าผู้ได้พบได้เห็น ฉอ้อนเป็นคนช่างซักถาม หาโอกาสให้คนเหล่านั้นได้เล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ ซึ่งถ้าในหมู่คนที่อยู่ด้วยกันจำเจ ก็ไม่มีโอกาสจะเล่า ฉอ้อนเป็นคนนำความสุขเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้มาสู่คนในบ้านท่าน

แต่คราวนี้ พอฉอ้อนและแม่เข้าไปกราบท่านท่านก็เริ่มพูดถึงตัวฉอ้อนทีเดียว โดยไม่ได้วางมือจากการเสียบพุ่มมะลิสำหรับบูชาพระ

“ฉอ้อนปีนี้ฉันว่าสูงขึ้น ใช่ไหม แม่เชิญ” ท่านปรารภกับแม่

“เจ้าค่ะ” แม่พิศดูฉอ้อนแล้วตอบ “อ้วนขึ้นด้วยเจ้าค่ะ ท่านหมื่นว่าสอนหนังสือไม่เหนื่อยเท่าสอนพิณพาทย์ฝึกซ้อมก็ไม่นานเท่า”

“เรื่องที่เขามาพูดจานี่ ตกลงท่านหมื่นจะว่าอย่างไรล่ะ” ท่านถาม

แม่ลอบมองดูฉอ้อน ทำอาการอึกอัก เพราะกระดากที่จะพูดต่อหน้าฉอ้อน จนท่านย้ำว่า “ว่าไงล่ะ” เหมือนกับว่าท่านเกิดใจร้อน ทนรอไม่ได้อีกต่อไป

“ท่านหมื่นเขาว่า” แม่พูดช้าๆ “เขาคิดไม่ถูก ไม่รู้จักพ่อแม่ของผู้ชาย ถึงได้มากราบเท้าท่านขอให้ช่วยสืบสวนให้”

“หมื่นชำนาญเขาไม่ติดใจเรื่องอื่นใช่ไหม” ท่านถามเสียงเรียบๆ

“เขาก็ว่า ตัวผู้ชายก็ดูดี กิริยาพาทีก็ดูเรียบร้อยเจ้าค่ะ”

ท่านชำเลืองดูฉอ้อน และถอนใจน้อยๆ

“ถ้ารู้จักว่าพ่อแม่เขาดี มีไร่นาสาโท ก็ไม่รังเกียจใช่ไหม” ท่านถามอีก

แม่อึกอักไปอีกสักครู่หนึ่ง แล้วตอบ “ถ้าท่านแน่ว่าพ่อแม่เขาดี ทีนี้ก็แล้วแต่ฉอ้อน เพราะว่าปลูกเรือนก็ต้องตามใจผู้อยู่”

“ธรรมเนียมกรุงเทพฯ เดี๋ยวนี้น่ะ” ท่านกล่าว “ถ้าผู้ใหญ่ของผู้หญิงผู้ชายไม่รังเกียจกันแล้ว เขาก็ปล่อยให้เด็กได้พบปะพูดจากัน ให้ผู้ชายเขาไปหามาสู่ ให้ผู้หญิงดูว่าจะถูกใจหรือไม่ถูกใจอย่างไร”

“ฉอ้อนนี่เขามันเรียนหนังสือหนังหาเจ้าค่ะ” แม่กล่าวตอบ “จะเอาธรรมเนียมชาวบ้านนักก็ไม่ได้ แต่จะเอาธรรมเนียมกรุงเทพฯ ไอ้ที่ไม่รู้ก็จะพูดจากันแซ่ด ถ้าจะให้ไปมาหาสู่ ก็ต้องให้มาที่นี่เจ้าค่ะ”

ฉอ้อนก้มหน้าลงมองกระดาน เพราะรู้ว่าหน้าของตัวคงจะแดงหรือเป็นสีชมพูแก่ ได้ยินท่านพูดโดยไม่เห็นสีหน้าของท่านว่า

“คุณหลวงกล้าฯ มาบอกว่า ผู้ชายนี่เขาจะต้องได้ดีต่อไปภายหน้า ดูหน่วยก้านมันแปลกตากว่าคนอื่นๆ” ท่านกล่าวเป็นเชิงเล่าให้แม่ฟัง “ฉันน่ะไม่รังเกียจอะไรเขาเลย แต่เป็นห่วงฉอ้อนว่ายังเด็กนัก แต่เรื่องอย่างนี้มันต้องแล้วแต่พ่อแม่ฉอ้อน สำหรับพ่อแม่เขา พ่อเกรินหลานชายฉัน เขาบอกว่าเขามีหลักฐานดีมาก มีลูกสามคนเท่านั้น แล้วนี่พี่สาวเขาก็มาที่นี่ พ่อแม่เขาให้มาฟังเรื่องราวนี่และ”

“ตกลงท่านจะคิดอย่างไรล่ะเจ้าค่ะ” แม่ถาม

“ฉันก็ว่าจะถามฉอ้อนดู ว่าไง ฉอ้อน คนที่เขามาขอฉอ้อนนี่ก็คือนายร้อยตรีวิทูร ฉอ้อนรู้จักแล้ว เขามาที่นี่สองสามหน แล้วฉันยังให้เขาไปที่บ้านไปหาหมื่น ตอนนั้นไม่ได้คิดว่าเขาจะไปเห็นฉอ้อน แต่เขาไปเห็นแล้วก็ติดอกติดใจ เห็นพ่อเกรินมาบอกว่ากลุ้มใจจนเจ็บไป กลัวว่าฉันจะไม่ให้ฉอ้อน ฉันไม่ใช่พ่อแม่สักที ฉันรักใครฉันก็อยากให้มีความสุข มันอยู่ที่พ่อแม่ ฉันได้แต่เป็นที่ปรึกษา”

ฉอ้อนรู้สึกชาไปทั้งตัว ตอนนี้สินะที่คุณเกรินเขาบอกว่าให้ร่วมมือไม่ให้ขวยอาย แต่วิธีร่วมมือนั้นคุณเกรินมิได้บอกรายละเอียดมาด้วย หล่อนยังคงต้องก้มหน้านิ่ง คิดหาคำที่จะตอบที่จะให้ได้ผลตามที่เขามุ่งหวังไม่ได้

“ฉอ้อนคงไม่ขัดขืน พ่อแม่หรือท่านหรอกเจ้าค่ะ” แม่พูดขึ้น “ดิฉันว่าท่านว่ายังไงฉอ้อนเขาก็ยังงั้น”

ฉอ้อนใจหายวาบ ตายจริง ทำไมแม่มาพูดแทนฉอ้อนอย่างนั้น ฉอ้อนจะแย้งขึ้นไปดื้อๆ อย่างไรได้

“แต่ “ท่าน” ก็ยังไม่ได้ว่ายังไงสักที” ท่านว่า “ฉันว่ามันต้องแล้วแต่หมื่นชำนาญกับแม่เชิญและมากกว่า”

เออ ทีนี้แม่จะว่าอย่างไร ใจฉอ้อนยิ่งเต้นแรงขึ้น แต่แล้วก็ได้ยินแม่กล่าวว่า

“คืออย่างนี้เจ้าค่ะ ดิฉันว่า” อึกอักสักครู่หนึ่ง “ดิฉันว่า ถ้าพ่อแม่เขาเต็มใจ ดิฉันก็ไม่รังเกียจหรอก ถ้าท่านไม่รังเกียจ ส่วนจะตบแต่งกันเมื่อไหร่ มันต้องแล้วแต่ผู้ชายเขา เราไม่เร่งร้อน แต่ก็ต้องแล้วแต่ฉอ้อนเหมือนกัน ถ้าฉอ้อนไม่ชอบ พ่อแม่ก็ไม่ขืนใจ”

ฉอ้อนใจเต้นรัวเหมืองกลองย่ำเที่ยงที่วัดใกล้บ้าน หล่อนต้องทำหน้าที่ของหล่อนแล้ว กลั้นหายใจแล้วสูดลมแรง ฉอ้อนปล่อยความในใจออกมา “ฉอ้อนรักคุณวิทูรค่ะ”

เงียบ เงียบ ฉอ้อนรู้สึกว่าต้นไม้ใบหญ้าไม่กระดิกเลย ลมฟ้าอากาศวิปริต ไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรทั้งนั้น หล่อนค่อยๆ เหลือบตาขึ้นดูหน้าท่าน หลังจากที่ความเงียบเกิดขึ้นนานประมาณสักร้อยปีสำหรับฉอ้อน เห็นท่านเหม่อมองไปข้างหน้า มือถือไม้แหลมที่สำหรับรับดอกมะลิหยุดอยู่ ฉอ้อนจึงชำเลืองดูแม่ เห็นสีหน้าตกตะลึงของแม่ยังไม่หมดไป สักประเดี๋ยวท่านจึงพูดขึ้น

ฉอ้อนไม่เคยถูกบิดามารดาตีอย่างรุนแรงเลยตั้งแต่เกิดมา แต่ในขณะนี้หล่อนเตรียมใจเตรียมประสาทไว้อย่างเต็มที่ ฉอ้อนต้องการพิสูจน์ให้คุณวิทูรและคุณเกรินเห็นว่า ถึงไม่ใช่ทหาร เป็นแต่ผู้หญิงคนหนึ่ง ฉอ้อนก็เตรียมรับอันตรายร้ายแรงได้ไม่น้อยกว่าใครเลย แต่ว่าน่าหัวเราะ ไม่มีอะไรเกิดมากไปกว่าคำพูดเรียบ ๆ

“รัก ไอ้รักน่ะแปลว่ายังไงกัน ไปรักเขาได้ที่ไหน ตั้งแต่เมื่อไหร่”

แม่เอามือมาเท้าลงบนขาของฉอ้อน พยายามจ้องหน้าฉอ้อนให้เต็มตาและพูด “หือ อ้อนว่ายังไงนะลูก”

“เขาบอกว่าเขารักคุณวิทูรไงล่ะ” ท่านบอก คราวนี้เสียงห้วนและเครือหน่อยๆ “ฉันอยากให้เขาบอกซิว่าไอ้รักน่ะแปลว่าอะไร”

ฉอ้อนหมดความกล้าหาญแล้ว เหลือแต่ความอายและความกลัว ประสาทของฉอ้อนไม่อยู่ในบังคับ มือเริ่มสั่น ใจเต้น หน้ามืดวิงเวียน พูดไม่ออก สักประเดี๋ยวน้ำตาก็ไหลพรากออกมา

“อ้าว อย่าทำใจเสาะ” ท่านกล่าว เสียงของท่านอ่อนลง “ทำไมร้องไห้ ไหนฉอ้อนลองบอกซิ ที่พูดเมื่อกี้น่ะ แปลว่าอยากแต่งงานกับคุณวิทูรเรอะ แล้วก็ทำไมถึงอยากแต่ง”

“อ้อนไปเคยพบกับเขาที่ไหน ทำไมถึงไปรักเขาได้” แม่ถามด้วยเสียงปลอบ “แล้วอยากแต่งงานกับเขาทำไม”

ฉอ้อนไม่สามารถตอบอะไรต่อไปได้ ในตอนแรกฉอ้อนร้องไห้สะอึกสะอื้นค่อนข้างดัง แล้วก็เปลี่ยนเป็นร้องไห้กระซิกๆ และไม่พยายามจะพูดอะไรอีกต่อไป เพราะถ้าจะเทียบกับการสู้รบ ฉอ้อนก็เปรียบได้กับกองทัพที่เตรียมอาวุธมาอย่างเดียวเท่านั้นเอง เสบียงอาหารอะไรก็ไม่ได้เตรียมมา แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่นักรบขี้ขลาด หมดกำลังแล้วก็ยังไม่คิดหนี เผอิญศัตรูของฉอ้อนเป็นศัตรูที่หมดกำลังเช่นเดียวกับฉอ้อน เมื่อเห็นฉอ้อนร้องไห้อย่างไม่ลืมหูลืมตาทั้งแม่และท่าน ผู้ไม่เคยขัดใจฉอ้อน หรือเคยถูกฉอ้อนขัดใจเลย ก็ใจอ่อน มิหนำทั้งสองคนก็ไม่ดูตากัน เลยนั่งนิ่งดูฉอ้อน แล้วท่านเป็นคนพูดขึ้น

“เห็นจะไม่เป็นเรื่องเสียแล้ววันนี้ อย่าเพิ่งซักเลยเอาเป็นอันว่าแม่เชิญกับหมื่นชำนาญก็คงจะต้องตอบตกลงกับเขา ส่วนจะตบแต่งเมื่อไหร่นั้นไว้คิดกันทีหลัง”

แม่ถอนใจเบาๆ “อิฉันก็ว่าให้มันเสร็จเรื่องไปเสียก็ดี ไม่งั้นก็คิดวนเวียน จะปฏิเสธก็ไม่มีเหตุผล จะรับก็คิดไม่ออก ถ้าคุณหลวงกล้าฯ รับรองได้ก็น่าจะเชื่อท่าน”

ดูเถอะ ทำไมเรื่องที่ฉอ้อนคิดว่ายากแสนยากจึงกลายเป็นเรื่องง่ายไปเช่นนี้ พอได้ยินแม่และท่านพูดแล้ว ฉอ้อนก็ค่อยๆ สงบใจ กลั้นร้องไห้ได้และทำทีจะหยุดเอาเลยด้วยความโล่งใจ ยังมีสะอื้นนิดหน่อยหลงอยู่ตามธรรมดาของคนที่ได้ร้องไห้มากๆ เท่านั้น

“ดูเถอะ มันเด็กเมื่อวานซืนแท้ๆ” ท่านปรารภดังๆ “เหมือนกับว่าอยากได้ของเล่น พอจะได้แล้วก็หยุดร้องไห้ เฮอ ขอให้ดีๆ ให้ราบรื่นตลอดไปเถิดแม่คุณ นึกไปก็ดีไม่มีลูกของเราเอง”

ทั้งฉอ้อนและมารดาของฉอ้อนไม่เข้าใจความหมายของคำพูดนั้นเลย ในขณะนั้น ฉอ้อนมาเข้าใจภายหลัง เมื่อเวลาล่วงมาสิบกว่าปีแล้ว ส่วนการที่บิดามารดา ตกลงตามใจหล่อนง่ายๆ ฉอ้อนก็มาเข้าใจภายหลังเหมือนกันว่าในวงอาชีพของบิดา ไม่มีใครไปเข้าโรงเรียนอย่างฉอ้อนและเรียนอยู่นานอย่างฉอ้อน ทำให้ไม่อาจวาดภาพได้ว่า คู่ของฉอ้อนนั้นจะเป็นคนชั้นไหนประเภทไหน ลูกสาวคนมีเงินในตลาดก็เรียนเพื่อคิดบัญชีได้เรียบร้อย และคนที่บิดามารดาคิดตบแต่งให้ก็คือในคนตลาดด้วยกัน ที่มีฐานะใกล้เคียงกัน แต่ฉอ้อนนั้นเป็นปัญหาใหญ่ซ่อนอยู่ในใจของบิดามารดา ครั้นมีนายทหารสัญญาบัตรที่มีคนรับรองว่ามีฐานะการเงินดีมาทาบทาม พ่อแม่ก็โล่งใจ การที่ท่านตั้งข้อขัดข้องว่าฉอ้อนเรียนน้อยนั้น เป็นข้อที่ทำให้บิดามารดาของหล่อนเกิดความงุนงงอย่างยิ่ง ดังนั้นเมื่อท่านก็เลิกขัดข้อง และฉอ้อนก็แสดงความเต็มใจถึงเพียงนั้น บิดามารดาจึงเห็นเป็นประตูที่ควรรีบออกจากความมืดมนโดยด่วน โดยเฉพาะแม่นั้น คงจะมีความกังวลในเรื่องการหาคู่ให้ฉอ้อนมานานโดยไม่รู้ตัว แม่จึงเป็นพันธมิตรที่ดีของฉอ้อน คือไม่ได้บอกให้คุณพ่อทราบถึงการสนทนาที่บ้านท่าน แม่จะบอกว่าอย่างไรฉอ้อนไม่ทราบ ทราบแต่ว่าคุณพ่อไม่ขัดข้องที่จะรับหมั้นคุณวิทูรและคุณพ่อก็ไม่ได้พูดจาว่าอย่างไรกับฉอ้อนในเรื่องนี้อีกเลย

แต่ประมาณสี่ห้าวันต่อมา ฉอ้อนได้รับความกระทบกระเทือนใจอีกเล็กน้อย หล่อนกำลังเตรียมตัวจะกลับบ้านจากโรงเรียน มีนักเรียนของโรงเรียนเดินตามทางเดินระหว่างอาคารเรียนกับประตูโรงเรียนขวักไขว่ ฉอ้อนยืนอยู่ที่ใต้มุขหน้าอาคารใหญ่ของโรงเรียน หล่อนไม่ทันสังเกตว่ามีใครเดินเข้าออกอย่างไร พอรู้สึกตัวก็มีหญิงในวัยสาวใหญ่คนหนึ่งมายืนใกล้ตัว แล้วเกือบพร้อมกันนั้น เฌอน้องชายของหล่อนก็มายืนอยู่ด้วย

“พี่ คนนี้เขามาหาพี่” เฌอบอกและชี้ไปทางหญิงนั้น

ฉอ้อนยิ้มพลางก็ทำตาดุน้องชาย ซึ่งเป็นวิธีที่หล่อนชอบใช้ในเมื่อมีความจำเป็นต้องตักเตือนน้องในเรื่องมารยาท หล่อนกระซิบกับเฌอ “อย่าชี้ซิ พี่เคยบอกหลายหนแล้ว” พูดแล้วก็หันมาหาหญิงนั้น เห็นเป็นผู้มีวัยสูงกว่า แต่งตัวอย่างชาวกรุงที่เป็นคนทันสมัยพอสมควร จึงยกมือขึ้นไหว้

หญิงนั้นรับไหว้และยิ้มออกมานิดหนึ่งเหมือนไม่ได้ตั้งใจจะยิ้ม “อื้อ หล่อน เธอ ชื่อฉอ้อนรึจ๊ะ”

“ค่ะ” ฉอ้อนรับคำง่ายๆ มีอะไรในหน้าหญิงนั้นทำให้หล่อนรู้สึกเหมือนเคยรู้จักมาแล้ว

“อื้อ อื้อ ฉันมาจากโรงทหาร คุณเกรินให้เอาของมาให้เธอ” หญิงนั้นพูดตะกุกตะกัก แต่ดวงตาจ้องฉอ้อนเขม็ง พูดแล้วก็หยิบห่อกระดาษหนังสือพิมพ์เล็กๆ กว้างยาวประมาณเท่าฝ่ามือส่งให้ ฉอ้อนรับมาถือไว้

“นั่งก่อนซิคะ” หล่อนเชื้อเชิญตามคำสั่งสอนของอาจารย์ใหญ่ ให้เชิญแขกที่มาที่โรงเรียนให้นั่งเสมอ

หญิงนั้นเดินตามฉอ้อนเข้าไปในห้องซึ่งจัดไว้สำหรับใช้ธุระหลายอย่าง มีเก้าอี้วางไว้ชุดหนึ่งสำหรับรับแขก มีโต๊ะนั่งทำงานสำหรับครูเวร โต๊ะเก็บวางสมุดทะเบียนเรียกชื่อนักเรียน และสมุดลงเวลาทำงานของครูและยังมีตู้หนังสือและตู้อื่นๆ อีก ฉอ้อนเลื่อนเก้าอี้รับแขกให้หญิงนั้นนั่ง หญิงนั้นก็นั่งลงตามกิริยาเชื้อเชิญ

เจ้าหล่อนนั่งเงียบอยู่พักหนึ่ง มองไปรอบๆ ตัว ฉอ้อนเห็นว่าหญิงนั้นมีแววตาฉลาด และมีอะไรที่น่าสนใจ เฌอเดินตามมายืนอยู่ใกล้พี่สาว

“กำลังจะกลับบ้านหรือจ๊ะ” หญิงนั้นถามฉอ้อน “เป็นครูอยู่ที่โรงเรียนนี้รึ”

“ค่ะ เป็นครูสอนนักเรียนเล็กๆ น่ะค่ะ” ฉอ้อนพูดถ่อมตัวแต่ยิ้มอย่างภูมิใจด้วย

“อือ โรงเรียนนี้ใหญ่ โรงเรียนฝรั่งด้วยหรือจ๊ะ” เจ้าหล่อนถามฉอ้อนอีก

“ก็ฝรั่งคนเดียว เอ๊ยสองคนค่ะ” ฉอ้อนว่า “นอกนั้นก็ครูไทย แล้วอาจารย์ก็ให้อบรมกิริยามารยาทไทยค่ะ”

หญิงนั้นนั่งอยู่อีกสักครู่แล้วก็ลุกขึ้นยืน “ฉันต้องกลับละ ของคุณเกรินได้รับแล้วนะจ๊ะ” แล้วก็ขยับตัวจะออกจากห้อง ฉอ้อนเดินตามมาส่งอย่างสุภาพตามอุปนิสัยของหล่อน หญิงนั้นเมื่อออกมาถึงหน้าตึกก็บอกลา ฉอ้อนก็ไหว้ หล่อนก็รับไหว้ หญิงนั้นจึงพูดขึ้น

“ถ้าคุณเกรินถามว่าได้ของที่แม่วงศ์เอามาให้หรือยังละก็ บอกว่าเอามาให้ไว้แล้วที่โรงเรียนนะจ๊ะ” พูดแล้วยังมองดูฉอ้อนอีก แล้วในที่สุดจึงออกเดินไป

ฉอ้อนก้าวเท้าจะออกเดินเหมือนกัน แต่ถูกเฌอรั้งแขนไว้ หล่อนหันมาดูน้อง เฌอก็เขย่าแขนของหล่อนทันที พร้อมกับกระซิบว่า “พี่สาวคุณวิทูร เขามาดูตัวพี่ อุบายของคุณเกริน”

ฉอ้อนงง และเมื่อไม่เข้าใจก็ตกใจ เหงื่อแตกซิกๆ ภายในเสื้อ ไม่รู้จะทำอะไรดีกว่าเดินออกจากโรงเรียน

เฌอเดินตามพี่สาวมาอย่างใกล้ชิด พอห่างคนสักหน่อยฉอ้อนก็ถาม “เฌอว่าอุบายของคุณเกรินส่งพี่สาวคุณวิทูรให้มาดูพี่ เฌอรู้ไหมว่าทำไมเขาถึงต้องมาดู”

“รู้” เฌอตอบสั้นๆ “พ่อแม่คุณวิทูรน่ะ เขาขอลูกสาวชาวเมืองนนท์ไว้ให้คุณวิทูร แล้วคุณเกรินกับคุณวิทูรเขาคิดกัน ให้พี่สาวมาดูตัวพี่ รู้ว่าพี่เป็นคนยังไงและว่าคุณหลวงกล้าฯ ไปพูดกับพ่อแม่ไว้แล้ว จนตกลงกันแล้ว เขาจะเปลี่ยนไม่ได้ เพราะ ‘ท่าน’ เป็นเจ้านายมีคนเกรงกลัวมาก และ ‘ท่าน’ ก็จะยกพี่ให้คุณวิทูรแล้ว”

“อ้าว ทำไมเรื่องกลับกันอย่างนั้น” ฉอ้อนปรารภออกมาดังๆ “แล้วเฌอไปรู้มายังไง”

“ฉันไปเยี่ยมคุณวิทูร ทหารเขาบอกว่ายังอยู่เรือนพยาบาล ฉันก็ตามไป” เฌอตอบ “ไม่เห็นเป็นอะไร เขานั่งพูดอยู่กับคุณเกรินที่ระเบียง ฉันไปยืนอยู่ข้างล่างได้ยินหมดเลย พอดีเขาเห็นฉัน เลยเรียกขึ้นไป แล้วก็เลยใช้ให้พาคนเมื่อกี้นี้ไปที่โรงเรียนพี่ เขาให้บอกพี่ด้วยว่าของที่ให้มาน่ะ ไม่มีอะไรหรอก รูปถ่ายที่บ้านท่านวันกินเลี้ยง เขาให้แม่วงศ์นี่แกมาให้พี่อย่างงั้นเอง”

ฉอ้อนซักไซ้น้องอีกหลายข้อ ไม่ได้ความอะไรให้หล่อนสว่างนัก ทำให้กลุ้มใจนอนไม่ค่อยหลับตลอดคืน แต่หล่อนมาเข้าใจเรื่องแจ่มแจ้งจากคุณวิทูรทีหลัง เมื่อแรกเขารู้ว่าฉอ้อนทราบเรื่องที่บิดามารดาได้ทาบทามหญิงอื่นไว้ไห้เขา เขาแสดงความไม่พอใจเฌอมาก เขาหาว่าเฌอเป็นเด็กที่ไว้ใจไม่ได้ ให้คำสัญญาอย่างลูกผู้ชายแล้วไม่รักษาสัญญา แต่แล้วเขาก็ยอมรับความจริงและเล่าถึงอุบายว่า เขาได้ให้เกรินไปเร่งคุณหลวงกล้าฯ ให้ไปเร่ง “ท่าน” เมื่อฉอ้อนบอกแก่ “ท่าน” และพ่อแม่ของฉอ้อนว่ารักเขาแล้ว อุบายของเขาก็ใกล้ความสำเร็จ ท่านไม่กล้าขัดข้องตามที่เขาคาดไว้ แล้วเขาก็ใช้ชื่อท่านเป็นเครื่องมืออีกต่อหนึ่ง คือบอกให้พี่สาวทราบว่า ผู้มียศในจังหวัดนี้เต็มใจจะอุดหนุนเขาด้วยการให้เขาแต่งงานกับหญิงที่ท่านกรุณา ซึ่งก็เป็นบุตรีของผู้มีฐานะและชื่อเสียงในจังหวัด เขาไม่อาจจะปฏิเสธความอารีของท่านได้ และการที่เขาจะร่วมชีวิตกับฉอ้อนนั้น จะเป็นประโยชน์ต่อความก้าวหน้าในราชการ เพราะได้ใกล้เคียงกับวงศ์ตระกูลที่มีอำนาจ เมื่อพี่สาวของเขาได้เห็นฉอ้อนเป็นครูในโรงเรียนใหญ่ และได้เห็นรูปโฉมและมารยาทของฉอ้อนซึ่งเกรินรับรองว่าจะต้องถูกตาถูกใจพี่สาวของเขาแน่นอน พี่สาวของเขา ซึ่งในขณะที่ระลึกอยู่นี้ มักมีสมญาในหน้าหนังสือพิมพ์ว่า “คุณพี่ใหญ่” ได้นำเรื่องไปชี้แจงกับบิดามารดาของวิทูร แล้ววิทูรก็ได้ตามไปชี้แจงอีก เป็นผลให้บิดามารดาคล้อยตามบุตรชาย และได้เปลี่ยนให้น้องชายของเขาเป็นคู่หมั้นของหญิงสาวชาวนนทบุรีแทน บัดนี้น้องชายคนนั้นคือพลตรีวิเวก วรุตมภาพ และหญิงสาวนนทบุรีนั้นคือ คุณหญิงสายใจ วรุตมภาพ น้องชายของวิทูรไม่ได้เปลี่ยนนามสกุลตามพี่ชายในสมัยที่นิยมเปลี่ยนนามสกุล คงใช้นามสกุลเดิมของบิดา ส่วนท่านสามีของท่านผู้หญิงฉอ้อนนั้น ได้นำบรรดาศักดิ์ของบิดาผู้เป็นขุนเทพศาสตร์มาบวกกับชื่อของตนเอง ใช้เป็นนามสกุลใหม่ เขาให้เหตุผลการเปลี่ยนนามสกุลว่า “ไม่ชอบมานานแล้ว ฟังเหมือนพระ เราควรใช้นามสกุลที่เข้มแข็ง”

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ